jomzup
jomzup
จอมทรัพย์
194 posts
  Making A Difference – In Business and Your Personal Life  
Don't wanna be here? Send us removal request.
jomzup · 8 years ago
Text
ก้าวออกจาก Comfort Zone เพื่อการเติบโตที่น่าตื่นเต้น
ผมเขียน blog นี้ใน Meduim นะครับ เพราะเขียนง่ายกว่าเยอะเลย ฮาๆ  ติดตามอ่านกันได้ที่นี่ครับ : https://goo.gl/D8p6sx
Tumblr media
0 notes
jomzup · 9 years ago
Text
รีวิวหนังสือ Strategy That Works
รีวิวหนังสือ Strategy That Works
ผมได้ยินชื่อหนังสือเล่มนี้จาก Post ของพี่รวิศ (เจ้าของผงหอมศรีจันทร์) ที่เขียนถึงคุณฤทธิ์ ธีระโกเมน เจ้าของเอ็มเคสุกี้ครับ ซึ่งที่เป็นโพสต์ที่ผมนั่งอ่านหลายรอบเลยครับ โดยคุณฤทธิ์แนะนำหนังสือดี ๆ ที่น่าสนใจมากหลายเล่มเลยครับ Post ต้นฉบับที่นี่
Tumblr media
หนังสือเล่มแรกที่ผมอ่านจบ คือ Strategy that works เขียนโดย PwC Consulting ที่ผมเลือกเล่มนี้มาอ่านเป็นเล่มแรกเนื่องจากผมมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่งซึ่งเคยเป็นพนักงานของบริษัท PwC Consulting (ประเทศไทย)ครับที่นี่ครับ เป็นเพื่อนที่รักและนับถือในการทำงานที่เก่งมาก ๆ คนหนึ่ง จึงเป็นเหตผลให้ผมอ่านเล่มนี้เป็นอันดับแรกครับ
และก็ไม่ผิดหวังเลย หนังสือเล่มนี้มีแก่น ก็คือ การช่วยให้องค์กรสามารถลดช่องว่างระหว่างแผนกลยุทธและการนำไปปฏิบัติจริงครับ โดยหนังสือจะใช้คำว่า “Strategy — To — Execution Gap” โดยหนังสือบอกว่าบริษัทที่เป็นเลิศนั้นจะต้องมีแผนกลยุทธที่สอดคล้องไปกับ “ขีดความสามารถเฉพาะของบริษัท” ที่บริษัทอื่น ๆ เลียนแบบได้ยาก หรือเลียนแบบไปก็ไม่คุ้ม ถึงจะทำให้บริษัทประสบความสำเร็จอย่างนะเบิดเถิดเทิง สามารถสร้างผลตอบแทนได้แบบมหาศาล และเป็นคนกำหนดเกมส์เองได้
โดยหนังสือจะแบ่งเป็น 5 ขั้นตอนในการสร้าง Strategy that works ครับ
ยึดมั่นในอัตลักษณ์และตัวตนของธุรกิจ(Commit to An Identity) บริษัทต้องชัดเจนว่าตัวเองเป็นใครและเรากำลังจะเป็นใคร รวมถึงต้องตอบคำถามให้ได้ว่า How we choose to create value in the marketplace ซึ่งตรงนี้คือการสร้างขีดความสามารถเฉพาะของบริษัท และที่สำคัญต้องไม่วิ่งตามทุกโอกาส หรือขยายตลาดไปในธุรกิจที่ตนไม่มีความชำนาญ หรือไม่มีโอกาสที่จะชนะ หรือไม่สอดคล้องกับขีดความสามารถเฉพาะของตัวเอง
เปลี่ยนกลยุทธสู่ภาคปฏิบัติ (Translate The Strategic Into The Everyday) ผู้บริหารต้องรู้จักพัฒนาและเชื่อมโยงขีดความสามารถต่าง ๆ ขององค์กร เช่น กระบวนการ, ทักษะความรู้ของแต่ละหน่วยงาน, Tools ต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดการทำงานที่ต่อเนื่องและสร้างความสามารถที่มีลักษณะเฉพาะขององค์กรขึ้นมา โดยที่ต้องไม่ยึดถือตามบริษัทอื่นๆในอุตสาหกรรมเดียวกัน สร้างตัวชี้วัดของตัวเองขึ้นมา
ผลักดันวัฒนธรรมองค์กรให้เวอร์ค (Put Your Culture to Work) ทำความเข้าใจวัฒนธรรมองค์กรของตัวเองให้ถ่องแท้ มองหาอุปนิสัยเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในวัฒนธรรมองค์ที่สอดคล้องไปกับขีดความสามารถเฉพาะของบริษัทและใช้ประโยชน์จากอุปนิสัยเหล่านี้เ���ื่อสร้างจุดแข็งให้กับธุรกิจ โดยสื่อสารให้คนนำไปปฏิบัติและเข้าใจเป้าหมายเดียวกัน
ลดค่าใช้จ่ายเพื่อการเติบโตให้ถูกทาง (Cut Costs To Grow Stronger) มีไกด์ไลน์ในการแนะนำว่าสัดส่วนการลงทุนควรเป็นอย่างไรบ้าง โดยให้เน้นการลงทุนไปในส่วนที่จะสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งทางธุรกิจ ลงทุนในส่วนที่เป็นการพัฒนาขีดความสามารถเฉพาะ และตัดค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็น
อนาคตเรากำหนดเอง (Shape Your Future) หน้าที่หลักของผู้บริหารก็คือ การมุ่งเน้นพัฒนาขีดความสามารถเฉพาะของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ หาวิธีการและแนวทางใหม่ ๆ ในการขยายตลาดและธุรกิจของตัวเองที่ต้องเน้นเรื่องความสอดคล้องส่งเสริมกันและกันไม่ใช่แค่เพิ่มรายได้ หรือไล่ตามการแข่งขันกับคู่แข่งหรือกับตลาดเพียงอย่างเดียว ให้มองที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าโดยการสร้าง Value ให้มากขึ้น ๆ
ฟังดูเนื้อหาก็ค่อนข้างคล้ายกับหนังสือธุรกิจอื่น ๆ หลายเล่มแต่เนื้อหาภายในมีการยก Case Study ที่น่าสนใจมาก ๆ ทั้งบริษัทอย่าง Hiaer, IKEA, Amazon, LEGO และอื่น ๆ อีกเพียบ ซึ่งผมว่าสรุปดีมาก ๆ และหนังสือพยายามโน้มน้าวว่าแนวคิดเรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่ที่มีความแตกต่างจากแนวคิดการพัฒนาธุรกิจเดิม ๆ อย่างมีนัยสำคัญ มี Research รองรับสมกับจัดทำโดยบริษัท Consult ระดับโลกครับ เป็นหนังสือที่ดีมาก ๆ เล่มหนึ่งครับ และคิดว่าจะแนะนำคนอื่นต่อแน่นอนครับ
สรุปเนื้อหาที่เจ๋ง
Case Study ของบริษัทต่างๆ ที่มีการวิเคราะห์อย่างละเอียด สอดคล้องกับแนวคิดหลักของหนังสือ
Framework ในการสร้างกลยุทธที่ใช้ได้จริง 5 ขั้นตอน และ Blueprint การทำ Budgeting เพื่อให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันที่ดี
เหมาะกับใคร
CEO หรือ Management ระดับสูง
เจ้าของกิจการ
ผู้สืบทอดกิจการ ที่พ่อแม่เริ่มไว้ใจให้บริหารบ้างแล้ว
1 note · View note
jomzup · 9 years ago
Text
วางแผนให้เป็น…มันก็เห็นอนาคต
Tumblr media
บ่อยครั้งที่ธุรกิจจะมียอดขายและทำกำไรได้ทันทีเมื่อเจ้าของธุรกิจเปิดร้านใหม่ นี่เป็นสิ่งที่ดีหากเกิดขึ้นจริงครับ แต่ทว่า..โลกไม่ได้สวยอย่างที่เราคิดและที่สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นทั่วไปได้ง่าย เพราะส่วนใหญ่ธุรกิจจะไม่เกิดความสำเร็จได้ด้วยตัวของมันเอง แต่คุณต้องวางแผนและทำงานอย่างแข็งขันเพื่อให้ได้มันมา
การดำเนินธุรกิจโดยไม่มีแผนนั้น ก็เปรียบเหมือนได้กับการขับรถเที่ยวโดยไม่มีแผนที่หรือจุดมุ่งหมาย แม้ว่าคุณอาจจะสนุกกับการท่องแบบไร้แผน
แต่กับธุรกิจแล้วมันเป็นคนละเรื่องกันเลย คุณอาจจะสนุกกับการเตรียมของขายและพูดคุยกับลูกค้าหรือพนักงาน แต่ผมสันนิษฐานว่าคุณเองต้องการมากกว่านั้นแน่ๆ สำหรับผู้คนส่วนใหญ่ ความฝันที่จะมีรายได้ดี สามารถควบคุมโชคชะตาตัวเอง สามารถสร้างชีวิตที่ดีให้ครอบครัว และสร้างความมั่นคงสำหรับอนาคตซึ่งเป็นแรงกระตุ้นการเริ่มธุรกิจ แต่โชคร้ายที่เจ้าของธุรกิจบางรายต้องทำงานหลายชั่วโมงต่อวันและยอมรับรายได้ที่น้อยกว่าเมื่อเทียบกับงานปกติ
นี่เป็นเหตการณ์ที่น่าเศร้าแต่ส่วนใหญ่ก็สามารถแก้ไขได้ถ้าคุณกำหนดแผนที่ดีและมุ่งมั่นทำมันให้ได้
เริ่มต้นกำหนดเป้าหมายกัน
เอาล่ะก่อนจะทำอย่างไรเพื่อวางแผนอนาคตให้สดใสขึ้น ก่อนอื่นคือ ต้องรู้ก่อนว่าความฝันของคุณคืออะไร ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถทำให้มันเป็นจริงได้เลย คุณต้องการอะไรจากธุรกิจล่ะ ? แน่นอนผมรู้ว่าคุณต้องการเงินมากๆ แต่จะมากแค่ไหนล่ะ และหากเป้าหมายของคุณคือ สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนของลูกๆหรือเผื่อเกษียณก่อนเวลา คุณต้องใช้เงินเท่าไรและคุณต้องมีเงินนั้นเมื่อไร การรู้ว่าคุณต้องการอะไรเมื่อไรนั้นจะเป็นจุดสำคัญในการพัฒนาเป้าหมายและแผนเส้นทางให้ไปถึงจุดนั้น คุณต้องเขียนลงไปว่าต้องการอะไรและเมื่อไรที่คุณต้องการมัน
เมื่อคุณระบุได้ว่าต้องการอะไร เป้าหมายสูงสุดอันนั้นจะเป็นเป้าหมายระยะยาวของคุณ โดยสิ่งที่คุณต้องทำเพื่อให้ถึงเป้าหมายระยะยาวนั่นก็คือเป้าหมายระยะสั้นของคุณนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น หากธุรกิจไม่เคยทำกำไรได้เลยและคุณคำนวณแล้วว่าเงินของคุณจะหมดลงภายใน 6 เดือน การทำให้ธุรกิจมีกำไรใน 6 เดือนจะเป็นเป้าหมายระยะยาวของคุณ
แตกเป้ายาวให้เป็นเป้าสั้น
สิ่งที่คุณต้องทำและประเมินผลต่างๆเพื่อให้ไปถึงผลลัพท์ที่คุณต้องการจะเป็นเป้าหมายระยะสั้นของคุณ ดังนั้นเพื่อให้เกิดกำไร คุณต้องรู้ต้นทุนสินค้าและรายจ่ายของคุณ เมื่อคุณรู้แล้วการเพิ่มยอดขายในแต่ละวันจะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการไปให้ถึงเป้าหมาย
เริ่มต้นจากการดูงบดุลเดือนล่าสุดของคุณ จากนั้นสร้างงบดุลสมมติโดยดูจากงบดุลที่มีอยู่แต่เพิ่มยอดขายอีกสัก 10,000 บาท ในทุกๆงบดุลเดือนต่อไป โดยคุณอาจจะเพิ่มรายจ่ายอีก 2,000 บาท สำหรับทุกๆ 10,000 บาททีเพิ่มเข้าไป (ค่าแรง ภาษี ค่าพนักงานเพิ่มเติม) เนื่องจากต้นทุนสิ��ค้าควรจะเป็นร้อยละของยอดขายคงที่ แต่รายจ่ายคงที่และรายจ่ายที่ควบคุมได้จะไม่เพิ่มขึ้น ดังนั้นกำไรจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากยอดขายเพิ่มขึ้น กุญแจสำคัญคือการสร้างงบดุลสมมติที่มียอดขายเพิ่มขึ้น 10,000 บาท ในทุกเดือนจนกว่าธุรกิจของคุณจะเริ่มมีกำไร ดังตัวอย่างในตาราง
Tumblr media
จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่าธุรกิจเริ่มมีกำไรที่ยอดขาย 100,000 บาท ต่อเดือน (เพิ่มขึ้น 30,000) จากยอดขายปัจจุบัน ซึ่งนี่น่าจะเป็นเป้าหมายระยะยาวของคุณ
ถึงเวลาทำแผนงานได้แล้ว
ต่อไปคุณควรจะระบุกรอบเวลาที่เป็นไปได้ เนื่องจากในตัวอย่างมีการคำนวณว่ามีทุนทำธุรกิจเหลืออยู่เพียง 6 เดือน ดังนั้นเราจึงใช้เวลานี้เป็นกรอบเวลาของเรา หากคุณต้องการเพิ่มยอดขายอีก 30,000 บาทต่อเดือน ภายใน 6 เดือน
ดังนั้นหมายถึงยอดขายในแต่ละเดือนของคุณต้องเพิ่มขึ้นทุกเดือน เดือนละ 5,000 บาท ( มาจาก 30,000 ÷ 6 = 5,000)
ซึ่งยอดขายที่เพิ่มขึ้นนี้จะเป็นตัว��ระเมินผลการดำเนินการของคุณในทุกๆเดือนและเพื่อทำให้คิดง่ายขึ้น เราคิดรายละเอียดเพิ่มเติมเป็นยอดขายต่อวันได้โดยจะต้องเพิ่มยอดขายแต่ละวันคือ 167 บาทต่อวัน และหากคุณเปิดร้านวันละ 10 ชม. ในตอนนี้แผนและเป้าหมายระยะสั้นของคุณคุณจะกลายมาเป็ฯสิ่งที่คุณต้องทำเพื่อนำไปสู้ยอดขายเพิ่มขึ้น 16.7 บาทต่อชั่วโมง ซึ่งมันเป็นไปได้ และคุณสามารถวางแผนที่เป็นไปได้เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนี้
การเพิ่มยอดขายในแต่ละชั่วโมงอาจจะต้องใช้การดึงดูดลูกค้าใหม่ด้วยการลด แลก แจก แถม เมนูซื้อกลับบ้านที่มีคูปองให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา หรือทำงานอยู่แถวนั้น คิดเมนูพิเศษและแขวนโปสเตอร์ที่กระจกร้านหรือตั้งโชว์ให้เห็นอย่างชัดเจนตรงหน้าร้านและบริเวณที่นั่ง และเพิ่มยอดขายของลูกค้าเดิมด้วยการแนะนำเมนูเพิ่มเติมด้วย
จากนั้นจดสิ่งที่คุณจะทำเพิ่อเพิ่มยอดขายและต่อยอดไปอีกขั้นในด้วยการระบุว่าคุณจะทำแต่ละสิ่งที่ต้องทำอย่างไร เป็นหน้าที่ใคร และกรอบเวลาที่จะต้องทำให้เสร็จ ถึงตอนนี้ให้แปะแผนการที่คุณเขียนไว้บนกำแพงห้องทำงานเพื่อให้คุณสามารถดูได้ทุกวันและจำได้ จากนั้นสิ่งที่ต่อไปต้องทำคือ แจกแจงงานให้กับคนที่มีหน้าทที่ทำและติดตามความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ
ทำตามแผนและภาวนาให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี
แผนการของคุณจะสามารถเพิ่มยอดขายต่อชั่วโมงได้ตามที่ต้องการได้หรือไม่ยังคงเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ ซึ่งคุณจะไม่รู้เลยจนกว่าคุณจะทำตามแผนและดูไปสักระยะหนึ่ง หากแน่ชัดว่าแผนของคุณไม่ได้ผลอย่างที่ต้องการคุณต้องเพิ่ม ปรับ หรือเปลี่ยนแปลง
ตัวอย่างที่ผมให้นี้เป็นตัวอย่างของการให้ธุรกิจมีกำไร โดยหลักการวางแผนนั้นจะเหมือนเดิมไม่ว่าเป้าหมายของธุรกิจคุณจะเป็นอะไร ดังนั้นหากคุณต้องการเกษียณภายใน 10 ปี เป้าหมายของคุณอาจจะเป็นการสร้างร้านค้าที่สร้างกำไร เพิ่มอีก 5 ร้านภายในกรอบเวลาที่กำหนด และขายธุรกิจของตัวเองในราคาสัก 40 ล้านบาท (ที่ดอกเบี้ย 2% ต่อปี จะได้เงิน 8 แสนต่อปี ซึ่งเพียงพอต่อค่ากินอยู่ในต่างจังหวัดด้วยคุณภาพชีวิตที่ดีและยังชนะเงินเฟ้อในระยะยาวได้อยู่) ไม่ว่าเป้าหมายของคุณจะเป็นอะไร ระบุให้ได้ว่าคุณต้องการอะไร เมื่อไร จากนั้นพัฒนาแผนการ ทำตามแผนและภูมิใจกับรางวัลที่คุณฝันมาตลอดในตอนเริ่มธุรกิจ
1 note · View note
jomzup · 9 years ago
Text
“Coding is highly creative, It’s problem-solving."
Tumblr media
โดยเฉพาะโลกที่กำลังมุ่งไปทาง Creative Economy ผมเชื่อมั่นอย่างหนึ่งว่า
“Every problem in the world will be a computer problem to some extent.”
การใช้ความรู้ และ เครื่องมือต่างๆด้าน Programming ในการแก้ไขปัญหาของโลกและของประเทศจึงเป็นทิศทางที่รัฐ การศึกษา และสังคม ควรส่งเสริมสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นและเข้าถึงได้ง่ายครับ
“Coding is highly creative, It’s problem-solving."
1 note · View note
jomzup · 10 years ago
Text
หนังสือ What got you here won’t get you there ตอนที่ 2
ตอนที่แล้วอ่านได้จาก Link เลยครับ - ตอนที่ 1
ส่วนที่ 3 : เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นได้อย่างไร (How we can change for the better)
Dr.Goldsmith บอกว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้เนื่องจากเขามองไม่เห็นสิ่งที่คนอื่นกำลังมองตัวเขาอยู่ ซึ่งเรียกว่า Blind Spot ซึงการจะทราบว่า Blind Spot ของเราคืออะไร และจะแก้ไขอย่างไรนั้น Dr,Goldsmith แนะนำขั้นตอนดังนี้ครับ
7 ขั้นตอนในการพัฒนาตัวเอง
การขอ Feedback โดยตรง เป็นการขอแบบตรงๆเลยว่าคิดอย่างไรกับเราโดยต้องมีขอบเขตดังนี้ 1. ต้องถามให้ถูกคน 2.ต้องใช้คำถามที่ดี 3.อย่าตีความเข้าข้างตัวเอง 4.ยอมรับให้ได้  เมื่อได้รับ feedback แล้ว ควรขอบคุณ และไม่จำเป็นต้องไปโต้เถียงใดๆทั้งสิ้น เพราะ อาจจะทำให้ครั้งต่อๆไปเขาจะไม่กล้าบอกความจริงกับเรา
ขอโทษ (คำวิเศษ สำหรับทุกคน)  เมื่อรู้ว่าเราได้ทำอะไรไม่ดีกับเขาแล้ว ควรขอโทษอย่างจริงใจ ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่ฝืนใจได้ยาก แต่เมื่อทำไปแล้วจะได้ความรู้สึกที่ดีกลับคืนมา
บอกเค้าว่าเราจะเปลี่ยนแปลงอะไร บอกคนที่ให้ feedback กับเราว่าเรานั้นตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงอะไร และอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่คุณเคยทำผิดกับเขาแม้จะด้วยเหตผลอะไรก็ตามแต่
จงรับฟัง ฟังให้จบ ห้ามตัดบท ฟังอย่างตั้งใจ และถ้าแม้ไม่เห็นด้วยก็ให้กล่าว “ขอบคุณ”
จงขอบคุณให้เป็น ฝึกพูดคำนี้ให้เป็นนิสัย และกล่าวคำว่า “ขอบคุณ” ให้กับทุกคนที่มีส่วนช่วยให้เราพัฒนา
การเฝ้าติดตามตามผล เป็นเรื่องที่ยากที่ต้องจัดการสิ่งเหล่านี้ด้วยตัวเองคนเดียว คุณควรจะหาใครสักคนมาช่วยคุณในการติดตามผลของการพัฒนาตนเองของคุณว่ามีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง เพื่อเตือนตนเองเสมอว่าเราอยู่ตรงไหนแล้ว
ขั้นตอนสุดท้ายเรียกว่า Feedforward ตรงข้ามกับ feedback คือเป็นการสอบถามว่า “คุณควรจะพัฒนาตนเองไปในทิศทางไหน” ในนิสัยที่คุณอยากเปลี่ยนแปลง เมื่อได้คำตอบแล้วแม้จะเห็นด้วยหรือไม่ ก็จงกล่าวคำ ศักดิ์ศิทธิ์ซะว่า “ขอบคุณ”
ส่วนที่ 4 : สิ่งที่หยุดคุณเอาไว้...เอามันออกปายย ( Pulling Out the Stop)
ส่วนสุดท้ายทาง Dr.Goldsmith บอกว่า จงเข้ากฎของการเปลี่ยนแปลงซะ เจ้าจะได้พัฒนาตัวเองได้อย่างยั่งยืนครับ โดยมี 8 ข้อดังนี้
บางครั้งปัญหาของคุณอาจจะเกิดจากการขาดทักษะบางอย่าง ไม่ใช่การเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อจะแก้ปัญหานั้น
เปลี่ยนนิสัยแค่ 1 ข้อก่อน เริ่มที่ขอที่สำคัญๆ และโฟกัสกับมัน
อย่าหลอกตัวเอง กับสิ่งที่คณต้องเปลี่ยนแปลงจริงๆ
อย่าหนีความจริง กล้าเผชิญหน้ากับมัน แล้วลุงมือเปลี่ยนแปลงซะ
ไม่มีนิสัยที่ดีที่สุดหลอก จงพัฒนาไปเรื่อยๆ
ถ้าคุณสามารถวัดผลได้ คุณก็จะประสบความสำเร็จ
ผูกผลลัพท์เข้ากับเงิน และค่อยสร้างวิธีการขึ้นมา เช่น ถ้าทำผิดถูกปรับเงิน หรือถ้าทำได้จะได้เงินโบนัส *ดร. บอกว่ามันใช้การได้ดีสุดๆไปเลย
เวลาที่ดีที่สุดที่จะทำการเปลี่ยนแปลงก็คือ “ตอนนี้”
เป็นหนึ่งในหนังสื้อที่อ่านง่ายและวางไม่ลงครับ ด้วยวิธีการเขียนที่มีหลายมิติ และการนำเสนอด้วยตัวอย่างจริงครับ
ผมหวังว่าการสรุปหนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับหลายๆท่านไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพื่อเป็นการพัฒนาแนวคิด และ การกระทำ ในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองครับ
1 note · View note
jomzup · 10 years ago
Text
หนังสือ What got you here won’t get you there ตอนที่ 1
ผมได้รับการแนะนำหนังสือมาเล่มหนึ่งจากคนสนิทของผมครับ หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Dr.Marshall Goldsmith ชื่อว่า What got you here won’t get you there  เค้าบอกว่าเล่มนี้น่าจะเหมาะกับผม
“Who want to take it to the next level and Even Better” 
นี่คือ คำนำของหนังสือเพียงเท่านี้ก็สะกดผมให้ตั้งใจและอ่านหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างดีครั
Tumblr media
ในภาพใหญ่ของตัวหนังสือเองจะพูดถึงเกี่ยวกับการเป็นผู้นำที่จะก้าวไปอีกระดับนั้นไม่ใช่เรื่องของการพัฒนาทักษะการทำงาน แต่เป็นเรื่องการกำจัดพฤติกรรมที่แย่ๆโดยที่เราไม่รู้ตัวออกไปครับ โดยแบ่งเป็น 4 ส่วนหลักๆ ครับ
ส่วนที่ 1 : ปัญหาจากความสำเร็จ (the trouble with success)
บทนี้จะชี้ให้เห็นว่าความสำเร็จใจอดีตนั้นจะกลายมาเป็นอุปสรรคของความสำเร็จในระดับที่สูงขึ้นไปในอนาคตได้อย่างไร เพราะ ปัญหาหลักๆเกิดจากคนที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้วมักจะมีความเชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองทำมาถูกต้องอยู่แล้ว และเป็นสิ่งที่ดีทำให้เค้ามาถึงตรงนี้ได้ จึงไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร ความเชื่อมั่นจึงเป็นต้นตอของอุปสรรค
ผลที่เกิดขึ้นก็คือ ผู้นำที่มีความรู้ความสามารถ แต่ไม่สามารถนำพาองค์กรของตนให้ประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ 
คนที่ประสบสำเร็จระดับนึงจะมีความเชื่ออยู่ 4 ประการนั้นคือ
I have succeeded “ชั้นประสบความสำเร็จมาแล้วและก็ยังคงสำเร็จต่อไป” คนแบบนี้เค้าจะเชื่อมั่นในประสบการณ์ของตัวเอง ในทักษะของตัวเอง ซึ่งการมีความคิดแบบนี้จะยากที่สุดเพราะ เค้าคิดว่าเค้าไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะ มีความรู้ ความสามารถเพียงพอ
I can succeed “ชั้นสามารถที่จะประสบความสำเร็จ” ความเชื่่อนี้ คือ คนที่ประสบความสำเร็จบางประเภทเชื่อว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ชั้นก็ยังจะประสบความสำเร็จอยู่ดี ทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่าง อยู่ในการควบคุมของเค้า
I will succeed “ฉันจะต้องประสบความสำเร็จ” จริงๆอย่างเปลี่ยนเป็น I am going to succeed มากกว่า เพราะ เค้ามีความมุ่งมั่นอย่างมากกว่า เค้าจะประสบความสำเร็จ ดังนั้นเค้าทำสิ่งที่ทุกอย่างที่ขวางหน้า มีอะไรทำหมด เพื่อเติมความเชื่อของเค้าว่าสิ่งที่เค้าทำจะนำเค้าไปสู่ความสำเร็จ
I choose to succeed “ฉันเลือกที่จะประสบความสำเร็จ” เพราะการมีความเชื่อว่าต้องทำอย่างนี้ถึงจะประสบความสำเร็จ เค้าจึงเลือกที่จะต้องทำสิ่งนี้ด้วยวิธีแบบนี้ แทนที่จะทำสิ่งที่ควรทำ ยกตัวอย่าง เช่น เราเห็น Steve Jobs มีนิสัยที่โกรธเกรี้ยว เราก็คิดว่าการที่จะประสบความสำเร็จต้องโกรธเกรี้ยว
Dr.Goldsmith ได้สรุปว่า ความเชื่อทั้งสี่แบบนั้น งมงาย ไร้สาระ และจะนำเราไปสู่ความเข้าใจผิดๆ ในการพาเราไปสู่ความสำเร็จในระดับที่สูงขึ้นไป
ส่วนที่ 2 : พฤติกรรม  21 ข้อที่ฉุดรั้งคุณไว้
อยากชนะมากเกินไป
เติมความเห็นของตัวเองมากจนเกินพอดี
ตัดสินคนอื่นด้วยมาตรฐานตัวเอง
คอมเมนต์แบบไม่สร้างสรรค์
ใช้คำเหล่านี่ติดปาก  “ไม่” “แต่” “ไม่อย่างไร…”
ชอบบอกให้คนอื่นรู้ว่า ตัวเองเก่งเสมอๆ
พูดในขณะที่กำลังมีอารมณ์โกรธ
ชอบหาเหตผลว่าทำไมมันไม่เวอร์ค
ปิดบังข้อมูลทั้งๆที่ควรจะแชร์ เพราะมองว่ารู้มากกว่าจะเป็นต่อ
ชมคนไม่เป็น ทั้งๆที่อยู่ในช่วงเวลาที่สมควร (กระดากปาก)
เสนอหน้าอ้างผลงาน ทั้งๆที่ตัวเองไม่สมควรจะได้รับ
หาข้อแก้ตัวได้ตลอด
ชอบอ้างเรื่องอดีตว่าส่งผลต่อปัจจุบัน
เลือกที่รักมักที่ชัง
ปฏิเสธที่จะแสดงความเสียใจ
ไม่ฟัง หรือ ฟังไม่เป็น
ไม่สามารถแสดงความรู้สึกขอบคุณ
ใครพูดเยอะ..ประหาร ทั้งๆที่เขาหวังดี
เอาชั่วใส่คนอื่น (โยนขี้)
ตัวกรู ของกู กรูเป็นของกรูแบบนี้เปลี่ยนไม่ได้
หลง มัวเมากับเป้าหมาย *อันนี่พิเศษหน่อยเพราะ อันนี้คือรากเหง้าของนิสัยแย่ๆอื่นๆ เพราะ การที่เรามุ่งมั่นกับเป้าหมายอย่างเดียว อาจจะทำให้คุณเสียอะไรโดยที่คุณไม่ได้เตรียมจะเสียเอาไว้ และสุดท้ายก็ตระหนักได้ว่า “นี่ฉันทำอะไรลงไป มันคุ้มแล้วจริงๆหรือ”
อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นเสมอๆในตัวผู้บริหาร แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เราเองมักจะไม่รู้ว่าเรามีอาการเหล่านี้อยู่ ดังนั้นการที่เราจะก้าวไปข้างหน้าได้ เราต้องรู้ก่อนว่าเราผิดพลาดอะไร และเราจะแก้ไขปรับปรุงอย่างไร ซึ่งจะอยู่ในส่วนที่สามครับของหนังสือครับ อ่านตอนตอนไปได้ที่นี่เลย 
1 note · View note
jomzup · 10 years ago
Text
หนังสือ Dare to Do
Tumblr media
ไม่ใช่หนังสือทุกเล่มที่เหมาะกับการเป็น Audio Book ครับ แต่เล่มนี้ผมแนะนำเลย
ไม่ว่าจะเป็นตอนเดินทาง หรือเล่นฟิตเนส ก็สามารถมีสมาธิในระดับที่เพียงพอในการฟังเนื้อหาต่างๆของบทความครับ เพราะ อยู่ในรูปแบบการสัมภาษณ์ (Interview)
ข้อดีที่แตกต่างของหนังสือเล่มนี้ คือ การตั้งคำถามของคุณกรณ์ และ การสรุปใจความสำคัญต่างๆ ในการสนทนา รวมถึงการคัดเลือก เจ้าของกิจการตัวอย่างที่มีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์จากแวดวงต่างๆครับ
แก่นส่วนหนึ่งของหนังสือ คือ คุณกรณ์จะพยายาม แนะแนว Mindset ของผู้ประกอบการว่า ควรจะคิดให้ใหญ่ และ Monopoly ในด้านดี คือ Monopoly by Innovation ครับ
2 notes · View notes
jomzup · 10 years ago
Text
when in doubt, always sacrifice short term profit for long term growth.
Post นี้ข้อ Copy มาทั้งดุ้นเลยของคุณ รวิศ เจ้าของแบรนด์ ศรีจันทร์ นะครับ เป็นโพสต์ที่ผมอ่านตื้นตันครับ เป็นการเขียนที่ดีจริงๆ 
Source ต้นฉบับครับ https://goo.gl/tMgVHK
when in doubt, always sacrifice short term profit for long term growth. . .
ตั้งแต่เดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศมา ทริปที่ไปญี่ปุ่นคราวนี้เป็นทริปที่ได้งาน ได้ไอเดีย มากที่สุด เรียกได้ว่าน่าจะเป็นทริปที่เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้าง tipping point ให้ศรีจันทร์อีกครั้งก็ว่าได้ แต่ว่าเอาไว้โปรเจคใหม่สำเร็จแล้วเดี๋ยวจะมาโม้ให้ฟังอีกทีดีกว่าครับ . วันนี้ที่อยากเล่าไม่ใช่เรื่องของผมแต่เป็นเรื่องของ supplier ที่เชิญผมมาญี่ปุ่นคราวนี้ เนื่องจากทริปนี้เป็น exclusive ทริปคือมีเพียงเราแค่บริษัทเดียว จึงได้ใกล้ชิดกับ supplier มากเรียกว่าอยู่ด้วยกันตลอดเวลานอกจากตอนจะนอนแหละครับ เลยได้คุยทั้งเรื่องงานและเรื่องสัพเพเหระกันเยอะมาก . ช่วงเวลาที่คุยกันออกรสชาติที่สุดเห็นจะไม่พ้นช่วงมื้อเย็น ระหว่างการดื่มเบียร์สดของญี่ปุ่นที่ไม่มีที่ไหนอร่อยกว่า��ี้ไปได้อีกแล้ว . ผมคุยกับท่านประธานบริษัทถึงเรื่องที่บริษัทผู้ผลิตวัตถุดิบเครื่องสำอางของญี่ปุ่นเจ้านี้กำลังจะเปิดโรงงานที่ฝรั่งเศสว่าทำไมถึงต้องไปเปิดโรงงานถึงฝรั่งเศสทั้งที่ที่ญี่ปุ่นก็มีโรงงานผลิตอยู่ตั้ง 5 โรงงานแล้ว หรือว่าโรงงานที่ฝรั่งเศสนั้นผลิตของที่ไม่เหมือนกัน หรือว่าเป็นเหตุผลด้านภาษี
. ท่านประธานบอกว่าของที่ผลิตที่ฝรั่งเศสเหมือนกันของที่ผลิตที่ญี่ปุ่นเป๊ะๆเลย ผมยิ่งงงเข้าไปใหญ่ เพราะการไปเปิดโรงงานที่ฝรั่งเศสดูเป็นการสิ้นเปลืองมาก ดูแล้วยังไงส่งของไปจากญี่ปุ่นก็คุ้มกว่าแน่ๆโดยเฉพาะของที่ราคาสูง อายุยาว และไม่ได้ใหญ่มากแบบนี้ . ฟังดูเผินๆการเปิดโรงงานดูจะไม่คุ้มเท่าไร ไหนจะค่าคน การตรวจสอบที่เข้มงวดมากๆของ EU ฯลฯ . ท่านประธานเลยอธิบายว่ามันมีสามเหตุผลด้วยกันที่ต้องทำแบบนี้ . 1. ลูกค้าใหญ่ๆอย่าง Chanel เข้าใจว่าประเทศญี่ปุ่นมีภัยพิบัติตลอดเวลาจึงไม่มั่นใจเรื่องความต่อเนื่องของการส่งของ แม้ท่านประธานจะพยายามอธิบายให้ลูกค้าเหล่านี้เข้าใจว่าโรงงานหลายที่ของเขาที่ญี่ปุ่นอยู่นอกเขตภัยพิบัติแต่ต้องยอมรับว่าคนนอกมองเข้ามายังไงก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงแนวคิดแบบเหมารวมได้ ท่านประธานเข้าใจว่าลูกค้ายุโรปยังไงก็คิดว่าญี่ปุ่นมีความเสี่ยงเรื่องภัยพิบัติสูง มันเป็น sterotype ของประเทศ คงเปลี่ยนความคิดได้ยาก ดังนั้นหากต้องการเป็น supplier ระดับโลกที่ทำงานกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง Chanel เขาต้องอ่านความคิดของลูกค้าให้ขาด . การไปเปิดโรงงานที่ฝรั่งเศสจึงเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับแบรนด์ระดับโลกว่า สินค้ามีส่งให้ไม่ขาดตอนอย่างแน่นอน . 2. ประเทศในยุโรปเริ่มมีแนวโน้มในการออกมาตรการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเข้มงวดมากยิ่งขึ้น มาตรการประการหนึ่งคือระยะทางของแหล่งที่มาของวัตถุดิบ ถ้ายิ่งมาไกลจะยิ่งมีปัญหา ท่านประธานคิดว่าในอนาคตเรื่องนี้จะเข้มงดถึงขนาดที่ประเด็นเรื่อง local ingredient จะสำคัญมาก ดังนั้นการมีโรงงานอยู่ในยุโรปคือการคาดการณ์การแก้ปัญหานี้ในอนาคตได้ . 3. มาตรฐานการควบคุมการผลิตของยุโรปนั้นสูงที่สุดในโลก มีลูกค้าบางประเทศต้องการของมาตรฐานสูงสุด (แม้ finish product จะเหมือนกับของที่ญี่ปุ่นก็ตาม) ต้องยอมรับว่า image ของคำว่า made in france ยังคงมีมนต์ขลังในวงการเครื่องสำอางเสมอ . แนวคิดแบบนี้ทำให้บริษัทของเขาโตเร็วมากและได้รับการยอมรับจากลูกค้าแถวหน้าของโลก และอัตราการเติบโตสูงมาเกินกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมมาก แม้ว่ามันต้องแลกมาด้วยการลงทุนที่สูงในช่วงแรกก็ตาม . ในมุมมองของผมนี่คือการสร้างแบรนด์แบบ B2B branding ที่เจ๋งโคตรๆ . ท่านประธานบอกประมาณว่า ที่ทำงานมาสามสิบกว่าปี ประสบการณ์ที่มีค่าที่สุดอันนึงที่ได้เรียนรู้มาก็คือ . “it’s always worth it to sacrifice short term profit for a long term growth” . มันคุ้มค่าเสมอที่จะยอมแลกกำไรระยะสั้นกับการเติบโตระยะยาว . เรื่องราวบนโต๊ะอาหารวันนั้นทำให้ผมรู้ว่า mindset คือซึ่งที่สำคัญที่สุดในการทำธุรกิจ . ฟังดูเหมือนง่ายแต่มีผู้บริหารจำนวนไม่น้อยที่ทำใจลำบากมากเมื่อการตัดสินใจนี้มาถึง . และผู้บริหารส่วนใหญ่ดันเลือกกำไรระยะสั้นซะด้วย . นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้แต่ละ industry มีบริษัทแข็งแกร่งและยั่งยืนจริงๆจำนวนแค่หยิบมือเดียว
1 note · View note
jomzup · 10 years ago
Text
The Intern หนังสำหรับ Startup ที่ Startup ไม่เคยได้ยิน
เมื่อวานแก้วชวนไปดูหนังเรื่องหนึ่งที่ซึ่งผมไม่ได้มีเรื่องนี้อยู่ในหัวเลยแม้แต่น้อยครับ แต่เมื่อไปดูแล้วกลับรู้สึกดีมาก คือ the Intern
youtube
The Intern เป็นหนังที่เกี่ยวกับธุรกิจ Tech Startup ครับ โดยมีนางเอกจูลล์ (แอนน์ ฮาร์ทอเวย์) เป็น CEO และผู้ก่อตั้ง E-Commerce เสื้อผ้าออนไลน์ชื่อดัง About the Fit ที่เติบโตเร็วเกินไปทำให้มีปัญหาต่างๆมากมายที่ต้องจัดการทั้งเรื่องบริษัท การบริหาร งาน operation ที่ส่งผลอย่างรุนแรงต่อชีวิตคู่ของเธอเองด้วย ซึ���งสะท้อน Lifestyle ของเจ้าของธุรกิจ Tech Startup ได้เป็นอย่างดี
แต่การเข้ามาของ เบน (โรเบิร์ต เดอ นีโร) ผู้ชายวัย 70 กะรัต จากโครงการรับพนักงาน ฝึกงานอาวุโส ( Senior Internship ) ที่เป็นหนึ่งในโครงการ CSR ของบริษัท ที่เบนเข้ามาพร้อมแนวคิด มุมมอง และลักษณะการทำงานแบบผู้ชายคุณภาพในยุค Baby Boomer
ซึ่งการมาของเบนนั้น สร้างความแตกต่างอย่างมากให้กับบริษัทไฟแรงสุดๆอย่างยุคใน Gen Y อย่าง About the Fit รวมถึงตัวของจูลล์เองด้วย
เป็นหนังที่ทำได้กลมกล่อม ลงตัว และละสายตาไม่ได้เลยครับ ให้ 10 คะแนนเต็มเลย ฮาๆ
2 notes · View notes
jomzup · 10 years ago
Text
Smart Failure
ผมไม่รู้ว่าข้อมูลนี้มี Research มา back up ยังไงนะครับ แต่เป็นหนึ่งใน Quote คำสอนที่มีทั้งความเป็นวิทย์และความเป็นศิลป์ครับ ฮาๆ
Tumblr media
"ก่อนที่จะสำเร็จ ผู้ประกอบการพบความล้มเหลว เฉลี่ย 3.8 ครั้ง สิ่งที่แยกคนที่ประสบความสำเร็จ ออกจากคนที่ไม่สำเร็จ คือ การยืนหยัดอย่างไม่ลดละ" - Lisa M. Amos
ปล.การล้มเหลวในที่นี้ คือ การล้มเหลวที่ดีนะครับ เป็นการล้มเหลวด้วยความฉลาด เป็นความล้มเหลวที่เราได้มีการพยายาม เราได้มีการเรียนรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และเราได้ทดสอบความเชื่อของตัวเองอย่างเต็มความสามารถ ซึ่งแตกต่างอย่างมากจากความล้มเหลวที่มีแต่ อีโก้ และ ความเขลา
2 notes · View notes
jomzup · 10 years ago
Text
"ผู้นำที่เก่งงาน แต่ไม่เก่งคน จะพาจนเป็นหมู่คณะ"
เมื่อเงื่อนไขสำคัญของธุรกิจทุกวันนี้ ไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีล้ำเลิศโคตรเจ๋ง หรือการตลาดที่แหวกแนวครีเอทีฟ แต่สิ่งที่จะทำให้องค์กรธุรกิจแพ้ชนะอยู่ที่ “คน” หลายองค์กรจึงต้องหันมาทุ่มเทเรื่องพัฒนาบุคลากร ยิ่งองค์กรไหนกำหนดกลยุทธทางธุรกิจใหม่ที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของ Business model ของตัวเองแล้ว การพัฒนาคนก็ยิ่งจำเป็น เพราะถ้า “คน” ไม่ถูกพัฒนาให้สอดคล้องกับเป้าหมาย กลยุทธที่วางไว้ก็ไร้ความหมาย "ผู้นำที่เก่งงาน แต่ไม่เก่งคน จะพาจนเป็นหมู่คณะ"
0 notes
jomzup · 10 years ago
Text
Creative by Alcohol
“เหล้าช่วยแก้ปัญหาได้” ประโยคหลายคนอาจจะเซอร์ไพรส์กันบ้าง และถึงจะไม่ได้หมายถึงปัญหาทั้งหมด เหล้าก็คงไม่ได้ทำให้ชีวิตเซ็กซ์ดีขึ้นเท่าไรครับ แต่ถ้าต้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ล่ะก็
เหล้า จะทำให้คุณมีข้อได้เปรียบทันทีครับ เพราะล่าสุดจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ ได้ขอให้กลุ่มตัวอย่างดื่มจนเมาแบบกลึ่มๆ ก่อนที่จะให้ทำแบบทดสอบเกี่ยวกับการโยงของคำ ที่ถูกออกแบบมาเฉพาะเจาะจงเพื่อใช้ในการประเมินทักษะของด้านความคิดสร้างสรรค์ ปรากฎว่าคนที่ดื่มสามารถทำแบบทดสอบได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มอยากมีนัยสำคัญ
ตัวเลขหนึ่งที่น่าสนใจคือ ปริมาณการดื่มที่เหมาะสมเพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ คือ 900 มล. ครับ
ดังนั้นถ้าคุณ จน เครียด ให้กินเหล้าครับ แฮ่ม
youtube
1 note · View note
jomzup · 10 years ago
Text
สมการความฟิต
หลายคนอาจจะมีอาการรู้สึกมึนหัวและเพลียๆในการทำงานนะครับ นั่นคือลักษณะอาการที่คุณมีปัญหาขาดการออกกำลังกายแบบคาดิโอ ศัพท์บ้านๆเรียกว่าไม่ฟิต
Tumblr media
ตอนนี้เรามีการค้นพบวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจวัดและพัฒนาความแข็งแรงของระบบหลอดเลือดหัวใจแล้วครับ นั่นคือการหาค่า Critical Velocity - CV หรือ ค่าความเร็ววิกฤติ ซึ่งสามารถให้ความแม่นยำได้พอๆกันกับการเข้าแล็ปด้วยเครื่อง VO2 Max แต่ทำได้ง่ายกว่าครับ
วิธีวัดคือ ให้คุณเลือกทำการวิ่งสองระยะ คือ 3 กิโล และ 1.5 กิโล แล้ววิ่งให้เร็วที่สุดโดยแยกวันกันครับ จากนั้นคุณเอาค่าที่ได้ใส่ในสมการนี้
CV = (ระยะทาง2 - ระยะทาง1) / (เวลา2 - เวลา1)
ตย. ระยะทาง 2 = 3000 เมตร, ระยะทาง1 = 1500 เมตร, เวลา2 = 30นาที, เวลา1 = 15 นาที
ดังนั้นจากสมการของเราจะได้ค่า CV = (3000 เมตร - 1500 เมตร) / (30นาที - 15 นาที) ซึ่งมีค่าเท่ากับ 1500เมตร / 15นาที  เราปรับเป็นหน่อยชั่วโมงโดยการ * 4 เข้าไป จึงเท่ากับ 6000 เมตร ต่อ ชั่วโมง นั่นเอง
เมื่อเราได้ค่า CV ของเรามา เราจะค่านี้แหละเป็นค่าตั้งต้นของเรา โดยเราเอาแนวทางการพัฒนาค่า CV จากมหาวิทยาลัยเอเธนส์แนะนำว่า ให้ออกกำลังกายนาน 30นาที่ ที่ 90% ของค่า CV (เพราะ ค่า CV คือค่าความเร็วนั่นเอง) เช่น สมมติเราได้ค่า CV ที่ 6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดังนั้น 90% ของค่า CV ก็คือ 5.4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
และออกกำลังหนักสลับเบา 5 นาที * 6 รอบที่ 95% ของค่า CV สลับกับฝึก 2 นาที * 10 รอบที่ 100% ของค่า CV โดยให้มีการพักคั่น 45 วินาทีครับ
สรุปว่าดูไม่ง่าย แต่มันคุ้มค่าเหลือเกินที่จะเหนื่อยและเพิ่มคุณภาพให้ชีวิตตัวเองนะครับ
2 notes · View notes
jomzup · 10 years ago
Text
แนะนำหนังสือ หมาน้อยสอนรวย
 ผมได้รับหนังสือเล่มนี้มาจากแก้ว (แฟนผม) ว่าเค้าพึ่งอ่านหนังสือจบและชอบหนังสือเล่มนี้มาก อยากให้ผมได้อ่าน “มันดีกับคุณแน่ๆ แก้วยืนยัน”
Tumblr media
แต่ด้วยความที่ผมเองจบ Finance มาโดยตรงและมีอาชีพทำธุรกิจอยู่แล้วก็ไม่ได้รู้สึกอะไรพิเศษกับหนังสือแนวแบบนี้ แต่ด้วยความที่ผมเห็นความกระตือรือร้นและสายตาที่มุ่งมั่นของแก้วทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นและพาตัวเองออกไปจากสถานะชาล้นแก้วไปได้
ผมเริ่มอ่านหนังสือเล่มนี้เมื่อเช้าตอน 9:52 นาที หลังจากกินข้าวช้าวเสร็จและอ่านรวดเดียวจบตอนเที่ยงกว่าๆครับ และมีความตั้งใจอยากแชร์กับคนหลายๆคนว่าเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดีและเหมาะกับคนทุกวัยจริงๆครับ
หนังสือเล่มนี้เป็นสามารถเล่าเรื่องยากๆ เช่น ความรู้พื้นฐานด้านการเงิน วิธีการบริหารจัดการเงิน การหาเงิน ตลอดจนถึงวิธีการลงทุน และเบสิคในการทำธุรกิจ ผ่านเด็กน้อยคนหนึ่งนามว่า คีรากับหมาลาร์บาดอร์สีขาวชื่อ มันนี่ (ใช่เลยที่แปลว่า เงิน นั่นแหละ) ที่มีความสามารถพิเศษสามารถพูดได้ โดยมีข้อแม้ว่า มันนี่จะพูดกับคีร่า เฉพาะเรื่องเงินเท่านั้น
นอกจาก���ะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเงินที่เข้าใจง่ายแล้ว ในหนังสือเล่มนี้ยังสอนในเรื่องลึกซึ้งๆที่มีความสำคัญในเชิงจิตวิทยาด้วย โดย มั่นนี่จะเน้นย้ำให้ คีร่า “กล้าทำ” ในเวลา ที่ “กลัวความล้มเหลว” โดยมันนี่แนะนำเทคนิคให้คีร่าโดยการเขียนบันทึกความสำเร็จทุกวัน แม้จะเรื่องขี้ประติ๋วแค่ไหนก็ให้เขียนลงไป ถ้าทำได้ทุกวันเราจะมีความมั่นใจมากขึ้นเองและในช่วงเวลาที่เรา “ดาวน์” ก็ให้หยิบไดอะรี่นี้มาดู เราก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น 
โดยแก่นของเรื่องนี้ คือ การเน้นที่ความเชื่อมั่นในตัวเอง โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนเห็นเป็นภาพ จากนั้นก็เป็นเรื่องของการให้ความสำคัญกับการเดินทางไปถึงเป้าหมายนั้น
สุดท้ายนี้ผมเลือกคำสอนที่ผมชอบที่สุดในหนังสือเล่มนี้  “จงพยายามหาทางแก้ปัญหาให้คนอื่น  จงค้นหาและตั้งใจทำสิ่งที่เรารู้ สิ่งที่เราทำได้ และสิ่งที่เรามี” ซึ่งคือความลับสำคัญในการได้มาของ “เงิน” และ “ความภาคภูมิใจ” ครับ
4 notes · View notes
jomzup · 10 years ago
Text
กลยุทธต้องอาศัยการเป็นผู้นำ
นักธุรกิจหลายคนไม่เข้าใจว่า การเป็นผู้นำและเรื่องของกลยุทธนั้นเป็นของที่มีความเชื่อมโยงกันมากแค่ไหน
Tumblr media
ถ้าเราเห็นทุกวันนี้การวางกลยุทธ คือ สายงานหนึ่งที่แยกเป็นสายงานเฉพาะทาง เป็นสิ่งที่ทำกันเป็นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานประจำปี และเมื่อทันทีที่กำหนดกลยุทธและแผนการดำเนินงานได้แล้วหน้าที่ของนักวางกลยุทธก็หมดลง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เราก็สามารถแยกหน้าที่เหล่านี้ออกจากการเป็นผู้นำได้อย่างง่ายดาย ผู้นำเพียงแค่วางกลยุทธให้ดีที่สุดตั้งแต่ต้นเท่านั้น (หรือจ้างบริษัทข้างนอกมาทำให้) แต่เรื่องจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะ กลยุทธไม่ใช่แค่เป้าหมายปลายทาง หรือคำตอบสุดท้าย แต่คือการเดินทางต่างหาก และมันก็คือ ผุ้นำที่จะทำหน้าที่พาเราเดินไปถึงเป้าหมายผ่านการเรียนรู้ระหว่างทางและปรับปรุงตลอดเส้นทาง
2 notes · View notes
jomzup · 10 years ago
Photo
Tumblr media
Work Life Balance คือ มาตรฐานของชีวิตที่เรียกว่า “เหมาะสม” แต่คำๆนี้อาจจะเป็นปัญหากับคนกลุ่มๆหนึ่งที่มุ่งมั่นในการทำงานก็ได้ เพราะ คนจำนวนไม่น้อยมี “งาน” เป็นส่วนสำคัญของชีวิต และไม่สามารถแยกออกจากกันได้ หลายคนเหล่านี้จึงมีชีวิตแบบ Work Life Integration คือ งานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เค้าอาจจะกลับบ้านเร็วตอน 5 โมงเย็น ไปออกกำลังกาย ไปรับลูกหรืออะไรสักย่าง แต่สักสองทุ่มคุณก็จะเห็นเค้าเริ่มตอบอีเมล์และในตอนเช้าๆก็จะมีงานนำเสนอดีๆ มา surprise คุณเสมอๆ ความอ่อนล้าไม่ได้เกิดจากการทำงานหนัก แต่เกิดจากความทุกข์ใจที่ต้องเลิกทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่ามีความสำคัญกับตัวเค้าอย่างแท้จริง อย่าบอกให้เค้าทำงานดึกหรือให้รีบกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวโดยเร็ว เพราะ สิ่งที่เค้านับถือ คือ ความรับผิดชอบและความเป็นอิสระ เค้ารู้ว่าต้องทำอะไรเพื่อสมดุลชีวิตของเค้า
2 notes · View notes
jomzup · 10 years ago
Photo
เป็นกาแฟที่โคตรเท่ห์เลย :)
Tumblr media
Just landed and hitting the ground running today! #500strong #500tuktuk (at CASE STUDY Asoke)
2 notes · View notes