Don't wanna be here? Send us removal request.
Text
วิธีเลิก แคร์คนอื่น ว่าเขาจะมองเราอย่างไร?

ทำไมเราถึงต้อง แคร์คนอื่น?
เป็นเรื่องปกติมาก ๆ เลยที่คนโดยทั่วไปจะกังวลกับสายตาที่คนอื่นจ้องมองมาที่เรา แต่กับบางคนก็ให้ความสำคัญกับสายตาคนอื่นค่อนข้างมาก กลับกลายเป็นเราแคร์คนอื่นมากกว่าตัวเอง ลุ้นหวย
เพราะตัวเขาเองอาจจะแค่ต้องการความรัก การยอมรับนับถือจากผู้อื่่นหรือเวลาที่รู้ว่าเราแคร์คนอื่นทำให้ตัวเองมีคุณค่า แต่กับบางคนก็คิดว่าการที่เราแคร์อื่นมากเกินไปสามารถทำให้เราก้าวเข้าไปสู่ชีวิตที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น
โดยความต้องการขั้นพื้นฐานที่ไม่ได้รับการเติมเต็มก็จะทำให้เกิดความกังวล จนเกิดความแคร์คนอื่นมากกว่าตัวเอง
ไม่อยากแคร์คนอื่นทำยังไงดี?
ธรรมชาติของมนุษย์เราบางทีเราอยากดูดีในมุมของคนอื่น ทำให้ใครหลายคนเก็บความคิด เก็บคำพูดของคนอื่นจนลืมไปว่าเป้าหมายของตัวเองคืออะไร
หากว่าเรามัวแต่ไปมองคนอื่น สนใจคนอื่น แคร์คนอื่น หากว่าเราเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วเราอาจจะต้องหันมามองตัวเองว่าเราอยากเป็นแบบนี้จริง ๆ หรอ
วางการแคร์คนอื่นให้น้อยลง เทคนิคเพื่อทำให้สามารถกลับมามั่นใจในตัวเอง
1. อยากให้เราระลึกไว้ว่าคนอื่น ๆ ไม่ได้สนใจเราเท่ากับเราสนใจตัวเอง การที่เรามองว่าคนอื่นสนใจเรา จะต้องเป็นที่ยอมรับสำหรับคนอื่น มันคือความต้องการของเรา ที่อยากเป็นคนที่ดูดีในสายตาคนอื่น
ซึ่งการที่เราตกเป็นเป้าสายตาคนอื่นทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว เราไม่จำเป็นต้องแคร์ว่าการที่เราเป็นเราแบบนี้คนอื่นจะคิดอย่างไร เขาจะมองตัวเราอย่างไร ไม่มีใครเอาเวลามาใส่ใจเราเท่าที่เราเอาเวลาหันมาใส่ใจตัวเอง
2. พยายามเปลี่ยนวิธีการสื่อสารกับตัวเอง ไม่มีใครมานั่งพูดคุยกับเราได้เท่ากับเราได้มาพูดคุยกับตัวเอง พยายามตีความสิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราคิด ทั้งหมด ตัวเราเป็นคนเลือกเองว่าอยากแสดงออกแบบไหน
ทำความเข้าใจกับตัวเองใหม่ว่าจำเป็นต้องดูดีในสายตาคนอื่นตลอดไหม? ต้องเป็นคนดีอยู่เสมอหรือเปล่าเวลาที่เราอยู่กับใครสักคนที่เราสนิทกับเขาจริง ๆ
โดยพื้นฐานไม่มีใครมาบอกเราได้ร้อยเปอร์เ��็นต์ว่าเขาคิดอย่างไรกับเรา มีแต่เราเท่านั้นที่สามารถพูดคุย และสร้างเรื่องราวขึ้นมาเองว่าพวกเขาอยากให้เราเป็นแบบไหน
3. ทำความรู้จักกับคนใหม่ ๆ บ้าง ออกไปเจอใครใหม่ ๆ อะไรใหม่ ๆ เพื่อให้ตัวของเราได้มีมุมมองความคิดต่าง ๆ ได้กว้างมากขึ้น ถ้าเรารู้สึกว่าเราอยู่กับใครแล้วเราต้องทำให้ดีอยู่ตลอดเวลานี่อาจจะเป็นสัญญาณเตือนที่ผิดของความคิด
จริง ๆ แล้วมีความคิดเดียวที่สำคัญที่สุด ก็คือเราสามารถควบคุมตัวเองได้ทั้ง ๆ ที่เรามีทางเลือกเป็นความคิดของตัวเราเอง
4. ไม่จำเป็นต้องทำให้คนอื่นสบายใจตลอดเวลา ตราบใดก็ตามที่เราทำอะไรแล้วเรารู้สึกไม่สบายใจ หรือเราไม่ได้รู้สึกว่ามีความสุขที่จะทำในสิ่งนั้น ๆ เราไม่จำเป็นเลยที่จะต้องคิดว่าคนอื่น ๆ จะคิดอย่างไร
แต่ให้หันกลับมามองที่ตัวเราเองสิ่งที่เรากำลังเลือกทำเราสบายใจแล้วหรือยัง? สิ่งที่เราทำลงไปสร้างความสุขให้เราหรือยัง? และตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมเราถึงจะเลือกทำสิ่งนี้ให้คนอื่นรู้สึกสบายใจด้วย
5. โฟกัสที่การควบคุมความคิดของตัวเอง ไม่ใช่ควบคุมความคิดของคนอื่น เพราะว่า เราไม่สามารถที่จะควบคุมความคิดของคนอื่นได้ หรือว่าพฤติกรรมของคนอื่นได้เลยนอกจากตัวเราเอง
6. อย่าพยายามทำให้ทุกคนพึงพอใจเกี่ยวกับตัวเอง ธรรมชาติของมนุษย์มักจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองอยากจะเชื่ออยู่แล้ว คนทุกคนมีแนวคิดและความเชื่อเป็นของตัวเอง จากประสบการณ์การเรียนรู้ที่ก่อตัวขึ้นเป็นความเชื่อจากบางสิ่งบางอย่าง
และความเชื่อเหล่านั้นมักจะถูกนำมาใช้ตัดสินคนอื่นอยู่ตลอดเวลาจากสิ่งที่เราเห็น ต้องยอมรับว่าจริง ๆ แล้วเราก็มักจะนำความเชื่อเหล่านั้นมาตัดสินสิ่งที่อยู่รอบตัว ไม่ว่าเราจะทำอะไรที่เป็นเรื่องธรรมดาบางคนอาจจะมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี
เพราะฉะนั้นเราควรที่จะเลือกว่าเราควรให้ความสำคัญกับคนกลุ่มไหน หรือให้ความสำคัญกับใครที่เขามีอิทธิพลกับตัวเรา
7. การที่เรากังวลกับสายตาคนอื่นมันไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป เพราะจริง ๆ แล้วมนุษย์คือสัตว์สังคมที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม เป็นหมู่
มันเกิดจากความคิดที่แตกต่าง ตัวเราเอาความคิดของคนอื่นมาใส่ทำให้เกิดความขัดแย้ง ต้องจำกัดตัวเองให้อยู่ระดับที่พอดี
สำหรับใครที่กังวลมาก ๆ กับสายตาคนอื่น อยากให้หันกลับมาใส่ใจกับอารมณ์ของตัวเอง ความคิดตัวเอง และปล่อยวางคำพูด ความคิดของคนที่อยู่รอบตัว
0 notes
Text
เป็นคนดี ก็ปฏิเสธได้

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องดำรงชีวิตอยู่เป็นกลุ่ม เป็นหมู่คณะ การดำเนินชีวิตของคนแต่ละคนส่วนใหญ่ไม่ได้ราบเรียบไร้อุปสรรคเสมอไป ต้องมีบางครั้งบางเวลาที่ไม่สามารถรับมือกับปัญหาที่เข้ามาในชีวิตได้ด้วยตัวเอง อาจจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นบ้าง และในขณะเดียวกันถ้ามีโอกาสที่จะช่วยเหลือผู้อื่นได้ ก็สมควรให้ความช่วยเหลือผู้อื่นด้วยเช่นกัน คนที่มีน้ำใจให้ความช่วยเหลือผู้อื่นได้มาก ก็จะได้รับการยอมรับนับถือ ยกย่องว่าเป็นคนดี ดังนั้นจึงเกิดค่านิยมในสังคมขึ้นว่า คนดีควรเป็นคนที่มีน้ำใจช่วยเหลือ แบ่งปันแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อย่างไรก็ตามความสามารถในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่น ของแต่ละคนใช่ว่าจะสามารถทำได้เท่าเทียมกันทุกคนเสมอไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมในชีวิตของแต่ละคน การให้ความช่วยเหลือคนจึงต้องมีความพอดี ความเหมาะสมกับแต่ละเหตุการณ์ แต่ละบุคคล เป็นรายๆ ไป อะไรก็ตามในโลกนี้ ถ้ามากเกินไปหรือน้อยเกินไปก็ไม่ดีทั้งนั้น หนทางที่ดีที่สุด คือ ทางสายกลาง แทงหวยผ่านเว็บ
เชื่อว่าทุกคนคงเคยมีประสบการณ์มีความลำบากใจที่จะปฏิเสธผู้ที่มาขอความช่วยเหลือ เพราะตนเองมีความไม่พร้อมให้ความช่วยเหลือ แต่ก็เกรงว่า ผู้ที่ขอความช่วยเหลือหรือคนอื่นๆ อาจมองว่าตนเองเป็นคนไม่ดี ไม่มีน้ำใจ ใจแคบ บ่อยครั้งจึงมักลงเอยด้วยการฝืนใจรับปากให้ความช่วยเหลือ ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากทำ ไม่มีความพร้อม และมาก่อปัญหาให้ตนเองต้องประสบกับความลำบาก ความยุ่งยาก เดือดร้อน หรือบางครั้งอาจกระทบไปถึงคนในครอบครัว คนรอบข้าง และมักมารู้สึกเสียใจภายหลังว่า ไม่น่ารับปากเลย น่าจะปฏิเสธไปตั้งแต่ต้น ตัวอย่างเช่น ไปเซ็นค้ำประกันให้เพื่อนซื้อรถ ทั้งที่รู้ว่าเพื่อนเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบ แล้วในที่สุดเพื่อนหนีหนี้ ตัวเองต้องมาลำบากผ่อนรถแทนเพื่อน โดยที่เป็นรถที่ตัวเองไม่เคยได้เห็น ไม่เคยได้ใช้ด้วยซ้ำ ดังนั้นการให้ความช่วยเหลือผู้อื่นแล้วไม่ก่อให้เกิดปัญหา แต่เกิดประโยชน์ ผลดี กับทุกฝ่ายจึงต้องพิจารณาถึงความเหมาะสม

ความเหมาะสมของการให้ความช่วยเหลือผู้อื่น สามารถพิจารณาปัจจัยออกมาได้ 2 ด้าน คือ ด้านผู้ขอความช่วยเหลือ และด้านผู้ให้ความช่วยเหลือ ในส่วนของผู้ขอความช่วยเหลือนั้น อาจต้องพิจารณา��่า คนคนนั้นสมควรได้รับความช่วยเหลือหรือไม่ ปัญหาเกิดจากเขาทำตัวเองหรือไม่ ปัญหาที่ขอความช่วยเหลือนั้น เกิดขึ้นจากเหตุสุดวิสัยหรือไม่ หรือตัวเองก็มีความสามารถรับมือกับปัญหาได้ แต่ไม่อยากรับผิดชอบ ไม่พยายามช่วยตัวเอง และผลักภาระไปให้คนอื่น เอาตัวเองสบาย ไม่รู้สึกผิดต่อการคอยเอาเปรียบผู้อื่น เช่นนี้ก็ไม่สมควรให้ความช่วยเหลือ ซึ่งต่างจากคนที่ประสบปัญหาจากเหตุสุดวิสัย และได้พยายามแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองแล้ว สุดความสามารถของตัวเองแล้วจึงขอความช่วยเหลือ นอกจากนี้ยังมีคนอีกประเภทหนึ่ง
คือ คนที่ไม่เคยช่วยเหลือใครเลย ถึงแม้ตัวเองมีความพร้อม พอถึงคราวตัวเองลำบาก กลับมาเรียกร้องให้คนอื่นช่วยเหลือตัวเอง ก็ต้องพิจารณาว่าสมควรให้ความช่วยเหลือหรือไม่ เมื่อพิจารณาได้แล้วว่าคนคนไหนสมควรให้ความช่วยเหลือ ขั้นต่อไป คือ การพิจารณาว่าตัวผู้ให้ความช่วยเหลือเองมีความพร้อมมากน้อยเพียงใด ความพร้อมนี้มักหมายถึงความพร้อมด้านเวลา ทรัพย์สิน กำลังกาย ความรู้ ความสามารถ ถ้าหากมีความพร้อม และการช่วยเหลือนั้นไม่ก่อให้เกิดภาระกร��ทบต่อชีวิตส่วนตัวและครอบครัวมากนัก ก็อาจพิจารณาสมควรให้ความช่วยเหลือตามเงื่อนไขเท่าที่ตัวเองให้ได้ แต่ถ้าไม่มีความพร้อม การให้ความช่วยเหลือนั้นเกินกำลังของตนเอง ก่อให้เกิดภาระ ความยากลำบากแก่ชีวิตตนเองและครอบครัว ก็ควรปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือนั้นไปเสีย

ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมเติบโตมาภายใต้การสอนจากพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ ครู ที่มักสอนบอกว่า คนดีต้องมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แบ่งปัน ช่วยเหลือผู้อื่น การปฏิเสธผู้อื่นเป็นสิ่งที่ไม่สุภาพ เห็นแก่ตัว เป็นคนแล้งน้ำใจ เป็นคนไม่ดี ไม่ควรกระทำ คำสอนเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำๆ ในวัยเด็กและฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก เป็นความคิดอัตโนมัติว่า คนที่ไม่ช่วยเหลือคนอื่นเป็นคนไม่ดี การที่คนคนหนึ่งกล้าที่จะปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือเมื่อตัวเองไม่พร้อม จะช่วยให้คนผู้นั้นไม่ต้องประสบปัญหาอึดอัดใจ เสียใจ ลำบากใจภายหลัง แต่การที่คนจำนวนมากไม่สามารถปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือผู้อื่นทั้งที่ตัวเองไม่พร้อม ก็เพราะความคิดอัตโนมัติที่ถูกโปรแกรมอยู่ในระดับจิตใต้สำนึกตั้งแต่วัยเด็ก
คนเราเกือบทุกคนในโลกนี้ ในระดับจิตใต้สำนึก มีความไม่มั่นใจในคุณค่าของตัวเอง และไม่สามารถบอกตัวได้ด้วยตัวเองว่า ฉันเป็นคนมีคุณค่า ต้องอาศัยปฏิกิริยาท่าทีตอบสนองของคนรอบข้างที่ยืนยันบอกว่าเธอเป็นดี มีคุณค่า ยิ่งระดับความไม่มั่นใจในคุณค่าของตนเองมีมากเท่าไหร่ ระดับการต้องพึ่งพิงการยอมรับจากบุคคลอื่นยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น ทำให้เกิดวิธีคิด วิธีรู้สึกว่า ฉันจะเป็นคนมีคุณค่าต่อเมื่อทุกคนชื่นชมฉัน ชอบฉัน ยอมรับฉัน ฉันมีความสุขต่อเมื่อทุกๆ คน บอกว่าฉันเป็นคนดี คนดีต้องไม่ทำให้คนอื่นผิดหวัง ต้องมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น
0 notes
Text
เมื่อความผิดพลาด เป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ เราจะก้าวข้ามสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร
หลายครั้ง ที่ความผิดพลาดผ่านมาแล้วก็ผ่านเลยไป ไม่ได้เก็บไว้ในความทรงจำ แต่ทว่า เมื่อความผิดพลาดครั้งใหญ่เกิดขึ้นในชีวิต ทำไมเรากลับไม่สามารถก้าวข้ามความรู้สึกแย่ๆเหล่านั้นไปได้ แม้ว่าจะเพิ่งเกิดขึ้นหรือผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม สิ่งเหล่านี้ ทำให้ผู้คนมากมายจมปลักอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นบา���แผลในจิตใจที่ส่งผลถึงปัจจุบัน หวย
เพราะฉะนั้น เพื่อที่จะรักษาบาดแผลและก้าวข้ามความรู้สึกแย่ๆที่เกิดขึ้น คุณควรเรียนรู้วิธีการคิดและเยียวจิตใจจากความผิดพลาดที่เหมาะสม สิ่งเหล่านี้ จะช่วยเปลี่ยนฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนคุณมานาน ให้กลายเป็นบทเรียนชีวิต ที่จะพัฒนาให้คุณประสบความสำเร็จในวันหน้า
อย่าคาดหวังว่า ทุกอย่างจะต้องออกมาสมบูรณ์แบบ
หากความผิดพลาด เป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์คนหนึ่งต้องเจอ ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่คุณจะเผชิญกับความผิดพลาดสักครั้งในชีวิต และถ้าหากคุณพร้อมให้อภัยกับความผิดพลาดของผู้อื่น โดยเฉพาะกับความผิดพลาดครั้งแรกที่เกิดขึ้น แล้วทำไม คุณถึงไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ เมื่อทุกอย่างไม่เป็นตามที่คาดหวังไว้
ทุกครั้งที่คนเราทำผิดพลาด ทุกคนมีสิทธิ์ผิดหวังและเสียใจกับสิ่งที่กระทำลงไป โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องงาน ที่อาจส่งผลกระทบต่อคนรอบข้าง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คุณควรระลึกไว้เสมอ คือ โลกใบนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ความผิดพลาดในชีวิตเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน และถึงแม้ว่า คุณจะไม่เผชิญกับความผิดพลาดในวันนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่า วันหน้าจะไม่เจอ
ดังนั้น อย่าคาดหวังว่า ทุกอย่างจะต้องออกมาสมบูรณ์แบบ แทนที่คุณจะคิดวกวนอยู่กับเรื่องเก่าๆ จงตั้งสติ หายใจเข้าออกช้าๆ และทำใจให้สงบ พร้อมกับยอมรับความจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้เป็นเรื่องปกติ
ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น
การยอมรับความจริงว่า คุณทำงานพลาด นับเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการก้าวข้ามความรู้สึกแย่ๆที่เกิดขึ้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า คุณจะต้องรู้สึกผิดและกล่าวโทษตัวเองซ้ำไปซ้ำมา เพราะ แท้จริงแล้ว การยอมรับความจริงและเดินหน้าหาทางแก้ไขปัญหา จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า คุณเป็นคนที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ดีแค่ไหน ในสายตาเพื่อนร่วมงานและคนรอบข้าง ขณะที่การจมปลักอยู่กับความรู้สึกผิดนานเกินไป ไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาอะไรได้เลยแม้แต่น้อย
เพราะฉะนั้น หากเกิดข้อผิดพลาดจากการทำงานของคุณ ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น รับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองทำทั้งหมด และเดินหน้าหาทางแก้ไขปัญหา ในท้ายที่สุด เจ้านายและเพื่อนร่วมงานของคุณ จะเห็นถึงความพยายามและชื่นชมในสิ่งที่คุณทำเอง
มองความผิดพลาดให้เป็น ‘โอกาสในการเรียนรู้
สิ่งหนึ่ง ที่ทำให้คุณไม่สามารถก้าวข้ามความผิดพลาดได้ คือ ความคิดที่ยึดติดว่า ความผิดพลาดเป็นความล้มเหลวในชีวิต ทั้งที่จริงแล้ว ความผิดพลาด เปิดโอกาสให้คุณได้เรียนรู้และแก้ไข เพื่อไม่ให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นซ้ำในอนาคต
เมื่อเปรียบระหว่าง การทำสิ่งใดก็ตามได้อย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่แรก กับการค้นพบข้อผิดพลาดจากการทำสิ่งนั้น ความผิดพลาดย่อมทำให้คุณได้เรียนรู้อะไรเยอะกว่ามาก เนื่องจากคุณจะรู้ได้โดยทันทีว่า มีจุดที่ต้องปรับปรุงตรงไหน และจะต้องแก้ไขสิ่งเหล่านั้นอย่างไร เช่น เมื่อคุณทำแบบทดสอบอะไรบางอย่าง และพบว่า มีทั้งข้อที่ถูกและผิดปะปนกันไป คนส่วนใหญ่ มักโฟกัสไปที่ข้อผิด เพื่อค้นหาคำตอบที่ถูกต้องและมองข้ามข้อถูกไป (แม้ว่าจะถูกโดยบังเอิญก็ตาม)
อย่างไรก็ตาม หากคุณยังคงยึดติดกับความคิดที่ว่า ‘ความผิดพลาดเป็นความล้มเหลวในชีวิต’ คุณจะไม่เห็นถึงประโยชน์จากข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย และท้ายที่สุด คุณก็จะต้องจมปลักอยู่กับความรู้สึกแย่ๆไปตลอดชีวิต เพราะฉะนั้น จงมองความผิดพลาดให้เป็น ‘โอกาสในการเรียนรู้’ เพื่อพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นต่อไปดีกว่า
โฟกัสไปที่ทางออกของข้อผิดพลาด
แทนที่จะเสียเวลาจมปลักอยู่กับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้อีกต่อไป คุณควรใช้เวลากับตัวเอง คิดทบทวนว่า คุณทำอะไรผิดพลาดไป เพราะอะไร และจะทำอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดเดียวกันซ้ำขึ้นอีกในอนาคต พยายามรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นที่มีต่อข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสิ่งที่คุณทำ
แต่อย่ากดดันตัวเองจนมากเกินไป จงอย่าลืมว่า เราไม่ได้ให้คุณคิดทบทวนในสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อตอกย้ำอดีตที่ผ่านมา แต่เพื่อให้คุณได้ค้นพบแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง ที่จะช่วยให้คุณกลับมาทำงานได้อย่างภาคภูมิใจอีกครั้ง
พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า คุณเรียนรู้และพัฒนาตนเองจากความผิดพลาดที่ผ่านมา
การแก้ไขข้อผิดพลาดเพียงครั้งเดียว อาจไม่ได้ช่วยให้คุณสามารถก้าวข้ามความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ในเร็ววัน เพราะ คุณจะยังคงมีความกดดันจากการทำงานในครั้งต่อไปไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดซ้ำอยู่ รวมไปถึงความไว้วางใจจากเจ้านายและเพื่อนร่วมงานที่หายไป ก็อาจจะทำให้คุณกลับมารู้สึกผิดหวังในตัวเองอีกครั้ง
สิ่งที่คุณจะทำได้ คือ พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า คุณเรียนรู้และพัฒนาตนเองจากข้อผิดพลาดที่ผ่านมาแล้ว โดยที่คุณไม่ต้องพูดเลยแม้แต่คำเดียว แต่ให้การกระทำเป็นเครื่องพิสูจน์แทน เมื่อทุกคนเห็นถึงประสิทธิภาพการทำงานของคุณที่กลับมาดีเห���ือนเดิม ไม่มีข้อผิดพลาดอะไรให้ตำหนิได้อีกต่อไป พวกเขาก็จะกลับมามอบความไว้วางใจให้คุณอีกครั้ง และนั่น คือ สิ่งที่จะช่วยให้คุณสามารถก้าวข้ามความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ในที่สุด
เมื่อผู้อื่นพลาด ต้องคอยช่วยเหลือและให้กำลังใจ
ท้ายที่สุด เมื่อทุกคนในองค์กรต่างมองว่า ข้อผิดพลาด เป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ในระหว่างการทำงาน และพร้อมใจกันแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นให้ถูกต้อง จะทำให้คนที่ทำผิดพลาด ไม่เก็บความรู้สึกแย่ๆไว้ จนกลายเป็นปมในจิตใจ
เพราะฉะนั้น เมื่อเพื่อนร่วมงานและคนรอบข้างทำอะไรสักอย่างผิดพลาด คุณควรรีบเข้าไปช่วยเหลือและหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จากนั้น ให้กำลังใจและคอยอยู่เคียงข้างยามวิกฤต เพราะ เมื่อถึงคราวของคุณเอง คนเหล่านี้จะช่วยให้คุณก้าวข้ามความรู้สึกแย่ๆที่เกิดขึ้นไปได้นั่นเอง
0 notes
Text
6 วิธีเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด

เป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดด้วยวิธีสร้างความมั่นใจฉบับใช้ได้จริง เห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองจนตาลุกวาว เล่นหวยssslotto
6 วิธีเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด
1. มองหาข้อดีในตัวเอง
เราทุกคนล้วนแตกต่างแต่ละคนก็มีข้อดีที่ต่างกันออกไป เช่น เป็นคนมีวินัย ใจดี มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น กระตือรือร้น มีความพยายามสูง การมองเห็นข้อดีเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเองทุกวัน จะช่วยปรับโฟกัสให้เรามุ่งไปที่การพัฒนาตัวเองมากขึ้น เพิ่มความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง สร้างนิสัยการมองโลกในแง่บวก
2. หยุดเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น
เราทุกคนมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้จะอยู่ในวัยเดียวกัน จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน เราก็ต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยกันทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรหยุดเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น หยุดส่องโซเชียลมีเดียของคนอื่นและนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตของตนเองเพราะเราไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการเทียบกับผู้คนในโลกออนไลน์ และในโลกออนไลน์ไม่มีคำว่าดีพอ ไม่มีคำว่าดีที่สุด รวยที่สุด สวยที่สุด แต่เราควรเลือกมีความสุขในแบบที่พอดีและเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดในชีวิตจริง
3. เพื่อนที่ดี คือทีมซัพพอร์ตทางใจ การมีเพื่อนที่ดี มีครอบครัวที่ดี จะช่วยเพิ่มพลังบวกให้กับตัวเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะหลายครั้งที่ไฟในตัวเริ่มลดน้อยลง การหันไปหาเพื่อนที่ดี การกลับไปอยู่กับครอบครัว ใช้เวลากับพวกเขาบ้าง จะช่วยยกระดับจิตใจเราให้เข็มแข็ง เป็นวิธีสร้างความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองเป็นมากขึ้น เสมือนมีทีมซัพพอร์ตทางความรู้สึก ทำให้เรารู้สึกอุ่นใจได้เสมอ ว่าเราไม่ได้สู้อยู่คนเดียวบนโลกใบนี้ และการทำผิดพลาดบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร เพราะเราเริ่มต้นใหม่กับตัวเองได้เสมอ
4. ทำงานที่รักและรักงานที่ทำ
เราใช้เวลาในชีวิตส่วนใหญ่ไปกับการทำงาน อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง คิดเป็น ⅓ ของวัน การได้ทำงานที่รักแล้วมุ่งมั่นทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด จะช่วยสร้างมุมมองใหม่ที่เรามีต่อตัวเอง ทำให้เราเห็นความสามารถของตัวเองมากขึ้น เห็นข้อดีที่ตัวเองมีมากขึ้น แต่หากวันนี้ยังไม่ได้ทำงานที่รักจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรนะ เพราะเราสามารถเลือกที่จะรักในสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ได้ เข้าคอร์สเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพิ่มทักษะใหม่ให้ตัวเอง ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยเพิ่มความรู้สึกดีที่มีต่อตัวเองได้เช่นกัน
5. พักก่อน หาเวลาให้ตัวเองได้พักผ่อน
ทำงานหนักมาทั้งสัปดาห์ พบปะผู้คนมาตลอดทั้งวันแล้ว พักก่อน หาเวลาให้ตัวเองได้พักผ่อนอย่างแท้จริง เบรกตัวเองจากโลกโซเชียล หันไปจัดบ้าน อ่านหนังสือ ดูหนัง ใช้เวลากับสิ่งที่ตัวเองชอบ เวลาพักผ่อนเหล่านี้จะทำให้เราได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น ได้ทบทวนข้อดีของตัวเอง ช่วยเคลียร์สมองให้โล่งปลอดโปร่ง ตลอดจนได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ริเริ่มความคิดใหม่ เกิดความรู้สึกใหม่ที่ดีกับตัวเองมากขึ้น
6. รักตัวเองให้มากกว่าเมื่อวาน
ให้รางวัลตัวเองบ้าง เพื่อเป็นการตอบแทนตัวเอง แสดงความยินดีกับตัวเองแม้จะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที���ทำได้สำเร็จก็ตามตั้งใจ เช่น ซื้อหนังสือเล่มใหม่ ออกกำลังกาย เที่ยว ต่างจังหวัด หรืออาจจะให้รางวัลตัวเองแบบง่ายๆ ด้วย เครื่องดื่มที่เราชอบสักแก้ว การให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ กับความสำเร็จของตัวเองเป็นวิธีสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองมากขึ้น อารมณ์ดีขึ้น เป็นคนมีเสน่ห์ ดึงดูดให้ผู้คนอยากเข้าใกล้ อยากใช้เวลาด้วย
การบอกรักตัวเองไม่ได้มีแค่ให้รางวัลตัวเองด้วยการซื้อของที่ชอบมาเพื่อชุบชูใจเท่านั้น แต่หมายรวมถึงการดูแลรักษาสุขภาพร่างกายของเราให้ดีเพื่อตัวเราและคนที่รักและเป็นห่วงเราด้วย ประกันสุขภาพ เอฟดับบลิวดี พรีเชียส แคร์ ที่แคร์ครบทั้งค่ารักษาผู้ป่วยใน ผู้ป่วยนอก ด้วยผลประโยชน์แบบเหมาจ่าย
เพราะเรามีคนเดียวในโลก อย่าลืมดูแลเค้าให้ดี.. เลือกวิธีสร้างความมั่นใจในตัวเองทุกวัน ด้วยเทคนิคเหล่านี้ ควบคู่กับการปรับร่างกายให้กระฉับกระเฉง สบตาคู่สนทนา มีความคิดสร้างสรรค์ มั่นใจในความคิดเหล่านั้นแต่ก็พร้อมรับฟังความเห็นต่างของผู้อื่น การเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อยแต่ต่อเนื่องจะช่วยให้เรามั่นใจในตัวเองส่งผลดีต่อการใช้ชีวิตในระยะยาว
ในระยะยาวคุณสามารถเสริมความมั่นใจให้กับการใช้ชีวิตได้ด้วยการวางแผนบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาตัวจากอาการเจ็บป่วย เพราะเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ในอนาคต เลือก ประกันสุขภาพ เอฟดับบลิวดี พรีเชียส แคร์ ที่แคร์ครบ ด้วยค่ารักษาแบบเหมาจ่าย เริ่มต้น 1 ล้านบาท สูงสุด 100 ล้านบาท (ขึ้นอยู่กับแผนที่เลือก) และดูแลพิเศษ หากเจ็บป่วยด้วย 3 โรคร้ายแรง (ขึ้นอยู่กับแผนที่เลือก) โรคมะเร็งระยะลุกลาม โรคหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากการขาดเลือด รับเงินชดเชยและเพิ่มค่าห้องเป็น 2 เท่า
0 notes
Text
ความรัก=ความใส่ใจ

วันนี้มีคำตอบให้คุณแล้วล่ะ คำที่ใช้แทนคำว่า “ความรัก” ได้ดีที่สุด
น่าจะเป็นคำว่า “ใส่ใจ” หากคุณคิดที่จะบอกรัก
หรือรู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะรักใครซักคน ลองถามตัวเองดูว่า
คุณใส่ใจเค้ามากน้อยแค่ไหน? เล่นหวยออนไลน์
ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความเอาใจ หากคนรักของคุณจำได้ขึ้นใจว่าคุณเคยพูดว่าอยากได้อะไรแล้วเค้าหาซื้อของชิ้นนั้นให้ไม่ใช่สักแต่ว่าซื้อซื้อซื้อของเยอะแยะมากมาย เพื่อเอาใจนั่นแหละถึงเรียกว่า ความใส่ใจความใส่ใจ ไม่ใช่ ความหึงหวงหากคนรักของคุณโทรหาคุณทุกคืนถามว่ากลับถึงบ้านหรือยังเพียงเพราะเค้าเป็นห่วงไม่ต้องการให้คุณได้รับอันตรายในยามดึกไม่ใช่กลัวว่าคุณจะไปกับคนอื่นนั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจ
ความใส่ใจ ไม่ใช่ ความมีน้ำใจอย่างเดียวหากแต่มีความถนอมน้ำใจด้วยหากคนรักของคุณทำอะไรเพื่อคุณซักอย่างด้วยความตั้งใจแต่คุณกลับไม่ชอบมัน คิดไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูดอะไรออกไปใส่ใจในความรู้สึกของเค้าด้วย

หากคุณทะเลาะกับคนรักแต่แล้ววันรุ่งขึ้นคนรักของคุณยังโทรมาแสดงความเป็นห่วงในเรื่องต่างๆ เหมือนทุกๆวันทั้งๆที่ยังไม่หายโกรธ นั่นแหละเรียกว่าความใส่ใจหากคนรักของคุณยอมสละเวลาทำบางสิ่ง เอาไว้ทีหลังเพียงเพื่อช่วยทำในสิ่งที่คุณขอ นั่นแหละเรียกว่า ความใส่ใจคนเราบางครั้งก็ต้องการมีใครซักคนคอยใส่ใจเราบ้างหากคุณต้องเดินทางไกล มันจะรู้สึกดีเอามากๆถ้าคนรักของคุณโทรมาถามว่าถึงหรือยัง ปลอดภัยดีไหม เหนื่อยไหมหากคุณต้องปฏิบัติภาระกิจสำคัญไม่ว่าจะเรื่องงาน หรือเรื่องเรียนมันจะรู้สึกดีเอามากๆ ถ้าคนรักของคุณจำได้ และโทรมาบอกว่า “โชคดีนะ”"ชั้นจะคอยเป็นกำลังใจให้”
หากคุณต้องขับรถคนเดียว มันจะรู้สึกดีเอามากๆถ้าคนรักของคุณโทรมาบอกว่าขับรถดีๆนะ”หากคุณป่วยเป็นไข้ ไม่สบาย มันจะรู้สึกดีเอามากๆถ้าคนรักของคุณโทรมาเตือนให้คุณกินยา และพักผ่อนมากๆความใส่ใจ กับ ความเกรงใจคล้ายกันในหลายๆด้าน คุณอาจคิดว่า ยิ่งคบกันสนิทสนมกันมากเท่าไหร่ก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันให้มากเหมือนคนที่เพิ่งเริ่มรู้จักกันแต่ผมกลับไม่คิดอย่างนั้นยิ่งสนิทกันมากเท่าไหร่ ต้องยิ่งเกรงใจซึ่งกันและกันความเกรงใจเป็นสิ่งดี และเป็นบ่อเกิดของความสัมพันธ์อันยั่งยืนคุณเห็นไหมล่ะว่า ไม่ยากเลยที่จะแสดงความใส่ใจต่อใครซักคนเพียงแต่วันนี้คุณใส่ใจคนรักของคุณแล้วหรือยัง?
0 notes
Text
10 สัญญาณเตือนภัย อย่ายอมให้ใครมามีอิทธิพลเหนือคุณ

คนเราเกิดมาหนึ่งครั้ง เราควรที่จะได้ใช้ชีวิตที่เป็นของเราอย่างแท้จริง นำจุดแข็ง และพรสวรรค์ที่เรามีมาสร้างสรรค์โลกใบนี้ให้ดีขึ้น หวยเด็ด
คุณเคยรู้สึกว่า ฉันไม่มีความสุขเลย รู้สึกว่าสิ่งภายนอกมามีผลต่อความสุข ความทุกข์ของคุณมากกว่าที่คุณจะเป็นคนควบคุมมันเองบ้างไหมคะ
วันนี้แพรมี สัญญาณเตือนภัย 10 สัญญาณ เพื่อให้คุณได้กลับไปสำรวจตัวคุณเองว่า ตอนนี้คุณปล่อยให้คนอื่น หรือสิ่งภายนอก มาบงการและมีอิทธิพลกับชีวิตของคุณมากเกินไปอยู่หรือเปล่า
1.คนอื่นทำให้คุณรู้สึกผิด
ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเป็นเรื่องที่สำคัญค่ะ เพราะมันคือเครื่องมือที่ช่วยให้เราเลือกทำในสิ่งที่ดีและถูกต้อง แต่บ่อยครั้งที่คนบางคนใช้มันเป็นเครื่องมือควบคุมคุณ เช่น คุณอาจจะไม่มีความสุขกับชีวิตคู่ของคุณอีกต่อไปแล้ว คนรักของคุณไม่เพียงแค่ไม่ยอมปรับปรุงตัว ยังพยายามโยนความผิดต่างๆ มาให้กับคุณ ตัวอย่างเช่น ชีวิตของฉันแย่เพราะคุณ (เอาจริงๆ คนเราทุกคนเลือกได้ที่จะทำให้ชีวิตเราดีหรือแย่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนอื่น) แล้วก็ทำให้คุณพาลที่จะรู้สึกผิด คิดว่า เอ๊ะ เป็นเพราะเราจริงๆ หรือเปล่า มีสติไตร่ตรองให้ดีนะคะ อย่าให้คนบางคนเอาความใจดีของคุณ มาทำให้คุณต้องใช้ชีวิตอันแสนจะสั้น ไปกับสิ่งที่ไม่ได้ทำให้ชีวิตของคุณก้าวไปข้างหน้าเลย
2.คุณยอมให้ความเห็นของคนอื่นที่มีต่อคุณ มากำหนดคุณค่าของตัวคุณ
คนบางคนอาจจะไม่ชอบคุณ โดยที่ไม่ได้มีเหตุผลอะไร ไม่แม้เพียงแต่รู้จักตัวคุณดี หรือบางคนตัดสินคุณจากมุมมองของเขา โดยไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด บางครั้งการได้ยินได้ฟังความเห็นในเชิงลบที่เกี่ยวกับตัวคุณ แม้ว่ามันอาจไม่ใช่เรื่องจริง ก็สามารถมีผลกระทบต่อจิตใจของเราไม่มากก็น้อย แต่จงจำไว้ว่า ไม่มีใครรู้จักตัวคุณดี รู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ และทำด้วยจุดประสงค์อะไรเท่ากับตัวคุณเอง เราต้องซื่อสัตย์ต่อตัวเองนะคะ และเอาคำพูดลบๆ นั้นผ่านออกไปจากใจเราให้เร็วที่สุด อย่าไปหยิบเก็บมาคิดทำร้ายตัวเอง และตั้งคำถามกับคุณค่าของตัวคุณเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตัวเราเท่านั้นที่ให้คุณค่ากับตัวเราเอง
3.คุณไม่กำหนดขอบเขตชีวิตของคุณเอง
ตัวเราเป็นคนเลือกที่จะใช้เวลากับอะไร เลือกที่จะคบใคร สนิทมากหรือน้อยแค่ไหน ถ้าคุณปล่อยให้คนอื่นเข้ามาทำร้ายความรู้สึกของคุณ ทำให้คุณรู้สึกต่ำต้อย รู้สึกแย่ นั่นเป็นเพราะตัวของคุณยอมให้เรื่องนั้นมันเกิดขึ้นกับตัวของคุณเอง ดังนั้น คิดใหม่นะคะว่า เราอยากมีชีวิตแบบไหน เลือกคบคนที่ทำให้เรารู้สึกดี และนำชีวิตของเราก้าวไปข้างหน้าค่ะ
4.คุณบ่นกับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องทำ
คนเราเลือกได้นะคะว่า เราจะทำหรือไม่ทำอะไร ถ้าเราไม่ชอบสิ่งเหล่านั้น เราก็เลือกได้ที่จะไม่ทำมัน หรือถ้าจำเป็นเราก็เลือกได้อีกว่า เราจะปรับทัศน��ติ กับเรื่องนั้น หรือสิ่งนั้นอย่างไร การบ่นกับเนื้อร้ายที่ทำลายชีวิต การบ่นหรือพูดถึงแต่เรื่องที่เราไม่ชอบจะดึงและนำพาสิ่งที่ไม่ชอบเข้ามาในชีวิต

5.คุณเก็บความโกรธเกลียดไว้กับตัวคุณ
ความโกรธเกลียด เสมือนไฟร้อนๆ ที่เผาตัวเราเอง การที่เราไม่รู้จักปล่อยวาง หรือให้อภัยกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต แต่ยังคงยึดมั่นถือมั่น และทำให้ชีวิตของคุณเป็นทุกข์ไม่มีความสุข การโกรธเกลียดใครสักคน และยิ่งคิดจะล้างแค้นด้วยแล้ว คุณกำลังเสียพลังงานในชีวิตในการทำสิ่งดีๆ เพื่อตัวเอง ไปกับการทำร้ายตัวคุณเองอยู่
6.คุณเปลี่ยนเป้าหมายของคุณเพียงเพราะคุณล้มเหลวหรือโดนปฏิเสธ
ไม่มีใครชอบความล้มเหลว และมันก็ไม่ใช่เรื่องสนุกเลยกับการล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเรา แต่แทนที่เราจะยอมแพ้และล้มเลิก เราควรที่จะเรียนรู้ไปกับความล้มเหลวในแต่ละครั้ง และนำมันมาเป็นบทเรียนเพื่อปรับประยุกต์ใช้ให้เราเดินไปต่อข้างหน้า เพียงแค่เราโดนปฏิเสธ หรือล้มเหลวเพียงครั้งสองครั้ง ไม่ได้แปลว่า คุณจะประสบความสำเร็จไม่ได้
7.คุณทำบางสิ่งบางอย่างเพียงแค่ลบคำสบประมาทของคนอื่น
การเอาคำสบประมาทมาเป็นแรงผลักดันในการทำให้เราก้าวไปข้างหน้าเป็นเรื่องที่ดี แต่คุณต้องอย่าลืมถามตัวเองดีๆ เสียก่อนว่า สิ่งที่คุณกำลังจะทุ่มเททำลงไป เป็นสิ่งที่คุณอยากได้ หรือ อยากทำมันจริงๆ หรือเปล่า หรือ เป็นเพียงแค่อยากจะลบคำสบประมาทของคนอื่นเท่านั้น
8.คุณยอมให้คนอื่นมายั่วยุและดึงด้านแย่ๆ ของคุณออกมา
หลายๆ ครั้งเวลาที่เราโกรธไม่มีสติ เราอาจจะทำอะไรที่เราไม่ได้รู้สึกดีหลังจากที่เราทำ เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ อย่าให้ใครมามีอิทธิพลกับความรู้สึกของเราขนาดที่จะผลักเราให้ทำในสิ่งที่เราไม่ภูมิใจกับมันนะคะ มันไม่คุ้มกันเลยจริงๆ
9.คุณใช้เวลาไปกับการพูดถึงคนที่คุณไม่ชอบ
ทุกนาที ทุกวินาที ที่คุณใช้ไปกับการพูดถึง คิดถึงคนที่คุณไม่ชอบ หรือไม่ได้ดีต่อคุณ ไม่ได้หวังดีต่อคุณ เป็นการสูญเสียเวลาที่มีค่าของคุณในการพัฒนาตัวของคุณเองให้ดีขึ้น อย่าเสียเวลาไปกับคนที่เราไม่ชอบ
10.คุณทำงานอย่างหนักเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกวิจารณ์
การทำงานหนัก และความต้องการที่อยากจะให้ผลงานออกมาดี เป็นเรื่องที่ดี แต่อย่าลืมว่า ไม่ว่าคุณจะทำดีมากมายแค่ไหน มันก็จะมีคนที่ชอบและไม่ชอบผลงานของคุณอยู่วันยังค่ำ คุณไม่สามารถทำงานอย่างหนักหน่วงเพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนจะชอบผลงานของคุณทั้งหมดได้ ดังนั้น จงตั้งใจทำมันให้ดีที่สุด รับคำวิจารณ์เพื่อปรับปรุง แต่อย่าไปใส่ใจกับคำวิจารณ์ที่ไม่สร้างสรรค์ หรือทำทุกอย่างในชีวิตเพื่อทำให้คนอื่นพึงพอใจ เพราะนั่นคือ ข้อผิดพลาดที่สุดในชีวิตของคุณเลยค่ะ
0 notes
Text
เหนื่อยนัก ก็พักบ้าง แชร์ 7 วิธี ฮีลใจสำหรับวัยทำงาน

ภาวะหมดไฟ (Burnout Syndrome) ถือเป็นเรื่องปกติที่คนทำงานทุกคนมีโอกาสเป็นได้ แม้เราจะสตรองแค่ไหน แต่ถ้าสะสมความเครียดทีละเล็กละน้อย ก็อาจทำให้สุขภาพจิตเสียและเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้าได้ ดังนั้นเรามาเริ่มเยียวยาตัวเองให้ผ่อนคลาย มีความสุขเพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน กับ 7 วิธีง่ายๆ ที่จะฮีลใจตัวเองให้กลับมามีพลั��บวกอีกครั้ง คนทำงานอย่างเราๆ ได้มีแรงกายแรงใจ ก้าวเดินต่อไปในวันข้างหน้า มาลองทำไปด้วยกันนะครับ เล่นหวยssslotto

Exercise ออกกำลังกายเรียกเอ็นโดรฟิน
หลังจากเลิกงานกันแล้ว ลุกขึ้นมาขยับแขนขยับขากันหน่อย ถ้ามัวแต่ทิ้งตัวลงบนเตียงเป็นผัก จะยิ่งทำให้จิตใจรู้สึกดาวน์ลง ให้ลองวิ่งสัก 15 นาที หรือ คาร์ดิโอเบาๆ เรียกเหงื่อ สัก 30 นาที พยายามฝืนตัวเองทำดู นอกจากจะเรียกเหงื่อได้แล้ว ยังทำให้เราเปลี่ยนโฟกัส ทิ้งเรื่องที่เครียดมาทั้งวันไปแบบไม่รู้ตัว แถมหลังจากออกกำลังเสร็จร่างกาย จะหลั่งสารสารแห่งความสุข “เอ็นโดรฟิน” ออกมาทำให้รู้สึกมีความสุข คลายเครียด และดีต่อสุขภาพมากๆ เลย
Meditate ฝึกนั่งสมาธิให้จิตใจสงบ
รู้มั้ยครับว่าการนั่งสมาธิให้ได้สักวันละ 15 นาที เช้า-เย็น นอกจากจะทำให้จิตใจสงบแล้ว สมองยังแจ่มใส ผ่อนคลายความเครียดลงได้ และส่งผลให้ร่างกายทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น มีงานวิจัยยืนยันแล้วด้วย
Work Life Balance แยกเวลางานและเวลาส่วนตัว
การที่คนทำงานเกิดความรู้สึกหมดไฟ ส่วนหนึ่งก็มาจากการทำงานหนักจนเกินเวลาส่วนตัว จนทำให้ไม่เวลาพักผ่อนไม่มีเวลาให้กับชีวิตส่วนตัวเลย ดังนั้นต้องแยกให้ออกเวลาทำงานและเวลาส่วนตัว กำหนดให้ชัดเจน จัดสรรให้ลงตัวให้ได้ เพราะถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีความเครียดจากการทำงานตลอดเวลา ก็ทำลายสุขภาพจิตคุณไปหมดแล้ว
Relax พัก ปล่อยใจไปกับสิ่งที่ตัวเองชอบ
เวลาหลังเลิกงาน ให้ปล่อยใจไปกับสิ่งที่ตัวเองชอบบ้าง เช่น ดูซีรีส์ ดูหนัง ดูละคร ดูอะไรไร้สาระไปเรื่อยเปื่อย หรือจะนอนฟังเพลงเพราะๆ ชิลล์ๆ จะช่วยให้สมองผ่อนคลายจากความเครียดความเหนื่อยล้าลงได้
Positive Thinking เปลี่ยนวิธีคิด
แค่เปลี่ยนวิธีคิดชีวิตก็เปลี่ยน หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินคำนี้ การคิดบวกนั้นไม่ใช่การหลอกตัวเอง แต่เป็นการยอมรับและเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเจอเรื่องร้ายหรือดี ก็พร้อมปรับตัว และยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามมองหาข้อดีของทุกอย่าง คนที่มี Positive Thinking จะเป็นคนที่มีความสุขมากหากใครได้อยู่ใกล้ๆ ก็จะพลอยได้รับพลังงานบวกและมีความสุขไปด้วย
Travel ออกเดินทางเปิดมุมมองใหม่ๆ
การเดินทางเป็นการเยียวยาตัวเองได้เป็นอย่างดี เพราะเราจะได้มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น ไปในที่ที่ไม่เคยไป ไปสัมผัสเรื่องราวระหว่างการเดินทาง อยู่เงียบๆ ท่ามกลางธรรมชาติ ทะเล ภูเขา ได้ยินเสียงตัวเองมากขึ้น การเดินทางนอกจากจะให้ประสบการณ์มากมายกับเราแล้ว ยังทำให้เราทิ้งและปล่อยวางความเครียดทุกอย่างลงได้
พูดคุยระบายกับคนที่ไว้ใจได้ หรือปรึกษาจิตแพทย์
เมื่อมีความรู้สึกไม่สบายใจ หรือเครียดจากงาน หาทางออกไปเจอกับปัญหา อาจลองคุยกับเพื่อนหรือคนรอบข้างดูก่อน การพูดคุยระบายกับคนที่พร้อมรับฟังคนที่ไว้ใจได้ อาจช่วยให้เราสบายใจขึ้น เพราะอย่างน้อยๆ ก็ทำให้เราไม่ต้องแบกความรู้สึกไว้ทั้งหมดคนเดียว อีกทางเลือกหนึ่งคือการพบจิตแพทย์ การพบจิตแพทย์ในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะการพูดคุยปรึกษาและรับคำแนะนำที่ดีจากผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้เรากลับมาเป็นคนที่มีแรงบันดาลใจ มีไฟในการทำงานอย่างเต็มเปี่ยมอีกครั้ง
1 note
·
View note
Text
คุณค่าของเงิน

คุณค่าที่แท้จริงของเงิน
นับตั้งแต่อดีตมานั้น มนุษย์เราอยู่ภายใต้สัจธรรมที่ว่า “ การหาเงินย่อมยากกว่าการใช้เงิน ” เพราะเงินเป็นเงื่อนไขสำคัญแห่งความอยู่รอด และตอบสนองความต้องการขั้นพื่นฐานของชีวิต หวยงวดนี้
ดังนั้นก่อนที่เราจะหาเงินและใช้เงินให้เป็น เราควรมีความรู้ ความเข้าใจ และมีทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับเงินเสียก่อน เนื่องจากในความเป็นจริง เงินมีสถานะเป็นเพียงสื่อกลางที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนสิ่งของ และสินค้าต่าง ๆ ที่ใช้ในการดำรงชีวิต การที่เงินจะให้คุณ หรือโทษนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนได้ให้คุณค่าแก่เงินอย่างไร ซึ่งแนวคิดเกี่ยวกับการให้คุณค่าเงินสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 แนวคิดหลักคือ
1. การให้คุณค่าเงินแบบวัตถุนิยม
แนวคิดนี้เชื่อว่า เงินสามารถแลกเปลี่ยนกับความมั่งคงในการดำรงชีวิตอย่างสุขสบาย หรือแม้กระทั่งมีอำนาจบารมีเหนือผู้อื่น คนประเภทนี้มักวัดคุณค่าของเงินด้วยจำนวนเงินแบบยิ่งมีมากยิ่งดี แถมคิดเอาเองว่า ถ้าใครมีเงินมากกว่าก็ได้รับการยกย่อง ยอมรับจากสังคมรอบข้างมากขึ้นเท่านั้นโดยลืมนึกไปว่า คุณค่าของคนไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่มีดังนั้นคนพวกที่ยึดติดอยู่กับแนวคิดนี้ จึงมักให้คุณค่าเงินมากเกินจริงจากที่แสวงหาเงินโดยมีเป้าหมายเพื่อการดำรงชีพก็จะกลายเป็นคนที่หาเงินด้วยความละโมบโลภมาก ยินดีทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมาโดยไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ดังนั้นเราจึงควรพิจารณาแนวคิดนี้ด้วยความระมัดระวัง
2. การให้คุณค่าเงินต่ำกว่าความเป็นจริง
แนวคิดนี้มักพบในกลุ่มคนที่ปฏิเสธเงิน เพราะเห็นเป็นสิ่งผิด คนในกลุ่มนี้มีแนวคิดมุ่งละกิเลสของตน โดยอยู่อย่างสมถะ และไม่สร้างเงิน ซึ่งฟังแล้วอาจดูดี อาจทำให้สังคมหยุดนิ่ง และส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนของกลไกระบบเศรษฐกิจได้
3. การให้คุณค่าแก่เงินอย่างสมจริง
แนวคิดสุดท้ายนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า เงินมีความสำคัญจำเป็นต่อการดำรงชีวิตในระดับหนึ่ง ซึ่งควรจะพอเพียงต่อการเลี้ยงชีพให้ไม่ลำบาก แต่ก็ไม่โลภมากจนไม่ยอมพอ โดยอาจยึดตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งทำให้เรามีความสุขทั้งกาย สุขทั้งใจ และช่วยสร้างเพื่อนที่ดีมากกว่าที่จะสร้างศัตรู ดังนั้น เราควรกำหนดแนวคิดเกี่ยวกับคุณค่าของเงินของตัวเราเองให้ดี และเรียนรู้ที่จะใช้เงินตามความจำเป็นไม่ฟุ่มเฟือย หรือตระหนี่ถี่เหนียวจนเกินไป ที่สำคัญคือ ควรนำเงินมาใช้เพื่อการสนับสนุนเป้าหมาย และแผนการดำรงชีพที่ดีมากกว่าจะมีไว้เพื่อโอ้อวด หรือแสดงความหรูหรา เมื่อคิดได้แล้วว่าเงินมีคุณค่าต่อเราอย่างไร ต่อมาก็ต้องรู้จักวางแผนการใช้เงิน พร้อมกับต้องจัดสรรเงินส่วนหนึ่งไว้เพื่อการออมด้วย เพื่อชีวิตในอนาคตที่ดีว่า
แต่ก็อย่างว่า กว่าจะหาเงิน เก็บเงินได้ช่างยากเย็นไม่เหมือนการควักเงินออกมาใช้ แค่เสี้ยวนาทีเงินก็หมดกระเป๋าไม่รู้ตัว ที่สำคัญคือ หลายคนกลับคิดไม่ออกว่าคุณค่าของเงินที่เหมาะสมสำหรับตัวเรา และสังคมของเราเป็นอย่างไร มันถึงได้วุ่นวายกันเสียจริง
0 notes
Text
“เงิน” ซื้อความสุขไม่ได้

ถ้าเรามีความสุขสบายอยู่แล้ว แม้จะรวยขึ้นไปอีกหน่อย ความสุขก็ไม่ได้เพิ่มตามไปด้วยสักเท่าไหร่ เข้าตำราที่ว่า เมื่อท้องอิ่ม ข้าวจานที่สองก็อร่อยสู้จานแรกไม่ได้นั่นเอง ถ้ามองอีกแง่หนึ่งเงินพันบาททำให้คนจนมีความสุขได้มากกว่าคนที่มีเงินแสนอยู่แล้ว แต่ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า ถ้าใช้เงินไม่เป็น เงินก็นำมาซึ่งความทุกข์ได้เหมือนกัน แทงหวยssslotto
มีรายงานในวารสารจากประเทศอังกฤษว่า ประชาชนที่บอกว่าตนเองมีความสุขที่สุด ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในประเทศไนจีเรีย เม็กซิโก และเวเนซูเอลา ส่วนประชากรที่มีความสุขน้อยอาศัยอยู่ในประเทศโรมาเนีย อาร์มาเนีย และรัสเซีย สำหรับทางสังคมจิตวิทยาแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างรายได้กับความสุขอาจมีน้อยกว่าที่เราคิด ความสุขจะสัมพันธ์กับสุขภาพเป็นอันดับแรก รองลงไป คือ ความมั่งคั่งและการศึกษา
จะมีสักกี่คนที่เห็นด้วยกับคำกล่าวเหล่านี้ ความจริงแล้วความสุขจากความร่ำรวยมีเงินทองเพียงอย่างเดียวเป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืนนัก คนโชคดีถูกล็อตเต��รี่รางวัลที่หนึ่งจะมีความสุขในช่วงแรกๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักห้าปี ความสุขนั้นก็จางลงไปเหมือนกับวันเดิมๆ
ถ้าเงินซื้อความสุขไม่ได้ทั้งหมดแล้ว เราจะพบความสุขจากตัวเราเองบ้างได้ไหม? ลองศึกษาดูว่าคนที่บอกว่า “ฉันมีความสุข” เขาเหล่านั้นมีลักษณะอย่างไรบ้าง ก็จะพบว่า การนับถือตนเองและเชื่อมั่นในตนเองเป็นสิ่งแรกที่พบ แต่ไม่ถึงขนาดไม่ฟังคนอื่น หรือยกตนข่มท่านจนอยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ ลักษณะต่อไปคือ การมีทัศนคติหรือความพึงพอใจที่ดีต่อโลกและชีวิต การรู้จักควบคุมตนเองได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องอาศัยคนอื่นมาควบคุมหรือตักเตือนบ่อยๆ และการเป็นคนเปิดเผย ชอบแสดงตัวหรือออกสังคม มีอุปนิสัยยอมรับการเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ใหม่ๆ ที่เหมาะสม ไม่ชอบอะไรที่ซ้ำซากจำเจ

ความสุขของชีวิตในแต่ละคนมีปัจจัยแตกต่างกันออกไป แต่พบว่าความสุขเกิดจากตัวเองและสิ่งรอบๆ ตัวได้ ไม่ต้องไปหามาจากที่อื่น มนุษย์เชื่อว่าการไขว่คว้าจนได้มาซึ่งสิ่งที่ชอบหรือขาดหายไป เช่น เงินเป็นสะพานความสุข แต่ก็มักลืมนึกไปว่า สิ่งที่ขาดหายและต้องการจริงๆ คืออะไรกันแน่ (อาจไม่ใช่เงิน) สิ่งที่ขาดหายไปมักเกิดเมื่อมีการเปรียบเทียบ เช่น มีเงินอยู่หมื่นล้านก็มีความสุขดีแล้ว แต่ถ้าไปเห็นคนที่มีเงินมากกว่าก็คิดว่า ถ้ามีเงินมากขึ้นก็น่าจะรู้สึกดีกว่านี้
ความสุขเป็นความรู้สึกภายในของแต่ละคน คงยากที่จะให้คำจำกัดความได้ เหมือนกับการอธิบายถึง “สีแดง” ให้คนที่ตาบอดเข้าใจ แต่ใครๆ ก็รู้ว่า ความสุขมักมาพร้อมกับเหตุการณ์ที่น่ารื่นรมย์เสมอ เช่น การถูกรางวัล ได้เลื่อนตำแหน่ง เข้าพิธีแต่งงาน แต่บางครั้งความสุขอย่างลึกซึ้งและความพึงพอใจในชีวิตแบบเต็มเปี่ยมอาจเกิดตามหลังการได้ผ่านประสบการณ์ที่ทุกข์ยากมาก่อน เรียกว่า เกิด ego-shock หรือ post-traumatic growth เช่น พบในผู้ป่วยที่รอดชีวิตจากอุบัติเหตุร้ายแรงหรือโรคมะเร็ง
ความสุขของชีวิตเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและทุกคนก็ใฝ่หา แต่คงไม่มีใครมีชีวิตท่ามกลางความสุขอย่างเดียวโดยไม่เคยสัมผัสความทุกข์เลย และคงไม่มีใครนึกภาพได้ว่าจะเป็นเช่นไร ถ้าชีวิตไร้ความทุกข์ เพราะชีวิตไม่ได้ถูกสร้างมาให้ปกป้องตนเองจากความทุกข์เสมอไป
0 notes
Text
กฎแห่งกรรม คำสอนแห่งความจริง

ผมได้รับจดหมายจากท่านผู้อ่านฉบับหนึ่งบอกว่าท่านเป็นข้าราชการลาไปบวชเรียนเพื่อทดแทนพระคุณบิดามารดา ในช่วงพรรษาปีนี้ และอีกก็ไม่กี่วันก็จะออกพรรษา ซึ่งท่านก็จะต้องลาสิกขาบรรพชิตเพศแล้วท่านเล่าว่าระหว่างบวชเรียนก็ได้อาศัยช่วงเวลาอันทรงคุณค่าระหว่างจำพรรษาอ่านหนังสือธรรมะต่างๆในตู้ประจำกุฏิเจ้าอาวาสของวัดที่ท่านบวชอยู่จนจบไปเป็นสิบๆเล่ม
ทำให้ท่านเข้าใจในหลักพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น จึงปวารณาตัวว่าเมื่อสึกออกมาแล้วก็จะขอบำเพ็ญตนเป็นคนดีอยู่ในศีลในธรรมตามรอยบาทพระศาสดาจนกว่าชีวิตจะหาไม่ท่านบอกด้วยว่าท่านชอบคำสอนเรื่อง “กรรม” อย่างมาก อ่านจากหนังสือต่างๆที่เขียนไว้แล้ว ทำให้ท่านเชื่อว่ากฎแห่งกรรมหรือผลจากการทำกรรมนั้นมีจริง หวยงวดนี้

ว่าแล้วท่านก็เขียนบรรยายมายาวเหยียดว่าด้วยเรื่องกรรม เท่าที่อ่านและรวบรวมได้จากตู้ของท่านเจ้าอาวาส พร้อมกับส่งมาให้ผมอ่านต่อและเขียนกำกับมาด้วยว่า “ผู้คนสมัยนี้สร้างกรรม สร้างเวรกันเยอะเหลือเกิน หากโยมซูมจะนำข้อเขียนอาตมาลงในคอลัมน์ อาจจะช่วยให้ผู้ทำบาปกรรมทั้งหลาย ลด งด หรือละเว้นลงได้บ้างกระมัง?”
เนื่องจากท่านเขียนมายาวมากผมขออนุญาตสรุปต่อก็แล้วกันนะครับ เพราะผมเองก็อยากจะลงเรื่องที่ท่านเขียน เนื่องจากเห็นด้วยกับท่านว่ายุคนี้สมัยนี้ผู้คนในสังคมไทยเราช่างใจบาปหยาบช้าก่อเวรสร้างกรรมเอาไว้มากเหลือเกิน...เชิญอ่านได้เลยครับ
“ในพุทธศาสนาของเรานั้น “กรรม” แปลว่า “การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา” ได้แก่ การกระทำทางกาย เรียกว่า กายกรรม ทางวาจาก็คือ วจีกรรม และทางใจก็คือ มโนกรรม ทั้งนี้แบ่งกรรมออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ กรรมดี ที่เรียกว่า กุศลกรรม และกรรมชั่ว ที่เรียกว่า อกุศลกรรม
กุศลกรรมหรือกรรมดีนั้น หมายถึงการกระทำที่เป็นการกุศลหรือการกระทำดีทั้งปวงการกระทำอันฉลาดเกิดจากปัญญาปราศจากความคิดชั่วร้ายเช่น ความโลภ ความโกรธ ความโมโหโกรธาและการทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์หรือเกิดความเสียหายเป็นต้นส่วน อกุศลกรรม หรือ กรรมชั่ว นั้นก็ตรงกันข้ามกับกรรมดีที่กล่าวถึงในทุกประการ เช่น เป็นการทำอันไม่ฉลาดขาดสติปัญญามีแต่ความโลภ โกรธ หลง และทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนทั้งหนักเบา ฯลฯ
1 note
·
View note
Text
“ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น”
หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินคำสอนนี้จากผู้ใหญ่ จากนิทานที่ฟังก่อนนอนในวัยเด็ก หรือจากกระทู้รีวิวการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่เจ้าของกระทู้เรียนพิเศษอย่างหนัก อ่านหนังสือโต้รุ่ง และทำแบบฝึกหัดเป็นพัน ๆ ข้อ สุดท้ายผลจากความพยายามอย่างตั้งอกตั้งใจก็ผลิดอกออกผล เจ้าของกระทู้สอบเข้าคณะและมหาวิทยาลัยที่ชอบได้สำเร็จ สิ่งนี้สร้างแรงบันดาลใจให้เราอยากที่จะทุ่มเทความพยายามของเราหมดทั้งหน้าตักเพื่อผลลัพธ์ที่เราคาดหวัง ถ้าพยายาม ผลลัพธ์ที่ต้องการคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน
แต่มันจะเป็นอย่างนั้นจริงหรือ ?
เคยไหม ? พยายามอะไรสักอย่างแต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่เป็นไปอย่างใจหวัง ทำให้เกิดความคิดมากมายตีกันในหัวจนรู้สึกสับสนไปหมด เฝ้าถามตัวเองว่าที่มันไม่สำเร็จเป็นเพราะเราใส่ความพยายามลงไปไม่มากพอหรือเปล่า ? แต่เมื่อย้อนกลับมาดู เราก็ใส่ความพยายามลงไปมากแล้วจริง ๆ นะ สิ่งที่ผู้ใหญ่เคยบอกว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” กลับไม่สามารถใช้ได้กับการทุ่มเทความพยายามทั้งหมดของเราในครั้งนี้ แทงหวย
การที่เราเชื่อว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” แม้จะเป็นแรงผลักดันในการพยายามเพื่อผลลัพธ์ที่เราพึงปรารถนา แต่ความเชื่อนี้สามารถย้อนกลับมาทำร้ายเราได้เช่นกัน หากผลลัพธ์ออกมาไม่ได้อย่างที่หวัง เราอาจจะรู้สึกเฟลมาก ๆ จนทำให้เกิดความคิดดูถูกตัวเอง ไม่รักตัวเอง ลืมที่จะชื่นชม และมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง
เราต้องเข้าใจก่อนว่าความพยายามไม่ใช่สมการคณิตศาสตร์ที่ 1 + 1 จะมีผลลัพธ์เท่ากับ 2 เสมอไป หากเราใส่ความพยายามลงไปสัก 100 ผลลัพธ์ของความพยายามอาจจะออกมา 10 หรือออกมาได้ 100 เท่าเดิม หรือออกมา 1,000 ก็สามารถเป็นไปได้
หากเปรียบเทียบความพยายามเป็นการฝึกซ้อมวิ่งทุกวันเพื่อเข้าแข่งขันในการวิ่งมาราธอน การที่เราพยายามฝึกฝนทุกวันย่อมทำให้เราสามารถวิ่งได้นานมากขึ้น อดทนขึ้น และวิ่งได้เร็วขึ้น วันที่ต้องลงแข่งขันเราอาจจะชนะหรือไม่ชนะในการแข่งขันก็ได้ แต่สิ่งที่เราจะได้จากการฝึกซ้อมวิ่งทุกวันคือ สุขภาพกายที่แข็งแรงและสุขภาพจิตที่ดี และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเราได้พยายามในส่วนที่เราสามารถพยายามแล้ว ถึงแม้บางครั้งผลลัพธ์ของความพยายามจะไม่ได้ออกมาสมบูรณ์แบบ แต่ทุกความพยายามเรามักจะได้อะไรบางอย่างจากการลงมือกระทำสิ่งเหล่านั้นเสมอ
“ผมจนปัญญาจะรู้คำตอบว่าทำไมความพยายามจึงหักหลังเราและเราควรใช้ชีวิตต่อกันอย่างไร ผมรู้แค่วิธีลดความทุกข์ลงอีกหน่อย อาจฟังน่าโมโห แต่เราต้อง ‘ยอมรับ’ ครับ เราจะออกห่างจากทุกข์ได้อีกนิดเมื่อเรายอมรับความจริงว่าเหตุการณ์อาจเป็นได้ทั้ง ‘พยายามแล้วแต่ไร้ผล ผลลัพธ์ไม่คุ้มกับที่พยายาม หรือผลลัพธ์ดีเลิศเกินความพยายาม’”
บทความนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์ให้ทุกคน เลิกพยายาม กับทุกอย่างในชีวิต แต่ไม่อยากให้ทุกคน ยึดติด ว่าทุกสิ่งที่ทุ่มเทจะได้ผลตอบรับเป็นสิ่งที่เราปรารถนาเสมอไป เราเองก็เป็นเพียงแค่มนุษย์ ไม่ใช่นางฟ้าเทวดาที่ไหน เราทำได้แค่เต็มที่กับสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ เท่านั้นก็เก่งมากพอแล้ว ปัจจัยใดที่เราควบคุมไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจและลดทอนคุณค่าในตัวเองให้เสียเปล่า หากเชื่อแบบนี้ความพยายามจะไม่สามารถย้อนกลับมาทำร้ายเราได้
0 notes
Text
ความรักที่แท้จริง คือ

ใครๆก็ตามหารักแท้ ถ้าคำว่า แท้คือ คำว่า ไม่เปลี่ยนแปลง ล่ะก็ ถ้าเรายังเห็นว่า��จเรายังไม่มั่นคง มีความแปรปรวน บางวันรักมาก บางวันรักน้อย คนธรรมดาทุกคนก็เป็นเหมือนกัน ผู้ที่จะมีรักแท้ได้คือ ผู้ที่ใจหลุดพ้นจากการยึดติดในความแปรปรวนแล้ว ก็คือ ไม่เห็นความรู้สึกนั้นเป็นเราอีก นอกนั้น ความรักแบบโลกเป็นไปตามเหตุปัจจัย ที่ต้องสร้างไปเรื่อยๆ ถ้าหยุดสร้างเหตุ ผลก็หยุด แทงหวยผ่านเว็บ
การเข้าใจตามจริงจะทำให้เราไม่คาดหวัง ไม่ทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ คือไม่หวังว่าจะเจอรักแท้ ไม่คาดหวังว่าใครจะรักเราตลอดไ แต่ใช้ความเข้าใจที่มีทำสิ่ง ที่เป็นไปได้ให้เกิดขึ้น ตามกฎแห่งกรรม ซึ่งก็คือไม่ยุ่งกะผล(ที่เป็นกรรมเก่า) แต่มุ่งสร้างเหตุที่ดี(ที่เป็นกรรมปัจจุบัน)ก็พอ

สร้างเหตุที่ดีอย่างไร?
ก็คือสร้างความสุข ความสบายใจ ความเย็นใจให้แก่กัน อะไรที่เป็นเรื่องร้อนใจ เรื่องเห็นแก่ตัว เอาความดี เอาความสุขเข้าตัว อย่าทำ ให้เรารับผิดชอบความอยากของตนเอง แต่ใส่ใจความสุขของคนอื่น ตั้งเจตนา ความปรารถนาว่าจะให้อีกฝ่ายมีความสุข อุบายและวิธีการดีๆก็จะไหลมาเอง
และถ้าเราอยากมีชีวิตรักที่ดีและมีความสุข เราควรเลือกคนที่มีหลักในการดำเนินชีวิตที่ดีเพื่อให้ชีวิตมีสุข และพร้อมจะพัฒนาเพื่อจะได้ร่วมกันสร้างเหตุที่ดีต่อไปได้เรื่อยๆ ได้ด้วย ซึ่งเหตุนั้น ตามที่พระพุทธเจ้าทรงบอกก็คือ มีศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญา เสมอกัน ไม่ใช่ว่าเขาต้องมีฝ่ายเดียว เราก็ต้องมีด้วย ไม่ใช่ว่าเราต้องมีฝ่ายเดียว เขาก็ต้องมีด้วย จึงจะรักษาและเดินต่อไปพร้อมๆกันได้
ความรักเป็นเรื่องของคนๆเดียวได้ แต่ความสัมพันธ์เป็นเรื่องของคนสองคน ถ้าจะให้มีความสุขต้องมีความรักเสมอกัน ไม่เช่นนั้นแล้วความสุขของฝ่ายหนึ่งก็อาจเป็นความทุกข์ของอีกฝ่าย
********
ความรักเป็นเรื่องของคนๆเดียวได้ แต่ความสัมพันธ์เป็นเรื่องของคนสองคน ถ้าจะให้มีความสุขต้องมีความรักเสมอกัน ไม่เช่นนั้นแล้วความ��ุขของฝ่ายหนึ่งก็อาจเป็นความทุกข์ของอีกฝ่าย
0 notes
Text
เรารู้วันเกิดแต่ไม่รู้วันตาย

อ่านหนังสือธรรมะมาก็มาก แต่ปัจฉิมโอวาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่สอนให้เราทั้งหลาย ดำรงตนอยู่ในความไม่ประมาทนั้น ผมไม่ค่อยได้ปฏิบัติตามสักเท่าไหร่จนเมื่อช่วงเวลาเดือนที่ผ่านมา บทเรียนอันมีค่าก็ได้เกิดขึ้นกับผมผมเคยวาดฝันไว้ว่าในอนาคตหลังจากก่อร่างสร้างตัวสำเร็จ จะหาโอกาสซื้อบ้านหรือเปิดกิจการดังกล่าวละแวก วัดชลประทานฯ เพื่อที่จะได้เข้าวัดทุกเช้าวันอาทิตย์ ใส่บาตรพระนวกะ ทำวัตรเช้า และได้ฟังธรรมะจากพระอาจารย์ปัญญานันทภิกขุซึ่งท่านจะแสดงธรรมทุกสายวันอาทิตย์ (ในวันอาทิตย์ต้นเดือนท่านจะแสดงธรรมผ่านทาววิทยุทุกเดือน) รวมหวยเด็ด.com
ความเป็นจริงในปัจจุบันซึ่งทำให้อีกนานที่ฝันจะเป็นจริงกับการมีกิจการหรือบ้านเป็นจริง ทำให้แม้ตอนหลังผมจะพอมีเวลาว่างบ้างหลังออกจากงานที่บ้านแล้ว แต่ก็ยังไม่ค่อยได้ไปวัดชลฯเท่าไหร่ เพราะคิดว่า "ไปเมื่อไหร่ก็ได้" และเชื่อว่า พระอาจารย์บอกว่า "จะอยู่ถึงร้อยปี โบสถ์กลางน้ำไม่เสร็จไม่ตาย" ผมดันคิดว่าคำเหล่านี้คงเป็นจริง ทั้งที่สัจจธรรมของโลกล้วนมีว่า "คนเรารู้วันเกิด ไม่มีใครรู้วันตาย"

ช่วงสายวันหนึ่งหลังจากผมเดินทางไปถึงร้านอาหารของม๊า น้องสาวบุญธรรมผมโทรมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกว่า "เฮีย รู้ยัง หลวงพ่อปัญญาท่านเสียแล้วนะ เมื่อเก้าโมงเช้านี้เอง ที่โรงพยาบาลศิริราช" ผมตกใจ ไม่เสียใจที่ท่านมรณภาพเพราะรู้ว่าวันนี้ต้องมาถึง วันที่ทุกคนต้องตาย แต่เสียดาย พระที่กล้าตำหนิ พระรูปอื่นที่ประพฤติตนออกนอกลู่นอกทาง ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากเหลือเกิน และตำหนิตัวเองว่า ในเมื่อทุกคนรู้วันเกิด ไม่รู้วันตาย แล้วสิ่งใดที่เราอยากทำ ทำไมเราไม่รีบทำอีก หากเรามีเวลา และสิ่งนั้นสมควรกระทำ
ผมตำหนิตัวเองบ่อยครั้งเมื่อคิดถึง อาม่า ผมเป็นหลานคนที่เท่าไหร่ของอาม่าจำไม่ได้ แต่ตามศักดิ์ผมเป็นหลานคนโตของตระกูล เพราะพ่อผมเป็นลูกชายคนโต เป็นหลานในคนโตของบ้าน ตอนเด็กๆ อาม่าจึงเลี้ยงดูอย่างดี มีช่วงเวลาหนึ่งที่ผมได้อยู่บ้านเดียวกับท่าน ได้สัก๒- ๓ ปีผมอายุราว๑๕ เรียนอยู่ชั้น ม.๔ อาม่าตอนนั้น ๗๐ เศษแล้ว ท่านเดินไม่ค่อยไหวแล้ว ท่านจะนั่งอยู่เก้าอี้ตัวเดิม ในห้องรับแขก หันหน้าออกไปหน้าบ้านตลอดเวลา เวลาผมว่างและนึกครึ้มอกครึ้มใจ ก็จะมานั่งที่พื้นและนวดขาให้ท่านบ้าง แต่ก็ไม่บ่อยนัก ทำไมตอนนั้นผมไม่นวดให้อาม่าทุกวัน ทั้งที่ผมมีเวลาว่างพอ แต่กลับเอาเวลานอกจากเล่นกีฬาและอ่านหนังสือไปคุยโทรศัพท์เสียวันละ หลายชั่วโมง

เพื่อนผมคนหนึ่งชีวิตก็เป็นบทเรียนให้กับคนอีกหลายคนได้ ต้องขอเล่าให้ฟังเป็นอุทธาหรณ์ พ่อแม่เธอเป็นอดีตเจ้าของโรงงา���ขนาดเล็ก หลังจากถูกคนโกงทำให้สิ้นเนื้อประดาตัว ความลำบากบีบให้พ่อและแม่ต้องถีบซาเล้งเก็บของเก่าขาย วันนึงระหว่างที่แม่เก็บขวดอยู่ที่ถังขยะริมถนนในซอย มอเตอร์ไซด์รับจ้างคันหนึ่งก็วิ่งมาเฉี่ยวชนเธออย่างแรง ศรีษะเธอได้รับแรงกระแทกจากการล้มอย่างแรง เธอพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลไม่กี่วันก็เสียชีวิตจากเหตุเลือดคั่งในสมอง
เมื่อขาดอีกแรงในการหาเลี้ยงลูกทั้งสามคน พ่อก็เครียดหนักมากขึ้น ๓ ปีผ่านไปหลังจากแม่เสีย เช้าวันหนึ่ง หลังจากทานอาหารเสร็จ ลูกทั้ง ๓ ก็ทะเลาะกันด้วยเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง พ่อลุกขึ้นจากโต๊ะพูดว่า "ชีวิตมันเครียดไม่พอหรือไง ยังจะมาทะเลาะกันอีก" แล้วก็เดินขึ้นห้องไป จากนั้นมีเสียงล้ม เสียงของหล่นบนพื้น ลูกๆรีบขึ้นไปดู พบพ่อนอนไม่ได้สติ หลังจากนำส่งโรงพยาบาล ท่านก็เสียด้วยเหตุ เส้นเลือดในสมองแตก
ทุกวันนี้ เพื่อนผมร้องไห้ทุกครั้งที่คิดถึงพ่อและแม่ วันนี้เธอเรียนจบมีหน้าที่การงาน มีเงิน มีฐานะที่ดีขึ้น แต่กลับไม่มีพ่อแม่อยู่คอยชื่นชมความสำเร็จ เธออยากกลับไปขอโทษคุณพ่อในเรื่องที่พี่น้องทะเลาะกัน แต่วันนี้ไม่มีคุณพ่อให้ขอโทษอีกแล้ว เธออยากพาคุณพ่อคุณแม่ไปทานอาหารดี แต่วันนี้กลับไม่มีโอกาส ผมเคยไปทานอาหารญี่ปุ่นกับเธอ ตอนนั้นผมแปลกใจที่เธอทานไปน้ำตาคลอไป มาช่วงหลังจึงได้รู้เหตุผลว่าเธออยากพาพ่อแม่เธอมาทาน พ่อแม่เธอไม่เคยทานอาหารญี่ปุ่นเลย
0 notes
Text
7ข้อเท่านั้น ที่ทำแล้วจะเปลี่ยนชีวิตของคุณไห้ดีขึ้นไปตลอดกาล
สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราอยู่ตลอดเวลาก็คือ “การเปลี่ยนแปลง” ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี่เองที่จะส่งผลกระทบกับชีวิตของเราแบบเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น หรือแย่ลงก็ตาม และ “การเปลี่ยนแปลง” นี้เช่นกัน ที่ในบางครั้งเราเองก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และยิ่งถ้าเราพยายามที่จะต่อต้านมันมากเท่าไหร่ชีวิตของคุณก็จะยิ่งเหนื่อย
และวุ่นวายมากยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าคุณลองเปลี่ยนมุมมองดูใหม่ กล้าที่หันหน้าไปเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงในชีวิต มองมันว่าเป็นความท้าทาย หรือไม่งี่นคุณก็ชิงลงมือที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นในทุกๆ วันที่เป็นอยู่ ตัดหน้าก่อนซะเลย เพราะเมื่อถ้าคุณพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นในทุกๆ วันแล้ว คุณจะไม่มีวันต้องเจอกับช่วงชีวิตที่แย่ลง หรือก้าวถอยหลังอีกเลย เพราะคุณกำลังมุ่งหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้งอยู่นั่นเอง แล้วอะไรบ้างล่ะ เราทุกคนควรจะทำมันถ้าหากอยากมีชีวิตทีดีขึ้น มาดูกัน

ค้นหาความหมายของชีวิต
ลองใช้เวลาเรียงลำดับสิ่งสำคัญในชีวิตของคุณว่า อะไรสำคัญมากน้อยกว่ากัน? และทำไมมันถึงสำคัญ? และจุดไหนของชีวิตของคุณที่คุณจะพูดได้ว่า “ผมประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว” เมื่อคุณเรียบเรียงสิ่งสำคัญที่เป็นความจริงในชีวิตปัจจุบันของคุณเรียบร้อยแล้ว อย่างลืมนึกถึงสิ่งที่เป็นความฝันเช่นเดียวกัน โดยคุณอาจจะลองถามตัวเองว่า
อะไรที่ทำให้คุณมีความสุข? เมื่อคุณได้คำตอบแล้วคุณก็จะรู้ความหมายของคำว่า ชีวิต สำหรับตัวคุณ ความหมายนี้แหละที่จะช่วยกำหนดทิศทาง และวิธีการใช้ชีวิตของคุณต่อไป คุณจะไม่ใช้ชีวิตโดยไร้จุดหมาย ทำอะไรที่ไร้เหตุผลอีกต่อไป
เขียนความฝันของคุณออกมา
นึกถึงตอนที่เราเป็นเด็ก เราจะมีความฝันตลอดเวลา เราอยากจะเป็นแบบนี้ เราอยากได้สิ่งนี้ ลองใช้เวลากับมันสักนิด นึกคิดให้รอบครอบ เพราะเมื่อเราเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เรามักจะสูญเสียความฝันไปอย่างไม่รู้จัก เราจะติดอยู่กับความจริงมากเกินไป จนลืมความฝัน และสิ่งที่อยากจะทำ
ซึ่งนั่นก็เป็นอีกจุดนึงที่เปรียบเสมือนเป้าหมายที่เราเคยวางไว้เช่นกัน และเมื่อเราโตขึ้นแล้ว ความฝันที่อยากเป้น หรืออยากทำในวัยเด็กจะกลายเป็นสิ่งที่เราคิดว่ามันสายไปแล้วที่จะทำ หรือเป็นไปไม่ได้แล้วเสมอ ลองนึกดูดีๆ ว่า มันเป็นไปไม่ได้ หรือคุณลืมที่จะทำมันไปแล้ว จึงไม่ได้ทำกันแน่?
ตั้งเป้าหมายเพื่อที่จะทำให้บรรลุผล
เมื่อคุณรู้ว่าสิ่งที่สำคัญกับชีวิตคุณ คุณก็กลับมาตั้งเป้าหมาย เริ่มต้นจากระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เอาไว้ ซึ่งมันคือการเริ่มลงมือที่จะพุ่งไปข้างหน้าเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในชีวิต จากระดับความง่าย ไปสู่ความยากนั่นเอง แต่คุณก็ไม่ต้องกังวล และเคร่งเครียดกับการตั้งเป้าหมายในชีวิตมากชนิดไปไม่ได้ก็จะฝืนอยู่อย่างนั้น
ลองกลับมาค่อยๆ คิดหาเหตุผล บางที การดำเนินชีวิตกับเป้าหมายของคุณมันอาจจะไม่ตรงกัน เพราะฉะนั้นเผื่อใจเอาไว้เผื่อที่จะมีการเปลี่ยนแปลงเป้าหมายเอาไว้ด้วย ซึ่งมันจะช่วยให้คุณมีความยืดหยุ่นในชีวิตมากขึ้น เข้าใจในเหตุผลความเป็นจริง และมันยังจะนำไปสู่เป้าหมายที่แท้จริงในแบบที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด
ปล่อยความเสียใจในอดีตทิ้งไป
สิ่งที่จะรั้งคุณเอาไว้ไม่ให้เดินไปสู่อนาคตก็คือ ความเสียใจในอดีต ถ้าคุณมัวแต่นึกถึงเหตุการณ์ที่คุณเสียใจ ไม่ว่าจะเป็นคุณเองทำพลาดไป หรือคุณคือผู้ถูกกระทำ คุณจะเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ซึ่งแทนที่จะได้ทำปัจจุบันของคุณให้ดีที่สุด ซึ่งปัจจุบันเป็นช่วงเวลาที่คุณสามารถควบคุมมันได้ทุกอย่าง
รวมถึงอนาคตด้วยซ้ำไป จำไว้ว่าคุณสามารถที่จะออกแบบชีวิตคุณในอนาคตได้ด้วยการกระทำในของคุณในปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ลืมสิ่งที่ผ่านมาไปเสียดีกว่า เริ่มทำวันเพื่อนอนาคตรที่คุณต้องการเถอะ
เลือกสิ่งที่คุณไม่เคยคิดว่าจะทำมันขึ้นมาซักอย่างนึง แล้วทำมันซะ
นี่คือวิธีการเดียวที่จะทำให้คุรก้าวออกมาจากจุดที่เรีกยกว่า Comfort Zone ยกตัวอย่างเช่น การพูดในที่สาธารณะ ต่อหน้าคนที่เราไม่รู้จักจำนวนมาก นี่ก็เป็นสิ่งนึงที่มีความน่ากลัวอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ที่สุดแล้วเมื่อถึงเวลาทุกคนก็สามารถที่จะทำมัน และผ่านช่วงเวลานั้นไปได้
เพราะฉะนั้นลองเอาเหตุการณ์ที่ได้กล่าวมานี้ มาลองประยุคใช้กับสิ่งต่างที่คุณคิดว่าคุณทำมันไม่ได้ หรือไม่กล้าที่จะทำดู แล้วผลลัพธ์ที่ได้มานั้น มันก็จะเป็นเหมือนเวลาที่คุณออกไปพูดในที่สาธารณะนั้นแหละ เพราะคุณจะรู้ตัวว่าทำได้ก็ต่อเมื่อได้ทำมันไปแล้วเท่านั้น
ใช้ร่างกายอย่างมีสมดุล
สุขภาพของเราไม่ได้แกร่งดุจเหล็กกล้า หินผา อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่จะมาเยือนตามสภาพร่างกายนั่นก็คือ โรคภัยทางกาย ทางอารมณ์ และทางจิตวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นสิ่งหมนุษย์���ุกคนต้องเจอ สิ่งเดียวที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพก็คือ กการใช้ชีวิตที่สมดุล
และมีสุขภาพที่ดี การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เราสามารถจะทำได้ทุกวัน รวมถึงการมีทัศนคติในเชิงบวก มองโลกในแง่ดี เท่านั้นยังไม่พอ ที่อยู่อาศัยก็มีส่วนสำคัญในการสร้างความสมดุลที่ดีให้กับชีวิตเช่นกัน
ยอมรับในตัวเอง
เพียงคนเดียวที่มีสิทธิอนุญาตว่าคุณสามารถทำอะไรได้ หรือ ไม่ได้บ้างในชีวิตนี้ นั่นก็คือ ตัวคุณเองนั่นแหละ และเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดี คุณต้องยอมรับความคิดของตัวคุณองอย่างมีเหตุผล ไม่ว่าการตัดสินใจในการ เผชิญ หรือ ปฏิเสธ จะช่วยทำให้คุณก้าวไปข้างหน้าขึ้นไปอย่างช้าๆ ตลอดเวลา
ถ้าหากคุณต้องการที่จะเปลี่ยนชีวิตของคุณให้ดีขึ้น 7 สิ่งนี้จะช่วยให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ตลอดไป เมื่อคุณอ่านมันจบแล้ว อย่ามามัวรออะไรอีกต่อไปให้เสียเวลา ลงมือทำมันแล้วคุณจะพบว่ามันยอดเยี่ยมจริงๆ
0 notes
Text
ความสุขหาได้จากไหน อะไรที่เรียกว่าความสุข
“ถ้าความสุขภาษาอังกฤษ คือ Happy แล้วความสุขภาษาเราคืออะไร?”
เราต่างใช้ชีวิตโหยหาความสุข ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากขาดความสุขชีวิตก็ขาดสีสัน เรื่องราวของความสุขที่มีความทุกข์ปะปน แม้จะสุขอยู่แค่ 10% แต่ก็สามารถกลบอีก 90% ที่เหลือในวันนั้น ๆ ไปได้ด้วยดี คำถามคืออะไรคือความสุขสำหรับมนุษย์แบบเรา?

อะไรคือความสุข?
ความสุขของแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไป การนิยามให้เป็นปัจเจกไปเลยคงจะยาก แต่หากสิ่งที่มีร่วมกันอย่างหนึ่งแน่ ๆ คือความรู้สึกอิ่มเอมใจ สบายใจ ไม่รู้สึกถึงความเศร้าหรือผิดหวังไปได้ชั่วขณะ ซึ่งความสุขเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัย กรีก-โรมัน จากการถกเถียงประเด็นชีวิตว่า “เราควรมีชีวิตอยู่อย่างไร”
ซึ่งคำถามนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนก็อยากที่จะหาคำตอบ ในทางปรัชญา อริสโตเติล ได้นิยามว่าควรมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข และความสุขขึ้นอยู่กับตัวเราเอง หรือแม้แต่แนวคิดอย่าง สุขนิยม (Hedonism) ที่เชื่อว่ามนุษย์มีชีวิตเพื่อหาความสุขใส่ตัวให้ได้มากที่สุดก่อนจะจากโลกใบนี้ไป ก็เชื่อว่าควรใช้ชีวิตแบบมีความสุข แต่แล้วความสุข คืออะไรล่ะ
ในทางจิตวิทยา วีนโฮเฟ่น (Veenhoven) นักจิตวิทยาชาวเนเธอแลนด์ ให้นิยามความสุขคือ ‘การประเมินความชื่นชอบในชีวิต หากเราพอใจ เราก็จะเกิดความสุข แทบจะไม่วิตกกังวลกับชีวิต สนุกสนาน ชอบห���ประสบการณ์ใหม่ มีอารมณ์ที่มั่นคง นึกถึงแต่สิ่งดี ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต’ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนก็คงตอบแบบเดียวกัน
เมื่อพูดถึงความสุขแล้วแน่นอนว่าสามารถนิยามได้อย่างหลากหลาย อาจรวมไปถึงด้านการหลั่งสารฮอร์โมนเอนโดรฟิน (Endorphine) การมีสมดุลเคมีในร่างกาย หรือก็คือการที่เกิดความรู้สึกดี อย่างที่คุณวันเฉลิม นักจิตวิทยาปรึกษาได้กล่าวไว้ ซึ่งโดยรวมก็ปฏิเสธไม่ได้เลย ว่าความสุข คือการที่เรามีอารมณ์ที่ดี ไม่ว่าจะจากเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ ที่ส่งผลให้เกิดความชื่นชอบในการใช้ชีวิต และการดำรงอยู่ได้อย่างมีความสุข
แล้วเราจะหาความสุขได้จากที่ไหน
หากถามว่าหาได้จากที่ไหน บอกเลยว่าความสุขนั้นอยู่ไม่ได้ไกลไปจากเรา โดยพื้นฐานคนเราจะสุขหรือจะทุกข์ได้ คนที่ทำให้เป็นแบบนั้นได้ก็คือตัวเรา หากเรามองว่าเพราะคนนั้นทำแบบนี้ เราเลยทุกข์ หากมองในอีกมุมหนึ่งเป็นเพราะตัวเราเองต่างหากที่ทำให้ทุกข์ เพราะหากเราไม่ได้ใส่ใจ เรื่องนั้น ๆ อาจไม่มีผลในชีวิตเราเลยก็ได้
การทบทวนตัวเองหรือรู้จักตัวเองมากพอ ก็สามารถนำมาซึ่งความสุขในการใช้ชีวิตได้ เพราะเราจะรู้ว่าทำแบบไหน เราจะสุข หรือทำแบบไหนเราจะทุกข์ อาจมีวิธีที่ช่วยให้เราเกิดความสุขได้ง่าย ๆ เช่น การรักษาสุขภาพกาย ใจ ไม่ควรเก็บอารมณ์ขุ่นมัวมาไว้กับตัวเอง หรือพร้อมที่จะเผชิญปัญหาหรืออุปสรรคที่จะเกิดอยู่เสมอ แนวทางเหล่านี้ก็สามารถทำให้เกิดความสุขได้
เทคนิคการเพิ่มความสุขให้กับตัวเองและคนรอบข้าง
เมื่อเรามีความสุขแล้ว จะทำยังไงให้ความสุขอยู่กับเราไปตลอด หรืออยู่ให้นานจนไม่หายไป วิธีเพิ่มความสุขและรักษาไว้ให้คงอยู่ง่าย ๆ คือ
ความสุขไม่มีความยั่งยืน เราต้องคิดไม่ยึดติดและมองตามความเป็นจริง ว่าเมื่อเรามีได้ก็หายไปได้ แต่ใช่ว่าจะหาใหม่ไม่ได้
ควบคุมตารางเวลาของตัวเองได้ โดยคนที่มีความสุขมักจะสามารถควบคุมเวลาในการใช้ชีวิตได้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม
ยิ้มให้เยอะ ๆ การยิ้มจะทำให้เรามีความสุขขึ้นมากกว่าการทำหน้าบึ้ง ถ้าไม่รู้จะยิ้มให้ใคร ก็ยิ้มให้ตัวเองได้นะ
หางานหรือกิจกรรมที่ชอบทำในเวลาว่าง การมีเป้าหมายเป็นสิ่งที่ชอบในแต่ละวัน การทำสำเร็จจะช่วยให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น
พักผ่อนให้เพียงพอ แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่ส่งผลกับเรามากที่สุดคงหนีไปพ้นการพักผ่อนที่เพียงพอ นำมาซึ่งความสุขในการใช้ชีวิตในแต่ละวันไปได้ง่าย ๆ
มองข้ามความต้องการของตัวเองไปบ้าง แล้วดูว่าผู้อื่นต้องการอะไร เพราะหากเราสามารถทำให้ผู้อื่นมีความสุขได้ ความรู้สึกอิ่มเอมใจก็จะเกิดตามมา
หันมามองและตระหนักถึงสิ่งดี ๆ ในชีวิตที่มีอยู่และมักจะมองข้ามไป ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อนที่หวังดี สุขภาพที่แข็งแรง จะทำให้เรารู้สึกมีความสุขและยินดีในสิ่งรอบตัวได้มากยิ่งขึ้น
ความสุขสำหรับบางคน อาจเกิดจากการ กินอิ่ม นอนหลับ พักผ่อนเพียงพอ ได้ทำอะไรที่อยากทำ หรืออาจเกิดจากการที่วันนี้ได้กินของที่อยากกิน เท่านี้ก็มีความสุข เราอาจจะไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนไกล เพราะสุดท้ายความสุขก็จะอยู่และเริ่มได้ที่ตัวเรา แล้วความสุขสำหรับคุณคืออะไร
0 notes
Text
7 สิ่งที่จะทำให้คุณ ค้นพบคุณค่าชีวิต ที่ขาดหายไป
คุณค่าในชีวิตคุณคืออะไร หลายคนถูกปลูกฝังมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันว่า “ค่าของคน อยู่ที่ผลของงาน”ตั้งใจเรียนหนังสือเก่ง ๆ จบมาจะได้งานดี ๆทำ ทำงานดี ๆ ตำแหน่งสูง ๆ เพื่อให้มีชีวิตที่ดี มีความเป็นอยู่ที่ดีชีวิตเราถึงจะมีคุณค่า ความจริงที่คุณอาจไม่รู้ก็คือ บางคนรายได้เดือนละล้าน มีรถสามคัน มีบ้านสามหลัง มีธุรกิจใหญ่โต
แต่ไม่เคย��ัมผัส หรือ มองเห็นคุณค่าภายในเลยแม้แต่วันเดียว ประสบความสำเร็จเรื่องภายนอกแต่ภายในกลับกลวงโบ๋ เพราะเขาเข้าใจว่า การทำงานหนัก หาเงินตัวเป็นเกลียว หัวเป็นน็อต มีบ้าน มีรถ มีชื่อเสียงเงินทองผลลัพธ์แบบนั้นจะทำให้ชีวิตมีคุณค่า แต่สิ่งที่ผมจะบอกคุณก็คือ… นั่นไม่ใช่คุณค่าที่แท้จริงของชีวิต ถ้าคุณอยากรู้ว่า คุณค้นพบคุณค่าในชีวิตที่แท้จริงหรือไม่ ให้คุณวัดจากวงล้อสมดุลชีวิตดังต่อไปนี้
1)ด้านสุขภาพ
ถ้าคุณอยากค้นพบคุณค่าในชีวิตของตัวเอง “คุณต้องดูแลสุขภาพ”
น่าแปลกที่เรื่องสุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่เรากลับให้ความสำคัญน้อยที่สุด
สาเหตุเป็นเพราะ เราคิดว่าเรายังเด็ก เราอายุยังน้อย เรายังมีแรง มีกำลัง เรายังฟิต ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ชิลๆยาวไป
สุดท้ายระวังจะโดนหามขึ้นเมรุ คุณอาจจะค้านว่า ฉันเป็นคนรักสุขภาพ ถ้าคุณบอกว่าคุณรักสุขภาพจริง
คุณคงไม่ปล่อยให้ตัวเองอ้วนจนได้ฉายา “พุงนำนม” หรอกจริงไหม ทุกครั้งที่คุณป้อนอาหารเข้าปาก ไม่ใช่แค่เพียงรสชาติยั่วจนน้ำลายไหล หรืออาหารจานโปรด บุฟเฟ่ต์หมูกระทะ ซูชิปลาแซลม่อน
แต่ทุกคำที่ตักเข้าปากให้คุณถามตัวเองเสมอว่า “ฉันกินมะเร็ง หรือ ฉันกินของที่มีประโยชน์ ต่อร่างกายจริงๆกันแน่”
2) สัมพันธภาพ
สัมพันธภาพเป็นสายใยสำคัญที่ส่งผลให้ ชีวิตของคุณมีคุณค่า
เริ่มจากคนใกล้ตัวคุณที่สุด ครอบครัว พ่อแม่ พี่น้อง ลุงป้า น้าอา ปูย่า ตายาย
ขยายวงออกมาคือ เพื่อนสมัยเรียน แฟน ครูอาจารย์
ขยายวงออกมาอีก เป็นเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า เจ้านาย ลูกน้อง ลูกค้า คอนเน็กชั่น
คนเหล่านี้ล้วนเติมเต็มคุณค่าในชีวิตคุณทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นถ้าวันนี้ ความสัมพันธ์ของคุณสั่นคลอน หรือ ระหองระแหงไม่รื่นรมย์
รีบปรับความเข้าใจ เร่งแก้ไขปัญหาโดยด่วน เพราะการรักษาสัมพันธภาพที่เหนียวแน่น อาจนำพาคุณไปพบสิ่งที่คุณต้องการได้ในอนาคตอันใกล้
3)การงาน
คงไม่มีใครปฏิเสธว่า งานเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตเราเติมเต็มและมีคุณค่า
เคยมีการทดลองเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ในเรือนจำแห่งหนึ่งของอเมริกา
โดยการนำตัวนักโทษสองคน มาขังไว้ในห้อง แยกกันสองห้อง ห้องที่หนึ่ง ผู้คุมประกาศว่า ไม่ต้องทำอะไร ให้นั่งเฉยๆ แล้วคอยสังเกตพฤติกรรมตลอด 30 วัน
ถึงเวลาเอาข้าว เอาน้ำมาให้กิน ห้องที่สอง ผู้คุมประกาศว่า จะมีงานให้ทำ ถูพื้นบ้าง เช็ดกระจกบ้าง วาดกราฟิกที่ผนังบ้าง ออกแบบเสื้อผ้าบ้าง วาดการ์ตูนบ้าง ฝึกภาษาต่างประเทศบ้าง
และเมื่อเขาทำกิจกรรมเสร็จในแต่ละวัน ผู้คุมจะชื่นชมทุกครั้งว่า “เก่งมาก ยอดเยี่ยมมาก เจ๋งสุดๆ” ตลอด 30 วัน
หลังจบการทดลอง สรุปผลได้ว่า นักโทษชายห้องแรก แสดงพฤติกรรมหดหู่ เศร้าหมอง ก้าวร้าว ทำลายข้าวของ จนถึงทำร้ายตัวเอง
นักโทษชายห้องที่สอง มีความประพฤติดี มีความหวัง มีแรงบันดาลใจ ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนใหม่ และเขาพร้อมที่จะกลับออกไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง
สิ่งที่ผมเล่า ผมกำลังจะบอกคุณว่า มนุษย์เราจะรู้สึกว่าตัวเรามีคุณค่า ก็ต่อเมื่อ ได้ลงมือทำอะไรบางอย่างจนประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง สิ่งนี้ถูกนิยามออกมาให้เข้าใจตรงกันจนถึงปัจจุบันก็คือคำว่า “งาน” คุณเห็นคุณค่าในงานที่คุณกำลังทำอยู่หรือไม่
4)การเงิน
ลองจินตนาการว่า โลกนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เงิน คุณยังจะนั่งทำงานหนักเหมือนทุกวันนี้อยู่หรือไม่
คำตอบก็คงไม่ แต่คุณค่าที่แท้จริง ที่ผมจะบอกคุณก็คือ “เงินสำคัญถ้าเรื่องนั้นต้องใช้เงิน เงินไม่สำคัญ ถ้าเรื่องนั้นไม่จำเป็นต้องใช้เงิน ถ้าคุณรู้จักใช้สมอง” ที่ผ่านมาถ้าคุณยึดเอาเงินเป็นตัวตั้ง ต้องมีเงิน ต้องมีเงิน ต้องมีเงิน ถึงจะทำเรื่องโน่นนี่นั่นได้
วันนี้ผมอยากให้คุณลอง เปลี่ยนความคิดใหม่ว่า… ถ้าพักเรื่องเงินไว้ก่อน แล้วคุณลองใช้เครื่องมือตัวอื่น ใช้ความสามารถ ใช้พลังสมองคุณให้เต็มที่ คุณยังจะทำสิ่งที่คุณต้องการได้สำเร็จอยู่หรือไม่
ท้าทายตัวเองสุดๆ เช่น การเจรจาต่อรอง การเปลี่ยนไอเดียเป็นทุน การเปิดรับพาร์ทเนอร์ร่วมธุรกิจ การเป็นตัวแทน การใช้คอนเน็กชั่น การใช้ความคิดสร้างสรรค์ การใช้ทรัพยากรคนอื่น เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณฝึกใช้สมองสั่งเงิน เงินจะวิ่งหาคนที่มีไอเดียดีๆเสมอ

5) จิตใจ
พลังแห่งความเชื่อ ความศรัทธา เป็นพลังเร้นลับในร่างกาย ที่แม้แต่วิทยาศาสตร์ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าคืออะไร
คนที่มีชื่อเสียงระดับโลก ล้วนฝึกฝนและเป็นผู้สร้างพลังแห่งความเชื่อความศรัทธาให้เกิดขึ้นมาในตัวของเขาจนประสบความสำเร็จ
ไม่ว่าจะเป็น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ , สองพี่น้องตระกูลไรท์ , สตีฟ จ็อบส์ , เฮนรี่ ฟอร์ด , โทมัส อัลวา เอดิสัน ฯลฯ
คุณค่าทางจิตใจเป็นสิ่งที่เติมเต็มภายในได้ดีที่สุด ก่อนที่คุณจะทำอะไรก็ตาม ถ้าคุณไม่อยากสูญเสียเวลา เสียพลังงานชีวิต ไปโดยเปล่าประโยชน์
จงถามตัวเองทุกครั้งว่า “สิ่งที่ฉันกำลังทำ เริ่มทำไปบ้างแล้ว กำลังจะลงมือทำ มันเติมเต็มจิตวิญญาณของฉันหรือไม่”
ถ้าใจคุณบอกว่าใช่… ลุย!!!
6) ภารกิจ (Mission)
คุณค่าของชีวิตที่คนส่วนใหญ่ ไม่เคยใส่ใจ หรือ ไม่เคยคิดว่าฉันควรมีด้วยหรอ
กลับกัน เรากลับค้นพบสิ่งนี้ในคนส่วนน้อยที่ประสบความสำเร็จทั่วโลก สิ่งนั้นก็คือ ภารกิจ (Mission)
สิ่งที่คุณต้องการจะทำ สิ่งที่คุณตั้งใจว่าชีวิตนี้ ฉันต้องทำให้สำเร็จให้ได้ ฉันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ โลกต้องจดจำฉันเรื่องนี้ ฉันเกิดมาเพื่อเขย่าโลก ไม่ใช่เพื่อตัวคุณเอง
แต่เป็นเรื่องที่คุณตั้งใจสร้างอะไรบางอย่างที่ส่งผลกระทบกับคนส่วนใหญ่ ได้ช่วยเหลือ ได้ค้นพบหนทางที่ดีกว่า ได้แบ่งปัน ได้เป็นผู้นำในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งใช้ความสามารถเฉพาะตัวของคุณ ใช้สติปัญญาของคุณ สร้างผลงาน สร้างทีมงาน ทำให้ภารกิจนั้นสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
“ยิ่งคุณช่วยเหลือผู้คนได้มากเท่าไหร่ คุณยิ่งประสบความสำเร็จ และเติมเต็มคุณค่าในชีวิตมากขึ้นเท่านั้น”
ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยสิครับว่า ภารกิจของคุณคืออะไร
7) ความหลงใหล (Passion)
หัวใจสำคัญที่คุณควรยึดเป็นหลักไว้ก็คือ PASSION เพราะมันจะช่วยไม่ให้คุณหลงทางไหลไปตามกระแสของคนอื่น
จากข้อ 1-6 ก่อนที่คุณจะตัดสินใจลงมือทำอะไรก็ตาม ให้คุณย้อนกลับมาที่แก่นของคุณเสมอ
หาแก่นให้เจอแล้ว ตรึกตรอง พิจารณา วิเคราะห์ดูว่า เส้นทางที่ฉันจะเดินไปนั้น มันสอดคล้องกับ PASSION ทั้งหกด้านของฉันหรือไม่ หรือ ฉันกำลังตามกระแสของคนอื่นอยู่
หมั่นฟังเสียงหัวใจตัวเอง เดินตามกลิ่นความสุขทุกวัน ในทุกการตัดสินใจที่เด็ดขาด
ใครก็ตามที่มีแก่น มีหลักยึดในการดำเนินชีวิต เขาคนนั้นจะประสบความสำเร็จได้ไว ตัดสินใจได้เร็ว
เพราะเขาจะตอบตัวเองได้ทันทีเลยว่า “ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา ฉันกำลังเดินตาม PASSION ของฉันอยู่หรือไม่”
ถึงเวลาออกแบบ วงล้อสมดุลชีวิตของตัวคุณเอง ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้
ผมต้องบอกความจริงที่อาจไม่ลื่นหูกับคุณว่า “วงล้อสมดุลชีวิตของคุณ” ถูกออกแบบมาเพื่อตัวคุณคนเดียวเท่านั้น!!
อย่าคาดหวังให้วงล้อของคุณเหมือนของคนอื่น ขนาดรูปร่างหน้าตาคุณ ยังไม่เหมือนคนอื่นเลย
แล้วเราจะไปคาดหวังให้วงล้อของเราเหมือนคนอื่นได้ยังไง จริงไหม?
ชีวิตของคุณ คุณค่าของคุณ สิ่งที่จะเติมเต็มชีวิตคุณ จะไม่เหมือนใครเลยบนโลกใบนี้
ทุกคนต่างมีแนวทาง ต่างค้นพบชีวิตที่ใช่ ของตัวเองด้วยกันทั้งสิ้น
คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักเพาะกาย ถึงจะเรียกว่า มีสุขภาพดี คุณไม่จำเป็นต้องรวยระดับมหาเศรษฐีหมื่นล้าน ถึงมีความสุขสุด ๆ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำโลก ถึงมีคุณค่าในชีวิต
ทุกคนล้วนมีแนวทางเติมเต็มคุณค่าในชีวิตในแบบฉบับของตัวเอง
“เพราะคุณคือ หนึ่งเดียวในโลก เพราะคุณคือ The One จงทำตัวเป็นหนึ่งเดียวที่คู่ควรกับคุณค่าในตัวคุณ” สนใจ คาสิโนออนไลน์คลิ๊ก
0 notes
Text
ความสุขไม่ได้อยู่ไกล แค่คุณรักตัวเองให้เป็น
หลายคนใช้ชีวิตด้วยการเสียสละเพื่อคนอื่นทั้งที่เต็มใจและไม่เต็มใจ บางคนช่วยคนอื่นจนตัวเองเดือดร้อน หรือบางคนก็เข้าใจว่า การที่คนเราจะรักตัวเอง หมายถึงต้องเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง และฉกฉวยเอาทุกอย่างเป็นของตนเอง หรือบางคนก็เข้าใจไปว่า คนที่รักตัวเองหมายถึงคนที่ต้องเลือกแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเอง
ทั้งหมดคือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “การรักตัวเอง” เพราะคนที่รักตัวเองอย่างแท้จริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาสิ่งของมีค่าใด ๆ มาถมให้เต็มความรู้สึก หรือต้องเห็นแก่ตัวจนไม่มีใครอยากจะคบ แท้จริงแล้ว คนที่รักตัวเองหมายถึง คนที่รู้จักและเข้าใจตัวเองเติมเต็มแต่ความรู้สึกที่ดีให้กับตนเอง และสามข้อต่อจากนี้ คือวิถีทางที่จะทำให้คุณได้รักตัวเองในแนวทางที่ถูกต้อง
1. คนที่รักตัวเองจริงไม่ใช้เงินซื้อความสุขและความสบายใจ สำหรับคนที่รักตัวเอง แล้วรักผิดทางด้วยการใช้เงินเพื่อซื้อความสุขและความสบายใจให้กับตนเอง บอกเลยว่าไม่มีความจำเป็นเลย การรักตัวเองไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องปรนเปรอตัวเองด้วยคอร์สสปาแสนแพง หรือมื้อค่ำอันหรูหรา รวมไปถึงการซื้อสิ่งของราคาแพง เพราะคุณคิดว่าคุณเหมาะสมที่จะได้ครอบครอง
ถ้าเรารักตัวเองไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งของใด ๆ มาทำให้เราดูมีคุณค่าขึ้นมาเลย ถ้าคุณรักตัวเองคุณต้องให้ค่าตัวเองยอมรับในความผิดพลาดในอดีต แล้วหันกลับมาแก้ไข หรือสร้างความสุขด้วยการทำความดีกับคนอื่นปฎิบัติดีต่อคนอื่น เพียงเท่านี้ก็เป็นการรักตัวเองโดยที่คุณไม่จำเป็นต้องใช้เงินซื้อหาความสุขที่ไม่ได้ยั่งยืน หรือสิ่งของที่แท้จริงแล้ว คุณไม่ได้มีความสุขกับมันจริง ๆ
2. พยายามเสียสละและทำเพื่อคนอื่นเพื่อให้ผู้คนมองว่าคุณเป็นคนดี
ถ้าคุณรักตัวเองจริง ลองตอบคำถามนี้ก่อน “ถ้ามีใครมาขอร้องให้คุณช่วยเหลือในสิ่งที่คุณไม่ได้อยากทำจริง ๆ แต่คุณก็ช่วยเขา เพราะคุณไม่อยากให้เขาผิดหวังหรือมองคุณเป็นคนไม่ดี” คุณทำแบบนั้นบ่อยแค่ไหน และถ้าคุณบอกว่าเพราะคุณรักตัวเองและอยากให้ตัวเองเป็นคนดีในสายตาของคนอื่น บอกเลยว่าคุณกำลังเดินผิดทาง
คนที่พยายามช่วยเหลือคนอื่นไปทั่ว ทั้งแบบเต็มใจและไม่เต็มใจ ไม่ได้หมายความว่าเขารักตัวเอง แต่การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าเขาไม่เคยสนใจความรู้สึกตัวเองแต่แคร์ว่าคนรอบข้างจะมองว่าอย่างไร จงจำไว้ว่า คนที่��ักตัวเอง หมายถึงคนที่คอยดูแลใจตัวเองให้ไม่หวั่นไหว คอยนำเอากำลังใจที่ให้กับตนเองนั้นมอบให้กับคนที่รัก และให้ความสนับสนุนคนที่รักคุณ เพราะคนที่รักตัวเองจะสามารถบอกได้ว่าเขาหรือเธอชอบไม่ชอบอะไร จะทำอย่างไรชีวิตจึงมีความสุข จากนั้นจึงเผื่อแผ่ให้กับคนที่เขารัก
3. คุณพยายามมองหาความรักที่สมบูรณ์แบบ ถ้าคุณคิดว่าคนที่รักตัวเอง คือ การที่ต้องได้ครอบครองความรักที่สมบูรณ์แบบ ตามที่คุณวางลิสต์เอาไว้ในใจ ถ้าไม่ใช่คือไม่เอา ต้องบอกว่าคุณกำลังมาผิดทาง เพราะความรักที่สมบูรณ์แบบบนโลกใบนี้ไม่มีอยู่จริง และถ้าคุณรักตัวเอง คุณต้องเรียนรู้ที่จะรักและสร้างความสัมพันธ์กับคนที่คุณคิดว่าไปด้วยกันได้
เมื่อคุณรักตัวเองเพียงพอ คุณจะรู้จักแบ่งความรักของคุณให้กับคนอื่น คุณจะรู้ว่าความสมบูรณ์แบบในตัวคนอื่นนั้นไม่มี เหนืออื่นใด คุณจะรู้ว่า ทั้งตัวคุณและคนที่คุณกำลังสร้างความสัมพันธ์นั้นสามารถผิดพลาดกันได้
สนใจคลิ๊ก คาสิโนออนไลน์
0 notes