Don't wanna be here? Send us removal request.
Text
Search WWW
รีวิว Search WWW - เสิร์ชรัก ตามหัวใจ
ในชีวิตของคนที่เปิดดูซีรีส์ตามบริการสตรีมมิ่งจนเป็นปกติ ก็ย่อมต้องมีบ้างที่จะเดินผ่านซีรีส์บางเรื่องไปมาแต่ไม่ได้ฤกษ์เปิดดูสักที Search: WWW เสิร์ชรัก ตามหัวใจ คงเป็นหนึ่งในนั้น ได้ยินหลายเสียงพูดถึง บางเสียงแนะนำข้อดีข้อเด่น อาจเคยเปิดดูสองสามนาทีแรก แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้เปิดดูมันเต็มเรื่องสักที รีวิว Search WWW
เรื่องย่อ
คนสมัยนี้เล่นโทรศัพท์มือถือกันมากกว่าเล่นคอมพิวเตอร์ จึงไม่มีใครที่ไม่ใช้เครื่องมือค้นหา เมื่อ "ยูนิคอน" ได้เป็นเครื่องมือค้นหาที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดมากกว่าครึ่ง พวกเขากลับโดนเครื่องมือค้นหาอันดับสองอย่าง "บาร์โร" ไล่บี้มาติด ๆ
นี่จึงเป็นเรื่องราวของผู้หญิงทั้งสามคนที่ทำงานใกล้ชิดกับยูนิคอนและบาร์โร เพื่อความสำเร็จแล้ว ทั้งแบทามี ชาฮยอน และซงกาคยอง จะต้องทำทุกอย่าง เพราะผู้ชนะมีเพียงหนึ่งเดียว และในสนามรบที่ดุเดือดแห่งนี้ ใครจะเป็นผู้ได้ชัยชนะไปครองกันนะ
ปกติในชีวิตประจำวันในยุคที่มีเทคโนโลยีก้าวล้ำนำสมัยแบบทุกวันนี้ มนุษย์ทุกคนอยากจะหาข้อมูลอะไรซักอย่างมันง่ายเพียงปลายนิ้วมือ เพียงแค่หยิบมือถือแล้วคลิกเข้าหน้าเว็บและกดคำที่ต้องการหาหลังจากนั้นก็กด ‘Enter’ ลิงก์ต่างๆพร้อมรายละเอียด
ก็ต่อแถวกันขึ้นมาเรียงรายให้อ่านและเลือกสรรกันออกมามากเกินความต้องการ สิ่งที่พวกเราใช้กันอยู่จนเป็นปกตินี่แหล่ะที่เรียกกันว่า “เว็บท่า” หรือ “Web Portal”… ซีรีส์เรื่องนี้จะเจาะลึกเรื่องราวการทำงานของบริษัทที่ให้บริการด้านเว็บท่าซึ่งแน่นอนว่าน้อยคนนักที่จะทราบถึงขั้นตอนและรายละเอียดการทำงานของสายงานนี้
แต่ใน “Search : WWW” จัดเต็มมาให้ผู้ชมได้รู้เรื่องของสายงานนี้พร้อมกับเรื่องราวชีวิตของสามสาววัย 30 กว่าที่ทำงานในสายงานนี้จนประสบความสำเร็จและหนุ่มๆที่พยายามจะขโมยหัวใจพวกเธอจนหวั่นไหวตลอดเวลา
เนื้อเรื่อง
ในโลกของธุรกิจเว็บพอร์ทัลเกาหลี มีสองคู่แข่งที่แย่งชิงความเป็นหนึ่งกันมาโดยตลอด ยูนิคอน และ บาร์โร นางเอกของเรา แบทามี หรือแทมมี่ (Lim Soo Jung/อิมซูจอง) สาวสวยวัยสามสิบแปดผู้เก่งกาจและเด็ดเดี่ยว เธอเป็นผู้จัดการในยูนิคอน สร้างความสำเร็จให้กับบริษัทนี้เรื่อยมา เธอชอบการแข่งขัน มุ่งเน้นเอาชนะ แต่โชคชะตาของเธอกำลังพลิกผัน
เธอทำงานร่วมกับผู้อำนวยการ ซงกากยอง (Jeon Hye Jin/จอนฮเยจิน) รุ่นพี่ที่เธอเคารพและเป็นแบบอย่างที่ให้เธอก้าวตาม แต่ระยะหลังๆ ความเห็นไม่ลงรอยกันเรื่อยมา จนวันหนึ่ง เกิดปัญหาฟ้องร้อง เธอกลายเป็นเหมือนแพะรับบาป ในที่สุดก็ต้องถูกไล่ออก และได้รับการทาบทามจากบาร์โรคู่แข่งอย่างพอเหมาะพอเจาะ เธอจึงเลือกจะย้ายตัวเองไปอย่างไม่ลังเล
ที่นั่น เธอได้รับหน้าที่���ป็นของหัวหน้าทีมเฉพาะกิจเพื่อนำบาร์โรขึ้นเป็นที่หนึ่งให้ได้ และต้องพบเจอกับ สการ์เลตต์ หรือชาฮยอน (Lee Da Hee/อีดาฮี) คนที่เคยเขม่นกันมาก่อนตอนเป็นคู่แข่งกัน
แต่ในระหว่างนั้น เธอก็ได้พบกับสุดหล่อ พัคโมกอน (Jang Ki Yong/จางกียง) หนุ่มวัยยี่สิบแปดคอมโพสเซอร์/นักแต่งเพลงประกอบเกมที่บังเอิญมีอะไรกับทามีตั้งแต่วันแรกที่เจอกันด้วยความเมา ความสัมพันธ์ที่ไม่ได้จบเพียงแค่คืนนั้น เพราะเขายังสานต่อมันมาเรื่อยๆ จนเขากลายเป็นที่พักพิงที่สำคัญที่สุดของเธอในระหว่างการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อพิสูจน์ตนเองอีกครั้ง
แนะนำตัวละคร
เรื่องราวหนังใหม่เต็มเรื่องจะเล่าถึงชีวิตและการทำงานของ 3 สาววัยเลข 3 ที่คลั่งไคล้การทำงานมากกว่าจะใส่ใจงานบ้านหรือหาคู่ครองมาแต่งงานพวกเธอทำงานเป็นผู้บริหารอยู่ในองค์กรที่ทำเว็บท่ารายใหญ่ของประเทศเกาหลีใต้
แบทามี (รับบทโดย อิมซูจอง)
ตำแหน่งระดับหัวหน้าใน ยูนิคอน บริษัทเว็บท่าที่ถือเป็นผู้นำในตลาดแต่วันหนึ่งเธอถูกสั่งให้รับหน้าในศาลแทนบริษัท เรื่องการแทรกแซงการจัดอันดับของคำค้นหาที่ไม่ได้ตามเวลาจริง ทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิดของเธอเลย
หลังจากเหตุการณ์นี้ทำให้เธอตัดสินใจหันหลังให้กับบริษัทที่เธอทุ่มเททำงานมานานหลายปี และตัดสินใจย่างก้าวเข้าสู่ บาร์โร บริษัทเว็บท่าคู่แข่งคนสำคัญของยูนิคอนที่เป็นอันดับ 2 ในตลาด เธอเข้าไปร่วมในทีมเฉพาะกิจเพื่อเป้าหมายที่จะทำให้บาร์โรแซงหน้าขึ้นนำยูนิคอนให้ได้
แม้หน้าที่การงานของเธอดูท่าจะลงตัวมากขึ้น อย่างไรก็ตามความรักก็เริ่มเข้ามาให้ว้าวุ่นใจ เมื่อ พัคโมกอน (รับบทโดย จางกียง) หนุ่มนักทำดนตรีประกอบในเกมส์สุดหล่อและอัจฉริยะในสายงานนี้ มาตกหลุมรักสาวรุ่นพี่ อย่าง แบทามี เข้าอย่างจังจนทำให้คนที่โฟกัสแต่การทำงานอย่างเธอเกิดหวั่นไหวขึ้นมา
ชาฮยอน (รับบทโดย อีดาฮี)
สาวที่ครบเครื่องทั้ง สวย มั่น ดุ แถมยังบู๊ก็เก่งอีกต่างหาก เธอเป็นอดีตนักยูโดยอดฝีมือแต่ได้รับบาดเจ็บจึงไม่ได้เป็นนักกีฬาต่อ และผันตัวมาทำงานสายธุรกิจ เธอทำงานอยู่ที่บาร์โรอยู่นานจนค่อยๆไต่ระดับขึ้นมาอยู่แถวหน้า
ด้วยความกล้าได้กล้าเสียของเธอทำให้ทุกคนต่างเกร��กลัว อย่างไรก็ตามบาร์โรกลับไม่ได้ขึ้นนำในตลาดเสียที และในเวลาต่อมา ชาฮยอน ได้จำใจเข้าร่วมทีมเฉพาะกิจเพื่อช่วยพาบาร์โรแซงหน้ายูนิคอน
ในเรื่องความรักของเธอก็ไม่น้อยหน้าแบทามี เพราะเธอเป็นแฟนคลับของ ซอลจีฮวาน (รับบทโดย อีแจอุค) นักแสดงหน้าใหม่ที่แสดงได้ดีในซีรีส์สุดสัปดาห์แต่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก ชาฮยอนคอยช่วยสนับสนุนจีฮวานจนเขาได้รับการยอมรับและได้งานมากขึ้น ติ่งกันไปติ่งกันมาจนดาราหน้าใหม่อยากจะมาติ่งเธอกลับเสียแล้ว
ซงกาคยอง (รับบทโดย จอนฮเยจิน)
สาวผู้บริหารใหญ่ประจำ ยูนิคอน อำนาจหน้าที่ที่อยู่ในตำแหน่งใหญ่โต แต่เธอกลับต้องทำตามคำสั่งของแม่สามีซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจหลายวงการรวมถึง ยูนิคอน และยังเป็นผู้มีอิทธิพลที่ทำได้ทุกอย่างแม้ว่าจะต้องขัดกับจรรยาบรรณในการทำงานอยู่บ่อยครั้ง
เธอจำใจที่จะต้องทำตามคำสั่งเพราะการแต่งงานของเธอมาจากความจำเป็นที่ต้องช่วยเหลือครอบครัวจากการล้มละลายจึงทำให้ความสัมพันธ์ของเธอกับสามี โอจินอู (รับบทโดย จีซึงฮยอน) ทำงานด้านบริษัทสร้างภาพยนตร์ ที่ภายนอกดูเย็นชาต่อกันและกัน แต่เขากลับรักเธอหมดหัวใจ
ความสัมพันธ์ที่เกื้อหนุนต่อกัน
ทามีเป็นหญิงสาวที่ชีวิตของเธอมีแต่งาน ไม่สนเรื่องความรักแถมไม่อยากแต่งงาน แต่การได้มาเจอโมกอน หนุ่มนักแต่งเพลงประกอบเกมที่อ่อนวัยกว่าถึง 10 ปี นิสัยดี เบ้าหน้าดี ทำเอาสาววัย 38 หวั่นไหว ขณะที่ชาฮยอน เองก็ได้พบกับ ซอลจีฮวาน (รับบทโดย อีแจอุค) นักแสดงหนุ่มที่คลั่งไคล้ก่อนได้ใกล้ชิดเป็นผู้จัดการส่วนตัว
ข้อดีของตัวบท
ทำไมถึงมี 3 คู่ก็เพราะว่า 6 ตัวละครหลักถ่ายทอดออกมาได้ดีจนสะท้อนความชัดเจนของทุกคาแรคเตอร์ออกมาถึงผู้ชมได้อย่างเต็มที่เลยไงล่ะ
อิมซูจอง – อีดาฮี – จอนฮเยซอน – จางกียง – อีแจอุค (นักแสดงดาวรุ่งก็ยังทำได้ดี) – โอจินอู
ทีมนี้ทำได้ดีมากจริงๆทุกคน ส่วนตัวจะไม่มาชมกันว่าใครดีกว่าใครเพราะทั้งทีมรวมถึงบทอื่นๆของเรื่องนี้ทำได้ดีเกือบ 100% เต็ม แต่โดยเฉพาะ 6 ตัวละครหลักที่แจกจ่ายความจิ้น ความฟิน ความเซ็กซี่ ความน่ารัก ความอิน โดยสร้างสมดุลของความแตกต่างในแต่ละคาแรคเตอร์เพื่มเติมเต็มหนังออนไลน์ซีรีส์เรื่องนี้ได้อย่างครบถ้วน
ข้อดีข้อนี้ขอยกความดีความชอบให้ทีมงานด้วย ที่สามารถบาลานซ์ความสำคัญของทุกตัวละครได้พอดิบพอดีจนรู้สึกว่าสำคัญทุกประเด็น จริงๆแล้วเรื่องราวในแง่ธุรกิจซีรีส์เรื่องนี้ก็ทำได้ค่อนข้างดีมากอยู่แล้ว ทั้งเข้าถึงและสมจริงมากเลยทีเดียว
ด้านงานภาพและฉาก
ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่มีภาพที่สวยมาก ๆ แม้ว่าอาจจะไม่ได้อลังการถึงขนาดมี CG หรือภาพล้ำ ๆ แบบซีรีส์แอกชั่นหรือแฟนตาซีให้เราดู แต่ก็ถือว่าสื่อถึงภาพของการทำงานได้เป็นอย่างดี ขนาดที่ว่าอยากไปทำนที่เกาหลีเลยทีเดียว
ส่วนการแต่งตัวของตัวละครนั่นก็มีความสวยงาม คือต้องบอกว่าตัวละครแต่งตัวจัดเต็มมาก โดยตัวละครผู้หญิงทั้งหลายนี้ชุดมีความเท่สุด ๆ ให้อารมณ์แบบ Working Woman มาก ๆ
เพลงประกอบ
ซีรีส์เรื่องนี้อุดมไปด้วยเพลงประกอบเพราะๆ มากมาย ทั้งเพลงอบอุ่นให้กำลัง ซึ้งเศร้า หรือกระฉับกระเฉง ขณะที่ดนตรีประกอบก็น่าสนใจไม่แพ้กัน น่าหยิบเอามาเปิดฟังระหว่างการทำงาน

โดยรวม
เรื่องราวทั้งการทำงาน ความรัก และมิตรภาพของสาวทำงานเก่งทั้ง 3 คนนั้นมีการเล่าออกมาได้อย่างมีมิติและทันสมัยด้วยการถ่ายภาพและโทนสีของซีรีส์ที่เข้ากับเรื่องราวของเทคโนโลยีได้อย่างกลมกลืน
ซีรีส์สีสวยน้ำดีแถมฟินมากเรื่องนี้มีเหตุผลดีๆอะไรที่ชวนให้ผู้ชมอยากติดตาม มาลองอ่านกันดูกะน
สรุป
เรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่ส่วนตัวจดไว้เลยในไดอารี่ว่าชอบ สี, ภาพ, มุมกล้อง, คอสตูม, การแต่งหน้า, ทรงผม รวมไปถึงภาพรวมของแทบจะทุกฉากที่งดงามและกลมกลืนกันจนเพิ่มอรรถรสในการรับชมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความละเอียดอ่อนของทีมงานมันสะท้อนออกมาจากทุกความประณีตที่กลั่นกรองออกมาได้อย่างน่าทึ่งและน่าจดจำ
0 notes
Text
The Crowned Clown
รีวิว The Crowned Clown - สลับร่าง ล้างบัลลังก์
อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของคอซีรีส์ที่ติดตามชมผลงานการแสดงของเขาคนนี้ มาตั้งแต่เริ่มต้นในวงการในฐานะนักแสดงเด็ก จนค่อยๆสั่งสมประสบการณ์จนได้ก้าวขึ้นแท่นรับบทนำเมื่อเป็นวัยรุ่นเต็มตัว “ยอจินกู” ไม่เคยทำให้แฟนๆผิดหวังในผลงานที่เขาแสดง รีวิว The Crowned Clown
เรื่องย่อ
เมื่อสมัยยังเด็ก "ฮาซุน" (ยอจินกู) เกือบตายจากภาวะอดยาก แต่เขาถูกช่วยไว้โดยกลุ่มนักละครเร่ เขาโตมากลายเป็นนักแสดงในคณะ และด้วยหน้าตาที่คล้ายกับ "ราชาอีฮุน" (ยอจินกู) เขาจึงมักได้เล่นเป็นพระราชา ต่อมาฮาซุนจำเป็นต้องปลอมเป็นราชาอึฮุน เพื่อปกป้องบังลังก์และอาณาจักรโชซอนเอาไว้
รู้สึกเหมือนตัวเองห่างหายจากการชมซีรีส์เกาหลีแนวพีเรียดไปพักใหญ่ ได้เวลากลับมาชมกันเสียที เมื่อ Netflix นำซีรีส์พีเรียดที่เคยฉายไปตั้งแต่ปี 2019 เข้ามาฉายหลายเรื่อง และได้พบว่า เรื่องนี้แหละที่ตรงกับจริตของนายแพทมากที่สุด
จนต้องหยิบมาเขียนถึงให้ได้อ่านกัน The Crowned Clown สลับร่าง ล้างบัลลังก์ เรื่องราวของตัวตลกล้อเลียนพระราชาที่ดันถูกจับมาเป็นพระราชาตัวปลอมนั่นแหละครับ
ผลงานจากผู้กำกับนาม คิมฮีวอน ที่เคยมีผลงานมาจาก Glamorous Temptation, Money Flower และ��่าสุดก็คือ Vincenzo ที่หลายคนชื่นชอบกันนั่นแหละ ในครั้งนี้คงเป็นงานแนวพีเรียดงานแรกของเธอ และก็ออกมาดีทีเดียว
แถมยังได้นักแสดงชายผู้มีผลงานมากมายอย่าง ยอจินกู มาร่วมงาน และได้นางเอกสาวหน้าสวยอย่าง อีเยซอง ที่รับบทเป็นพระมเหสี แม้บทสลับร่างจะไม่ใหม่ แต่เรื่องราวข้างในก็น่าติดตาม
เนื้อเรื่อง
ย้อนเวลาไปสู่เกาหลีในยุคโชซอนกันดีกว่า ในช่วงนั้นเป็นการเปลี่ยนผ่านจากพระราชาองค์เก่าสู่องค์ใหม่ พระราชาอีฮอน (Yeo Jin Goo/ยอจินกู จากซีรีส์เรื่อง Beyond Evil, Hotel Del Luna และ My Absolute Boyfriend) ผู้ได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบิดาที่สวรรคตไป
ทว่าไม่นาน เขาก็สั่งประหารไม่ก็สังหารสิ้นคนที่มองว่าจะเป็นอันตรายต่อราชบัลลังก์ ที่เหลืออยู่มีเพียงอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายอย่าง ชินชีซู (Kwon Hae Hyo/ควอนแฮฮโย) ผู้ที่มักใหญ่ใฝ่สูงและหมายโค่นล้มตน
เหตุเช่นนี้ เขาจึงต้องหาตัวแทนมารับเคราะห์ ปะเหมาะพอดีที่ราชเลขา (Kim Sang Kyung/คิมซางคยอง จากซีรีส์เรื่อง Racket Boys) ได้พบกับชายหนุ่มตัวตลกในคณะละครที่บังเอิญเข้าเมืองฮันยังมาอยู่กับหอนางโลม
เขาคือฮาซอน (Yeo Jin Goo/ยอจินกู อีกนั่นแหละ) ด้วยความที่หน้าตาเหมือนกันมากเสียจนเหมือนคนๆ เดียวกัน ราชเลขาจึงร่วมกับขันทีโจ (Jang Gwang) จัดแจงเตี๊ยมทุกอย่างให้แสดงเหมือนพระราชาองค์จริงให้มากที่สุด
ทีนี้มาว่ากันที่ชีวิตของฮาซอนบ้าง เขามีชีวิตวัยเด็กที่ยากลำบาก พ่อแม่ตายเพราะโรคระบาด เขาเองก็เกือบไม่รอดเพราะความอดอยากหิวโหยไม่มีอะไรกิน แต่ก็ได้คณะละครตลกเร่ร่อนนี่แหละที่ช่วยชีวิตเขาไว้
ฮาซอนโตขึ้นมาพร้อมกับคณะละครนี้และกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน ในละคร เขาเล่นในเชิงล้อเลียนราชาอีฮอน และมีน้องสาวที่เขารักมากชื่อ ดัลแร (Shin Soo Yeon/ชินซูยอน)
ทว่าการที่ได้รู้ว่าตนเพียงเป็นตัวแทนที่พร้อมจะถูกวางยาพิษได้ทุกเมื่อ แถมยังต้องเจอกับเหตุการณ์สะเทือนใจ นำมาสู่ความคับแค้น หนทางเดียวของเขาก็คือ การปลอมตัวเป็นพระราชาและบดขยี้ศัตรูให้จมดิน
การเข้าวังของเด็กบ้านนอกหนนี้ ชีวิตของเขาแปรเปลี่ยนมากมาย นอกจากได้เป็นพระราชาแล้ว เขายังมีพระมเหสียูโซอุน (Lee Se Young/อีเซยอง จากซีรีส์เรื่อง Doctor John, A Korean Odyssey และ Vampire Detective) ผู้งดงามเป็นภรรยาอีกต่างหาก
สิ่งที่เขาต้องทำในวังจึงมีตั้งแต่ ปลอมตนให้เหมือนพระราชาตัวจริงโดยไม่ให้ใครรู้ ระมัดระวังไม่ให้ถูกลอบปลงพระชนม์ แก้แค้นคนที่ทำร้ายน้องสาว และสุดท้าย ปกป้องและคว้าหัวใจของพระมเหสีมาครอบครอง!
การเล่าเรื่อง
เป็นซีรีส์แนวย้อนยุค-ดราม่า ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานชิ้นโบว์แดงที่การันตีความสามารถของ ยอจินกู โดยเนื้อหาของเรื่องดัดแปลงมาจากภาพยนตร์ดังหนังใหม่เต็มเรื่อง Masquerade เล่าเรื่องราวของ ฮาซอน นักแสดงตลกที่ใครๆ
ต่างมองว่าพวกเขาเป็นชนชั้นต่ำที่สุดของสังคม แต่ฮาซอนดันมีใบหน้าที่เหมือนกับ อีฮอน พระราชาที่ครองราชย์ด้วยความหวาดระแวง เพราะอำนาจที่มีอยู่ไม่ได้มาจากความจงรักภักดีของผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครอง
ในทุกวันพระองค์จึงกังวลว่าจะถูกหักหลังและสูญเสียอำนาจที่มีไป เมื่อ อีฮอน ได้พบกับ ฮาซอน ที่สามารถมาเป็นโล่ห์กำบังอันตรายให้กับพระราชาผู้อ่อนแอย่างเขาได้ ฮาซอน จึงได้เข้ามาใช้ชีวิตในวังหลวงและทำหน้าที่ทุกอย่างแทนพระราชา
แม้ว่าเนื้อหาของ The Crowned Clown เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นมา ไม่สามารถอ้างถึงบุคคลที่มีตัวตนในประวัติศาสตร์เหมือนกับซีรีส์ย้อนยุคเรื่องอื่นๆ แต่เราก็ได้เห็นการนำเสนอประวัติศาสตร์ในอีกแง่มุมหนึ่ง
ส่วนมากตัวละครเอกที่มีสถานะผู้ปกครองมักต่อสู้และปกป้องราษฎรของตนไปตามหน้าที่ที่มาพร้อมกับชาติกำเนิดหรือความสามารถพิเศษของพวกเขา หากลองเปลี่ยนมุมมองเป็นว่า ผู้ที่มาทำหน้าที่ปกครองราษฎรไม่ใช่เพราะชาติกำเนิดหรือสิ่งพิเศษใดๆ
แต่เขาก็แค่ ‘อยากปกป้องคนที่มีสถานะและมีความทุกข์แบบที่เขาเคยได้รับมันมาก่อน’ นั่นคือสิ่งที่เราคิดว่าตัวละครฮาซอนต้องการบอกให้คนดูได้รับรู้
พระราชาตัวปลอมฮาซอนทำหน้าที่ปกครองบ้านเมืองในฐานะที่เขายืนอยู่เคียงข้างเพื่อเข้าใจและรับรู้ปัญหาของราษฎร ต่างกันกับพระราชาอีฮอนที่ชาติกำเนิดและการแย่งชิงอำนาจในวังหลวงอาจทำให้พระองค์หลงลืมบางสิ่งที่จำเป็นต้องทำ
และให้ความสำคัญแค่กับการมีอยู่ในอำนาจของตนมากกว่า แต่อาจเพราะสวรรค์ยังเมตตา จึงส่งฮาซอนมารับหน้าที่ ‘พระราชาที่สมบูรณ์’ แทนพระราชาตัวจริง
นอกจากฝีมือการแสดงของนักแสดงยอจินกูแล้ว The Crowned Clown ยังนำเสนอแง่มุมอื่นในวังหลวง ทั้งความรักที่มีต่อพระมเหสียูโซอุน (รับบทโดย อีเซยอง) ความจงรักภักดีของข้าราชบริพาร รวมถึงความรักที่พี่ชายมีต่อน้องสาว (บอกใบ้ให้ว่าประเด็นเรื่องน้องสาวมีส่วนสำคัญมากๆ ในเรื่อง)
จากตัวตลก สู่การเป็นราชา
น่าอิจฉาอยู่ไม่น้อยที่เกาหลีสามารถสร้างซีรีส์ด้วยพล็อตแบบนี้ได้ แม้มันจะดูเพ้อฝันและไกลความเป็นจริงไปบ้าง แต่ก็รู้สึกได้ถึงเจตนาที่ดี ในวันที่โชซอนกำลังมีราชสำนักที่เน่าเฟะ มีแต่การแก่งแย่งชิงดี เขาจึงนำตัวละครที่แตกต่างรา��ฟ้ากับเหวมาเจอกัน
หนึ่งเป็นพระราชาที่ได้เป็นเพราะพลั้งมือทำร้ายราชาองค์ก่อนที่ป่วยหนักจนสวรรคต กับอีกหนึ่งเป็นชายหนุ่มเร่ร่อนหากินกับอาชีพเล่นตลกล้อเลียนราชวงศ์ ใครจะเป็นพระราชาได้ดีกว่ากัน ใครกันที่จะแปรเปลี่ยนยุคสมัยที่ยากแค้นให้กลับมาเฟื่องฟูหน้าชื่นตาบาน
เมื่อหนึ่งพระราชาเสพยาจนสติฟั่นเฟือนจนราชเลขาต้องหาคนหน้าเหมือนมาแทนที่ กับอีกหนึ่งพระราชาตัวปลอมที่ไร้การศึกษา เขี��นอ่านไม่เป็น แต่มีจิตใจที่ดี เข้าใจปัญหาเพราะเคยอยู่ในจุดต่ำสุดมาก่อน
แม้เรื่องราวเว็บหนัง HD มันจะดูเกินจริงไปพอควร คนหน้าเหมือนพระราชาจนใครๆ ก็แยกไม่ออกนั้นมีที่ไหน เมื่อเข้ามาอยู่ในวัง กลับแสดงเก่งจนไม่มีใครเอะใจได้เป็นเวลานาน อะไรแบบนี้ แต่ถ้าตัดความสมจริงข้อนี้ไป ซีรีส์เรื่องนี้ ก็น่าสนใจในหลายๆ มุม รวมทั้งความสามารถในการแสดงของหลายๆ คนที่ส่งเสริมให้นายแพทได้นั่งขำบ้างนั่งน้ำตาซึมบ้าง พร้อมด้วยเรื่องราวที่เดินไปไม่มีสะดุด
นำเสนอมุมมองของราชา
ในตอนต้นนั้น เราจะเห็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านจากกษัตริย์พระองค์เก่าสู่รัชสมัยของราชันผู้สืบทอดบัลลังก์ กับความเปลี่ยนแปลงที่พลิกจากหน้าเป็นหลังมือ สังเกตจากที่พระมเหสีมักจะพูดเป็นนัยว่าแต่ก่อนกษัตริย์อีฮอนมิได้เป็นแบบนี้ ระยะหลังเขาฟั่นเฟือนมากขึ้นทุกที จนไม่อาจประคองตัวเองได้ และราชเลขาต้องหาตัวมารับเคราะห์แทน
แต่กลายเป็นว่า ตัวแทนอย่างฮาซอนกลับทำหน้าที่พระราชาได้เหมาะสมยิ่งกว่า แม้จะเริ่มต้นด้วยความไม่รู้อะไรเลย ไม่เต็มใจที่จะเป็น แต่สุดท้าย เหตุการณ์บางอย่างที่เกี่ยวข้องกับดัลแรก็ผลักดันให้เขากลับมาพร้อมมุ่งมั่นแก้แค้น ก่อนที่สถานะสูงสุดในโชซอนจะเปลี่ยนให้เขาก้าวผ่านอุปสรรคเสี่ยงตายต่างๆ จนปรับปรุงราชสำนักและบ้านเมืองให้เข้ารูปเข้ารอย
พระราชาตัวปลอมย่อมรู้อยู่ทุกลมหายใจว่าตนกำลังหลอกลวงคนทั้งชาติอยู่ หลอกพระมเหสีแม้ใจรักจะเป็นของจริง และวิตกว่าสักวันหนึ่ง ความลับนี้จะถูกเปิดเผย สักวันหนึ่งพระราชาตัวจริงจะกลับปั่นป่วนราชสำนักยุ่งเหยิงอีกครั้ง
แต่ในระหว่างที่เขาดำรงตนเป็นคิงแห่งโชซอนอยู่นั้น เขาก็ได้เรียนรู้วิถีแห่งการเป็นกษัตริย์ ตำแหน่งที่ต้องเผชิญทั้งความโหดเหี้ยมและการเสียสละทุกสิ่งเพื่อบ้านเมือง ทะลายกำแพงแห่งชนชั้นเพื่อปกป้องคนที่เผชิญกับความทุกข์ยากแบบตนเอง
นำมาสู่วิถีการปกครองและบริหารประเทศ ซึ่งอาจกลายเป็นสิ่งที่ถูกต้องและควรจะเป็น มากกว่าการเป็นประมุขของประเทศเพราะชาติกำเนิด มากกว่าการทำไปตามขนบและรักษาอำนาจให้อยู่กับตนไว้ให้นานที่สุด โดยไม่มองเห็นหัวประชาชน

สรุป
สำหรับคนที่ชอบซีรีส์ย้อนยุคไม่ควรพลาดเลย เพราะเท่าที่ดูถือว่าเป็นซีรีส์ฟอร์มดีเรื่องหนึ่ง นักแสดงเหมาะสมกับบทบาท และแสดงออกมาได้ดี เรื่องแกนหลักอาจจะเดาไม่ยาก แต่น่าจะมีความสนุกอยู่ในส่วนการเมือง
และการฝ่าฟันเหตุการณ์ต่างๆในฐานะคนไม่มีประสบการณ์ของพระเอก ส่วนเรื่องรักเรื่องฟิน เท่าที่ดูน่าจะมีบ้างพอสมควร และมุมความรักน่าจะปิดด้วยช่วงท้ายๆที่ดราม่า (ตอนรู้ความจริง) และรักสามเส้า แต่ส่วนตลกเดาว่าน่าจะมีไม่มากนะ ค่อนข้างเข้มข้น จริงจัง
0 notes
Text
You Are My Spring
รีวิว You Are My Spring - เธอคือรักที่ผลิบาน
ในช่วงที่หันไปทางไหนก็เจอแต่เรื่องยากลำบาก การได้เจอซีรีส์ที่ช่วยเยียวยาคุณได้ นับเป็นของขวัญจากที่ไม่มีเหตุผลใดให้ปฏิเสธ และเราคิดว่าเราได้เจอสิ่งนั้นแล้ว นั่นคือ ‘You Are My Spring’ (2021) ซีรีส์น้ำดีจากช่อง tvN ที่ทุกบทสนทนา ทุกความสัมพันธ์ ไปจนถึง Mood & Tone ของเรื่อง ล้วนแสดงออกถึงความอบอุ่นอ่อนโยน เสมือนมีเพื่อนคนหนึ่งกำลังตบไหล่ให้กำลังใจเราอยู่ และการันตีว่าภาพสวยแฝงด้วยความหมายจากผลงานการกำกับโดย จองจีฮยอน ที่เคยฝากฝีมือไว้ใน The King: Eternal Monarch (2020), Search: WWW (2019) และร่วมกำกับซีรีส์ Mr.Sunshine (2018) ด้วย รีวิว You Are My Spring
เรื่องย่อ
“แม่เหล็กดึงดูดขยะ” จูยองโดกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้านในขณะที่คังดาจองกำลังจ้องมองเขาด้วยแววตากรุ่นเชื้อเพลิง จูยองโด จิตแพทย์หนุ่มที่เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์พฤติกรรมบุคคลในอดีตเขาผ่านประสบการเฉียดตาย
และได้รับบริจาคหัวใจจากเจ้าหน้าที่ตำรวจท่านหนึ่ง ภายหลังเขาได้แต่งงานอยู่กินกับนักแสดงสาวชื่อดัง อันกายอง แต่ท้ายที่สุดก็ต้องหย่าขาดจากกันไป ต่อมาคุณหมอจูยองโดได้ย้ายคลินิกของเขามายังตึกใหม่ย่านพุงจีสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม
เคสที่เขากำลังสืบหาเบาะแสคนร้ายอยู่และได้พบเจอกับ คังดาจอง พนักงานต้อนรับในโรงแรมสาวสวยที่มีประสบการณ์ฝังใจเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีตอีกทั้งยังผิดหวังกับความรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ซีรีส์ใหม่ออนแอร์กันไม่พักเลย รอบนี้เราข้ามฝั่งมาแดนกิมจิกันบ้างก��บผลงานเรื่อง You Are My Spring ในชื่อไทย เธอคือรักที่ผลิบาน ซีรีส์แนวโรแมนติกดราม่าจากค่าย tvN ซึ่งปล่อยลงจอออนแอร์ซับไทยที่ Netflix
เนื้อเรื่อง
ซีรีส์เรื่องนี้เป็นส่วนผสมของแนวยอดฮิตเกาหลีรักผสมฆาตกรรม ซึ่งเป็นการเขียนบทแบบตั้งใจรวมส่วนผสมสองอย่างนี้ให้เข้ากันลงตัวให้ได้ ซึ่งจริงๆ แล้วแนวรวมแบบนี้ก็ไม่แปลกใหม่อะไร เพราะมีหลายเรื่องทำมาก่อน
อย่างที่ดังๆ ก็ Oh My Ghost แต่โดยทั่วไปคือตัวเรื่องมักจะมาหักมุมกลางเรื่องเพื่อเข้าสู่อีกแนวที่วางไว้ แต่เรื่องนี้คือจุดเริ่มต้นฉากแรกก็เปิดมาให้เห็นคดีที่ดูเหมือนฆ่าตัวตายปริศนา แล้วไล่ย้อนกลับไปเล่าเรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนๆ นี้
โดยเรื่องราวถูกโฟกัสไว้ที่นางเอก คังดาจอง (รับบทโดย Seo Hyun-Jin) ผู้ซึ่งมีบาดแผลในวัยเด็กพ่อทำร้ายแม่จนต้องพาหนีออกมากับน้องชายเมื่อตอนยังเด็ก และเมื่อโตขึ้นมาเธอกลับมีปัญหาการคบหาเป็นแฟนกับใครก็มักจะเจอแต่ผู้ชายสร้างปัญหา
จนเมื่อเธอพบกับ จูยองโด (รับบทโดย Kim Dong-Wook) จิตแพทย์ร่วมตึกที่พักอาศัยเดียวกัน และทำนายทายทักปัญหาของชีวิตเธอได้อย่างแม่นยำราวกับตาเห็น และเริ่มแอบชอบเธอขึ้นมา แต่ในขณะเดียวกันเธอก็พบกับหนุ่มหล่อขี้ตื้อที่แวะเวียนมาจีบตลอดเวลาอย่าง ชเวจองมิน (รับบทโดย Yoon Park)
��ึ่งเอาความใจใส่ของเขาก็ทำให้เธอเริ่มตกหลุมรักครั้งใหม่อีกครั้ง ในขณะที่จูยองโดกลับรู้สึกว่าหนุ่มคนนี้ผิดปกติทางจิต และพยายามสืบหาว่าเขาคือใคร และเข้ามาสนิทสนมกับคังดาจองด้วยเหตุผลอะไรกันแน่
นักแสดง
ซอฮยอนจิน รับบทเป็น คังดาจอง
ตอนที่เธอยังเด็ก เธอพักอยู่ในโรงแรมเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในคังนึงแต่เธอไม่ได้คิดแค่ว่ามันคือโรงแรม เธอคิดว่าที่นั่นคือบ้านสำหรับหัวใจของเธอ ในปัจจุบันเธอทำงานเป็นผู้จัดการแผนกต้อนรับในโรงแรม เธอย้ายไปพักในตึกกูกูจนได้ไปพัวพันกับคดีฆาตกรรมพร้อมกับจิตแพทย์หนุ่มที่อาศัยห้องด้านล่างของห้องเธอ
คิมดงอุค รับบทเป็น จูยองโด
จิตแพทย์หนุ่มมากความสามารถที่เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์พฤติกรรม ยองโด ผ่านประสบการณ์เสี่ยงตายมาและได้รับบริจาคหัวใจจากเจ้าหน้าที่ อีจองบอม ตำรวจน้ำดีที่ถูกฆาตกรรมในปี 2018
จูยองโด จึงมุ่งมั่นให้ความช่วยเหลือเหล่าเจ้าหน้าที่ในวิเคราะห์พฤติกรรมคนร้ายจากเหตุการณ์ฆาตกรรมและกลายเป็นที่ปรึกษาให้กับทีมสืบสวนอาชญากรรมรุนแรง 3 แห่งโกจินบกอีกด้วย คาแรกเตอร์ ตรงไปตรงมา เฉลียวฉลาด สุขุมภูมิฐาน
ยุนพัค รับบท แชจุน
หัวหน้าในบริษัทด้านการลงทุนที่จับพลัดจับผลูไปปรากฏตัวต่อหน้า คังดาจอง ในวันหนึ่งและดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจเธอเป็นอย่างดีในเวลาไม่นาน เขามีใจให้ คังดาจอง และพยายามเปิดเผยให้เธอได้รู้
เขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกพบและศรัธทาในความรู้สึกแว๊บแรกของตัวเองจึงได้เทียวไล้เทียวขื่อหยอด ดาจอง อย่างไม่ลดละ คาแรกเตอร์ สองบุคลิกอยู่กับดาจองจะแสดงด้านที่อบอุ่น ภูมิฐาน อารมณ์ขัน โรแมนติก แต่ลึก ๆ แล้วเขามีตัวตนที่คลุมเครือ แววตาก้าวร้าว แสดงออกรุนแรง
นัมกยูริ รับบท อันกายอง
อดีตภรรยาสาวสุดไฮโซของคุณหมอจูยองโด เธอเป็นนักแสดงมีชื่อเสียงโด่งดังโดยได้พบเจอกับหมอยองโดที่ให้ปรึกษาด้านบทละครแนวหมออาชญากรรมจนในที่สุดก็ตกลงแต่งงานกันแต่ 1 ปีให้หลังเขาทั้งสองก็หย่าขาดกันไป คาแรกเตอร์ สาวมั่น ปากแจ๋ว
การดำเนินเรื่อง
ตัวเรื่องตอน 1-2 เป็นส่วนผสมของแนวปริศนากับความรักได้อย่างลงตัว เรื่องราวดูหนังฟรีพยายามปูอดีตของนางเอกที่มีปมบางอย่างกับตัวละครหลักในปัจจุบัน และก็มีความชอบอะไรที่เป็นเรื่องปริศนาแปลกๆ อย่างแมวดำ
กับความเจ็บช้ำรักที่ผ่านมารวมกันจนไม่กล้าเปิดใจให้ใครอีกต่อไป แต่เธอก็ยังมีแรงดึงดูดผู้ชายแย่ๆ เข้ามาไว้ที่ตัว ซึ่งตัวเรื่องเล่นกับพฤติกรรมจิตๆ ของ ชเวจองมิน ที่หน้าฉากกับนางเอกเขาคือผู้ชายที่มีเสน่ห์พร้อมทำอะไรก็ได้ให้เธอรัก
แต่พออยู่กับคังดาจองที่เป็นพระเอกของเรื่องนี้กลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน จนพระเอกวินิจฉัยว่าเขาเป็น โรคโซซิโอพาธ (Sociopath) ไม่แคร์ผู้อื่น ต่อต้านสังคม และอาจจะเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมปริศนาที่ปิดไม่ได้ที่ตึกแห่งนี้ที่เป็นที่พักกับที่ทำงานของพระเอกนางเอก
ซึ่งตัวเรื่องหลอกล่อและเล่นกับความรู้สึกนางเอกที่เริ่มมีใจให้เขาได้เป็นอย่างดี จนคนดูคงรู้สึกว่าซีรีส์เรื่องนี้น่าจะเดินเรื่องไปในทิศทางนี้ซึ่งเอาจริงๆ ก็สนุกและน่าติดตามมากด้วย แต่เมื่อจบ EP2 เรื่องราวทั้งหมดจึงหักมุมเฉลยฉากเปิดเรื่องในตอนแรก ซึ่งหลังจากนี้ไปคือเมนหลักจริงๆ ของเรื่องนี้
แนวรักผสมสืบสวนจิตวิทยา?
ต้องบอกว่าการหักมุมแบบสุดๆ ในตอนจบของ EP2 ทำให้เรื่องดูน่าติดตามมาขึ้นมาก แต่มันกลับน่าผิดหวังเมื่อเรื่องกลับมาเดินหน้าในแนวที่แตกต่างจากสองตอนแรกเหมือนหนังคนละม้วน จากตอนแรกที่เป็นแนวรักผสมสืบสวนไซโคจิตวิทยาที่ค่อนข้างให้น้ำหนักพอๆ กัน
แต่หลังจากนี้ไปแทบจะเป็นหนังออนไลน์รักเต็มตัว กินเวลาไป 70-80% ในแต่ละตอน โดยตัวเรื่องเปิดทางให้พระเอกอย่างจูยองโดเริ่มเข้ามามีบทบาทปกป้องและแอบจีบนางเอกแบบเนียนๆ จนกลายเป็นแนวโรแมนติกกุ๊กกิ๊กักนตลอดเรื่อง
เมื่อนางเอกกลายเป็นคนที่ฝังใจกับความสัมพันธ์แย่ๆ มากกว่าเดิมจนไม่อาจจะเปิดใจได้อีกแล้ว ก็เลยเอาจุดนี้มาเดินเรื่องให้พระเอกเข้ามาเทคแคร์เยียวยาจิตใจของเธอ จนกลายเป็นการปลูกต้นรักใหม่อีกครั้งสมกับชื่อเรื่องนี้เลย
ซึ่งถ้ามองในมุมของแนวรักโรแมนติกเรื่องนี้ทำได้ดีเลย แม้พระเอกนางเอกอาจจะไม่ได้สวยหล่อมาก แต่ก็ดูได้สนุกเพลินๆ อยู่ เพียงแต่ว่าปัญหามันคือส่วนคดีฆาตกรรมที่เรื่องเปิดทิ้งไว้ในสองตอนแรกนี่แหละที่มันแทบหายไปจากเรื่องหลักเลย
คดีฆาตกรรม
เนื้อเรื่องส่วนคดีฆาตกรรมที่เปิดไว้แบบโคตรปริศนา ทั้งในอดีตที่นางเอกอาจจะรู้จักกับคนร้าย หรือตัวละครอย่าง ชเวจองมิน จริงๆ แล้วคือใครกันแน่ ตัวเรื่องเปิดตัวละครใหม่ เอียน เชส หมอจากอเมริกาที่กลับมาเกาหลี
แถมมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับ ชเวจองมิน อย่างกะแฝด ตัวเรื่องพยายามใส่ปริศนาเข้ามาต้นเรื่องของทุกตอน แต่ก็ไม่ได้ช่วยคลายปมอะไร กลับกลายเป็นการสะสมปริศนาให้งงขึ้นเรื่อยๆ ว่าตัวละครเหล่านี้มาเกี่ยวข้องกันอย่างไรกับนางเอกของเรื่อง
ในระหว่างตอนจะมีฉากสั้นๆ ที่เกี่ยวกับการสืบสวนทั้งของตัวพระเอกกับตำรวจที่พยายามปิดคดีฆาตกรรมปริศนาหลายคดีต่อเนื่องกันในอดีต แต่ยังจับคนร้ายไม่ได้ (พระเอกช่วยงานเป็นที่ปรึกษาตำรวจ) ซึ่งมันสั้นมากจริงๆ เหมือนเรื่องพยายามขยั��ปกปิดไว้เต็มที่ ในระหว่างเดินเรื่องรักเต็มสูบไปด้วย
แล้วตอนท้ายของทุกตอนก็จบลงด้วยการวกกลับมาเรื่องฆาตกรรมต่ออีกนิดหน่อย วนไปวนมาแบบนี้จนถึงตอน 6 ล่าสุดของรีวิวที่เขียนนี้ตัวเรื่องส่วนนี้ก็ยังไปไม่ถึงไหน จนกลายเป็นความยืดยาดของเรื่อง เหมือนเรื่องจริงๆ มีนิดเดียวแค่นั้น
แผลในใจ?
สิ่งที่ซีรีส์ You Are My Spring เน้นย้ำและสื่อสารมาถึงคนอยู่อย่างชัดเจนคือประเด็นเรื่อง ‘แผลในใจ’ เราทุกคนล้วนมีปมเล็ก-ใหญ่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ความคิด ชีวิต หรือจิตใจ รอวันที่จะเปิดเผยตัวและท้าทายให้เราก้าวข้ามไป
อย่างจูยองโดเอง แม้ว่าเขาจะเป็นจิตแพทย์ผู้เข้าใจก้นบึ้งความคิดของคนไข้มากมาย แต่กว่าจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้ เขาก็เคยเป็นเด็กชายผู้พ่ายแพ้ที่ต้องเผชิญกับคำโกหกมากกว่าความจริง และเข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจมาแล้ว
ซึ่งแม้จะบอกวิธีและจ่ายยาให้ใครต่อใครก้าวพ้นช่วงเวลายากลำบากไปได้ ตัวเขาเองก็ยังต้องการกำลังใจ คำปลอบโยน และอ้อมกอดอุ่น ๆ เพื่อปลอบโยนไม่ต่างกัน
เรื่องราวความรักของตัวละครรอง
ตัวเรื่องนอกจากตัวละครหลักที่กล่าวมาแล้ว ก็พยายามเสริมให้มีเรื่องราวความรักของตัวละครรอง อย่างเมียเก่าพระเอกที่หย่าไปเป็นดาราดังก็มาคบกับไอดอลดังที่รักเธอสุดๆ แต่เธอกลับยังมีเยื่อใยกับพระเอก ตัวเรื่องพยายามให้เป็นเหมือนรัก 4 เส้ากลายๆ
แต่ก็ไม่ได้เป็นเนื้อหาเข้มข้นอะไร ออกแนวตลกๆ แบบแอบเข้าใจกันผิดกันเป็นทอดๆ แค่นั้น ซึ่งก็เลยทำให้ตัวเรื่องรักๆ ยิ่งยืดเข้าไปอีก (จากที่แค่ฉากกุ๊กกิ๊กพระเอกนางเอก็ว่าเยอะแล้ว)

โดยรวม
ในโดยรวมแล้ว ส่วนของโปรดักชั่นและนักแสดงเรื่องนี้จัดแสงดีสมจริงมืดก็มืดจริง สถานที่เลือกได้เยี่ยม��่วนตัวเจย์ถูกใจโลเคชั่นดาดฟ้าของคังดาจองมากน่าอยู่ดูผ่อนคลายส่วนฝีมือการแสดงของนักแสดงนำทั้ง 4 รวมไปถึงนักแสดงสมทบเยี่ยมยุทธ์ทุกท่าน
แต่มีหนึ่งท่านที่ปลื้มเขามากคือคุณพี่ ยุนพัค แสดงแบบ Real เวอร์แววตาตอนอยู่กับดาจองละมุนมากไม่ไหวแต่พอเทิร์นออนโหมดฟาด ๆ ร้าย ๆ คือดูจิตแบบรังสีอำมหิตแผ่ซ่านออกมา��ากนัยน์ตา ซึ่งเจย์มองว่าตัวละครตัวนี้มันต้องมีซัมติงไปคาบเกี่ยวกับเหตุฆาตกรรมหรืออาจจะมีการหักมุมหักเลี้ยวแหกโค้งในตอนถัด ๆ ไปกันบ้างแหล่ะ
สรุป
สำหรับเรา You Are My Spring เป็นซีรีส์ที่ตอนแรกอาจไม่ได้คาดหวังมากนัก แต่เมื่อได้เริ่มดูแล้ว ความเรียบง่ายของหลาย ๆ องค์ประกอบโดยเฉพาะบทสนทนาในเรื่อง กลับส่งพลังและกระทบใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ ขณะเดียวกัน
ประเด็นเรื่องคดีฆาตกรรมก็สร้างทั้งความสับสนและสงสัย ส่งให้เรื่องน่าติดตามมากขึ้น เรียกว่าเป็นเส้นเรื่องรองที่เสริมเข้ามาให้คอซีรีส์แนวสืบสวน-สอบสวน รับชมไปพร้อมกับรับพลังจากข้อคิดดี ๆ ในเรื่องได้อย่างแน่นอน
0 notes
Text
It Chapter Two
รีวิว It Chapter Two - อิท โผล่จากนรก 2
นี่คือผลงานหนังภาคต่อจาก IT (2017) จากฝีมือผู้กำกับคนเดิมอย่าง แอนดี้ มุสชีเอตติ (Andy Muschietti) ที่ทุกคนรอคอย เพราะภาคแรกก็จัดว่าเป็นหนังขวัญใจมหาชน สามารถกวาดรายได้ทั่วโลกไปสูงถึง 700 ล้านเหรียญสหรัฐ แถมคำชมว่อนไปหมด ด้วยการดัดแปลงนิยายเรื่องโบว์แดงของ สตีเฟน คิง (Stephen King) ราชาสยองขวัญแห่งยุคออกมาได้อย่างมีคลาส มีรสนิยม แถมยังทำได้บันเทิงเหมาะกับผู้ชมหลากหลายแนวด้วย รีวิว It Chapter Two
เรื่องย่อ
ตัวตลกปีศาจเพนนี่ไวซ์จะกลับมาเยือนเมืองเดอร์รี่ รัฐเมนในทุก ๆ 27 ปี “It: Chapter Two — อิท โผล่จากนรก 2” จึงพาเหล่าตัวละครที่แยกย้ายจากกันไปนานกลับมารวมตัวกันอีกครั้งในวัยผู้ใหญ่ตามคำสัญญาที่ให้ไว้ในวัยเด็ก ซึ่งนับเป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษหลังจากเหตุการณ์สยองเกิดขึ้นกับพวกเขาตอนเด็กในภาพยนตร์ภาคแรก และนี่อาจถึงเวลาที่ต้องสะสางและจบ “มัน” เสียที
ในภาคจบนี้ดำเนินเรื่องแบบไทม์สกิปมาอีก 27 ปีถัดมา โดยใครที่ไม่ได้ดูภาคแรกมาก็ยังพอรู้เรื่องนะเพราะหนังก็อิงจากปัจจุบันที่เหล่าตัวละครโตมาเป็นผู้ใหญ่แล้วมากกว่า และแม้มีการย้อนอดีตไปช่วงวัยเด็กก็เป็นช่วงเวลาหลังจากเหตุการณ์ในหนังภาคแรกด้วย ก็เรียกว่าเป็นมิตรกับผู้ชมหน้าใหม่ที่บังเอิญถูกชวนมาดู
และยังทำให้ผู้ชมหน้าเก่าจาก��าคแรกรู้สึกเรื่องเดินไปข้างหน้าไม่ซ้ำเหตุการณ์จากภาคเดิมให้เบื่อด้วย ทั้งยังใช้เหตุการณ์ปริศนาที่ทุกตัวละครต่างถูกทำให้ลืมเลือนไปแล้วในช่วงซัมเมอร์หลังจากชนะอิทมาได้ มาเป็นกิมมิกสำคัญในการหาหนทางชนะอิทอีกครั้ง
นับเป็นความฉลาดในการเขียนบทที่ดี และยังดัดแปลงให้เข้ากับวิธีการเล่าเรื่องในหนังสือและฉบับมินิซีรีส์ที่เคยทำในลักษณะตัดสลับเรื่องในอดีตกับปัจจุบันได้อย่างดีด้วย
ความคารวะอย่างถูกที่ถูกทาง แบบไม่ตรงจนน่าเบื่อแต่ให้อารมณ์การดัดแปลงที่ไม่ดูถูกคนดูนี้ ก็ยังรวมถึงการได้รับเชิญมาร่วมเล่นโดยเจ้าของนิยายอย่าง สตีเฟน คิง ในฉากที่ถือว่าสมน้ำสมเนื้อไม่ได้แค่เดินผ่าน ซึ่งอาจมองเป็นการรับประกันหนังจากตัวต้นฉบับเองด้วยว่ามือถึงพึ่งได้ (ใครไปรอดู เตรียมตั้งใจดูฉากร้านขายของเก่าให้ดีครับ)
นักแสดง
ในภาคนี้เมื่อตัวละครหลักเติบโตขึ้น จึงได้คัดเลือกนักแสดงมากฝีมือมากมายมารับบทด้วย โดยที่เด่นนำมาก็คงเป็นบท เบฟ สาวหนึ่งเดียวของกลุ่มที่ได้ผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์ เจสสิก้า แชสเทน (Jessica Chastain) มารับบท ซึ่งเธอก็สามารถถ่ายทอดความเป็นเด็กสาวช่างฝันในรักแท้ที่คำกลอนในวัยเด็กยังติดตรึงใจมา
หากแต่ด้วยความที่ผ่านช่วงเวลาอันทรมานจากโลกความจริงทั้งเรื่องของพ่อและคนรัก ดวงตาอันอ่อนล้าและกรีดร้องยังกู่ก้องในแววตาเช่นกัน นับเป็นบทที่ต้องใช้ฝีมือของแชสเทนจริง ๆ
ด้านตัวนำเด่นของกลุ่มอย่าง บิล ที่กลายมาเป็นนักเขียนนิยายชื่อดังที่แฟน ๆ ทุกคนเกลียดตอนจบของหนังสือแทบทุกเรื่องของเขา ก็ได้ เจมส์ แม็คอะวอย (James McAvoy) มารับบทซึ่งก็ไว้ใจฝีมือที่ต้องแสดงเป็นคนติดอ่างมีทั้งความกล้าและความไม่สมบูรณ์ในตัวได้อย่างน่าสนใจ
ด้านดาวเด่นของงานดูหนังฟรีแบบเกินคาดหมายขอยกให้ บิล เฮเดอร์ (Bill Hader) ที่มารับบท ริชชี่ ปากมอมที่โตมากลายเป็นดาวตลกอาชีพที่คอยพูดมุกสไตล์ตลกร้ายใส่เพื่อน ๆ และคนดู จนหนังปลอดล็อกสถานการณ์ชวนอึดอัดให้ผ่อนคลายได้สนุกสนานมาก ๆ ตลอดเรื่อง นักแสดงอื่น ๆ นอกจากนั้นก็ถือว่าฝีมือได้มาตรฐานไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเท่าไร
และอาจต้องพูดถึงการแสดงของ บิลล์ สการ์สการ์ด (Bill Skarsgård) ในบท เพนนีไวซ์ ปีศาจตัวตลก ที่บอกได้เพียงว่าเด็ดดวงสยองเกล้าเช่นเดิม ยิ่งได้ซีจีมาช่วยเพิ่มความบิดเบี้ยวของการแสดงก็ยิ่งหลอนมากขึ้น ฉากที่ทำได้อย่างน่าจดจำก็เช่นฉากนับถอยหลังจนน้ำลายไหล ที่ทำเอาขนลุกเกรียวทีเดียว
การดำเนินเรื่อง
It Chapter 2 เปิดเรื่องราวมาที่เทศกาลคาร์นิวัลในเมืองเดอร์รี หลังจากที่คู่รักชายรักชายกำลังมีความสุขในงานแห่งนี้ แต่กลุ่มวัยรุ่นอันธพาลได้ตัดสินใจหาเรื่องทั้งสองคน ลามเลยไปถึงการซ้อมทั้งคู่จนอาการสาหัส
เท่านั้นยังไม่พอเมื่อกลุ่มอันธพาลจับ 1 ในผู้เคราะห์ร้ายโยนลงสะพานไป เคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่ริมตลิ่ง “มัน” ในคราบของตัวตลกเพนนีไวส์ได้ยืนรอจะกัดกินเหยื่ออย่างเลือดเย็น จากเหตุการณ์นี้ได้สะท้อนให้คนดูเห็นว่า
สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในเมืองเดอร์รีนั้น เป็นเมืองที่ผู้คนเองก็มีความป่าเถื่อนชั่วร้ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มิหนำซ้ำการปรากฏตัวของ “มัน” ก็ไม่ได้ปลุกเร้าให้ผู้คนมีความกระตือรือร้นในที่จะตระหนักว่ามีภัยคุกคามเข้ามาในเมืองของพวกเขาสักเท่าไหร่ เพราะว่าอาชญากรรมในเมืองนี้อาจจะเป็นเรื่องปกติไปแล้วในสายตาของผู้คนทั่วไป
สำหรับแก็งค์เด็กขี้แพ้ แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่ “ความกลัว” ก็มิเคยเลือนหาย กลายเป็นปมฝังรากลึกในใจ จนทำให้ Loser กลายเป็นอีกขั้นของ Loser ซึ่งตัวหนังจะค่อยๆพาเราคลายปมตรงนี้ พร้อม Flashback เรื่องราวในภาคแรกให้ซิงค์กับภาคสอง เพื่อให้เราประติดประต่อเรื่องราวได้อย่างพอสังเขป
ช่วงนี้อาจมีเบื่อบ้างเพราะมีซ้ำมุขเดิม จับทางได้ง่ายไปหน่อย แต่ประทับใจสุดคือการแคสต์นักแสดงจากเด็กเล็กสู่เด็กโตที่ค่อนข้างเนียนทั้งเค้าโครงหน้าและการแสดงหนังใหม่ชนโรง โดยเฉพาะ “คนแปลงร่าง” อย่างเจ้าเด็กอ้วนเบน ที่เปลี่ยนตัวเองให้ผอมเพรียวหล่อขึ้นแบบหน้ามือเป็นหลังมือ
เหตุการณ์ในหนังพาร์ท 2 ก็ไม่ต่างกัน เวลา 27 ปีที่ผ่านพ้นไป เด็กๆกลุ่มขี้แพ้ได้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีชีวิตที่ดีขึ้นหลังจากที่พวกเขาเดินจากบ้านเกิดไป ความห่างไกลบ้าน
ทำให้พวกเขา “หลงลืม” อดีตไปจนเกือบหมด จนกระทั่งวันหนึ่ง ไมค์ (ไอเซห์ มุสตาฟา) ได้ติดต่อไปหาเพื่อนๆทุกคนว่า “มัน” ได้ตื่นจากการจำศีลและออกมาคุกคามเด็กๆในเมืองเดอร์รีอีกครั้ง
แม้ว่าตอนแรกการเดินทางกลับบ้านเกิดของเหล่ากลุ่มขี้แพ้ จะเป็นเหมือนการ “คืนสู่เหย้า” เพื่อพบปะเพื่อนๆ แต่ความเป็นจริงแล้ว เมื่อความกลัวเริ่มกลับมาเกาะกุมจิตใจของพวกเขา อดีตในวัยเด็กก็ตามกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง
การต่อสู้ระหว่างปม
ซึ่งช่วงกลางเรื่องของหนังได้เผยให้เห็นการต่อสู้ระหว่างปมในจิตใจของตัวละครกับความกลัวที่ซุกซ่อนอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจของแต่ละคนออกมาให้คนดูได้เห็น
จุดเด่น
ซึ่งความรู้สึกหลังการได้พบกับ “มัน” อีกครั้ง บอกได้เลยว่านี่คือหนังภาคต่อที่สมบูรณ์แบบอีกเรื่องหนึ่ง การเล่าเรื่องโดย Flash Back ส่งความทรงจำกลับไปให้ผู้ชมได้เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นในภาคแรก ทำให้การเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่าง ๆ ทำได้ง่าย ฉากลุ้นระทึกกับการเอาตัวรอดจากเจ้าตัวตลก เพนนี่ไวซ์ ที่มีตลอดแทบทั้งเรื่อง
แถมยังสอดแทรกมุกตลกของตัวละครเป็นระยะ ๆ เพื่อให้คลายความระทึกของหนัง พาร์ทของนักแสดงกับแก็งเด็กขี้แพ้ตอนโตก็ทำได้ดี คาแรกเตอร์คือการถอดแบบแก็งขี้แพ้ในวัยเด็กออกมาชัด ๆ ซึ่งถือว่าเป็นภาคต่อที่ยอดเยี่ยมสมกับการตั้งตารอ และหากจะให้สมบูรณ์แบบแนะนำให้ไปหาภาคแรกมาดูก่อน จะทำให้เข้าใจเนื้อเรื่องและเพิ่มอรรถรสได้เป็นอย่างดี
เหตุการณ์ในพาร์ทนี้ยังเป็นการ “เติมเต็ม” ความทรงจำของตัวละครในวัยเด็กให้คนดูได้เห็นอีกครั้งหนึ่งว่า บรรดาพวกขี้แพ้ ทุกคนต่างก็มีประสบการณ์ในชีวิตของแต่ละคนที่เลวร้ายและเป็น “ปม” ในจิตใจเช่นกัน
และแล้วเมื่อบทสรุปของเรื่องราวมาถึง การต่อสู้กับ “มัน” จึงไม่ใช่แค่การปะทะกันแค่เพียงกายภาพ แต่พวกเขายังต้องต่อสู้กับจินตนาการความกลัวของตัวเองอีกด้วย
จุดที่ชอบ
3 อย่างที่ชอบมากในหนังเรื่องนี้คือ หนึ่งความครบรสที่มีทุกอารมณ์ทั้งสยองก็สุด ขำก็สุด ซึ้งก็สุด ช่วงการต่อสู้กับตัวตลกแต่ละฉากก็มันสะใจ สองคือรสนิยมที่มีคลาสสูงด้วยทุนสร้างที่ไม่สูงมาก ทั้งสวยทั้งแปลกและหลอนได้ตามเป้าประสงค์ ทั้งยังมีความสร้างสรรค์ในการจินตนาการความกลัวออกมาอย่างน่าทึ่งต��องชมทีมศิลป์ด้วย
และสุดท้ายคือการตกผลึกเรื่องราวได้อย่างน่าชื่นชม ในช่วงจบทำให้เราอินและหลงรักหนังได้มากที่เดียว สิ้นสุดการเดินทางแสนยาวไกลของแก๊งขี้แพ้ที่บอกพวกเราว่าเพราะทุกคนอ่อนแอจึงไม่เคยคิดทิ้งกัน นั่นคือคำว่าเพื่อนที่ไม่เคยตายนั่นเอง
ใครบางคนอาจชอบภาคแรกมากกว่า แต่ส่วนตัวค่อนข้างบันเทิงและอินกินใจกับภาคนี้มากกว่า ด้วยการเปรียบเปรยความเป็นผู้ใหญ่ที่ขี้แพ้กับวัยเด็กที่เฉียบคมนี่เอง

บทสรุป
เป็นหนังยาวเกือบสามชั่วโมง แต่ไม่น่าเบื่อ ดูแล้วมีความอิ่ม การทำหนังจากหนังสือมันไม่ง่าย แต่เค้าทำออกมาได้ดีและมีบทสรุปที่น่าพึงพอใจมาก คุ้มกับเงินและเวลาที่ใช้ไป โดยส่วนตัว ชอบภาคนี้มากกว่าภาคแรกนิดหน่อย
แต่ว่าแต่ละภาคก็มีฟีลลิ่งของใครของมันแต่ก็มีความดีอยู่ในหลายๆ จุด โดยเฉพาะงานด้าน Cinematic ของอลังที่ดีงามมาก
0 notes
Text
You Are My Glory
รีวิว You Are My Glory - ดุจดวงดาวเกียรติยศ
สำหรับซีรี่ส์ You are My Glory หรือชื่อไทยว่า ดุจดวงดาวเกียรติยศ เป็นซีรี่ส์ที่ดัดแปลงมาจากนวนิยายเรื่องดุจดวงดาวเกียรติยศ ผลงานประพันธ์ของ กู้ม่าน (ใครอยากอ่านฉบับแปล สำนักพิมพ์อรุณ มีจำหน่ายนะ) กู้ม่าน คือ นักเขียนนิยายชาวจีนที่อยู่เบื้องหลังการประพันธ์ซีรี่ส์จีนหลายๆ เรื่องที่โด่งดัง ไม่ว่าจะเป็น Love O2O (เวยเวย เธอยิ้มโลกละลาย) , Boss & Me ขุนให้อ้วนแล้วชวนมารักกัน เป็นต้น รีวิว You Are My Glory
เรื่องย่อ
สร้างจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของ กู้ม่าน (顾漫) นำแสดงโดย หยางหยาง และ ตี๋ลี่เร่อปา บอกเล่าเรื่องราวความรักสุดโรแมนติกของ เฉียวจิงจิง ซูเปอร์สตาร์สาวยอดนิยมและ อวี๋ถู นักวิศวกรการบินอวกาศสุดหล่อที่เส้นทางชีวิตของทั้งคู่ดูไม่น่าจะมาบรรจบกันได้เลย
ช่วงนี้หากใครเป็นแฟนซีรี่ส์จีน จะเห็นภาพของหยางหยาง และ ตี๋ลี่เร่อปา เต็มฟีดไปหมด เพราะความฟินเกินลิมิตของซีรี่ส์เรื่องนี้ สำหรับผู้เขียนต้องบอกว่าไม่ธรรมดาจริงๆ เคมีพระนางทั้งหล่อและสวยสมกันไม่พอ เนื้อเรื่องยังดำเนินเรื่องได้ดี คือ ตัดคำว่า ‘น่าเบื่อ’ ทิ้งไปได้เลยในพจนานุกรมของการดูซีรี่ส์เรื่องนี้
อีกหนึ่งซีรี่ส์จีนที่แฟนๆ รอคอย เพราะได้พระเอก และนางเอก ที่หล่อสวย ระดับท็อปของวงการ อย่าง หยางหยาง และ ตี๋ลี่เร่อปา ทั้ง 2 ฝากผลงานที่แฟนชาวไทยยากจะลืมไว้อย่างมากมาย อย่าง Love O2O (เว่ยเว่ย เธอยิ้มโลกละลาย)
และ The King’s Avatar (เทพยุทธ์เซียนกลอรี่) ของหยางหยาง ที่เป็นซีรี่ส์เกี่ยวกับเกมทั้งนั้น และเรื่องนี้ก็ยังมีเรื่องเกมอยู่เช่นเดิม ส่วน เร่อปา ก็คงไม่หนี สามชาติสามภพป่าท้อสิบลี้ ทั้ง ภาค 1 และ 2
เนื้อเรื่อง
บปีก่อน เฉียวจิงจิงไม่คิดว่าตัวเองจะส่องประกายเป็นดาวได้ แต่ถึงเธอจะสวยน่ารัก ผู้ชายที่เธอชอบกลับไม่รู้และไม่เคยสังเกตเห็นเธอเลยแม้แต่น้อย... เฉียวจิงจิง ซูเปอร์สตาร์สาวมืออาชีพ ทำงานหนักมาก แอบชอบเพื่อนสมัยเรียนมาเป็นสิบปีและไม่เคยลืมเขา
แต่ในระหว่างระยะเวลาสิบปี เธอก็ยังใช้ชีวิตปกติ ยังมีแฟน ยังหวังว่าจะสามารถใช้ชีวิตได้โดยปราศจากผู้ชายคนนั้น อวี้ทู่ หรืออวี้ต้าเสินแห่งโรงเรียนมัธยม เขามีความฝันที่จะเป็นวิศวกรการบินและอวกาศ แต่ครอบครัวอยากให้เรียนเกี่ยวกับการเงิน
แม้จะเรียนตามครอบครัวชี้นำ แต่กลับเลือกเรียนต่อและทำงานในหน่วยงานด้านการบินและอวกาศแห่งชาติ ระหว่างเรียนเขาได้คบหาผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่กี่ปีก็เลิกกัน ทั้งสองคนพบกันอีกครั้งในโลกออนไลน์ ในเกม King of Glory
การดำเนินเรื่อง
พล็อตเรื่องดูเป็นนิยาย แน่ล่ะ มันนำมาจากนิยาย แต่บอกเลยว่าเลือกนักแสดงนำมาได้ปังมาก เพราะตี๋ลี่เร่อปาเหมือนเล่นเป็นตัวเอง เพราะชีวิตจริง เฉียวจิงจิงก็คือตี๋ลี่เร่อปา สวย น่ารัก ใส่ชุดอะไรก็คือดีงามมาก
แล้วอวี๋ถูคือ เหมาะกับบทหยางหยางมาก หนุ่มหล่อขรึม สูงยาวเข่าดี ดูใจดีอบอุ่น เคมีคือ ชวนกรี๊ดสุด นักแสดงสมทบอย่างแฟนเก่าของทั้งคู่ที่ดู���ั่นหน้า แต่ไม่หนักใจว่าจะมาเป็นอุปสรรคใด ๆ เพราะบอกเลยว่าคนดูไม่ไขว้เขวแน่นอน เคมีของทั้งคู่ทำลายล้างเสียขนาดนั้น!
เปิดเรื่องมาที่ สถาบันวิจัยอวกาศแห่งชาติ “อวี๋ถู” พระเอกของเรากำลังประชุมเครียด เรื่องโครงการสร้างจรวดสำรวจอวกาศของจีน ยอมรับเลยว่า 4 นาทีแรกนี่คิดว่าหนังสารคดี ผมเคยดูไปนาทีแรกแล้วต้องลุกไปทำธุระ เชื่อไหมว่า...ทิ้งไปเลย
หลายวันให้หลังถึงกลับมาเริ่มดูหนังออนไลน์ใหม่ แต่พอเข้านาทีที่ 5 เปิดตัวนางเอก “เฉียวจิงจิง” บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนไป แต่ก็ยังยอมรับว่า 2-3 ตอนแรกก็เป็นการปูเนื้อเรื่อง แล้วก็เผยตัวตน(บางด้าน) ตัวตัวละครออกมาให้เราได้เห็นแหละครับ
ตรงนี้จะมีการพูดถึงแบ็คกราวการใช้ชีวิตของตัวเอก และก็เกมมือถือสุดฮิตอย่าง Honor of Kings หรือ ROV ในบ้านเรานี่แหละ ถ้าจะถามว่าน่าเบื่อ หรือว่าไม่อินกับเกมจะดูไม่รู้เรื่องไหมต้องบอกว่าไม่เกี่ยวครับ บรรยากาศของละคร
หรือสิ่งต่างๆ ที่เสริมเข้ามาไม่ว่าจะเป็น เพื่อนพระเอกที่มีนิสัยโอเวอร์แอ็คติ้งนิดๆ ทำให้มีฉากขำๆ พอยิ้มได้ หรือแม้แต่นางเองที่ก็ไม่รู้เรื่องเกมเหมือนกัน แต่อาศัยความน่ารักแบบล้นๆ มาดึงดูดสายตาของคนดู แล้วให้พระเอกค่อยๆ สอนไปด้วยหน้าตาหล่อๆ แบบวัวตายควายล้ม นั่นก็เพียงพอให้วางซีรี่ส์เรื่องนี้ไม่ลงแล้ว
ในเรื่องของเกม
ต้องแอบกระซิบว่าด้วยความที่ซีรีส์เป็นเรื่องเกมเมอร์ E-sport โปรดักชั่นเกม King of Glory คืออลังการงานสร้าง ภาพสวยชวนอยากไปเล่นด้วยเลย แอบโปรโมทเกมไปในตัวถือเป็นความฉลาดของซีรีส์ฝั่งจีนที่หยิบเอาเรื่องราวของ E-sport เข้ามาใส่ในเรื่องนิยายจนสร้างมาเป็นซีรีส์ชวนให้วงการเกมปังเข้าไปอีก ยังไม่เท่านั้น....
ในเรื่องยังมีเรื่องของฝ่ายอวกาศ หรือกิจการอวกาศแห่งชาติจีน (CNSA) หากเราพูดถึงเรื่องนอกโลกมักจะนึกถึงนาซ่า ( NASA ) ของอเมริกา แต่จริง ๆ จีนนั้นขึ้นมาเป็นชาติมหาอำนาจและขยันขันแข็งทุ่มทุนมหาศาล สนับสนุนกิจการด้านอวกาศจนหนังหลาย ๆ เรื่องก็จะเห็นว่า CNSA ของจีนเข้าไปเป็นส่วนร่วมในชาติมหาอำนาจ
การให้น้ำหนักของเกม หรือช่วงวิชาการก็วางได้ดี อย่างช่วงเกมพอผ่านไปสักพักก็เริ่มเฟสลง แม้จะมีการพูดถึงเกมจนถึงกลางๆ เรื่องก็ตาม แต่หลังจากตอนที่ 5 ผมคนดูน่าจะเริ่มเข้าใจส่วนสำคัญๆ ของเกมในละครได้แล้ว และด้วยที่บทปูไว้ให้เราไปโฟกัสที่แนวคิดหรือมุมมองของตัวละครมากกว่า
ทำให้คนดูไม่รู้สึกดรอปแน่นอน เอาจริงๆ ช่วงต้นเรื่องนี่ตัวละครถือว่ามีการพัฒนาที่เร็วมากเหมือนกันครับ แต่ละคนค่อยเปลี่ยนแนวคิด คำพูดคำจาให้เผยถึงตัวตนจริงๆ ของตัวละครนั่นๆ มากขึ้นเลยๆ และนั่นก็เป็นเรื่องที่ทำให้คนดูเริ่มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันเป็นแถวๆ
ดราม่ามีเล็กน้อย
หลังจากนั้นละครก็พาเราไปหาดราม่าเล็กน้อย แต่คงไม่อยากทำร้ายคนดูจนเกินไป จึงทำให้เรื่องดราม่านั้นมีหนักจริงๆ แค่ 2-3 ตอน แต่ช่วงนั้นก็เผยให้เราเห็นถึงแนวคิดของนางเอกที่ผมว่าดีมากๆ
ซึ่งก็คือนางเอกเป็นคนที่รักใครรักจริง ไม่สนใจเรื่องอื่นเลย นอกจากเรื่องเดียวคือ “อยากเป็นแฟนกับคนที่ รักฉันไม่น้อยกว่าที่ฉันรักเขา” แค่นั้น
โรแมนติกคอมเมอร์ดี้!
พอจบเรื่องดราม่า ก็เข้าสูงช่วงโรแมนติกคอมเมอร์ดี้จริงๆ แบบเต็มอิ่มเลย ตัวละครเกือบทุกตัวเผยให้เห็นบุคลิกใหม่แทบทั้งหมด โดยเฉพาะพระเอกของเรา หลังจากที่ประกาศว่า “ต่อไปนี้ผมจะริ่มรุกแล้วนะ” ก็ใส่เต็มไม่มียัง
กลายเป็นคนร้ายๆ ที่ขยันหยอดกันรัวๆ ตรงนี้รู้เลยว่าผู้แต่งน่าจะเอาใจคนดูมากๆ เซอร์วิสแหละดูออก คนดูก็เบาหวานขึ้นตา จิกหมอนขาดกันไป ซึ่งบทพูด ทั้งตอนหยอด ทั้งต้องยิงมุข ที่ถึงมากๆ จัดว่าเฉียบ!
จุดที่ชอบ
การดำเนินเนื้อเรื่องถือว่ารวดเร็ว ตอนแรกพระนางก็มาเจอกัน(บนโลกออนไลน์) ประเด็นในเรื่องถือว่าเข้าใจง่าย นางเอกฝึกเล่นเกมและหาโค้ชเก่ง ๆ มาสอนซึ่งก็คือพระเอกที่ดันเป็นรักในวัยมัธยม เข้าทางสาวจิงจิงเลย
พอมาเจอกันก็มีความน่ารัก นางเอกก็แอบมีความหาวิธีจะได้เข้าใกล้ แอบช่วยเหลือห่าง ๆ อารมณ์เจอหนุ่มที่แอบชอบอีกครั้ง แต่ครั้งนี้คือ ปณิธานแล้วว่า เขาต้องเป็นของชั้น! คือน่ารักจริง ๆ จ้า
อีกอย่างที่ชื่นชอบคือ เรื่องของเกมที่ใส่มาพอให้กรุบกริบ ดีกว่ามานั่งเล่นเกมอย่างเดียว มีหลายปมทั้งเรื่องความสัมพันธ์ ชีวิตส่วนตัว อนาคต รวมไปถึงความจริงที่พระเอกมักจะคิดเสมอว่าเขานั้นเหมาะสมกับนางเอกหรือไม่ ถือเป็นซีรีส์ที่ใส่อะไรเข้ามาเยอะมาก แถมภาพยังสวย ดูแล้วละมุน บอกเลยว่ามีดีกว่าแค่พระนางหล่อสวยน่ะทุก ๆ คน
โดยรวม
จริงๆแล้ว ตัวซีรี่ย์ Netflixยังมีความแปลกอีกเล็กน้อยคือ จริงๆ แล้วซีรี่ส์สามารถจบได้ตั้งแต่ตอนที่ 21 แบบว่าซีนสุดท้ายของตอนนั้น ถ้าให้เป็นตอนจบก็เป็นตอนจบที่ดีได้เลยแหละ แต่ตอน 22 ที่เปิดมาผู้กำกับก็ยังใช้สถานที่เดิมจากตอนที่ 21 เป็นตอนซึ่งก็ทำให้ตัวซีรี่ส์เชื่อมกันได้ดี
จากที่ฟังคนที่อ่านนิยายมาก่อนเขาบอกว่าในนิยายนี่ ตั้งแต่ตอนที่ 22 ไปเหมือนเป็นตอนพิเศษมากกว่า เพราะมันจะเล่นเรื่องราวเป็นช่วงๆ จนเป้าหมายสูงสุดของพระเอกสำเร็จซึ่งก็คือการส่งจรวจที่ตัวเองร่วมวิจัยมากว่า 10 ปีสู่อวกาศได้สำเร็จ
แต่ผมบอกได้เลยว่าตั้งแต่ตอนที่ 22-32 นี่ไม่ว่าคุณจะ ยิ้ม หัวเราะ หรือเสียน้ำตา ก็ล้วนมาจากความปลื้มปิติ และประทับใจในฉาก หรือเนื้อเรื่องทั้งนั้น ไม่มีดราม่างี่เง่าๆ ให้เสียอารมณ์ บรรยากาศเปลี่ยนไปเป็นแบบสบายๆ มากขึ้น ตัวละครออกลวดลายได้เต็มที่
และนักแสดงก็เล่นได้สมจริงและเป็นธรรมชาติมากๆ ผมเชื่อว่าทุกคนที่ได้ดูจะรู้ได้ว่าบางฉากเกิดจากความไม่ตั้งใจจริงๆ แต่ปฏิกริยาของนักแสดงกับสิ่งที่เกิดขึ้นนอกบทนั้นมันดีมากจนไม่ถูกตัดออกครับ และตอนนี้นี่ก็เป็นซีรี่ส์เรื่องแรกของปีนี้ที่ผมเก็บไว้แล้ว…

สรุป
พูดได้เลยว่าซีรี่ส์เรื่องนี้นั้น พระเอกกับนางเอกไม่ได้มีดีแค่หน้าตา การแสดงสีหน้า หรืออารมณ์ทำได้ลื่นไหลและเป็นธรรมชาติมาก และยิ่งพอได้��ทที่เรียบเรียงมาอย่างดี ยิ่งทำให้คนดูรู้สึกอินกับละครไปได้อย่างไม่ยากเลย
ตัวละครของทั้งพระเอกและนางเอกก็ถือว่ามีมิติอยู่ไม่น้อย พระเอกเป็นคนเรียนเก่ง กีฬาเด่น หน้าตาดี วางตัวดี มีอุดมการณ์ ทำอะไรก็เก่งไปหมด ยกเว้นทำอาหาร แต่มีฉากหลังเป็นคนที่ขี้อำ ขี้แกล้งสุดๆ
ส่วนนางเอกก็ถือว่า สวย ฉลาด ทันคน มีไหวพริบ และทัศนคติที่ดีมากๆ ชอบคือชอบ อยากทำอะไรถ้าไม่ใช่เรื่องไม่ดีทำ (ขนาดเป็นดาราเบอร์ใหญ่ยังเปิดฉากรุกจีบพระเอกก่อนอะคิดดู) แต่ก็ยังขี้อำเหมือนกัน แล้วเมื่อคนขี้อำ���าเจอกัน ความป่วนก็เลยเกิดขึ้น เรียกว่าการรวมหัวกันอำคนอื่น หรืออำกันเองนี่มีตลอดเรื่อง
เรื่องนี้ไม่มีพระรองเด่นๆ มาแย่งซีนเหมือนละครโรแมนติกทั่วๆ ไป คุณจะได้ดื่มด่ำกับความน่ารัก และความเท่ ของพระเอกนางเอก แบบเต็มๆ ตลอดเรื่อง เพื่อนพระเอก เพื่อนนางเองมีไว้มาตบมุข หรือให้ตัวเอกแกล้งเล่นเท่านั้น ดราม่ามีน้อยมาก ดูเพื่อความบันเทิง
และความฟินล้วนๆ เพราะตอนที่ตัวเอกคบกันแล้ว งานของทั้งคู่ทำให้นานๆ ถึงจะได้เจอกันที พอเจอกับปุ๊บฉากเซอร์วิสก็มาปั๊บเรียกว่าศพสีชมพูเกลื่อนหน้าจอเลยล่ะ
เพลงเพราะ ดนตรีประกอบเหมาะสม CG ก็ไม่ธรรมดา แม้จะมีแค่ช่วงแรกๆ ที่เป็นฉากเล่นเกมของพระเอก กับนางเอกนั่นแหละ ภาพสวย วิวดี สรุปว่าดีทุกจุด แทบไม่มีข้อติเลย ผมรับประกันได้เลยว่าถ้าคุณนั่งดูตอนที่ 1 จนผ่านครึ่งตอนไปได้ (ประมาณ 20 นาที) ตอนที่เหลือมันจะตามมาแบบมีเท่าไหร่ก็ไม่พอครับ
0 notes
Text
The Nun
รีวิว The Nun - เดอะ นัน
เดอะ นัน คือหนังสยองขวัญเรื่องล่าสุดของจักรวาล The Conjuring เป้าประสงค์ของหนังเรื่องนี้คือการต่อยอดคาแรกเตอร์ตัวละครสุดขโมยซีนใน The Conjuring 2 อย่างผีแม่ชี หรือเป็นร่างจำแลงของปีศาจร้ายที่ชื่อว่า “วาลัค” ให้ผู้ชมได้มีโอกาสรู้จักต้นกำเนิดและที่มาที่ไปของปีศาจตนนี้ให้มากขึ้น รีวิว The Nun
เรื่องย่อ
แม่ชีสาวกับบาทหลวงออกเดินทางไปยังโรมาเนียเพื่อสืบค้นหาความลับเกี่ยวกับที่มาที่ไปของวิญญาณร้ายที่สิงสู่อยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
เรื่องที่ 5 ในจักรวาล the conjuring หลังจากดึงตุ๊กตาผีแอนนาเบลล์ มาเป็นภาคแยกไป 2 เรื่อง ก็ถึงคราวของ ผีแม่ชี ที่ไปสร้างความน่ากลัวจนเป็นที่จดจำใน The Conjuring 2 (2016)
ผีแม่ชี ก็เลยได้เป็นผีตัวที่ 2 ที่ได้มีเรื่องราวภาคแยก ที่พาผู้ชมย้อนอดีตไปดูความเป็นมาของผีแม่ชีตัวนี้ และตัวต่อไปที่จะมีเรื่องราวหนังภาคแยกของตัวเองก็คือ The Crooked Man ผีชุดแดงถือร่มที่โผล่มา 2 ฉากใน The Conjuring 2 เช่นกัน
แม้ว่า เจมส์ วาน ผู้ให้กำเนิดจักรวาล The Conjuring ไม่ได้มากำกับ แต่ก็ยังเป็นคนเขียนเรื่องร่วมกับ แกรี่ เดาเบอร์แมน ที่เพิ่งมีผลงานสุดฮิตอย่าง “IT” และเจมส์ ก็ยังนั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการสร้าง และมาช่วยในขั้นตอนถ่ายทำซ่อมด้วย
เนื้อเรื่อง
เหตุการณ์ไม่ปกติที่เกิดขึ้น ณ โบสถ์หลังใหญ่ใกล้เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในโรมาเนีย ทำให้ทางสำนักวาติกันต้องส่งคนมาตรวจสอบ ฟาเธอร์เบิร์ก (Demián Bichir) ผู้เรียกตนว่าเป็น ‘Miracle Hunter’
และแม่ชีผู้ฝึกหัดผู้ยังไม่ผ่านการสาบานตน ซิสเตอร์ไอรีน (Taissa Farmiga) ทั้งสองถูกส่งตัวมาเพื่อค้นหาความจริงจากเหตุพิลึกที่เกิดขึ้น การแขวนคอฆ่าตัวตายและเหตุอันแปลกประหลาดที่สมควรถูกไขให้กระจ่าง
เมื่อไปถึงที่นั่น พวกเขาก็พบว่ามันเป็นโบสถ์หลังใหญ่ที่อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้าน แถมชาวบ้านก็เลือกที่จะไม่พูดถึง มีเพียงชายคนเดียวที่มีหน้าที่ต้องไปส่งของที่นั่นทุกสามเดือน และเขาคือผู้พบศพแม่ชี ชายผู้เรียกตัวเองว่า เฟรนชี่ (Jonas Bloquet) ที่กลายเป็นตัวละครสำคัญในการไขปริศนาอันแสนสยองขวัญเช่นนี้
พวกเขาค้นพบสาสน์ลับจากปีศาจ ไม่เพียงชีวิตที่ตกอยู่ในอันตราย ทว่ายังรวมไปถึงชะตากรรม จิตวิญญาณของพวกเขาเอง และพวกเขาต้องเผชิญกับพลังงานที่มุ่งร้ายที่มาในรูปลักษณ์แม่ชี...ปีศาจ!!
การเล่าเรื่อง
เรื่องราวของ The Nun พาเราย้อนไปในปี 1952 ในทรานซิลวาเนีย ,โรมาเนีย ที่วิหารโบราณในป่าลึก มีแม่ชีสาวแขวนคอตาย ซึ่งเป็นเรื่องผิดบาปมากในคริสตจักร เรื่องราวรู้ไปถึงสำนักวาติกัน จึงส่งบาทหลวงเบิร์ค
พระนักสืบไปลงพื้นที่เพื่อหาเบาะแสการตายของแม่ชี พร้อมกับ ซิสเตอร์ไอรีน แม่ชีฝึกหัดให้ไปเป็นผู้ติดตามและคอยช่วยเหลือ ทั้งคู่ยังได้แฟรนชี่ หนุ่มผู้ชำนาญพื้นที่ไปคอยส่งและรับนักบวชทั้งสอง
แต่ก็ต้องตกกระไดพลอยโจนอยู่เผชิญความน่ากลัวในวิหารร้างนั้นไปด้วย ทั้ง 3 ยิ่งตามสืบก็ยิ่งเจอเรื่องราวขนหัวลุกมากมาย ก่อนที่จะได้เผชิญหน้ากับ “วาลัก” ที่ปรากฏกายในร่างผีแม่ชี ผู้อยู่เบื้องหลังการฆ่าตัวตายของแม่ชีสาว และทั้ง 3 ก็ต้องร่วมมือกันยับยั้งแผนการร้ายของมัน
บทหนังฝีมือของ แกรี่ เดาเบอร์แมน ทำได้ดีในเรื่องดูหนังออนไลน์การเพิ่มเติมความลึกลับซับซ้อนเข้าไปในเรื่องราวสยองขวัญ ช่วยเสริมให้ The Nun ดูมีความแตกต่างจากหนังในครอบครัว The Conjuring ที่ไม่ได้ขายความสยองกันอย่างเดียว
แต่มีการคลี่คลายปริศนาการฆ่าตัวตาย สืบหาจุดประสงค์ของวาลักที่มุ่งโจมตีเหล่าแม่ชีในวิหารแห่งนี้ และถอดปริศนาหาอาวุธมากำราบผีแม่ชี แต่ถึงแม้จะมีเรื่องราวการผจญภัยและปริศนามาสอดแทรก แต่เรื่องความสยองก็ไม่ได้น้อยลงไป
ในเวลา 90 นาทีของหนังอัดความสยอง��าแบบเต็ม ๆ เพราะหนังไม่ได้มีแค่ผีแม่ชีตามชื่อเรื่องเท่านั้น ยังมีผีเด็ก ผีแม่ชีสาว ที่สยดสยองไม่แพ้กัน แล้วก็ออกมาถี่ ๆ เสียด้วย เป็นหนังผีที่ผีดุ ผีออกถี่ แทบไม่ให้ได้พักหายใจ
ตัวละครหลัก
ตัวละครหลักในหนังมีแค่ 3 คน คือบาทหลวงเบิร์ค , ซิสเตอร์ไอรีน และ แฟรนชี่ ที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นพระเอกของเรื่องและเป็นตัวชงมุกให้หนังช่วยผ่อนคลายได้มาก ทั้ง 3 ทำหน้าที่เป็นตัวละครหลักและเหยื่อในคราเดียวกัน เพราะครึ่งหลังทั้ง 3 แยกย้ายกัน
แต่ก็โดนผีหลอกด้วยกันทั้งหมด ก็เลยได้ดูฉากผีหลอกทั้ง 3 คนสลับกันไปมา และทั้ง 3 ก็ยังเดินตามสูตรบังคับของหนังสยองขวัญคือการขาดต่อมความกลัว ยิ่งเห็นไรแวบ ๆ ได้ยินเสียงแปลก ๆ ในยามค่ำคืน แต่กลับต้องเดินเข้าไปหาแล้วก็เจอดี
หัวใจหลักของเว็บดูหนังในเรื่องอีกคนก็คือ บอนนี่ แอร์รอน เจ้าของบท “ผีแม่ชี” คนเดิมตั้งแต่ The Conjuring 2 เป็นนักแสดงที่หน้าตาน่ากลัวอยู่แล้วเป็นทุนเดิม เหมาะมากกับบทนี้ ทีมงานเมคอัปก็น่าจะชอบเพราะไม่ต้องเสริมเติมแต่งอะไรมากก็น่ากลัวเลย
ส่วนที่ต้องชม
ส่วนที่มีผลต่อความสยองของ The Nun อย่างมากคือการเลือกโลเคชั่น ที่ยกกองถ่ายกันไปถึงโรมาเนียจริง ๆ แล้วที่่น่าชื่นชมมากคือการไปเสาะหาเจอวิหารร้างแห่งนี้ แค่เห็นภายนอกก็ดูน่ากลัวแล้ว และเป็นวิหารที่ดูน่ากลัวจริง
กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่เพิ่มความน่ากลัวให้กับ The Nun ด้วยความเก่า และทางเดินมืด ๆ หลายซอกหลายหลืบ มีที่ให้ผีแอบเต็มไปหมด ผีใน The Nun เลือกจะมาในสไตล์ผีซ่อนแอบมากกว่าผีตุ้งแช่
ซึ่งฉากตุ้งแช่ก็มีแต่ไม่เน้น แต่มักจะมาแบบโผล่ตรงนั้น ตรงนี้ แต่พอหันก็หายไป เล่นกับฉากให้ลุ้นกลัวตกใจเสียมากกว่า แต่งานเมคอัปผสมกับงานซีจี ก็สร้างสรรค์ภาพลักษณ์ของผีแต่ละตัวออกมาได้น่ากลัวดี
มีส่วนที่ยังไม่สุด
จริงๆ Jump scare บางซีนก็แปลกดี แต่ส่วนมากก็จะตกใจกับเสียดังๆ ของซาวน์ประกอบซะมากกว่า คนที่ชอบแนวนี้ก็คงสะใจเพราะซีนแฮร่มันเยอะมากจริงๆ เรียกได้ว่ามาตั้งแต่ต้นยันจบ แต่สำหรับเราแล้วเราก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยสุดเท่าไหร่
ยังไม่ได้น่ากลัวแบบหลอนจริงจัง หรือว่าตกใจแรงมากถี่ยิบๆ แบบคอนเจอริ่ง The nun ยังสู้ตรงนั้นไม่ได้ ส่วนมากก็ยังเป็นมุขเก่าๆ เดิมๆ ที่พอจับทางได้ แถมยังมีความตลก อาจเพราะอย่างนี้เลยทำให้ไม่หลอนเท่าไหร่

โดยรวม
ยังคงเป็นหนังสยองขวัญที่รักษามาตรฐานของจักรวาล The Conjuring ไว้ได้ คอหนังสยองขวัญดูได้ไม่ผิดหวัง ถึงไม่เคยดูหนังในจักรวาล The Conjuring มาเลยสักเรื่อง ก็สามารถดูได้รู้เรื่อง แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นอยู่ในระดับต้น ๆ ของหนังจากจักรวาลนี้
ถึงแม้ผีจะออกถี่ ฉากลุ้นสะดุ้งจะมีมาก แต่ก็ไม่ได้มีฉากที่น่ากลัวถึงขั้นน่าจดจำพอให้หยิบมาพูดถึงหลังออกจากโรง และไม่ได้น่ากลัวเทียบเท่าการปรากฏตัวครั้งแรกของผีแม่ชีเองใน The Conjuring 2
อีกจุดที่น่าชื่นชมก็คือฝีมือเขียนบทของแกรี่ เดาเบอร์แมน สามารถเชื่อมฉากจบของ The Nun มาต่อเนื่องกับ The Conjuring 1 ได้อย่างลงตัว แล้วจบแบบปลายเปิดให้สานต่อวีรกรรมสยองของผีแม่ชีได้ต่อไป
0 notes
Text
Don’t Listen
รีวิว Don’t Listen - เสียงสั่งหลอน
หรือ เสียงสั่งหลอน - Voces หนังผีสเปน เรื่องราวของครอบครัวพ่อแม่ลูกที่เพิ่งย้ายเข้ามาในบ้านหลังหนึ่ง เพื่อทำการรีโนเวทแล้วเตรียมขายต่อ แต่พวกเขากลับต้องพบความสยดสยองของเสียงลึกลับที่ภายในบ้านหลังนี้ที่พร้อมจะทำลายชีวิตของผู้ที่เผชิญหน้ากับมัน และทำให้ผู้ที่พบเจอไม่มีวันลืมถึงความโหดร้ายในอดีตของมนุษย์ด้วยกันเอง รีวิว Don’t Listen
เรื่องย่อ
เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อ ครอบครัวพ่อแม่ลูก ที่มี แดเนียล ซาร่า และลูกชายวัย 8 ขวบคือ เอริค พวกเขาได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านเก่าหลังหนึ่ง แต่พวกเขาก็ไม่ได้รู้เลยว่า บ้านหลังนี้เป็นที่ร่ำลือกันในเมืองแถบนั้นว่าเป็นบ้านที่มีเสียงลี้ลับที่จะนำความสยดสยองและความตายเข้ามา
แม้ว่าบ้านหลังนี้จะถูกรีโนเวทขึ้นใหม่อย่างดี แต่จากนั้นสองสามีภรรยากลับพบว่าเอริคมีปัญหาอาการนอนไม่หลับ พวกเขาจึงให้จิตแพทย์มาช่วยตรวจดูอาการ ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าเพราะเขายังไม่ชินกับการเปลี่ยนสังคมและสิ่งแวดล้อม
แต่แท้จริงแล้วนี่กลับเป็นจุดเริ่มต้นของความสยดสยองที่เข้ามาเล่นงานครอบครัวนี้อย่างโหดเหี้ยม เมื��อความชั่วร้ายที่อยู่ในบ้านออกมาในรูปแบบของเสียงลี้ลับที่ทำให้ชีวิตคนที่ต้องเผชิญหน้ากับมันถึงแก่ความตาย
แดเนียลซึ่งไม่เคยเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ จึงตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจาก เฆมัน นักเขียนชื่อดังด้านการสำรวจปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ เพื่อขอให้เขามาช่วยหาคำตอบของสิ่งลี้ลับนี้ เฆมันและลูกสาวของเขาคือรูธ จึงถูกดึงเข้ามาพัวพันกับเรื่องราวสยดสยองครั้งนี้ด้วย
ใน Netflix มีภาพยนตร์มากมายหลากหลายแนวและหลากหลายประเทศที่ส่งตรงเข้ามาเรื่อย ๆ ซึ่งมีเยอะมากจนเลือกไม่ถูกและใช่ว่าจะสนุกทุกเรื่อง บางครั้งการดูตัวอย่างก็ไม่สามารถตัดสินความสนุกของหนังได้ ทำให้หลายคนจึงไม่กล้าดู กลัวว่าจะไม่คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป บางคนดูไปยังไม่จบก็ต้องเลิกดูบ้าง
บางคนเลื่อนหาจนต้องกลับมาดูเรื่องเดิมบ้าง ซึ่งหนังที่นำเข้ามาที่ไม่ใช่ผลงานของ Netflix จะมีกำหนดสัญญา ถ้าหมดสัญญาเมื่อไหร่ก็จะถูกนำออก แต่อาจจะนำกลับเข้ามาอีกครั้งก็เป็นได้ ดังนั้นบทความนี้เราจึงขอคัดหนังสำหรับคอหนังสยองขวัญ ซึ่งก็คือเรื่อง เสียงสั่งหลอน...!
เนื้อเรื่อง
เรื่องราวของครอบครัวหนึ่งที่ย้ายบ้านมาซื้อคฤหาสน์กลางป่าใหญ่ แต่พวกเขาก็โดนอาถรรพ์ของบ้านเล่นงานกันจนอยู่ไม่สุข สามพ่อแม่ลูกอย่าง แดเนียล ซาร่า และเอริคได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังเก่าขนาดใหญ่ แม้จะมีคนโจษจันกันไปทั่วว่าบ้านหลังนี้มีเสียงลี้ลับ
ซึ่งหาที่มาที่ไปไม่ได้ เมื่อแดเนียลพยายามรีโนเวทบ้านหลังนี้ เอริคลูกชายก็เริ่มมีอาการฝันร้ายและนอนไม่หลับ แดเนียลและซาร่าจึงตามจิตแพทย์มาดูแลอาการ แพทย์ก็ลงความเห็นว่าเอริคน่าจะไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ
ระหว่างที่จิตแพทย์กำลังขับรถเพื่อเดินทางกลับ เธอก็ได้ยินเสียงกระซิบสุดประหลาด หลังจากนั้นไม่นานนักรถของเธอก็เกิดการเสียหลังและพุ่งชนเสียบกับกิ่งไม้ขนาดใหญ่จนเสียชีวิตลงอย่างน่าสยดสยอง ไม่นานนักความเฮี้ยนของบ้านหลังนี้ก็เริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เมื่อจู่ๆคืนวันหนึ่งเอริคก็นอนละเมอและกลายเป็นศพนอนคว่ำหน้าอยู่ในสระน้ำในสวนของบ้าน
การตายอย่างกะทันหันของเอริคนำมาซึ่งความโศกเศร้าของซาร่า หลังจากงานศพลูกชายเธอจึงแยกตัวอยู่กับสามีชั่วคราว ระหว่างนั้นเองแดเนียลก็เริ่มได้ยินเสียงประหลาดแว่วมาจากวิทยุสื่อสารระยะสั้นที่เขาเคยใช้เล่นกับลูกชายเวลาว่าง
จนกระทั่งวันหนึ่งเสียงขอความช่วยเหลือจากลูกชายก็ดังขึ้น ทำให้เขาตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจากเฆมัน นักเขียนและนักสำรวจปรากฏการณ์คลื่นเหนือเสียง เพื่อมาวิเคราะห์หาต้นตอของเสียงลึกลับ เฆมันและรูธ ลูกสาวจึงเข้ามาสำรวจบ้านหลังนี้และต้องเผชิญหน้ากับความสยอง
การดำเนินเรื่อง
เปิดเรื่องน่าสนใจดี จัดฉากโหดตั้งแต่ช่วงเปิดเรื่องเลย แต่หลังจากนั้นก็มีฉากโหดบ้างเล็กน้อย ซึ่งเปิดเรื่องด้วยการฉายผู้หญิงคนหนึ่งที่พ่อแม่ของเขาส่งมาดูแลเด็ก เด็กจึงเล่าอาการนอนไม่หลับเพราะเสียงบางอย่างให้ฟัง
จากนั้นไม่นานผู้หญิงคนนี้ก็เหมือนถูกเสียงสั่งให้ทำ นั่นก็คือสั่งให้ฆ่าตัวตาย โดยสำหรับคนที่โดนจะมีอาการตาแดง ซึ่งก่อนตายจะมีแมลงวันออกมาจากหูและเหยื่อรายอื่น ๆ ที่โดนก็มีอาการแบบนี้เช่นเดียวกัน
จากนั้นก็ตัดเข้าเรื่องดำเนินเรื่องต่อเนื่องกันเลย โดยจะฉายเด็กที่ได้ยินเสียงบางอย่างและเงาคนลึกลับที่ไม่ได้ฉายให้เห็นชัด ๆ ว่าคือใคร จากนั้นก็ค่อย ๆ ฉายถึงตัวละครอื่น ๆ ที่เริ่มได้ยินเสียงและเห็นเหตุการณ์แปลก ๆ เช่นเดียวกัน
ซึ่งบางฉากเน้นบรรยากาศมืด ๆ หลอน ๆ โดยเฉพาะสถานที่ในเรื่องที่ช่วยส่งให้หนังได้บรรยากาศที่หลอน ๆ น่ากลัวได้ดี มีตุ้งแช่บ้าง มีดราม่าบ้างเล็กน้อย จนตอนหลังตัวละครต้องไปขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ
จากนั้นก็จะเป็นการเดินทางมาสำรวจบ้านและหาต้นตอของเสียง ในช่วงนี้หนังก็ค่อย ๆ เปิดเผยเรื่องราวและเริ่มฉายให้เห็นเงาคนชัดเจนขึ้นและจะเป็นการหาต้นตอของเรื่องราวทั้งหมดรวมทั้งหาวิธีแก้ไข ซึ่งการหลอกหลอนจะเน้นการมาในรูปแบบคนรักที่ตายไปแล้ว
ชวนลุ้นไปกับตัวละครดี ถึงแม้วิธีแก้จะง่ายไปหน่อย เนื้อเรื่องไม่ได้แปลกใหม่มากและบางจุดก็พอเดาเรื่องได้บ้าง แต่ก็ชวนติดตามดีว่าเสียงนั้นคืออะไร และเงาคนนั้นคือใคร?
พล๊อตของเรื่อง
แต่จะว่าไปแล้ว Don’t Listen ก็ไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่ตามสูตรหนังใหม่เต็มเรื่องบ้านผีสิง ที่ตัวละครเอกจะต้องเผชิญหน้ากับอาถรรพ์ แต่ด้วยความเป็นหนังยุโรปสัญชาติสเปนที่เน้นการสร้างบรรยากาศของตัวบ้านที่อึมครึม
มุมต่างๆของบ้านที่แม้จะสว่างโร่ แต่ก็สามารถซุกซ่อนความน่ากลัวและหลอกคนดูได้อยู่ถูกจังหวะจะโคน (แม้ว่าส่วนมากหนังจะเลือกเทคนิคตุ้งแช่ใส่คนดูก็ตาม)
แม้ว่าพลอตหนังจะเป็นแนวบ้านผีที่พบได้ “โคตรบ่อย” แต่ขอบอกเลยว่าถ้าใครไม่เคยดูหนังผีสเปน เรื่องนี้อาจจะเป็นหน��่งในตัวแทนของหนังบ้านผีแบบฉบับสเปนเลยก็ว่าได้ครับ
ที่สำคัญคือ ดีกรีของความโหดดิบของหนังที่ค่อนข้างรุนแรง ซึ่งเชื่อเลยว่าหนังผีอเมริกันไม่กล้าทำบางอย่างถึงขนาดนี้ แม้ว่าพลอตหนังจะดูเหมือนกับหนังตามสูตรบ้านผีทั่วไปก็ตามที
เสียง?
สำหรับปีศาจหรือความชั่วร้ายที่อยู่ในบ้าน ที่มาในรูปของ “เสียง” ที่จริงไม่ได้เป็นไอเดียพิสดารแปลกใหม่ แต่ก็ถือว่าเป็นความพยายามในการนำเสนอจากสิ่งที่สามารถสร้างความสยดสยองให้เราได้อย่างง่ายๆ แล้วตัวหนังแม้ว่าจะดูเป็นหนังสยองขวัญแนวบ้านผีทุนต่ำ
แต่ในแง่ของการถ่ายทำ มุมกล้อง และการสร้างบรรยากาศของเรื่องให้น่ากลัว วังเวง กลับทำได้ดีถึงระดับของหนังผีดีๆ สักเรื่องจากฮอลลีวูดเลยทีเดียว รวมถึงจังหวะแนวตุ้งแช่ที่ใส่เข้ามาได้ค่อนข้างถูกจังหวะ ลงตัว ซึ่งตรงนี้ไม่ง่ายเลย แต่หนังก็ทำออกมาได้ดีพอประมาณครับ
ปมความลับของสิ่งชั่วร้าย
นอกจากนี้ตัวหนังแม้ว่าจะเป็นหนังผีที่มีพลอตทั่วไปที่พบได้บ่อย แต่เรื่องราวก็แอบแฝงไปด้วยการจิกกัดสภาพสังคมของโลกมนุษย์ไว้ด้วย เช่นฉากหนึ่งที่ แดเนียล ผู้เป็นพ่อได้ถาม เฆมัน นักสำรวจปรากฏการณ์เสียงเหนือธรรมชาติว่า เอริค ลูกชายของเขาเพิ่ง 8 ขวบ
แต่ทำไมกลับต้องมาเจอเรื่องโหดร้าย หรือต้องไปอยู่ในสถานที่นาสยดสยองที่อาจจะเป็นนรก แต่อีกฝ่ายตอบกลับว่า แล้วโลกของเราทุกวันนี้มันไม่โหดร้ายหรือ ไม่ว่าจะสงคราม การเข่นฆ่ากันต่างๆ ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นเราจึงต้องทำใจยอมรับ
ที่สำคัญคือ ปมความลับของสิ่งชั่วร้ายในหนัง ก็เป็นการหยิบเอาความโหดร้ายในอดีตที่มนุษย์เคยกระทำไว้มาประยุกต์ใช้ได้ดีมากด้วย แล��วไม่ค่อยได้เอามุกนี้มาใช้กันเท่าไหร่ในช่วงหลัง
จุดเด่น
คือตัวหนังดำเนินเรื่องค่อนข้างกระชับไม่เยิ่นเย้อ ไม่ได้ผีหลอกพร่ำเพรื่อ มีการฆ่าตัวละครทิ้งแบบไม่สนใจใยดีคนดูว่าใครควรจะตายก่อน ตายทีหลัง อย่างไรก็ตามเมื่อหนังดำเนินมาถึงจุดเฉลยที่มาที่ไปของเสียงอาถรรพ์ก็ไม่ได้เซอร์ไพรส์อะไรคนดูมากนัก
แต่ก็ตอบโจทย์ว่าทำไมหนังออนไลน์ เรื่องนี้ถึงเป็นเรื่องราวอาถรรพ์ที่เกี่ยวกับ “เสียง” ยังไม่รวมไปถึงจุดหักมุมในตอนสุดท้ายที่จัดได้ว่าเป็นการหักมุมที่ไม่ได้หักหลังคนดูและเซอร์ไพรส์พอสมควรเลยทีเดียว
จุดด้อย
ส่วนจุดด้อยของหนังเท่าที่พบก็เป็นเรื่องที่มักพบในหนังแนวบ้านผีทั่วไปก็คือ เมื่อหนังเฉลยปมความลับออกมาแล้ว จากนั้นก็นำไปสู่การหาวิธีปราบผีตามสูตร ซึ่งก็้เป็นแนวทางที่ไม่ได้แปลกใหม่ไปกว่านั้น
แต่แทนที่ตัวละครในเรื่องจะขอความช่วยเหลือจากโบสถ์ หรือบาทหลวงให้มาช่วยเพิ่มเติมแบบที่หนังบ้านผีหลายเรื่องทำ (และปกติตาม Common Sense ของงคนเราเวลาเจอเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติก็ควรต้องทำแบบนั้น)
แต่เรื่องนี้กลับเขียนบทให้ตัวละครไม่ได้ทำแบบนั้น ซึ่งเข้าใจว่าอาจจะเพราะต้องการให้ไม่ซ้ำซากจำเจ แต่มันเลยทำให้หนังดูลดความสมจริงในแง่การขอคามช่วยเหลือจากคนภายนอกลงไปอีก

โดยรวม
ในภาพรวมแล้ว นี่เป็นหนังบ้านผีจากสเปน ที่มีความ โหด ดิบ แม้ว่าพลอตจะไม่ได้แตกต่าง และก็มีความพยายามที่จะสร้างความสยองให้แตกต่างจากหนังผีฮอลลีวูดทั่วไป แต่ก็เดาเรื่องตามสูตรได้ไม่ยาก ถึงอย่างนั้นก็เป็นหนังผีที่สร้างออกมาได้น่ากลัว
และโหดดิบกว่าหนังผีฮอลลีวูดทั่วไปพอสมควรเลย และตอนท้ายเรื่องที่เหมือนเตรียมปูทางให้สองตัวละครหลักในเรื่องได้ไปต่อหากมีการสร้างหนังภาคต่อออกไปในเรื่องราวที่ไม่ใช่ในบ้านนี้แล้ว รวมถึงการเฉลยบทสรุปสุดท้ายที่สุดหักมุม
สรุป
หนังแนวบ้านผีจากสเปนที่มีความโหดดิบมาก แม้พลอตจะไม่ได้แตกต่างจากหนังผีฮอลลีวูดทั่วไป เดาเรื่องตามสูตรได้ไม่ยาก แต่ก็เป็นหนังบ้านผีที่สร้างออกมาได้น่ากลัวและโหดดิบกว่าหนังผีฮอลลีวูดพอสมควร บทเฉลยสุดท้ายที่สุดหักมุม และอาจจะมีภาคต่อได้
0 notes
Text
Vivo
รีวิว Vivo - วีโว่
ได้เวลาดูการ์ตูนกันอีกแล้ว ครั้งนี้ขอเอาใจสายร้อง เต้น เล่นดนตรี ด้วยภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องใหม่จาก Netflix ที่มีชื่อว่า วีโว่ (Vivo) กับการผจญภัยข้ามน้ำข้ามทะเลไปทำภารกิจสำคัญบางอย่างของ คิงกาจู สัตว์ป่าตัวน้อยแสนน่ารัก ดูจบแล้วก็เลยต้องรีบมาขายป้ายยากันแบบด่วนจี๋ เพราะเรื่องนี้คงถูกใจคนรักมิวสิคัล ปล่อยใจฝันไปกับเสียงเพลง แล้วเริ่มบรรเลงกันได้เลย รีวิว Vivo
เรื่องย่อ
คิงคาจูที่รักดนตรีเป็นชีวิตจิตใจออกเดินทางครั้งสำคัญ เพื่อทำตามโชคชะตาและส่งมอบเพลงรักให้เพื่อนเก่าคนหนึ่ง
ผลงานภาพยนตร์อนิเมชั่นมิวสิคัลจากโซนี่ กำกับโดย Kirk DeMicco ผู้เคยฝากผลงานจาก THE CROOD ภาพยนตร์อนิเมชั่นครอบครัวยุคหินจากสตูดิโอดรีมเวิร์ค พร้อมด้วยเสียงพากย์โดย Lin-Manuel Miranda ผู้ที่พากย์เสียงตัวละครหลักของเรื่องอย่างเจ้าหมีน้ำผึ้ง คิงคาจู นาม วีโว่
และยังเป็นคนวางโครงเรื่องไว้ตั้งแต่เมื่อปี 2010 แต่ถูกยกเลิกไปจากการปรับโครงสร้างใหม่ในสตูดิโอดรีมเวิร์คเมื่อ 2015 จนโซนี่นำมาสานต่อในปี 2016 นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ที่คอยแต่งเพลงให้กับอนิเมชั่นดังของดิสนีย์อย่าง MOANA
รวมไปถึง The Little Mermaid เวอร์ชั่นคนแสดง และ Encanto เมืองเวทมนตร์คนมหัศจรรย์ ที่มีกำหนดฉายในเร็ว ๆ นี้ พร้อมเสริมทัพด้วย Zoe Saldana ดาราสาวเจ้าของภาพยนตร์พันล้านในบทสาวต่างดาวอย่าง กาโมร่าและเนย์ทีรี จาก จักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล
และ อวตาร พร้อมกับทางเน็ตฟลิกซ์ไทยที่ได้เสียงร้องไทยที่ขนศิลปินไทยดัง ๆ มากมายทั้ง โอ๊ต ปราโมทย์, เฟรม ศุภัคชญา (วันเดอร์เฟรม) และ เจนนิเฟอร์ คิ้ม มาร่วมกันขับกล่อมบทเพลงแห่งละตินให้กึกก้อง เรียกว่าลงทุนมากพอสมควร
เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่โดนพิษโควิดต้องลงเอยด้วยการที่ NETFLIX ทุ่มทุนซื้อมาฉายเช่นเดียวกับ The Mitchells vs The Machines และ Wish Dragon อนิเมชั่นจากค่ายเดียวกัน อนิเมชั่นได้รับคำวิจารณ์จากนักวิจารณ์ในแง่บวกด้านดนตรีและอนิเมชั่��
เนื้อเรื่อง
เรื่องราวเริ่มต้นด้วยบรรยากาศแสนสนุกในเมืองฮาวานา ประเทศคิวบา 'วีโว่' คิงกาจูตัวน้อยแสนฉลาดที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ทางด้านดนตรี ร้องเพลงเป็น เต้นก็ได้ แถมยังเล่นเครื่องดนตรีได้หลายชนิดอีกต่างหาก
ตอนเบบี๋วีโว่พลัดตกจากรถบรรทุกสินค้าและได้ 'ป๋าอันเดรส' เป็นคนเลี้ยงดูมันมา ทั้งสองมักจะออกไปทำการแสดงเปิดหมวกยังลานน้ำพุกลางเมือง สร้างสีสันและความครื้นเครงให้เมืองแห่งนี้มีชีวิตชีวาอยู่เสมอ
อยู่มาวันหนึ่ง ป๋าอันเดรสได้รับจดหมายที่ส่งมาจากไมอามี ���หรัฐอเมริกา จ่าหน้าซองผู้ส่งว่า 'มาร์ตา' นักร้องชื่อดังผู้เป็นรักแรกและรักเดียวของเขานั่นเอง เนื้อความในจดหมายบอกว่ามาร์ตาจะอำลาวงการ
และปรารถนาจะให้ป๋าอันเดรสร่วมร้องเพลงในการแสดงครั้งสุดท้ายของเธอ อดีตอันหอมหวานจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ป๋าอันเดรสตั้งใจจะนำโน้ตเพลงที่เขียนขึ้นให้มาร์ตาเมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่นไปมอบให้เธอ พร้อมกับบอกความในใจที่เก็บไว้มานานกว่า 60 ปี
แต่เมื่อถึงเช้าวันเดินทางเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เจ้าวีโว่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับข่าวร้ายที่สุดในชีวิต ป๋าอันเดรสนั่งอยู่บนเก้าอี้เอนหลังโดยไม่มีลมหายใจอีกแล้ว
นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นให้วีโว่จะต้องออกเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล จากเมืองเล็ก ๆ ในคิวบาสู่มหานครแห่งสีเสียงอย่างไมอามี เพื่อนำโน้ตเพลงของป๋าอันเดรสไปมอบถึงมือป้ามาร์ตาให้ทันเวลาเริ่มโชว์ครั้งสุดท้ายของเธอ
แต่อุปสรรคระหว่างทางมันเยอะเสียเหลือเกิน นี่จึงไม่ใช่การเดินทางธรรมดา แต่มันคือการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ของวีโว่ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไปเพราะมันมีคู่หูเพื่อนร่วมทางคนใหม่อย่าง 'แก๊บบี้' หลานสาวของป๋าอันเดรสที่จะร่วมกันทำภารกิจส่งต่อความรักในครั้งนี้ให้สำเร็จ
การเล่าเรื่อง
อนิเมชั่นเรื่องนี้มีความโดดเด่นมากตรงการเล่าเรื่องอย่างตรงไปตรงมาไม่ซับซ้อน เดินเรื่องไวไม่ต้องใช้เวลาแนะนำตัวละครนาน เพราะด้วยความเป็นภาพยนตร์มิวสิคคัลหนังใหม่เต็มเรื่อง เราจะรู้จักบทบาทของตัวละครได้จากบทเพลงที่มีในเรื่อง
ใส่ปมความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ เข้ามาด้วยอารมณ์ที่หักมุมทำร้ายจิตใจตั้งแต่ช่วงต้นเรื่อง ก่อนที่หนังจะเปลี่ยนตัวเองเป็นหนังแนวผจญภัยตะลอนข้ามเมืองข้ามน้ำข้ามป่าซึ่งดูมีความเหนือจริงกว่าปกติ เพราะตัวละครเด็กอายุ 10 ขวบกับคิงคาจูพากันเดินทางข้ามหลายร้อยไมล์
โดยได้รับความช่วยเหลือจากสิ่งต่าง ๆ มันแทบจะเป็นเรื่องตลกไปเลย หรือเพราะผมไม่ชินกับความเอเนอจี้เยอะ ๆ ของตัวละครในเรื่องที่ทำอะไรก็ดูง่ายดายไปหมด ตั้งแต่เริ่มเรื่องจนถึงช่วงท้ายเรื่อง ผิดกับเรื่องอื่นที่มีการอธิบายชัดเจนถึงการกระทำของตัวละคร
แต่เรื่องนี้ละไว้ในฐานแบบไม่เน้นสมจริง แบบอยากทำแบบนี้ หนังก็ให้ตัวละครทำเลยไม่ต้องคิดถึงความสมเหตุสมผลอะไร บางช่วงก็เหมือนตัวละครในเรื่องที่ตัวละครจะสามารถแก้ปัญหาไปได้โดยบังเอิญ ซึ่งจะมีให้เห็นเป็นระยะ ๆ บ่อยมาก
และฉากความสัมพันธ์ของตัวละครที่ไม่โดดเด่นหรือเน้นย้ำเท่าที่ควร เหมือนแค่เอ่ยมาให้มันผ่าน ๆ ทำให้ในช่วงที่ควรจะอิมแพ็คมันกลับไปแบบผ่าน ๆ ผสมกับมุกตลกแบบลอย ๆ ใส่เข้ามาซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องราวประเด็นสำคัญ
ทำให้ช่วงเวลาอารมณ์ในหนังผ่านไปอย่างรวดเร็ว สิ้นหวังและก็มีหวังอย่างว่องไว จนหนังไม่ค่อยเป็นธรรมชาติไหลลื่นกับจังหวะจะโคนกับการเล่าเรื่อง ทำให้มันค่อนข้างมีปัญหาเพราะความที่เป็นสูตรสำเร็จของอนิเมชั่นผจญภัยที่เป็นแบบนี้มาหลายเรื่องแล้วด้วย
ส่วนประกอบของเรื่อง
ตัวละครในเรื่องไม่ได้แปลกใหม่หรือมีเสน่ห์มากมายอะไร แต่ล้วนมีเอเนอจี้เกินเหลือล้น วีโว่ เป็นคิงคาจูที่พูดไม่ได้ แต่ดันสื่อสารกับคนรอบตัวรู้เรื่องแบบงง ๆ แถมสามารถร้องเพลงให้คนฟังร่วมกันได้ และมีปฏิญาณแรงกล้าว่าตัวเองจะสามารถทำได้
จนไม่สนใจใคร เช่นเดียวกับกาบี้ ตัวละครเด็กหญิงแหกกรอบที่ออกมาแสดงความขบถของเด็กอายุ 10 ขวบที่ต้องการให้คนเข้าใจตัวเอง แต่ตัวเองก็ดันทำตัวออกห่างจากสังคม และไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่จนทำให้มีปัญหาครอบครัว
แถมยังไม่ยอมพูดความจริงเพราะกลัวจะไม่มีใครเข้าใจ ซึ่งสองตัวละครนี้ถือเป็นตัวละครสำคัญของเรื่อง ในขณะที่ตัวละครตัวอื่น ๆ จะเหมือนเป็นตัวละครสนับสนุนมากกว่า ทั้งคนทั้งสัตว์ ซึ่งก็มีคาร์แร็คเตอร์ที่ซ้ำซาก
ไม่ว่าจะเป็นแก๊งเนตรนารีสาวแสบ อายุ 10 ขวบสามคน ที่พล่ามเรื่องอนุรักษ์ธรรมชาติจนขึ้นสมอง งูยักษ์ที่รำคาญเสียงดัง นกปากยาวที่ฝันจะหาคู่แต่ไม่กล้าบอก แม่ที่เป็นห่วงลูกแต่ไม่เคยรับฟังลูกและพยายามจะทำหน้าที่แทนพ่อที่รักดนตรี แต่เธอไม่เข้าใจ
ชายแก่ที่มีความในใจอยากบอกกับคนรักแต่มันก็สายเกินไป หญิงชราที่เตรียมอำลาวงการเพลงผู้เฝ้าฝันจะได้พบเจอกับเพื่อนเก่าอีกครั้ง ทุกคนเป็นส่วนประกอบของเรื่องที่ใส่เข้ามาเพื่อให้ได้ร้องเพลงบอกเล่าเรื่องราว
ประเด็นสำคัญของเรื่อง
ประเด็นสำคัญเรื่องก็คือเรื่องของการเปิดใจให้กันและกันเหมือนท่วงทำนองดนตรี หรือทำอะไรแบบไม่ต้องคิดแผนการล่วงหน้า แต่มันก็ไม่ได้ดีอะไร วีโว่กับแกบบี้นั้นแม้จะเดินทางทำภารกิจให้สำเร็จและมีความขัดแย้งผ่านบทเพลงหรือการกระทำที่ต่างกัน
แต่หนังก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันเท่าไหร่ นอกจากการร้องเพลงและผจญภัยไปด้วยกัน ซึ่งตรงนี้มันคาดเดาได้ง่ายอยู่แล้ว หรือแม้แต่ รีบทำก่อนจะสายที่เกิดขึ้นกับตัวละครในเรื่องที่ต่างเก็บความลับไว้ไม่กล้าบอก รอให้อีกฝ่ายเข้ามา
สุดท้ายทุกอย่างก็สายไป ความรักจะคงอยู่ตลอดไป ใช่ ใคร ๆ ก็รู้โดยเฉพาะเมื่อมันมาอยู่ในอนิเมชั่นที่มีเรื่องทำร้ายจิตใจ หรือจะเป็นเรื่องของครอบครัวนั้นต้องรู้จักพูดคุยปรับความเข้าใจ
แต่เมื่อมันมาอยู่ในช่วงเคลียร์ปม คิดจะเคลียร์ คิดจะเข้าใจก็เข้าใจกัน ณ เดี๋ยวนั้นเลย ไม่ได้มีการปูหรือทำอะไรให้เราเชื่อว่า มันเป็นไปได้นะที่ปมมันจะจบแบบนี้ กลายเป็นว่าพอพูดออกมาแล้ว ก็จบเอาดื้อ ๆ เลย ปมที่ปูมาทั้งหมดแบบใหญ่ ๆ หายเกลี้ยง
ด้วยความที่เว็บหนัง HDเป็นสูตรสำเร็จแบบนี้แหละ มันเลยเหมาะกับครอบครัวทุกเพศทุกวัย แต่ถ้าจะคาดหวังอะไรใหม่ ๆ มันก็แอบผิดหวังเล็กน้อยจริง ๆ เพราะกลายเป็นว่าสารทั้งหมดไปอยู่ในเพลงที่ร้อง มากกว่าการเล่าเรื่อง
ซึ่งถ้าใครไม่ชอบแนวนี้อาจจะพาลรำคาญหรือไม่ชอบไปเลยก็เป็นได้ อย่าลืมว่านี่เป็นอนิเมชั่นมิวสิคัล การเล่าเรื่องจะผ่านการร้องเพลง แต่ก็ยังมีการเล่าเรื่องแบบอนิเมชั่นทั่วไป
ด้านงานภาพและดนตรี
เรื่องงานภาพถือว่าสวยและสีสันสดใหม่ ไม่เน้นความสมจริงแต่เน้นการแสดงไอเดียสร้างสรรค์ โดยผสมผสานกับงานอนิเมชั่นแบบ 2 มิติในฉากสำคัญของเรื่องที่สีสันชวนให้นึกถึงวันวานในเพลงแจ๊ส และสภาพแวดล้อมที่เข้ากับช่วงหน้าร้อน
ทั้งเมืองที่เป็นเวทีขนาดใหญ่ให้ทุกคนได้ร้องเพลง หรือป่าในอุทยานในแถบไมอามี่ที่มีสัตว์ขับขานเพลงให้อารมณ์ที่แตกต่างตัดกันระหว่างเมือง เรียกได้ว่าเป็นอนิเมชั่นจัดเต็มอีกเรื่อง โดยเฉพาะช่วงการเคลื่อนไหวที่ค่อนข้างลื่นไหลเป็นธรรมชาติ
ซึ่งเข้ากับสไตล์มิวสิคคัลที่ตัวละครพากันพริ้วไหว ด้วยเพลงประกอบในเรื่องที่ไพเราะและคอยเป็นตัวเล่าเรื่องซึ่งก็มีติดหูมาก จนไปถึง น่ารำคาญมากด้วยสไตล์เพลงแบบลาตินที่โชว์ให้เห็นถึงวัฒนธรรมในแถบละตินอเมริกาอย่าง ประเทศคิวบาที่แสดงให้เห็นถึงมนต์เพลงที่ไพเราะชวนให้โยกย้าย
ผสมผสานกับดนตรีป๊อบร่วมสมัย แจ๊ส อีดีเอ็ม ที่ตัวละครพากันขับขานผ่านการถ่ายทอดและประพันธ์ของ Lin-Manuel Miranda ที่ขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องการแต่งเพลงที่ขึ้นชื่ออยู่แล้ว ซึ่งช่วยขับเคลื่อนเรื่องราวและจังหวะในเรื่องให้มันมีความกลมกล่อม
เมื่อเทียบกับเนื้อเรื่องที่เป็นสูตรสำเร็จก็ช่วยยกระดับอนิเมชั่นให้มันดูเพลินตาและสนุกสนานไปกับมันจนจบ ในขณะที่เสียงพากย์ไทยที่คุณภาพดีมาก ๆ อยู่แล้ว ตั้งแต่ตัวหลักยันตัวประกอบ ก็ยังได้เสียงร้องของนักร้องที่เทียบได้กับเวอร์ชั่นต้นฉบับต่างประเทศเลย
เพราะครั้งนี้ได้มือรางวัลระดับบรอดเวย์อย่าง ลิน มานูเอล มิแรนดา มาร่วมสร้างสรรค์งานดนตรีสุดเจ๋ง ผสานเครื่องดนตรีหลายชนิดให้กลิ่นอายเสียงเพลงพื้นถิ่นแถบอเมริกาใต้
และดนตรี��ลาสสิกในโรงละคร ส่วนตัวดูทั้งฉบับบรรยายไทยซึ่งเป็นเสียงออริจินัลและฉบับพากษ์ไทยโดย โอ๊ต ปราโมทย์ เจนนิเฟอร์ คิ้ม และ วันเดอร์เฟรม ซึ่งเชื่อขนมกินได้เลยเพราะฝีมือระดับเทพของวงการเพลงไทยด้วยกันทั้งนั้น
ไม่มีอะไรติดขัด แถมยังทำให้เราอินไปกับบางช่วงของเรื่องราวได้ในที่สุด ฉะนั้นส่วนของดนตรีกับภาพจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในเรื่องตามที่คำวิจารณ์บอกไว้อย่างไม่มีข้อกังขาครับ

โดยรวม
เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันอีกเรื่องที่น่าประทับใจและไม่อยากให้ทุกคนพลาด บันเทิงตาด้วยงานภาพสุดบรรเจิด บันเทิงหูด้วยงานดนตรีสุดไพเราะ แถมยังตื่นเต้นไปกับการผจญภัยระหว่างทาง เล่ามาเหมือนจะเยอะแต่บอกเลยว่านี่เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของหนังทั้งเรื่อง นอกจากความสนุกแล้วยังได้แง่คิดเรื่องความรัก ครอบครัว มิตรภาพ และความฝันอีกต่างหาก
สรุป
อนิเมชั่นมิวสิคคัลผ่านเน็ตฟลิกซ์ที่ดูได้ทั้งครอบครัว เนื้อเรื่องที่สนุกและอบอุ่นหัวใจไปด้วยบทเพลงที่แสนไพเราะ พร้อมงานภาพที่มีสีสันสดใสและตัวละครในเรื่องที่มีพลังอันล้นเหลือ ประเด็นสำคัญที่จะทำให้คนในครอบครัวรักกันมากขึ้น
และรู้จักใช้เวลาที่มีให้คุ้มค่าโดยไม่ต้องวางแผนอะไรไปข้างหน้า แค่เราใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท เราก็จะสามารถทำทุกอย่างได้อย่างเต็มที่ แม้จะติดปัญหาความเป็นสูตรสำเร็จและจังหวะที่ไม่สม่ำเสมอที่ทำให้ตัวละครไม่โดดเด่นมากพอจะให้เราติดตาม
แต่ก็ยังเป็นอนิเมชั่นดี ๆ ที่เหมาะแก่การเปิดดูในช่วงสุดสัปดาห์หากมีเวลาห่างก็สามารถหยิบขึ้นมาดูเพลิน ๆ ได้ครับ เพราะมีบางช่วงที่สามารถทำให้ผมร้องไห้ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นแล้ว ก็อย่าเพิ่งตัดสินใจจนกว่าจะได้ดูด้วยตาของตัวเองนะครับ
0 notes
Text
The Swarm
รีวิว The Swarm - ตั๊กแตนเลือด
หนังสยองขวัญแนวสัตว์กินคนที่ไม่ค่อยมีมาให้เห็นในปัจจุบันนัก ยิ่งจากฝรั่งเศสด้วยไม่ค่อยเห็นแนวนี้มาก่อน เพราะหนังฝรั่งเศสมักมีสไตล์การกำกับแบบเนิบๆ เนือยๆ ไปตลอดเรื่องจนจบ และเรื่องนี้ก็ยังหนีไม่พ้นอารมณ์แบบที่ว่านี้เช่นกัน เป็นหนังที่ผ่านเวทีการประกวดภาพยนตร์นานาชาติมาหลายเวทีในปีที่แล้ว ได้รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมและรางวัลคณะลูกคุณพิเศษ (Special Prize of the Jury) จากเทศกาลภาพยนตร์ซิดจัส (Catalonian International Film Festival) ประเทศสเปน รีวิว The Swarm
เรื่องย่อ
เรื่องราวของแม่เลี้ยงเดี่ยวเวอร์จินี (ซูเลียน บราฮิม) พยายามยืนหยัดด้วยตนเองหลังจากสูญเสียสามี ที่เป็นหัวหน้าครอบครัวไป เธอเลือกทำเกษตรกรรมฟาร์มตั๊���แตนห่า (locust) และนำรายได้จากการขายโปรตีนจากตั๊กแตนมาใช้จ่ายเลี้ยงครอบครัว
เธอมีลูกสองคน ลอร่า (มารี นาร์บอนน์) ลูกสาวอายุ 15 ปี และ แกสตรอง (ราฟาเอล โรมองด์) ลูกชายอายุ 7 ปี แต่ทุกอย่างไม่ได้ราบรื่นอย่างที่ใจคิด ฟาร์มของเธอประสบปัญหา ตั๊กแตนไม่ค่อยโตและวางไข่ได้น้อย ทำให้ขายไม่ได้ราคา แต่ระหว่างพยายามหาทางกำจัดหนี้ที่เกิดจากปัญหาการทำฟาร์ม
ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อเธอรู้ว่าหากตั๊กแตนได้กินเลือดจะแข็งแรงและวางไข่ดี เมื่อความโลภเดินคู่ขนานกับความจำเป็นต้องเอาชีวิตรอด เวอร์จินีพร้อมทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว เธอจึงยอมใช้เลือดของเธอเป็นอาหารให้ตั๊กแตน
หนังสยองขวัญแนวสัตว์กินคนที่ไม่ค่อยมีมาให้เห็นในปัจจุบันนัก ยิ่งจากฝรั่งเศสด้วยไม่ค่อยเห็นแนวนี้มาก่อน เพราะหนังฝรั่งเศสมักมีสไตล์การกำกับแบบเนิบๆ เนือยๆ ไปตลอดเรื่องจนจบ และเรื่องนี้ก็ยังหนีไม่พ้นอารมณ์แบบที่ว่านี้เช่นกัน
ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นแฟนหนังสัตว์กินคนคนหนึ่งที่ดูมาตั้งแต่อดีต หนังพวกนี้คือต้องพยายามหาไอเดียสัตว์ตัวใหม่ๆ มาขายไม่ให้ซ้ำใคร คือจะมีสัตว์แบบนี้มากินคนก็มีได้แค่เรื่องเดียวหรือสองเรื่อง ยกเว้นพวก ฉลาม จระเข้ งู สัตว์ยอดฮิตพวกนี้มีทำซ้ำมาเรื่อยๆ
ซึ่งตั๊กแตนก็เคยมีมาก่อนแล้วในหนัง Locusts ปี 2005 เป็นแนวตั๊กแตนที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมหลุดออกมา แต่ดันไม่ได้กินคนแค่ทำลายพืชผลหนักจนรัฐบาลต้องออกมาปราบ ซึ่งก็ผิดหวังที่มันไม่ได้กินคนนี่แหละครับ
มาเรื่องนี้ก็เกือบจะคล้ายๆ กันเมื่อหน้าหนังเป็นแนวตั๊กแตนกินคน แต่ในเรื่องจริงๆ แทบจะเป็นหนังแนวแม่โรคจิตพยายามทำฟาร์มตั๊กแตนให้สำเร็จให้ได้ แม้จะต้องใช้เลือดมาเลี้ยงก็ตาม โดยฉากกินคนที่รอดูไปอยู่เอาท้ายสุดของเรื่องใกล้จบสิบนาทีสุดท้าย
ซึ่งถ้าใครเป็นแฟนแนวนี้อยากดูแค่ฉากพวกนี้ก็ข้ามๆ ไปดูได้เลยก็ได้ครับ เพราะทั้งเรื่องมันเน้นวนเวียนกับดราม่าครอบครัวพ่วงปัญหาธุรกิจฟาร์มแมลงซะมากกว่า
เนื้อเรื่อง
เรื่องราวของเวอร์จินี (ซูเลียน บราฮิม) หญิงวัยกลางคนที่กลายเป็นม่ายลูกติด หลังจากสูญเสียสามีผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวไป เนื่องจากครอบครัวเธอมีพื้นที่ เหมาะแก่การทำเกษตรกรรมทำให้เวอร์จินีตัดสินใจทำฟาร์มตั๊กแตน
เพื่อนำโปรตีนจากสัตว์ชนิดนี้ไปขายต่อให้กับเกษตรกรอีกกลุ่ม แต่ดูเหมือนธุรกิจของเธอจะเต็มไปด้วยปัญหาเนื่องจากตั๊กแตนให้ผลผลิตน้อยกว่าที่คิด และยังเจอลูกค้ากดราคาอีกต่อหนึ่งด้วย
นอกจากปัญหาในการหาเงินเลี้ยงชีพแล้ว ปัญหาครอบครัวก็หนักหน่วงไม่แพ้กันเมื่อเวอร์จินียังต้องรับมือกับลูกสาวอย่างลอร่า (มารี นาร์บอนน์) ที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเป็นวัยรุ่นอารมณ์ร้อน เธอมักจะโดนเพื่อนในวัยเดียวกันล้อเลียนว่าแม่ของเธอต้องมาเลี้ยงตั๊กแตนยังชีพ
จนเธอโดนมองว่าเป็นตัวประหลาด ส่วนลูกชายคนเล็กอย่างแกสตรอง (ราฟาเอล โรมองด์) ซึ่งมีปัญหาสุขภาพร่างกายอ่อนแอ ยิ่งทำให้คนดูเห็นว่าครอบครัวของเวอร์จินีมีความตึงเครียดที่ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ
ความเนิบช้าของ The Swarm คือการพาผู้ชมค่อยๆด่ำดิ่งไปกับความสิ้นหวังของเวอร์จินีที่ดูเหมือนจะอับจนหนทางกับการทำมาหากิน เมื่อเธอไม่สามารถนำพาธุรกิจด้านการเกษตรให้ตัวเองและครอบครัวมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ เมื่อเธอค้นพบว่า สิ่งที่ทำให้ฟาร์มตั๊กแตนของตัวเองสามารถสร้างผลผลิตที่งอกงามได้ด้วยการ “เลี้ยงด้วยเลือด” เธอจึงไม่รีรอแม้แต่น้อยที่จะเลือกหนทางดังกล่าว
แน่นอนในสายตาของผู้ชมดูหนังฟรีบางส่วนอาจจะมองว่าเวอร์จินีเป็นตัวละครโรคจิตที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกกับเงิน แต่เมื่อเฝ้ามองบริบทของเธอแล้ว ก็ไม่น่าแปลกใจที่ผู้หญิงผู้แบกทุกอย่างไว้บนบ่าเลือกจะเดินไปในเส้นทางดังกล่าว
ฉากที่เธอกรีดแขนตัวเองก่อนจะยื่นมือเข้าไปในโดมเพาะเลี้ยง ก่อนจะเผยใบหน้าอันแสนเจ็บปวด หลังจากนั้นหนังก็ซูมเข้าไปในบาดแผลของเวอร์จินีเพื่อให้คนดูได้เห็นเศษขาตั๊กแตนที่อยู่ในแผล ซึ่งเธอพยายามกำลังคีบออกมา
ไม่ได้เป็นแค่เพียงฉากขายความแหวะน่าสะอิดสะเอียนเท่านั้น แต่มันยังสะท้อนให้คนดูเข้าใจอีกว่าความเป็นปวดที่เธอเลือก เวอร์จินีตัดสินใจทำเพราะเธอเลือกแล้วที่จะแลกความเจ็บปวด กับเงินทองที่จะมาจุนเจือเยียวยาครอบครัวของตัวเอง
การดำเนินเรื่อง
ช่วง 30 นาทีแรกตัวเรื่องปูวนเวียนกับเรื่องปัญหาดราม่าครอบครัวพ่วงธุรกิจฟาร์มแมลงของนางเอก จนกระทั่งวันหนึ่งนางเกิดพลาดลื่นล้มในโรงเรือนจนได้แผล ตั๊กแตนมารุมกินเลือด ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องที่คนดูแนวหนังสัตว์กินคนคิดว่ามันต้องมาแล้วฉากกินคนที่รออยู่
แต่กลายเป็นว่าหนังก็ยังไม่เดินไปในทิศทางนั้นเลย กลายเป็นการสานต่อแนวธุรกิจแมลงของเธอต่อไปอีก เมื่อเธอก็ได้เห็นว่าแมลงเติบโตดี ก็เริ่มขยายฟาร์มใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ และก็ปกปิดความลับเรื่องการเอาเลือดตัวเองพ่วงกับการขโมยสัตว์เลี้ยงเพื่อนบ้านอย่าง หมา วัว มาให้ตั๊กแตนกิน
ก่อนเอาแมลงไปขายเป็นอาหารสัตว์ให้คนเลี้ยงเป็ดทำฟัวกราส์ (ตับเป็ดตับห่าน) ที่เป็นอาหารขึ้นชื่อของฝรั่งเศส ซึ่งเอาจริงๆ ผู้เขียนคิดว่าอาจจะไม่ต้องไปแนวกินคนแล้วก็ยังได้ แต่ทำเป็นแนวแหวะว่าเลี้ยงแมลงด้วยเลือดอะไรแบบนี้ก็น่าจะดี
แต่หนังก็ไม่ได้จะเน้นแหวะแบบนั้นอีก ถึงจะมีฉากเน้นเลือดสัตว์ แผลจากแขนนางเอกที่ตั๊กแตนรุมกิน หรือฉากโคลสอัพตั๊กแตกกินเลือด แต่มันก็ทำได้แค่สยองนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้ถึงใจอะไรมาก อาจจะรู้สึกว่านี่เป็นหนังที่โฟกัสไปที่ผู้หญิงโรคจิตอยากเลี้ยงแมลงให้สำเร็จเพื่อครอบครัวซะมากกว่า
และจุดนี้เองก็เป็นปัญหาใหญ่ของเรื่องจากความไม่เมคเซนส์ประหลาดๆ ตรงที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงตั๊กแตนอย่าง ทำไมนางเอกต้องขโมยสัตว์เลี้ยงเพื่อนบ้านไปให้ตั๊กแตนกิน ซึ่งถ้ามองว่าในเรื่องนางพยายามให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ
การหาเป็ดไก่หรือสัตว์เล็กอย่างอื่นมาให้ตั๊กแตนน่าจะง่ายกว่าเยอะ แถมยังทำได้ต่อเนื่องไม่มีปัญหาต้องไปขโมยใครด้วย หรือการหาเลือดสัตว์ในฝรั่งเศสก็ดูหายากแบบไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลนัก (ในเรื่องบอกว่านางเอกไม่ได้เข้าสมาคมเกษตรเลยขายเลือดให้ไม่ได้)
แถมตัวนางเอกนอกจากขโมยสัตว์มาให้ตั๊กแตนกินแล้ว ตัวเธอเองก็ยังต้องเอาตัวไปให้ตั๊กแตนกัดกินเลือดบ่อยๆ อีกด้วย จนมาเป็นปมว่าเธอต้องใส่เสื้อมิดชิดตลอดเรื่อง ซึ่งจริงๆ ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเข้าไปก็ได้ แค่ถ่ายเลือดมาให้ตั๊กแตนกินก็น่าจะพอแล้ว แต่ในเรื่องก็ไม่ได้มีคำตอบอะไรพวกนี้ให้เลยครับ
ด้านนักแสดง
ตัวละครหลักของเรื่องมีด้วยกัน 4 คน คือ
เวอร์จินี (ซูเลีย��� บราฮิม)
แม่เลี้ยงเดี่ยวผู้คลั่งไคล้การเลี้ยงตั๊กแตน โดยคาดหวังรายได้จากการเลี้ยงตั๊กแตนและยอมทำทุกอย่างเพื่อประสบความสำเร็จถึงแม้จะผิดก็ตาม
ซูเลียนถือเป็นคนสำคัญที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สนุกน่าติดตาม แสดงออกมาได้ธรรมชาติ ดูแล้วเข้าถึงอารมณ์ความเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่พยายามต่อสู้ดิ้นรน เพื่อฐานะทางการเงินของครอบคร้ว แสดงดีจนได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากงานเทศกาลภาพยนตร์ซิดจัส 2020
คาริม (โซเฟียน กัมม์)
เจ้าของไร่ไวน์เพื่อนของเวอร์จินี เขาสนับสนุนเวอร์จินีทุกอย่าง และยังเป็นที่ปรึกษาให้กับลูก ๆ ของเวอร์จินีด้วย โซเฟียนเล่นออกมาได้ธรรมชาติเช่นกัน ดูแล้วก็เชื่อว่าเป็นเพื่อนกันจริง ๆ บทของคาริมใส่เข้ามาทำให้เนื้อหามีอรรถรสมากขึ้น ลุ้นกับความสัมพันธ์ของคาริมและเวอร์จินีว่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะลงเอยด้วยกันได้ไหม
ลอร่า (มารี นาร์บอนน์)
เป็นพี่สาวและลูกสาวแสนดีที่พร้อมช่วยแม่เลี้ยงน้องและดูแลตั๊กแตน แต่มีความคับข้องใจกับสภาวะการของครอบครัวที่ต้องเลี้ยงตั๊กแตน ซึ่งดูไม่ค่อยรุ่ง มารีแสดงบทนี้ออกมาได้ดูเป็นธรรมชาติ สีหน้าแววตา เหมือนเป็นลูกสาวของซูเลียนและพี่สาวของราฟาเอลจริง ๆ
แกสตรอง (ราฟาเอล โรมองด์)
น้องชายที่สุขภาพค่อนข้างอ่อนแอ รักแม่ ชอบเล่นฟุตบอล เป็นสีสันสร้างรอยยิ้มให้ครอบครัว และสร้างรอยยิ้มให้คนดูได้ด้วย เพราะหนังเป็นแนวดราม่าไม่ค่อยมีช่วงเวลาที่จะยิ้มออก แต่ก็ได้ยิ้มบ้างจากการแสดงของราฟาเอลนั่นแหละ
จุดชื่นชม
เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเกษตรกรรมดังนั้นภาพที่นำเสนอออกมาต้องเป็นนอกเมือง ซึ่งหนังจะพาเราไปดูวิวสวยงามของชนบทฝรั่งเศส ทุ่งหญ้า บ้านในชนบท ทะเล และทะเลสาบ ซึ่งมีความเป็นยุโรป สงบสวยงาม
สำหรับ CG ของหนังออนไลน์เรื่องนี้ได้บริษัท Digital District เป็นผู้รับผิดชอบซึ่งทำออกมาได้สมจริง ทั้งตอนที่ตั๊กแตนกำลังรุมกินเลือด หรือฝูงตั๊กแตนบินพร้อมกัน ให้ความรู้สึกทั้งน่าเกลียดน่ากลัว อาจสยองติดตาไปหลายวันสำหรับคนกลัวแมลง
ในส่วนเนื้อเรื่องจะว่าแปลกใหม่ก็ไม่เชิง เป็นเรื่องเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดซึ่งก็เคยเห็นมาอยู่บ้าง แต่อาจไม่เคยเห็นเรื่องเกี่ยวกับตั๊กแตน เรื่องชื่อเดียวกัน The Swarm ปี 1978 นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับผึ้ง
แต่แนวการดำเนินเรื่องก็ค่อนข้างต่างกัน แต่ความพิเศษของ The Swarm 2020 อยู่ที่ความเป็นหนังฝรั่งเศส อินดี้ ดำเนินเรื่องช้า ผสมความสยองขวัญกับดราม่าความสัมพันธ์ครอบครัวเข้าไป ทำให้เป็นความแปลกใหม่ที่ไม่ค่อยพบเจอ
โดยรวม
ด้วยความที่หนังทั้งอืดทั้งเอื่อย เนือยๆ กับเรื่องราวดราม่าแบบที่บอกไป แม้มันอาจจะไม่ถึงกับแย่สุดๆ แต่ในฐานะหนังสัตว์กินคนต้องบอกว่ามันจะไม่ผ่านก็เพราะการโฟกัสผิดจุดไปปูเรื่องอื่นซะเยอะนี่แหละครับ
ซึ่งพอถึงช่วงที่ตั๊กแตนหลุดออกมากินคนตอนท้าย (จริงๆ มีหลุดมากลางเรื่องครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรต่อมาเลย) เวลาในหนังมันก็ใกล้หมดแล้ว ผู้สร้างพยายามเลี้ยวกลับลำสุดตัวให้ตั๊กแตนมากินคนติดๆ กันเพื่อเอาใจคนดู
แต่ก็ยังไม่ถึงใจอยู่ดี เพราะหนังเล่นตัดฉากมีตั๊กแตนมาเกาะทั่วตัวนอนตายแล้ว ไม่มีฉากเริ่มจู่โจมกัดกินคนแบบที่ควรจะมีในแนวหนังแบบนี้ อย่างฉากตั๊กแตนรุมพังบ้านก็ไม่มี ใช้ตัดฉากเอาทั้งหมด ซึ่งเข้าใจว่าคงเป็นเพราะหนังทุนต่ำสร้างฉากแบบนี้ลำบากด้วย
แต่ก็ยังดีที่มีฉากฝูงตั๊กแตนรุมโจมตีที่แอบเว่อร์นิดๆ ในตอนไคลแม็กซ์ แต่ก็ยังเป็นสเกลเล็ก ก่อนหาทางจัดการฝูงตั๊กแตนนี้ได้ในตอนท้ายพ่วงด้วยการเคลียร์ปมดราม่าแม่ลูกไปพร้อมกัน ซึ่งบอกตรงๆ ว่าแอบผิดหวังที่หนังเลือกจบแบบสวย แทนที่จะไปให้สุดกับแนวสยองขวัญดราม่าหดหู่ไปเลยจะดีกว่าครับ

สรุป
จึงเป็นหนังระทึกขวัญที่มีความเนิบช้า เน้นการสร้างความเข้าใจระหว่างผู้ชมและตัวละคร โดยมีตั๊กแตนกินเลือดเป็นแค่เพียงองค์ประกอบในการสร้างความน่ากลัว เพราะความเป็นจริงแล้วความน่าหวาดผวานั้นล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากตัวเวอร์จินีทั้งสิ้น
ถ้าดูไปคิดตาม วิเคราะห์ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วหนังเรื่องนี้ก็เป็นภาพสะท้อนปัญหาวิถีชีวิตของภาคเกษตรกรชาวฝรั่งเศสที่ต้องแบกรับความลำเค็ญในการเอาชีวิตรอดอย่างปากกัดตีนถีบได้น่าสนใจทีเดียว
0 notes
Text
Nevertheless
รีวิว Nevertheless - รักนี้ห้ามไม่ได้
ซีรีส์ Netflix 10 ตอนจบ เรื่องราวแนวโรแมนติกแบบเรียลๆ ของความสัมพันธ์แบบพิเศษที่เป็นพิษ ผ่านตัวพระเอกที่มีเสน่ห์เกินต้าน แต่กลับเลวร้ายต่อหัวใจมาก เป็นซีรีส์ที่สร้างมาจากเว็บตูนในชื่อเ��ียวกัน และแอบอื้อฉาวด้วยเรต 18+ ในเกาหลี แต่มาลงในเน็ตฟลิกจะเป็นเรต 16+ ด้วยเรื่องแนวอีโรติกเบาๆ ด้วยพล็อตเรื่องง่ายๆ รีวิว Nevertheless
เรื่องย่อ
เรื่องราวความรักระหว่างยูนาบีผู้หญิงที่เชื่อว่ารักครั้งนี้เป็นโชคชะตากับหนุ่มจอมหว่านเสน่ห์พัคแจออน ที่ไม่อยากมีความสัมพันธ์จริงจัง เมื่อทั้งสองโคจรมาพบกันความรักครั้งนี้จะเป็นอย่างไรเมื่อเขาแค่อยากจะสนุกและไม่คิดจะผูกพัน
มานั่งสังเกตตัวเองดู ซีรีส์เกาหลีหลายๆ เรื่องเลยนะ ที่เลือกดูเพราะนักแสดง บางเรื่องเป็นผลงานของดาราที่เราชื่นชอบเป็นทุนเดิม ทำให้เราเลือกจะเปิดดูซีรีส์เรื่องนั้นๆ โดยไม่คิด บางเรื่องก็เป็นผลพวงที่ตามมาจากเรื่องก่อนหน้าที่ทำให้เราได้รู้จักกับเขา
จึงไม่แปลก ที่ซีรีส์บางเรื่องแค่ประกาศว่า ใครจะเล่นคู่กับใคร เราก็แทบจะตาแป๋วอ้อนวอนขอให้รีบฉายไวๆ โดยไม่ได้สนพล็อตหรือแนวทางของเรื่องเลยด้วยซ้ำ อย่างเช่นเรื่องนี้ Nevertheless ชื่อไทยหวานๆ รักนี้ห้ามไม่ได้ ซีรีส์ที่ดัดแปลงบทมาจากเว็บตูน
เนื้อเรื่อง
ยูนาบี (Han So Hee/ฮันโซฮี จากซีรีส์เรื่อง The World of the Married และ 100 Days My Prince) เป็นนักศึกษาศิลปกรรมในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ที่เพิ่งจะทิ้งผู้ชายมาหมาดๆ เพราะพฤติกรรมที่รับไม่ได้ และเธอเริ่มจะไม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตและความรักอะไรพวกนั้นแล้ว แต่ก็เหมือนโชคชะตาจะเล่นตลกกับเธอหน่อย เมื่อเธอได้มาเจอกับผู้ชายหนุ่มหล่อมีสเน่ห์คนนี้เข้า
เขาคือ พัคแจออน (Song Kang/ซงคัง พระเอกจากเรื่อง Love Alarm, Navillera และ Sweet Home) นักศึกษาชายรุ่นน้องแต่อายุเท่ากัน หน้าตาดี ผู้ที่ไม่ได้ต้องมีความสัมพันธ์ทางใจกับใคร และได้ข่าวว่าเขาต้องการดื่มเหล้ากับนาบี
เธอผู้กำลังเกลียดกลัวความรัก และตัดสินใจจะไม่หวั่นไหวไปกับความรัก แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับชายหนุ่มผู้มีเสน่ห์ชวนเคลิบเคลิ้มผู้นี้ ชายที่บอกว่า เขาชื่นชอบ ‘ผีเสื้อ’ ที่ตรงกันกับความหมายของ ‘นาบี’ ชื่อของเธออยู่เช่นกัน
ขณะที่เขาเอง คือจอมเจ้าชู้ผู้ไม่คิดจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใคร แต่เขากลับตกหลุมรักนาบีเข้าอย่างจัง เขากำลังจะเปลี่ยนตัวเองไปทีละน้อย
การเล่าเรื่อง
ฟังพล็อตแล้วหลายคนอาจจะงงๆ กับความสัมพันธ์แบบนี้ ต้องอธิบายก่อนว่ามันคือความสัมพันธ์แบบ เฟรนด์วิทเบเนฟิท (Friend with benefit) หรือที่ย่อๆ ว่า FWB นั่นเอง ก็คือตัวเอก พัคแจออน (รับบทโดยซงคัง) เป็นคนที่มีแนวคิดไม่คบใคร ไม่ผูกมัดตัวเองกับใคร
แต่หว่านเสน่ห์ใส่ผู้หญิงที่เขาชอบได้หลายคน มี SEX กับหลายคน เป็นเพื่อนดูแลเทคแคร์กันได้ แต่ก็ไม่ผูกมัดกับใครสักคน ซึ่งจะมองว่าเจ้าชู้ก็ได้ เพราะเจ้าตัวก็หล่อบริหารเสน่ห์เก่ง แต่ก็ตรงไปตรงมากับความสัมพันธ์แบบนี้จริงๆ
ไม่ได้ปกปิดหรือซ่อนเร้นแบบที่ผู้ชายเจ้าชู้ส่วนใหญ่ทำกัน ซึ่งความสัมพันธ์แบบ FWB กับผู้หญิงอาจจะเข้าใจยากสักหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ไม่มี เพราะความสัมพันธ์แบบนี้คือมาจากทางตะวันตก ที่เขาสำรวจมาแล้วว่ามีแบบนี้เยอะมาก
เป็นมากกว่าเพื่อนนิดนึง แต่ก็ไม่ใช่กิ๊กเพราะไม่ได้คบหาใคร เรียกว่าเพื่อนนอนก็ได้ ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดจริงๆ เพราะเป็นการตกลงใจกันทั้งสองฝ่ายโดยไม่ได้ปิดบังอะไรกันในความสัมพันธ์แบบนี้
การข้ามเส้นความรู้สึก
แต่ปัญหาที่มักเกิดกับ FWB คือการข้ามเส้นความรู้สึกไปรัก ไปหึงหวง อยากครอบครองไว้คนเดียว อยากอวดว่าเป็นแฟนอะไรแบบนี้ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายลำบากใจ ซึ่งในซีรีส์เรื่องนี้เมนหลักก็คือการนำเสนอความสัมพันธ์แบบใหม่นี้
โดยมีพัคแจออนเป็นตัวเอก แต่ไม่ใช่พระเอก เพราะในเรื่องดูหนังฟรียังมีตัวเอกอีกคนตามมาในภายหลัง และมีนาบีเป็นผู้หญิงที่ตกเข้ามาในบ่วงความสัมพันธ์แบบนี้โดยไม่รู้ตัวว่ามีผู้ชายแบบนี้จริงๆ แม้เธอเองพึ่งเจ็บมาหมาดๆ
ในตอนเปิดเรื่องกับแฟนเก่าที่เอาร่างกายเธอไปทำงานศิลป์อุจาดโดยไม่บอก อีกทั้งยังนอกใจคาตา ซึ่งแม้เธอจะเข้มแข็งตัดความสัมพันธ์บอกเลิกมาได้ทันที แต่การมาเจอกับพัคแจออนโดยบังเอิญกลับหลงเสน่ห์กับเบ้าหน้าเขาตั้งแต่แรกพบ
แถมยังพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาทำดีกับเธอเป็นพิเศษกว่าใคร แม้เพื่อนที่รู้จักพัคแจออนดีว่าเป็นคนยังไงจะเตือนเธอแล้วก็ตาม สุดท้ายก็ห้ามใจให้หลงรักไม่ได้ ตามชื่อเรื่องนี้เลย (nevertheless ชื่ออังกฤษก็แปลความหมายในทำนองเดียวกันคือ ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น)
เนื้อเรื่องอาจจะดูว่านาบีเป็นเหมือนผู้หญิงโง่ซ้ำแล้วซ้ำอีกกับความรัก แต่นี่คือพ้อยท์หลักของซีรีส์เรื่องนี้เลยที่กล้าสะท้อนความจริงอันเจ็บปวดแบบไม่อ้อมค้อมบิดเบือนเรื่องราวไปแนวโรแมนซ์ขายฝันแบบซีรีส์เกาหลีเรื่องอื่นๆ
ซึ่งคนดูเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผู้หญิงแบบนี้จริงๆ รวมถึงผู้ชายแบบพัคแจออนก็ด้วย ตัวเรื่องนำเสนอความสัมพันธ์แบบ Toxic Relationship “ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ” ซึ่งก็เป็นความผิดของนาบีเองด้วยที่เล่นกับไฟ หลงไปกับผู้ชายแบบนี้
ซึ่งเรื่องราวจะเต็มไปด้วยความเจ็บปวดของการขีดเส้นความสัมพันธ์ไว้แค่ FWB แม้อาจจะมีบางคราวที่เหมือนพัคแจออนจะยอมข้ามเส้นมา แต่เนื้อแท้ของเขาก็ไม่เปลี่ยนไปในตอนจบอยู่ดี ซึ่งจุดนี้เองผู้ชมที่พึ่งเริ่มดูต้องทำความเข้าใจก่อนว่า
นี่ไม่ใช่ซีรีส์รักโรแมนติกที่สวยงาม แต่เป็นซีรีส์โรแมนติกที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด และก็ไม่ใช่ซีรีส์หักมุม ชิงไหวพริบ แม้ตัวนางเอก Han So-Hee จะเล่นบท ดาคยอง เมียน้อยจาก A World of Married Couple
แต่บทของนาบีคือตรงกันข้ามเลย เธอเป็นผู้หญิงซื่อๆ ที่ติดบ่วงหลงเข้ามาในความสัมพันธ์นี้เองแล้วหาทางออกไปไม่ได้ เพราะใจตัวเองแท้ๆ ไม่ต้องไปโทษใครอื่นเลย ซึ่งก็คือความเรียลของเรื่องราวจริงๆ ในสังคมนี่แหละคือจุดขายของเรื่องนี้
จุดขายของเรื่อง!
ต้องบอกว่าแม้เรื่องราวจะเจ็บปวดและให้ตัวเอกอย่างพัคแจออนเป็นผู้ชายเชี่ยๆ ไม่กี่เรื่องที่เกาหลีทำออกมา แต่จุดนี้เองก็เป็นจุดขายที่มาแรงกว่าเรื่องราวที่กล่าวมามาก เพราะเอาจริงๆ คือซีรีส์เรื่องนี้มีกลุ่มทาเก็ตโดยเฉพาะเลยคือขายสาวๆ
ที่ขอแค่ดูซงคัง ดาราหนุ่มรูปหล่อในคราบแบดบอยเจ้าเสน่ห์ที่ขยันโปรยอ่อยทุกฉากที่ออกมา ซึ่งซีรีส์หนังใหม่ชนโรงก็ขายจุดนี้ก็ตรงๆ ทุกฉากที่ซงคังอ่อยนาบีคือเสน่ห์ที่ใจเกินต้านทานได้จริงๆ เขาคือดาราที่เห���าะมากกับบทนี้ แม้อาจจะไม่ได้หล่อแบบที่สุด
แต่เสน่ห์อ่อยนี่เหลือล้นมากๆ ทุกจังหวะมีการรุกเบาๆ เข้าถึงเนื้อถึงตัว ชวนไปห้องด้วยการบอกว่าไปดูผีเสื้อ (พัคแจออนสักผีเสื้อไว้ที่หลังคอและชอบผีเสื้อ) ซึ่งบทนี้ไม่ใช่ผู้ชายสายรุกแบบขอแค่มี SEX แต่เขาก็เอาใจใส่ผู้หญิงที่หมายตาไว้จริงๆ เพียงแต่ว่าไม่ได้ทำแบบนี้คนเดียว แต่ก็ไม่ได้คบกับใคร
แต่ผู้หญิงที่ติดบ่วงเขาก็อยากข้ามเส้นนั้นไปกันทั้งนั้น ซึ่งรวมถึงนาบีเองด้วย และก็ดูจะอาการหนักกว่าใคร เพราะบทเรียนที่เธอพึ่งได้รับมาเจ็บปวดก็แอบระแวงอยู่นิดๆ ซึ่งการขีดเส้นหัวใจไว้ยิ่งกลายเป็นการเพิ่มความรู้สึกอยากเอาชนะของพัคแจออนเข้าไปให้ได้อีก
แต่ไม่ใช่ความรัก มันคือ SEX ที่เขามองหาอยากได้จากตัวนาบีต่างหาก ซึ่งเรื่องก็มีฉากแนวนี้อยู่พอสมควร แต่ไม่ได้แรงถึงขั้นเห็นอะไรแบบนั้น แต่แค่นี้ก็น่าจะตอบสนองแฟนๆ ที่มาดูซงคังได้เกินพอแล้วเช่นกัน
บทของคู่อื่น ๆ ก็มีนะ!
หลังจากปวดจิตกับความรักของยูนาบี ที่ดูไปก็เป็นห่วงไป ซีรีส์ก็หาที่ลงให้กับความรู้สึกของคนดูได้แบบยิ้ม ๆ โดยใส่บทของคู่อื่น ๆ ที่เป็นเครื่องเคียงแก้เลี่ยน เริ่มตั้งแต่คู่เพื่อนซี้ ‘บิทนา’ สาวเปรี้ยวผมสองสีกับ ‘คยูฮยอน’ ที่เผลอไปมีความสัมพันธ์กันแบบไม่ตั้งใจ
จนเกิดเป็นความรักชวนจั๊กจี้ที่ทำเอาคนดูยิ้มตามแบบอดใจไม่ไหว เสริมรสชาติมาอีกด้วยความสัมพันธ์ของเพื่อนสาวระหว่าง ซล-จีวาน ที่ทำให้เรื่องนี้ชี้ชัดเข้าไปอีกในเรื่องความสัมพันธ์ที่หลากหลาย
ก็รู้แหละว่าใส่บทเหล่านี้เข้ามาให้เนื้อเรื่องจากที่ไม่มีอะไรนอกจากฉายความสัมพันธ์แบบ ‘รู้ทั้งรู้แต่ก็อยากลอง’ ให้มีอะไรเข้ามาบ้าง คล้ายกับพยายามจะบอกกับคนดูว่า ความรักไม่ว่าจะเกิดกับใคร สถานการณ์ใดหรือเพศใดก็ตาม
มันสวยงามตามบริบทของมัน และความรักดี ๆ มักจะมาซัพพอร์ตยามหัวใจเจ็บช้ำได้ดีเสมอ เหมือนอย่างพ่อค้าก๋วยเตี๋ยว ยังโดฮยอกที่จะมาบรรเทาความบอบช้ำของยูนาบี ถ้าเธอตัดสินใจเลือกเขาเข้ามาในชีวิต
มีจุดที่เพิ่มมาจาก Webtoon
จุดที่ตัวซีรีส์เพิ่มเข้ามาจากเว็บตูนคือความสัมพันธ์แบบอื่นๆ ของเพื่อนนางเอก ซึ่งก็เป็นความพยายามเสนอรูปแบบความรักใหม่ๆ อย่างผู้หญิงกับผู้หญิงด้วยกัน หรือการพลาดพลั้งนอนกับเพื่อนสนิท แต่กลับกลายเป็นความรู้สึกมากกว่านั้นในเวลาต่อ
ซึ่งตัวเรื่องจะพยายามปูตัวละครพวกนี้ไว้แซมๆ เรื่องรักของนาบีกับพัคแจออน เรียกว่าเป็นการคั่น+ช่วยยืดเนื้อหาจากเว็บตูนให้มีอะไรเพิ่มขึ้นมา เพราะตัวเว็บตูนเองจริงๆ เนื้อเรื่องก็ไม่ค่อยมีอะไรมากพอทำซีรีส์ยาวๆ ได้ (ก็เลยมีแค่ 10 ตอนจบ)

เพลงประกอบไพเราะมาก!
อีกจุดหนึ่งที่สร้างความประทับใจได้กับผู้ชมอย่างเราๆ นอกเหนือจาก พระนางที่หน้าตาน่าเอ็นดูกันทั้งคู่ และบทที่ชวนอินหน้าแดงแกมตะขิดตะขวงใจ ก็คือ เพลงประกอบซีรีส์ที่ทำออกมาไพเราะเอามากๆ
สรุป
ซีรีส์แนวโรแมนติกแบบเรียลๆ ดาร์คๆ เรื่องราวในแต่ละฉากดูขายฝันมีเสน่ห์จากตัวพระเอก แต่กลับเจ็บปวดจากความจริงและไปลงที่นางเอกทั้งหมด อาจจะดูอืดๆ บ้างกับเนื้อเรื่องที่ไม่ค่อยไปไหน แต่ถ้าใครชอบแนวเรียลๆ ความแตกต่างจากความสัมพันธ์แบบ FWB ที่มีพระเอกเป็นคนแบบนี้ อาจจะดูเชี่ยมาก แต่ก็แตกต่างจากซีรีส์เกาหลีขายฝันโดยส่วนใหญ่
ปล.ตัวซีรีส์มีการเปลี่ยนฉากจบด้วยนะ ต่างกับในเว็บตูนด้วย ถ้าใครที่เคยอ่านเว็บตูนมา แล้วมาดูซีรีส์นี้ขอบอกเลยว่าฟีลกู๊ดกว่า!
0 notes
Text
Uncut Gems
รีวิว Uncut Gems - เพชรซ่อนเหลี่ยม
หนังที่ต้องบอกว่าน่าจับตามองเพราะว่าเป็นการพลิกบทจากดาราสายฮามาเป็นสายจริงจังเดือดๆแบบนี้จากตัวอดัมแซนด์เลอร์เองต้องบอกว่าน่าจับตามองและหลายๆคนก็ชื่นชมการแสดงครั้งนี้เลยแหละไม่ใช่หนังทีจะแสดงดราม่าอะไรเยอะแต่การเข้าถึงตัวละครมันได้จริงๆ ส่วนเรื่องนี้ก็เป็นหนังคุณภาพจาก Netflix อีกแล้วครับที่ได้ ผกก ทั้ง 2 คนจาก Good time คือ พี่น้อง Safdie นั้นเอง รีวิว Uncut Gems
เรื่องย่อ
ผลงานอาชญากรรมระทึกขวัญของจอชและเบนนี่ แซฟดี้ นักสร้างภาพยนตร์ชื่อดังที่นำเสนอเรื่องราวของ ฮาเวิร์ด แรตเนอร์ (อดัม แซนด์เลอร์) นักค้าอัญมณีผู้มีวาทศิลป์ชาวนิวยอร์กที่คอยมอ���หาโอกาสรวยลัดเสมอ ครั้งนี้เขาเสี่ยงทุ่มเดิมพันครั้งใหญ่เพื่อผลตอบแทนที่เหลือเชื่อแต่อันตรายอย่างที่สุด ฮาเวิร์ดจึงต้องงัดทุกกลยุทธ์มาใช้เพื่อหักเหลี่ยมศัตรูที่มีอยู่รอบด้าน
ก่อนรับชมได้ยินเสียงวิจารณ์ว่าเป็นผลงานการแสดงที่ดีที่สุดของอดัม แซนด์เลอร์ แต่หลังดูจบก็ต้องขอค้านเลยว่าเขาไม่ได้เล่นดีอะไรจากที่เคยเป็นอยู่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็ดีเสมอตัวอยู่แล้ว (ดีแบบเป็นตัวอดัมเองจนคนจำภาพนี้ได้) เพียงแต่เรื่องนี้เป็นหนังแนวดราม่าผสมอาชญากรรม
ซึ่งอดัมไม่เคยได้รับบทแบบนี้มาก่อนเท่านั้น ก็เลยอาจจะถูกยกสูงขึ้นเกินกว่าหนังตลกสไตล์เดิมๆ ของเขา แต่ก็ยังเล่นเป็นตัวละครที่พูดมากเน้นยิงมุกอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่เปลี่ยนโทนมาแนวพ่นคำพูดเป็นชุดกับมุกแห้งๆ เครียดๆ พร้อมกับเรื่องราวที่มีหลายองค์ประกอบชวนปวดหัวได้เหมือนกัน
และนี่ก็คืองานขายฝีมือของอดัม แซนด์เลอร์จริงๆ เมื่อเทียบกับงานส่วนใหญ่ของเขาที่ผ่านๆ มา แล้วกับประเด็นสนทนาที่เกิดขึ้น แซนด์เลอร์สมควรเป็นหนึ่งในห้าผู้เข้าชิง (หรือสี่ถ้าตัดวาคีน ฟีนิกซ์ที่จองพื้นที่ตั้งแต่ไก่โห่) ไหม?
คำตอบคือเข้าไปได้ก็ไม่ขี้เหร่ แต่จะเอาใครออกล่ะ แถมหนึ่งในผู้พลาดเข้าชิงทั้งที่ทำได้ดีเหลือเกินยังมี ทารอน เอเจอร์ตันจาก Rocketman อีกคน ทำให้พอมองย้อนไปถึงรางวัลนี้ของปีก่อน ปีนี้ถือว่าแข็งมากๆ สำหรับการเข้าชิง
หนังชื่อเรื่องเกี่ยวกับเพชรที่ยังไม่เจียรไน แถมชื่อไทย “เพชรซ่อนเหลี่ยม” ยังตั้งได้แบบชวนว้าวว่านี่คงเป็นหนังตัดเหลี่ยมเฉือนคมกันสุดๆ ดูหนังออนไลน์เรื่องย่อก็ยังออกมาในแนวให้เข้าใจว่าแบบนั้น ผสมกับตัวอย่างที่ดูเร้าระทึกกันสุดๆ แต่แท้ที่จริงแล้วหนังแทบไม่มีอะไรแบบที่ว่ามานั้นเลย เรื่องราวกับบทสรุปของหนังสามารถเล่าจบได้สั้นๆ และไม่ได้มีการหักมุมเฉือนคมอะไรแบบน่าตื่นตาตื่นใจทั้งสิ้น
สองพี่น้อง ตระกูลแซฟดี้ ทั้ง จอช และ เบนนี่ อาจเป็นชื่อไม่คุ้นหูคอหนังทั่วไปนัก แต่ในแวดวงหนังอินดี้แล้วนั้นพวกเขาวนเวียนอยู่กับเวทีล่ารางวัลมาอย่างโชกโชนจากหนังแนวดราม่าที่พวกเขาถนัดจัดเจน จนมามีชื่อแถวหน้าสำเร็จจากการเข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำจากหนังดราม่าอาชญากรรม Good Time (2017) ที่เป็นจุดพลิกสำคัญให้ โรเบิร์ต แพตทินสัน
ได้ขึ้นมาเป็นดารานำชายแถวหน้าในหนังกลุ่มรางวัลด้วย สำหรับ Uncut Gems เรื่องนี้เองก็เป็นหนังที่ได้รับการจับตามองมากขึ้น ทั้งว่าเป็นผลงานดราม่าอาชญากรรมเรื่องล่าสุดหลังจากหายไปนานถึง 2 ปี และยังเป็นการนำ อดัม แซนด์เลอร์ ปรับภาพมาเป็นยิวนิวยอร์กที่ไม่เหลือคราบความฮาบ้องตื้นอีกต่อไป
เนื้อเรื่อง
หนังว่าด้วยโอปอลอัญมณีจากเอธิโอเปียก้อนหนึ่งซึ่งยังไม่ได้รับการเจียระไน หากแต่ประกายหลากสีของมันยั่วยวนให้บางคนหลงใหลคลั่งไคล้ได้ราวต้องมนต์ ซึ่ง ฮาเวิร์ด แรตเนอร์ (แซนด์เลอร์) พ่อค้าอัญมณีผู้ชอบความเสี่ยงได้ไปเจอเข้าจากช่องสารคดี และหวังว่าเจ้าโอปอลก้อนนี้จะช่วยเปลี่ยนสถานการณ์จนตรอกของเขาที่มีกับเหล่าเจ้าหนี้มากหน้าหลายตาที่เข้ามาวงเวียนทวงเงินเขาตลอดเวลาได้เสียที
แต่ด้วยบุคลิกลื่นเป็นปลาไหลและตัดสินใจได้ห่วยแตกหลายครั้งสถานการณ์ที่น่าจะดีขึ้นก็ลงเหวได้ง่าย ๆ ในมือของแรตเนอร์ ทั้งการแอบมีเมียน้อย���ป็นลูกน้องในที่ทำงานและให้เวลากับภรรยาและลูก ๆ อย่างจำกัดจำเขี่ย การบ้าพนันบาสเก็ตบอลแบบเข้าเส้นอย่างที่ว่ามีเงินกองตรงหน้าก็เลือกจะเอาไปลงพนันล็อตใหญ่มากกว่าจะเอาไปจ่ายดอกหนี้ก้อนโต ราวกับในหัวเขามีแค่ชนะไม่ก็แพ้
และถ้าแพ้ก็แค่ลื่นไหลเอาตัวรอดไปวัน ๆ ให้ได้ก็พอ ทว่าเจ้าหนี้สุดเขี้ยวของเขานามว่า อาร์โน ก็จ้างคนทวงหนี้สุดโหดออกไล่ล่าเขาแบบไม่มีวันหยุด จนความเสี่ยงนี้ก้าวย่างไปถึงครอบครัวของเขาด้วย โดยความปั่นป่วนทั้งหมดนี้ก็มีอัญมณีก้อนที่ว่าเข้ามาเป็นส่วนสำคัญที่จะชี้ขาดว่าหนทางแบบนักเสี่ยงโชคของแรตเนอร์จะวินเนอร์หรือลูสเซอร์กันแน่
พล็อตเรื่องมีความแปลกใหม่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยกับตัวเอกที่ดูมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว แต่ตัวหนังเองจริงๆ กลับกลายเป็นภาพของอดัม แซนด์เลอร์ ที่รับบทยิวที่ติดการพนันบาสเก็ตบอล NBA และวันๆ ก็พยายามเอาตัวรอดหาเงินด่วนจากทางนั้นมาโป๊ะทางนี้วนไปวนมา ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรจากผีพนันทั่วไปที่มีเงินเท่าไหร่ก็เอาไปลงการพนันหมด
แม้เจ้าหนี้จะตามมาราวีถึงที่หรือถึงขั้นซ้อมก็ยอมเจ็บตัวแต่ไม่มีตังให้ อาศัยโกหกยืดเยื้อไปเรื่อยๆ เท่านั้น แถมตัวเขาก็ไม่ได้ฉลาดอะไรมากในเรื่อง ยังโดนคนหลอกหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าบทนี้มีเล่ห์เหลี่ยมตรงไหน? นอกจากโกหกยียวนเอาตัวรอดกับทนมือทนตีนนักเลงทวงหนี้ไปวันๆ เท่านั้น ซึ่งถ้าใครหวังมองหาหนังเฉือนคมหักมุมอะไรแบบนี้บอกเลยไม่มีครับ
จุดที่น่าปวดหัว
แล้วที่น่าปวดหัวมากๆ คือ หนังเต็มไปด้วยการพูดตะเบ็งเสียงแข่งกันของตัวละครแทบทุกตัวในเรื่อง ลำพังแค่ฟังอดัมพูดพ่นไม่หยุดก็ปวดหัวแล้ว ยังต้องเจอกับตัวละครผิวดำกับพวกมาเฟียที่พยายามพูดสวนซ้อนเวลาถกเถียงกับพระเอกอยู่ตลอดเรื่อง แล้วก็ไม่ได้เป็นบทสนทนาที่ฟังแล้วเฉียบคมหรือมีอะไรมากกว่าไปกว่าการทวงหนี้กับการขอยื้อเวลาของพระเอกวนซ้ำไปมาจนจบ
ประเด็นความอยากรวย
ประเด็นของการอยากรวยทางลัดของพระเอกก็ทำออกมาธรรมดาเหมือนคนทั่วไป ไม่ได้มีเหตุหรือแรงจูงใจให้เราเข้าใจมาก่อนว่าทำไมต้องหมกหมุ่นกับความอยากรวยเร็วแบบนี้ นอกจากว่าอยากรวย อยากทำตามที่คิดแล้วได้ผลก็เพียงแค่นั้น ทั้งๆ ที่เจ้าตัวก็เปิดร้านเพชรมีลูกน้องหลายคน ลูกค้าก็มีเข้ามาตลอดเรื่อง
ซึ่งเปิดร้านทำงานได้ขนาดนี้ก็ไม่น่าจะขัดสนกับพวกทวงหนี้ที่แค่หลักแสน แถมยังมีห้องพักส่วนตัวไว้อยู่กับกิ๊กอีกต่างหาก ซึ่งกลายเป็นว่าสิ่งที่พระเอกมีกับปัญหาที่เกิดขึ้นจากพวกทวงหนี้ที่เอาถึงตายค่อนข้างย้อนแย้งกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมาย
สิ่งที่ยังดีอยู่
สิ่งที่ดีที่สุดของหนังคือตอนจบ หลังจากลากเรื่องราววนเวียนซ้ำๆ กับการหนี้ ทวงหนี้ ก็กลายมาเป็นไคลแม็กซ์สำคัญกับการพนันบาสเก็ตบอลของพระเอกที่ทุ่มหมดตัววัดดวงเลยว่ารอดหรือไม่รอดทั้งเงินก้อนและชีวิต
ซึ่งเป็นฉากเดียวของเรื่องที่เรียกว่าลุ้นที่สุด ผ่านการแสดงของอดัมที่ออกแนวคนเชียร์กีฬาที่อินสุดๆ ล้นๆ จนเกินเบอร์ แต่ก็ยังไม่วายทำให้รู้สึกว่าตัวละครตัวนี้สุดโต่งน่ารำคาญมากจนถึงมากที่สุด
ความโดดเด่น
ความโดดเด่นของหนังความยาวกว่า 2 ชั่วโมง 15 นาที นี้อยู่ที่บทหนังที่ใส่รายละเอียดและซีนมากมายเข้ามา เกิดสถานการณ์พลิ��ผันไปมาตลอดทั้งเรื่อง ไม่ใช่แค่แรตเนอร์ที่หัวปั่น ผู้ชมเองก็ต้องลุ้นแล้วลุ้นอีก ลุ้นจนเหนื่อยว่าตัวละครจะเอาตัวรอดได้อีกนานแค่ไหน แม้ว่าหลายอย่างมันจะอยู่ในสูตรที่หนังซีรี่ย์ Netflix แนวนี้มักใช้กันทั้งเรื่องตัวละครตัดสินใจห่วย ๆ ให้ทางเลือกมันย่ำแย่ลง
การสู้แบบหมาจนตรอกที่ช่องเล็กช่องน้อยต้องมุดรอดให้หมดก็ยอม แต่ในความคล้าย ๆ เดิมนี้ ต้องยอมรับว่าสองพี่น้องแซฟดี้ค่อย ๆ ทำให้เราผูกพันกับคนที่เชื่อถือไม่ได้หรืออย่างน้อยในชีวิตจริงเราคงหลีกเลี่ยงจะคบหาอย่างแรตเนอร์ไปทีละน้อย จนในที่สุดเราก็ตกที่นั่งว่าถ้ามันจะลุยไปทางเสี่ยงขนาดนี้
เราก็คงต้องเอากับมันไปให้ถึงที่สุดด้วย และนั่นจึงทำให้ช่วงสุดท้ายของหนังเราถึงกับต้องถอนหายใจยาว ๆ ออกมาจากความค่อย ๆ บีบรัดทางเลือกเรามาตลอด 2 ชั่วโมงว่าในที่สุดมันก็หาทางลงได้เสียที แม้จะถูกใจหรือไม่ถูกใจใครก็ตาม อย่างไรก็ดีชีวิตของตัวละครอย่างแรตเนอร์ และอีกหลาย ๆ ตัวรอบข้างก็สอนอะไรเราบางอย่างไว้ในที่สุด
อดัม แซนด์เลอร์
อีกอย่างที่คนน่าจะพูดถึงกันมาคือการแสดงของ อดัม แซนด์เลอร์ นี่ล่ะ อาจพูดยากว่านี่คือการแสดงที่ดีที่สุดในคาแรกเตอร์แบบนี้ในหนังแนวนี้ แต่เมื่อพิจารณาจาก ความเป็นแซนด์เลอร์ ที่ผ่าน ๆ มา คงต้องยอมรับว่านี่เป็นการท้าทายตัวเองที่ประสบผลสำเร็จยอดเยี่ยมทีเดียว มันไม่เหลือเค้าเดิมของนักแสดงหนังตลกเบาสมองอีกเลย
เขาสวมความเป็นยิวที่น่ารังเกียจ กับคนที่น่าสงสารที่ติดอยู่ท่ามกลางกับดักที่ตนเองร่วมสร้างได้อย่างน่าติดตามเอาใจช่วย คงต้องติดตามว่าหลังจากเรื่องนี้แซนด์เลอร์จะต่อเนื่องในสายรางวัลจริงจังได้ขนาดไหน หรือจะกลับไปโกยทรัพย์ยาว ๆ อีก เพราะหนังโรแมนติกคอมเมดี้เบาสมองผสมปริศนาอย่าง Murder Mystery (2019) ของเขาก็ชนะซีรีส์อย่าง Stranger Things 3 ขึ้นเป็นคอนเมนต์ที่มีคนดูมากที่สุดบนเน็ตฟลิกซ์ในปี 2019 ที่ผ่านมาด้วย
จะบอกว่าเขาประสบความสำเร็จสูงสุดในสายทางบันเทิงแล้วคนหนึ่งก็ว่าได้ ก็คงต้องดูว่าเขายังอยากไล่ล่าความท้าทายอะไรใส่ตัวอีกหรือไม่ แต่ล่าสุดเขาก็มีโพรเจกต์หนังสั้นร่วมกับสองพี่น้องแซฟดี้ในชื่อเรื่อง Goldman v Silverman (2020) ก็ไม่แน่ว่าเขาอาจเจอผู้กำกับที่ถูกคอในแนวจริงจังนี้แล้วก็ได้
เซอร์ไพรส์เล็ก ๆ
หนังมีเซอร์ไพรส์เล็ก ๆ สำหรับคอบาสเก็ตบอลด้วย เพราะได้ เควิน การ์เน็ต หรือ เควี เจ้าของฉายา The Big Ticket นักบาสเก็ตบอลที่เคยคว้าแชมป์ NBA มาแล้วกับทีมบอสตัน เซลติกส์ และยังสร้างประวัติศาสตร์อีกหลายอย่างมาร่วมแสดงเป็นตัวเอง ในบทนักบาสวัย 30 กว่าที่เริ่มโรยราขาดความมั่นใจในตนเองจนมาเจอหินโอปอลที่เหมือนสัญญาณบางอย่างจากพระเจ้า
และก็ทำให้เขามั่นใจกับมาโชว์ฟอร์มเทพได้อีกครั้ง จนเขาเองยินยอมทำทุกอย่างให้ได้เจ้าหินนี้มา ซึ่งก็กลายเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตของตัวเอกด้วย และสำหรับสายดนตรีหนังก็มีฉากสั้น ๆ ที่ได้ เดอะวีกเอนด์ (The Weeknd) มาร่วมโชว์ด้วย

โดยรวม
นี่เป็นหนังที่ได้รับคำชมจนเรียกว่าโอเวอร์เรต ตัวหนังแม้จะมีพล็อตที่แปลกใหม่ แต่การดำเนินเรื่องราววนเวียนซ้ำกับเรื่องเดิมๆ ทั้งเรื่อง ทำให้หนังเหมือนไม่ได้เดินเรื่องไปไหน หรือมีความแปลกใหม่อะไรอย่างที่พล็อตและหน้าหนังถูกทำให้คิดว่าเป็น แถมด้วยบทพูดของตัวละครในเรื่องที่พยายามพูดสวนตะโกนแข่งกันตลอด���วามยาวของหนังสองชั่วโมงกว่า
ยิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิดรำคาญจนพาลเกลียดตัวละครไปด้วย แต่นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ผู้สร้างต้องการไว้ก็ได้ เพราะบทสรุปจบสุดท้ายก็มีที่มาจากความรำคาญที่ไต่ระดับจนสุดทนนี้เช่นกัน ซึ่งยังดีที่หนังยังมีความน่าสนใจและลากเรื่องยาวน่าติดตามเพื่อดูบทสรุปจบนี้ได้อยู่
สรุป
เป็นหนังซีเรียสเข้ม ๆ แบบชะตาหนูติดจั่นที่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งติดแน่น ให้บทเรียนชีวิตกับเราได้ ส่วนด้านโพรดักชันก็คุมอยู่มือแน่นในการนำเสนอและการเล่าแบบที่รู้สึกอิ่มมาก ๆ กับเรื่องราวพลิกผันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่อาจต้องผ่านช่วงแรก ๆ ที่ยังไม่ค่อยอินในตัวละครให้ได้ก่อน ยิ่งเข้าเรื่องสถานการณ์ต่าง ๆ ชัดเจน เชื่อเลยว่าจะหยุดดูไม่ได้เลย
0 notes
Text
Mare of Easttown
รีวิว Mare of Easttown - แมร์แห่งเมืองอีสต์ทาวน์
ซีรีส์เรื่องนี้ได้คะแนนสูงมากในต่างปร���เทศ จาก IMDB คือเฉลี่ย 8.6 ซึ่งหลักๆ คือการกลับมาแสดงเต็มตัวของเคต วินสเลต ที่แฟนๆ รอคอยการกลับมาของเธอแบบเต็มๆ เพราะก่อนหน้านี้ที่เธอมักแค่ให้เสียงพากย์กับงานต่างๆ ไม่ได้แสดงเองเป็นหลัก มีแค่เรื่อง Ammonite ของปีก่อนแต่ก็ไม่ได้ดังมาก เพราะเป็นหนังอินดี้เล็กๆ ที่โดนผลกระทบจากโควิดทำให้ไม่ได้ฉายวงกว้างไปด้วย นอกจากนี้โลเกชั่นของเรื่องคือเมืองเล็กๆ ใน รัฐเพนซิลเวเนีย บ้านเกิดของโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐคนล่าสุด ก็เหมือนแรงบวกให้คนติดตามชื่นชมเรื่องนี้มากยิ่งขึ้นไปอีก รีวิว Mare of Easttown
เรื่องย่อ
อีสต์ทาวน์เป็นชุมชนเล็ก ๆ ที่ทุกหัวมุมถนนแทบรู้จักกันหมด แมร์ (Mare) ตำรวจหญิงผู้ผ่านบาดแผลแห่งชีวิตมาอย่างโชกโชนเองก็เป็นเหมือนศูนย์กลางของชุมชนแห่งนี้ และวันหนึ่งเมื่อเด็กสาวคุณแม่ลูกอ่อนที่อนาคตอีกยาวไกลเกิดตายลงอย่างเป็นปริศนา
ทั้งคดีเด็กสาวที่หายสาปสูญไปก่อนหน้านี้ก็ยังเป็นชนักคาใจชาวชุมชนอีก แมร์จึงต้องคลี่คลายคดีให้ทันก่อนจะมีเหยื่อรายต่อไป พร้อม ๆ กับการรักษาความสัมพันธ์ของคนในชุมชนและแก้ปัญหาชีวิตส่วนตัวมากมายที่เปลี่ยนเธอเองไปไม่ต่างจากคนไร้หัวใจ
ซีรีส์เรื่องนี้ได้คะแนนสูงมากในต่างประเทศ จาก IMDB คือเฉลี่ย 8.6 ซึ่งหลักๆ คือการกลับมาแสดงเต็มตัวของเคต วินสเลต ที่แฟนๆ รอคอยการกลับมาของเธอแบบเต็มๆ เพราะก่อนหน้านี้ที่เธอมักแค่ให้เสียงพากย์กับงานต่างๆ ไม่ได้แสดงเองเป็นหลัก มีแค่เรื่อง Ammonite ของปีก่อนแต่ก็ไม่ได้ดังมาก
เพราะเป็นหนังอินดี้เล็กๆ ที่โดนผลกระทบจากโควิดทำให้ไม่ได้ฉายวงกว้างไปด้วย นอกจากนี้โลเกชั่นของเรื่องคือเมืองเล็กๆ ใน รัฐเพนซิลเวเนีย บ้านเกิดของโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐคนล่าสุด ก็เหมือนแรงบวกให้คนติดตามชื่นชมเรื่องนี้มากยิ่งขึ้นไปอีก
ที่ต้องเกริ่นมาแบบนี้เพราะหลักๆ แล้วผู้เขียนอยากให้เข้าใจว่า คะแนนกับหลายๆ อย่างของเรื่องนี้ค่อนข้างเฟ้อเกินไปมาก เมื่อเทียบกับแนวสืบสวนด้วยกัน เอาแค่ใน HBO เทียบแนวเดียวกันก็ยังรู้สึกแมร์ถูกให้คะแนนบวกเพิ่มเกินจริงไปเยอะ
ที่บอกแบบนี้ไม่ใช่แมร์ไม่ดี เพราะผู้เขียนเองก็ยอมรับว่าซีรีส์เรื่องนี้มีหลายส่วนที่ทำออกมาดีมาก แต่ก็ต้องบอกกันตรงๆ ให้เข้าใจกันก่อนว่า สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดูและคาดหวังว่า แนวสืบสวนต้องระทึก ตื่นเต้น ลึกลับซับซ้อน อารมณ์พวกนี้ไม่ได้เป็นองค์ประกอบหลักของเรื่องนี้เลย
ซึ่งซีรีส์ใน HBO หลักๆ คือแนวสืบสวนที่มีสูตรสำเร็จใช้บริการดาราดังยุคเก่ามาเล่นแทบทุกเรื่อง แล้วก็ต้องมีความโหดของคดีฆาตกรรมกับจุดหักมุมเป็นไฮไลท์สำคัญ แต่กับแมร์ไม่ใช่อารมณ์แบบนั้นเลย มีแค่การได้นักแสดงดังรุ่นเก่าเคทมาเล่น ซึ่งก็เป็นส่วนดีสุดของเรื่องนี้เลยก็ว่าได้
เนื้อเรื่อง
ว่ากันตามเนื้อผ้าแล้ว ซีรีส์ Mare of Easttown ผลงานสร้างของแบรด อิงเกลสบี กำกับโดย เครก โซเบิล ก็จัดอยู่ในแนวสืบสวนสอบสวน ลึกลับตื่นเต้น เทือกๆ เดียวกับ Mindhunter, American Crime Story, Big Little Lies ฉากหลังได้แก่ชุมชนเล็กๆ
ที่ดูขมุกขมัวและซอมซ่อของเมืองฟิลาเดลเฟีย ที่ผู้คนในชุมชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลางระดับล่างโยงใยกันแน่นหนา ไม่ว่าจะในฐานะญาติสนิทมิตรสหายหรือคนที่ไม่ชอบขี้หน้า
จุดปะทุของเรื่องมาจากเหตุการณ์ที่เด็กสาวแม่ลูกอ่อนชื่อเอรินถูกฆ่าตายอย่างอุจาดบนโขดหินกลางลำห้วยท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเย็น และเมื่อคำนึงว่าตำรวจสืบสวนของเมืองอีสต์ทาวน์ยังคงไม่มีคำตอบให้กับการหายตัวไปอย่างลึกลับของเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน
เมื่อราวหนึ่งปีก่อนหน้านั้น ความเดือดดาลและโกรธแค้นก็ยิ่งพุ่งพรวดและลุกลาม ประเด็นก็คือ ระหว่างแมร์ ในฐานะผู้รับผิดชอบทั้งสองคดี กับแม่ของเด็กสาวคนหลัง ก็เป็นเพื่อนร่วมทีมบาสเกตบอลชุดครองแชมป์สมัยมัธยม
และภาวะเพื่อนเก่าที่มองหน้ากันไม่ติด ก็เป็นหนึ่งในหลายๆ ตัวอย่างที่อธิบายความเป็นไปของชุมชนแห่งนี้ ที่ความวุ่นวายแทบทุกเรื่องล้วนแล้วมีความสัมพันธ์ส่วนตัวเข้าไปเพิ่มเติมดีกรีความยุ่งยาก
ขณะที่เส้นเรื่องหลักของซีรีส์ดูหนังออนไลน์ขับเคลื่อนด้วยการที่แมร์ และ คอลิน เซเบิล (เอฟเวน ปีเตอร์ส) นักสืบจากเมืองใหญ่และมีสถานะเป็นคนนอกสมบูรณ์แบบ ช่วยกันคลี่คลายเงื่อนงำและปมปริศนาของเหตุฆาตกรรม ซึ่งก็เป็นไปตามธรรมเนียมของเรื่องแนวนี้ นั่นคือไม่มีอะไรเป็นอย่างที่ปรากฏเบื้องหน้าของผู้ชม
อีกทั้งบรรดาผู้คนมากหน้าหลายตาที่เกี่ยวข้องกับคดีอุกฉกรรจ์นี้ไม่โดยตรงก็โดยอ้อมก็แทบจะไม่ได้พูดความจริงอย่างสิ้นซาก และมันโยงใยกลับไปสู่ประเด็นความเป็นชุมชนปิดที่ทุกคนล้วนเก็บงำหรืออมพะนำความลับบางอย่างของกันและกัน ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา
เรื่องราวดราม่าชีวิต
สิ่งที่แมร์เน้นหนักมากคือ เรื่องราวดราม่าชีวิตต่างๆ ของเธอที่ต้องไปพัวพันกับคนในชุมชนที่อาจจะเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีที่เธอกำลังสืบ ซึ่งแค่ไปแตะเค้นสืบใครก็กลายเป็นการทำร้ายคนรู้จักในชุมชนไปซะทั้งหมด
นอกจากนี้ช่วงเวลาที่เกิดคดี เธอก็ยังมีปัญหาทางบ้าน ทั้งความไม่เข้าใจกันกับลูกสาว แม่ก็มีปัญหาไม่ลงรอยกันมาตลอด หลานก็กำพร้าเพราะลูกชายคนโตฆ่าตัวตายโดยการแขวนคอในห้องใต้หลังโดยไม่รู้สาเหตุ ลูกสะใภ้ก็ติดยาทำให้เลี้ยงลูกไม่ได้
แต่ก็ยังพยายามขอสิทธิไปเลี้ยงดูแลเอง ซึ่งแมร์เองก็ไม่ยอมปล่อยหลานคนนี้ไป จนถึงขั้นต้องทำเรื่องผิดกฎหมายเพื่อจัดการลูกสะใภ้ตัวเอง แค่นี้ยังไม่พอ จากการตายของลูกชายทำให้เธอมีปมซึมเศร้าตลอดเวลา จนคบหาใครไม่ได้
แม้จะมีคนใหม่ๆ พยายามเข้ามาในชีวิตของเธอก็ตาม แถมสามีที่พึ่งเลิกกันไปก็เตรียมแต่งงานใหม่กับสาวในเมืองที่อยู่หลังบ้านเธอนี่เอง ต้องเจอหน้าทั้งคู่กันทุกวัน กลายเป็นปมซ้ำให้เธอไม่มีความสุขในชีวิตมากเข้าไปอีก
ต้องบอกเลยว่าตัวเรื่องดราม่าเหล่านี้กินเวลาของเรื่องเว็บดูหนังมากกว่าส่วนของสืบสวนมากมาย ขนาด 70/30 กลายเป็นซีรีส์ดราม่าหลัก สืบสวนคือน้อยนิด และยิ่งฉากไล่ล่าอะไรแบบนี้แทบไม่มีเลย (มีแค่สั้นๆ ช่วงกลางเรื่องนิดนึงเท่านั้น) ตัวซีรีส์เอาเวลาแทบทั้งหมดจมลึกลงไปกับปัญหาดราม่าต่างๆ ที่ส่วนใหญ่ก็แทบไม่เกี่ยวข้องกับคดีเลย
มีเพียงความเชื่อมโยงน้อยนิดบางอย่างภายหลังเท่านั้น ซึ่งจุดนี้ถ้าใครคาดหวังการแกะปมตามรอยสืบสวนเข้มๆ ต้องบอกเลยว่าหาแทบไม่ได้ในเรืองนี้ แม้แต่ไคลแม็กซ์ของเรื่องแนวนี้ที่ควรจะมีฉากลุ้นระทึกกับฆาตกร แต่แมร์ก็ไม่ได้เป็นไปตามสูตรสำเร็จแบบนั้นเลย
จุดประสงค์หลักของซีรีส์
แต่ก็ต้องอธิบาย��ห้เข้าใจเพิ่มว่า จุดประสงค์หลักที่ซีรีส์เรื่องนี้ใส่ดราม่าเข้า��ามากมายเพื่อให้เดินเรื่องไปในธีมสมจริงของแนวสืบสวนในเมืองเล็ก ที่แมร์เป็นประหนึ่งฮีโร่ชุมชนที่คนคาดหวังเสมอ แต่ตัวแมร์เองคือปถุชนคนธรรมที่ไม่ได้คิดว่าตัวเองพิเศษอะไรแบบนั้น
ยิ่งดูจากดราม่าชีวิตของเธอก็รู้เลยว่า มีทั้งดำทั้งขาวหรือเทาๆ ปนกันไปหมด แม้ตัวแมร์เองจะเป็นผู้รักษากฎหมาย แต่ก็ไม่ได้ซื่อตรงไปซะทั้งหมด ซึ่งบทของซีรีส์แนวสืบสวนส่วนใหญ่ก็มักจะเขียนบทมาให้มีเรื่องราวเว่อร์ๆ รุนแรง น่าติดตามเกินจริง
มีฉากหักมุมเว่อร์ๆ ในการสืบสวน ทำนองคนร้ายซ่อนตัวเองอย่างแยบยล แต่กับเรื่องนี้คือมาในแนวเดียวกับซีรีส์ ทรูดีเทคทีฟของ HBO เองที่ขึ้นหิ้งแนวสืบสวนไปแล้วใน SS1 (แต่ทรูเองก็ยังมีฆาตกรกรต่อเนื่องที่เว่อร์วังกว่าความเป็นจริง) ซึ่งการสืบสวนของแมร์คือเป็นไปตามที่ควรจะเป็นจริงทุกอย่าง
เริ่มจากการปะติดปะต่ออะไรเล็กๆ น้อยๆ จากการไล่ถามผู้คน ตรวจสอบข้อสงสัยต่างๆ ไปจนเจอคนร้ายโดยบังเอิญอย่างไม่ตั้งใจ และก็มีจุดที่หักมุมสำคัญอยู่กลางเรื่อง เชื่อมโยงกับดราม่าความรักของเธอที่พึ่งก่อตัวขึ้นมา ซึ่งถ้าใครดูมาถึงจุดนี้ได้ที่ EP5 หลังจากนี้คือช่วงที่ซีรีส์เริ่มเดินเครื่องในแนวสืบสวนที่ดีขึ้นมาก
แต่ก็ยังไม่ได้หวือหวาอะไร แต่เชื่อว่าผู้ชมที่มาถึงจุดนี้จะเริ่มเข้าใจแล้วว่า ความธรรมดาเรียบๆ ของเรื่องนี้คือการเดินเรื่องแบบแนวสืบสวนเรียลๆ สมจริง เพราะตัวเรื่องไม่ได้พยายามเว่อร์อะไรมากไป แต่เล่นเรื่องสืบสวนแบบพอดีๆ ลงตัวเหมาะสมกับธีมของเรื่องที่เป็นคดีฆาตกรรมในเมืองเล็กที่คนรู้จักกันดีหมด
ตัวคดีในเรื่อง
ตัวคดีนี้ในเรื่องนี้แบ่งเป็นสองทาง นั่นคือคดีฆาตกรรมเด็กสาวในตอนจบ EP1 โดยที่ระหว่างนั้นเราจะได้รับรู้ว่าแมร์ไขคดีเด็กสาวหายตัวไปเมื่อปีก่อนไม่ได้ และก็เป็นความกดดันซ้ำสองเพราะคนในเมืองเริ่มไม่เชื่อในการทำงานของตำรวจ
ตัวเรื่องจะค่อยๆ สืบคดีฆาตกรรมไปเรื่อยๆ จนมาบรรจบกับคดีเด็กสาวหายตัวไปในเส้นทางหนึ่ง แล้วก็ไปต่อกันกับคดีที่เหลือ พร้อมทั้งการตามปิดข้อสงสัยทั้งหมดตามแบบนักสืบที่ละเอียดรอบคอบของแมร์ โดยมีข้อสังเกตุจากหมอจิตวิทยาที่เธอปรึกษาอยู่ว่า
การที่เธอหมกหมุ่นสืบคดีแบบนี้เพื่อให้ลืมความเจ็บปวดจากที่เธอเสียลูกชายไป และใน EP สุดท้ายมีการหักมุมใหญ่สุดของเรื่อง แต่ก็ยังเป็นไปแบบเรียบๆ ไม่ได้หวือหวาอะไรแม้แต่นิดเดียว แต่ก็ให้อารมณ์สอดรับกับดราม่าปัญหาการสืบคดีในชุมชนที่คนรู้จักกันหมดเป็นอย่างดี
ด้านนักแสดง
ตัวเคท วินสเลตเองในวัย 46 ปีแม้จะมีริ้วรอยบนใบหน้าเพิ่มขึ้นมาก แต่เธอก็ยังเป็นนักแสดงที่สวยดูดี มีเสน่ห์ล้นเหลือแบบดารารุ่นใหญ่ และจุดนี้เองคือความเหมาะเจาะในการรับบทแมร์ ที่ต้องเป็นนักสืบสาวเนื้อหอม
มีคนมาจีบมาชอบพอสองคนคือ ริชาร์ด ไรอันนักเขียนหนังสือดังในช่วงสูงวัยและย้ายมาอยู่อาศัยที่เมืองนี้ (เล่นโดย Guy Pearce )กับอีกคนคือนักสืบหนุ่ม เซเบล ที่ถูกส่งมาจากเมืองใหญ่เพื่อช่วยเธอไขคดี และก็กลายมาเป็นคู่หูที่แอบมีใจให้แมร์ (เซเบลเล่นโดย Evan Peters นักแสดงที่เล่นบทคลิกซิลเวอร์ใน X-Men)
ซึ่งบทเซเบลเองเรียบๆ แต่มีเสน่ห์มากจากการพยายามทำความเข้าใจแมร์ที่ต่อต้านการเข้ามาของเขาในตอนแรก เพื่อช่วยเธอสืบคดีแบบไม่ต้องการผลงาน แต่ก็แอบชอบแมร์และพยายามจีบนุ่มๆ อยู่ตลอดเวลา แต่แมร์เองกลับอยู่ในช่วงที่ไม่สามารถรักใครได้
แม้จะพยายามเปิดใจให้แล้วก็ตาม ซึ่งเคทแสดงได้อย่างไร้ที่ติ เรียกว่าเธอเป็นทุกอย่างของแมร์โดยสมบูรณ์แบบทำให้คนดูเชื่อสนิทใจ ในบทที่โดนดราม่ารุมเร้าชีวิต แต่ก็ยังต้องพยายามไขคดีในชุมชนเล็กๆ แห่งนี้ให้ได้
ในเรื่องจะไม่ได้เห็นเธอยิ้มเลยจนกระทั่งเรื่องราวทั้งหมดคลี่คลายลง ซึ่งคนดูเองถ้าอินกับชีวิตของแมร์ก็จะชอบเรื่องนี้มากๆ เหมือนเป็นคนเอาใจช่วยให้เธอพบกับความสุขสมหวัง
ซึ่งเรื่องราวดราม่าทั้งหมดที่ปูมาจะถูกคลี่คลายลงทั้งหมดอย่างสวยงาม แม้จะไม่ใช่แฮปปี้ทั้งหมด แต่คนดูเองก็ต้องรู้��ึกว่าตัวเรื่องจบได้แบบอิ่มเอมลงตัวมากจริงๆ ซึ่งนี่เป็นจุดแข็งของเรื่องนี้เลยก็ว่าได้

โดยรวม
หากไม่นับเรื่องความไม่ฉับไวในการเล่าเรื่องที่เป็นความจงใจแล้วนั้น อาจต้องบอกว่าบีตของการเล่านั้นอาจดูวูบวาบไปตามบทดราม่ามากไปเสียกว่าบทของการสืบสวน แต่เมื่อเข้าส่วนของการสืบสวนก็เข้มข้นอยู่ไม่น้อย
อย่างในตอนที่ 5 ของซีรีส์ก็สนุกและน่าตื่นเต้นในการพลิกผันของตัวละครอย่างมากขนาดที่ว่าทำคะแนนรีวิวของ IMDb ได้สูงที่สุดของทุกตอนที่ 9.4/10 ดังนั้นจะว่าไม่ตื่นเต้นเร้าอารมณ์ก็ไม่ได้เสียทีเดียวนัก แต่ที่คงต้องมีข้อเสียให้บ้างก็ตรงที่ว่าตอนสุดท้ายของซีรีส์นั้น บีตของการเล่ามันเปลี่ยนค่อนข้างไว
เหตุการณ์พลิกผันกันหลักนาทีได้เลย เมื่อมองความละเมียดทางอารมณ์ที่ผ่านมาก็จะรู้สึกเครื่องมันเร่งไปนิด แต่ก็ติงไม่ได้มากเพราะอย่างที่กล่าวมาแล้วว่าแม้จะเร่งจบเร่งเฉลย แต่บทมันแน่นจนไม่มีรูโหว่ให้รู้สึกไม่ดีเลยจริง ๆ
สรุป
ซีรีส์แนวสืบสวนที่เน้นหนักดราม่าเต็มๆ มากกว่าสืบสวน โดยใช้เคท วินสเลต นางเอกดังมาดึงดูดผู้ชม และเธอก็แสดงในบทแมร์เจ้าของชื่อเรื่องได้ดีมากจนเหมือนเป็นตัวละครนี้จริงๆ ไปเลย ซึ่งบทก็เขียนมาให้เธอโดนดราม่าชีวิตรุมเร้าทุกทาง
ในขณะที่ต้องสืบคดีถึงสองคดีไปพร้อมกัน แม้ส่วนของสืบสวนจะน้อย แต่ตัวเรื่องก็ถูกวางไว้เป็นแนวสืบสวนแบบสมจริง เป็นการไขคดีในแบบที่ไม่หวือหวา แต่ดีในตัวของมันเอง และยังจบแบบเคลียร์หมดทุกปมดราม่าและปมสืบสวนทั้งหมดได้อย่างลงตัวมากๆ
0 notes
Text
Chief of Staff SS2
รีวิว Chief of Staff SS2 - มือขวา ซีซั่น 2
ซีรีส์การเมืองที่กลับมาสานต่อความเข้มข้นอีกครั้ง จากซีซั่นแรกที่พาผู้ชมไปพบกับบทสรุปไม่เป็นอย่างใจ ของนักการเมืองน้ำดีที่ไม่สามารถต่อกรกับนักการเมืองกังฉินได้ ซีซั่นสองจึงเป็นการบ้านที่ยากเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา ของเหล่านักการเมืองที่อยากสร้างโลกในอุดมคติ ที่พวกเขาต้องการให้ผู้คนมีโอกาสเท่าเทียมกัน รีวิว Chief of Staff SS2
เรื่องย่อ
เล่าเรื่องราวของ จางแทจุน หัวหน้าคณะทำงานของ ส.ส. ซงฮีซบ นักการเมืองแถวหน้าผู้ทรงอิทธิพล อดีตอัยการที่ผันตัวเองมาทำงานการเมือง ตัว จางแทจุน เองนั้นมีอุดมการณ์ความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม จากอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกิดเหตุพลิกผันในชีวิต ทำให้เขาตัดสินใจกระโจนเข้าสู่แวดวงการเมือง โดยหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะก้าวเข้าไปสู่สภาในฐานะผู้แทนราษฎร
เพียงแต่เส้นทางที่ จางแทจุน ตัดสินใจเดิน ด้วยการมาทำงานเก็บกวาดเรื่องสกปรกให้กับ ส.ส. ซงฮีซบ แม้มันจะไม่ทำให้อุดมการณ์ที่อยากสร้างสังคม ในอุดมคติของเขาเปลี่ยนแปลงไป แต่มันก็ทำให้เขาตัดสินใจเลือกแล้วว่า หากจะก้าวไปสู่แสงสว่างในวันข้างหน้า เขาก็คงจะต้องฝ่าความมืดมิด ยอมเปรอะเปื้อนความสกปรก เพื่อก้าวไปเป็นคนมีอำนาจที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้
ซีรีส์การเมืองที่กลับมาสานต่อความเข้มข้นอีกครั้ง จากซีซั่นแรกที่พาผู้ชมไปพบกับบทสรุปไม่เป็นอย่างใจ ของนักการเมืองน้ำดีที่ไม่สามารถต่อกรกับนักการเมืองกังฉินได้
ซีซั่นสองจึงเป็นการบ้านที่ยากเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา ของเหล่านักการเมืองที่อยากสร้างโลกในอุดมคติ ที่พวกเขาต้องการให้ผู้คนมีโอกาสเท่าเทียมกัน
หลังจบซีซั่นแรก
หลังจากที่จบซีซั่นแรกไปในแบบที่ จางแทจุน (Jung-jae Lee) พลาดท่าให้กับ ส.ส. ซงฮีซบ (Kap-su Kim) จนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมได้ จางแทจุน ต้องกลายมาเป็นลูกไล่เป็นหมาล่าเนื้อให้กับ ซงฮีซบ อีกครั้ง
แม้เขาจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็น ส.ส. ได้สมใจก็ตาม แต่ จางแทจุน กับ คังซอนยอง (Min-a Shin) ยังต้องสูญเสียคนสำคัญในทีมอย่าง โกซอกมัน (Won-hee Im) ที่ตายอย่างเป็นปริศนา แล้วคนที่น่าสงสัยที่สุดก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นตัว จางแทจุน เองนั่นแหละ...
นั่นเลยทำให้ คังซอนยอง ไม่สามารถเชื่อใจ จางแทจุน ได้อีกต่อไป ผู้ช่วยอดีตลูกทีมเขาอย่าง ฮันโดคยอง (Dong-jun Kim) ก็ตัดสินใจย้ายมาทำงานให้กับ คังซอนยอง แทน แถมยังแค้นฝังหุ่นที่ จางแทจุน ไอดอลของเขาไม่รักษาสัญญา
คราวนี้ จางแทจุน ที่ได้เลื่อนขึ้นมาจากมือขวากลายมาเป็น ส.ส เสียเอง จะรับมือกับศึกนี้อย่างไร เมื่อด้านหนึ่ง คังซอนยอง ก็เป็นทั้งคนรักและมีอุดมการณ์เดียวกัน แล้วอีกด้านที่ยืนอยู่ข้าง ๆ กันอย่าง ซงฮีซบ ก็เป็นศัตรูที่ไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้
เนื้อเรื่องในซีซั่นนี้
ซึ่งเป็นภาคต่อ สืบเนื่องจากเรื่องราวฉ้อฉลสกปรกของนักการเมืองยังคงทำให้โลกใบนี้โสโครกอยู่ ยิ่ง สส.ซงฮีซอบ (รับบทโดย คิมกับซู) ได้ขยับขึ้นไปนั่งตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ซึ่งมีอำนาจในมือ มีบารมีมากขึ้น
ถึงขั้นคุมอัยการได้ ถ้าจางแทจุน (รับบทโดย อีจองแจ) คิดจะโค่นนักการเมืองเลวคนนี้ เพื่อโลกใหม่ที่ยุติธรรมอย่างที่เขาและ สส.อีซองมินเคยใฝ่ฝันไว้ จางแทจุนก็ต้องแข็งแรง
มีอำนาจในมือให้สูสีพอจะต่อกรกัน ดังนั้น จางแทจุนในภาคนี้ จึงยอมใช้ทุกวิธีการที่อาจไม่ถูกต้องโปร่งใส ให้เกิดผลลัพธ์ปลายทางตามที่ตั้งไว้ และเขาก็ดันให้ตัวเองขึ้นเป็น สส.ได้สำเร็จ
แต่ทว่า สัจธรรมของการเติบโตต่อสู้อยู่รอดที่ว่า ‘เมื่อเปลือกคับแคบ สิ่งที่อยู่ภายในขยายใหญ่ขึ้น เพื่อเอาตัวรอด ต้องทลายเปลือกออกมา สยายปีกแล้วบิน เมื่อทำลายเปลือกที่ปกป้องเราอยู่ ก็ต้องตกเป็นเหยื่อศัตรูตามธรรมชาติของตัวเอง’
หมายความว่า จางแทจุน ไม่ได้อยู่ใต้การปกป้องจากใครอีกต่อไป เขาต้องสู้กับศัตรูที่แข็งแรงมากด้วยตัวเองเป็นหลัก อาจพ่ายแพ้บาดเจ็บถึงแก่ชีวิตได้ และนี่คือศึกเข้มข้น เดิมพันอันตราย ที่ผู้ชมจะได้สนุกมันส์ในซีซันนี้
ไม่เพียง รมต.ซงฮีซอบ ที่กร่างกร้าว มากอำนาจ ซึ่งเดิมมีลิ่วล้อจอมเลียอย่าง โอวอนซิก (รับบทโดย จองอุงอิน) แล้ว ยังมีลิ่วล้อใหม่เป็นอัยการซอ (รับบทโดย พัคกอน) และที่สำคัญ ในฟากนักธุรกิจที่หนุนหลังเขา
และมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนกันมหาศาล นอกจากประธาน อีชางจิน (รับบทโดย ยูซองจู) ที่ว่าเคี่ยวๆจากซีซันแรก ก็ยังมีตัวเป้งกว่า คือ ประธานใหญ่ของเขา ซองยองกี (รับบทโดย โกอินบอม) ซึ่งทรงอิทธิพลและร้ายกาจเป็นทวีคูณ
แต่ละศึกที่ประสานงาห้ำหั้นกัน ทำเอาจางแทจุน ฉายาอสรพิษเกือบกระอักพิษตัวเองตาย แถมยังนำพาความเดือดร้อนเผื่อแผ่ไปโดน สส.คังซอนยอง (รับบทโดย ชินมินอา) ซะเกือบจะไม่มีเก้าอี้ให้นั่งในสภา
การดำเนินเรื่อง
การดำเนินเรื่องของทั้งซีซั่นแรกและซีซั่นที่สองแทบไม่ต่างกัน ด้วยการให้ภารกิจแกตัวละครได้แก้ไข ทั้งในฝั่งของตัวละครเอกและตัวร้ายของเรื่องที่ต้องคอยแก้ลำดักทาง ตลอดทั้งเรื่องเราจึงเห็นการชิงไหวพริบ ดักจังหวะกัน
จะต่างกับซีซั่นแรกตรงที่หนังใหม่เต็มเรื่องในภาคแรก มันจะเป็นเรื่องของการต่อรองของขั้วอำนาจ การไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร แต่กับภาคสองหากให้เปรียบไปก็คงเหมือนมวยสากล ที่ยืนปลายเท้าชิ���แลกหมัดกันกลางเวที
เมื่อคนดูไม่ต้องมาคอยลุ้นแล้วว่า ใครจะเข้าหาใครใครจะหักหลังใคร หลายอย่างคลี่คลายเห็นภาพอย่างชัดเจน ตัวละครฝ่ายดีไล่ล่าหาทางเอาผิดนักการเมืองฉ้อฉล นักการเมืองเลวก็พยายามทำทุกทางเพื่อเอาตัวรอด
ไม่เว้นแม้กระทั่งคร่าชีวิตคนเพื่อปกปิดความผิด นอกจากการชิงไหวชิงพริบของทั้งสองฝ่ายแล้ว อารมณ์ที่เข้ามาเติมเป็นสีสันให้กับภาคนี้ก็คือ ม้าเมืองทรอย หนอนบ่อนไส้ ที่แฝงตัวเข้ามาล้วงข้อมูล
ในทีมของ จางแทจุนและคังซอนยอง ที่คาดเดาไม่ได้เลยว่าเขาคือใคร จุดนี้ของซีรีส์เองพยายามสับขาหลอกเต็มที่ สารภาพเลยว่าผมพยายามเดาอยู่เหมือนกัน แต่พอเฉลยออกมาแล้วบอกตรง ๆ ว่าไม่ถูก ฮ่าฮ่า!
ปริศนาใหม่
นอกจากปริศนาที่ค้างคาให้มาหาคำตอบต่อในซีซันนี้ คือ ใครฆ่าหัวหน้าโกซอกมัน – หัวหน้าคณะทำงานของสส.คัง และยังหยอดปริศนาใหม่ ใครเป็นหนอนบ่อนไส้ในทีมคณะทำงานของ สส.คังซอนยอง
ที่ทำให้แผนเพลี่ยงพล้ำ เกมยืดเยื้อ โดยมีตัวละครใหม่เข้ามาเสริมทีมคณะทำงานของสส.คัง ทั้ง หัวหน้าอีจีอึน (รับบทโดย พัคฮโยจู) เก่งแต่เซฟ อาจจะทั้งช่วยหรือทั้งรั้งกลยุทธโดยมิได้มีเจตนาไม่ดี หัวหน้ายางจงยอล (รับบทโดย โจบ๊กแร) จะดีหรือร้าย
ใบหน้าและสายตาส่อปริศนาให้ติดตามลุ้นไป เช่นเดียวกับ ชเวคยองชอล (รับบทโดย จองมันชิก) อัยการฝีมือดี ซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่จาก รมต.ซงฮีซอบ จะมาเป็นหมากสำคัญยืนตรงไหนในกระดานศึกนี้ ก็ชวนติดตามเช่นกัน
เนื้อเรื่องยังเข้มข้น
เป้าหมายปลายทางของ สส.จางแทจุน คือ จัดการ รมต.ซงฮีซอบและพรรคพวกให้ราบคาบ ด้วยการสาวไส้คดีเงินทุนสินบนก้อนใหญ่ที่ปกปิดไว้ ซึ่งก็ต้องใช้พลังจากตัวช่วยรอบข้าง ได้แก่ สส.คัง ทีมคณะทำงานของทั้งคู่
แหล่งข้อมูลจากเพื่อนนอกวงการ มาร่วมกันวางแผนล่อหลอก แผนซ้อนแผน แน่นอนว่าเกมต้องพลิกไปพลิกมาอย่างสนุกสนานเช่นเคย ถ้าเทียบดีกรีแล้วซีซันหนังออนไลน์นี้อาจเข้มข้นในแง่ที่เป็นเกมเดิมพันท้าทายและอันตรายมากกว่า
แต่พลอตของ ‘chief of staff’ อาจหย่อนอ่อนไป เพราะพระเอกเรามาเป็น สส.แล้ว ทำให้เรื่องราวหนักไปที่เนื้อหาสู้รบด้วยเกมการเมืองในสภามากกว่า ส่วนคู่รอง ยุนฮเยวอน (รับบทโดย อีเอไลจา) และ ฮันโดคยอง (รับบทโดย คิมดงจุน) ก็ยังคงบทบาทในหน้าที่ทีมคณะทำงานมือโปร
และแข็งขันช่วยพระนางเราได้เยอะเลย ซึ่งมุมโรมานซ์ก็มีน้อยมาก ทั้งสองคู่ไม่ต่างกัน ออกแนวอยู่เคียงข้างให้กำลังใจกันและกันซะมากกว่า ของแถมปิดท้าย นักแสดงรับเชิญสำหรับซีซันนี้ คือ ซองดงอิล ที่จะมารับบทเป็นผู้พิพากษาในท้ายเรื่อง

โดยรวม
โดยรวมแล้ว นับทั้งสองซีซันเข้าด้วยกัน ก็ถือว่าเป็นซีรีส์ถ่ายทอดเรื่องราวการจัดการนักการเมืองสกปรก ที่ดูสนุกมาก ลุ้นมันส์ ตัวละครฉลาด มีมิติและสมจริงเพราะมีทั้งเกมรุกเกมรับที่คาดเดาไม่ได้ เนื้อหาเข้มข้น ชวนจดจ่อกันตอนต่อตอน เรียกว่าไม่อยากกระพริบตากันเลยเชียวแหละ นักแสดงฝีมือดีเลิศทุกคน
สรุป
สรุปแล้ว Chief of Staff 2 (2019) มือขวา 2 เป็นซีรีส์การเมืองที่รักษาความต่อเนื่องจากซีซั่นแรกได้อีก ยังบันเทิง สนุก ตื่นเต้น ชวนลุ้นทุกตอน หากจะมีข้อติคงจะเป็นอารมณ์ของซีรีส์ การเล่าเรื่องที่มันคล้ายกันมากเกินไปทั้งสองซีซั่น เหตุการณ์คับขัน วิกฤติต่าง ๆ มันแทบจะถอดแบบกันมาเลย
ต่างกันแค่เพียงรายละเอียดเท่านั้น บางช่วงสมาธิตอนดูเลยหลุดไปบ้าง ทางแก้ไขคงจะเป็นการอย่าดูรวดเดียวจบแบบผม ให้ดูวันละตอนสองตอนก็พอป้องกันการเฝือไปในตัว แต่โดยภาพรวมยังถือว่าเป็นซีรีส์การเมืองที่ดูตอบโจทย์คอการเมืองได้ดี
0 notes
Text
Chief of Staff
รีวิว Chief of Staff - มือขวา
ซีรี่ส์เกมการเมืองจากเกาหลี 10 ตอน ตอนละประมาณ 1 ชั่วโมง ที่ขอชมเลยว่าเขียนบทออกมาให้คนดูเข้าถึงได้ง่าย ไม่ซับซ้อนมากเกินไปแต่ก็ไม่ง่ายจนเดาได้ทะลุปรุโปร่ง อีกอย่างหนึ่งก็คือ แม้ซีรี่ส์จะดำเนินเรื่องราวด้วยสถานที่ซ้ำไปมา ใช้ฉากวนเวียนอยู่ไม่กี่ฉาก แต่การดำเนินเรื่องทำได้น่าติดตาม มีสถานการณ์คับขันมาให้คนดูได้ลุ้นอยู่ตลอดเวลา รีวิว Chief of Staff
เรื่องย่อ
ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานในการประชุมสมัชชาแห่งชาติ จางแทจุนโน้มน้าวผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง ในขณ���เดียวกันก็ดำเนินตามแผนมักใหญ่ใฝ่สูงของตัวเองเพื่อก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด
ซีรี่ส์เกมการเมืองจากเกาหลี 10 ตอน ตอนละประมาณ 1 ชั่วโมง ที่ขอชมเลยว่าเขียนบทออกมาให้คนดูเข้าถึงได้ง่าย ไม่ซับซ้อนมากเกินไปแต่ก็ไม่ง่ายจนเดาได้ทะลุปรุโปร่ง อีกอย่างหนึ่งก็คือ แม้ซีรี่ส์จะดำเนินเรื่องราวด้วยสถานที่ซ้ำไปมา ใช้ฉากวนเวียนอยู่ไม่กี่ฉาก แต่การดำเนินเรื่องทำได้น่าติดตาม มีสถานการณ์คับขันมาให้คนดูได้ลุ้นอยู่ตลอดเวลา
แต่ละตัวละครในซีรี่ส์เหมือนถอดแบบออกมาจากคนในแวดวงการเมืองจริง ๆ เมื่อไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร หากขัดผลประโยชน์กันเมื่อไหร่ พวกเขาก็พร้อมจะเล่นงานฝ่ายตรงข้ามได้เสมอ
แม้จะเป็นคู่แข่งทางการเมืองหากสมประโยชน์กันเมื่อไหร่ พวกเขาก็พร้อมหักหลังพวกเดียวกันเองแล้วไปจับมือกับฝั่งตรงข้าม สถานการณ์ในซีรี่ส์มันจึงพลิกไปมาตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่าลับหลังแล้วใครจะไปแอบตกลงกับใครไว้อย่างไร
เนื้อเรื่อง
จางแทจุน (Jung-jae Lee) หัวหน้าคณะทำงานของ ส.ส. ซงฮีซบ (Kap-su Kim) นักการเมืองแถวหน้าผู้ทรงอิทธิพล อดีตอัยการที่ผันตัวมาทำงานการเมือง โดยส่วนตัว จางแทจุน เองนั้นมีอุดมการณ์ความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม จากอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกิดจุดพลิกผันในชีวิต เขาตัดสินใจเข้าสู่แวดวงการเมือง โดยหวังว่าสักวันหนึ่งเขาจะก้าวเข้าไปสู่สภาในฐานะผู้แทนราษฎรเช่นกัน
เพียงแต่เส้นทางที่ จางแทจุน ตัดสินใจเดิน ด้วยการมาทำงานเก็บกวาดเรื่องสกปรกให้กับ ส.ส. ซงฮีซบ แม้มันจะไม่ทำให้อุดมการณ์ที่อยากสร้างสังคมในอุดมคติของเขาเปลี่ยนแปลงไป แต่มันก็ทำให้เขาตัดสินใจเลือกแล้วว่า หากจะเดินทางไปสู่แสงสว่างในวันข้างหน้า เขาคงจะต้องฝ่าความมืดมิดยอมเปรอะเปื้อนความสกปรก เพื่อก้าวไปเป็นคนมีอำนาจที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ได้
การเล่าเรื่อง
ตัวละครฝ่ายนักการเมืองมืออาชีพนั้นคนคงพอมองออกได้ว่า พวกเขาทำอะไรยังไงเพื่อประโยชน์ของใคร ส่วนสิ่งที่ซีรี่ส์หนังใหม่เต็มเรื่องเลือกตั้งคำถามไม่ใช่การจัดการคนไม่ดีออกจากการเมือง
แต่เป็นเรื่องของอุดมการณ์และการเข้าสู่อำนาจ เมื่อตัวละคร จางแทจุน ที่ตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงสังคมไปในทางที่ดี แต่เขาคิดว่าหากเดินไปในเส้นทางที่ถูกต้อง ชาตินี้ก็คงไม่มีโอกาสได้เป็น ส.ส. ในสภา คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
เขาจึงละทิ้งความถูกต้องหันมาทำงานรับใช้ ซงฮีซบ นักการเมืองที่ทำงานรับใช้นายทุน เพื่อหวังว่าวันหนึ่งเขาจะได้รับการสนับสนุนเงินทอง ในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ต่างจากตัวละคร ส.ส. อีซังมิน (Jin-young Jung) นักการเมืองอิสระอดีตหัวหน้าของ จางแทจุน ชายผู้นับถืออุดมการณ์เป็นสำคัญ และคิดว่าเขาเลือกที่จะเป็นคนธรรมดาดีกว่า หากต้องทำอะไรสกปรกเพื่อก้าวเข้าสู่สนามการเมือง
ซีรี่ส์จึงตั้งคำถามว่า จางแทจุน สามารถทำเรื่องเลวร้ายได้แค่ไหน แล้วเขาจะเอาตัวรอดจากปากเหยี่ยวปากกาไปได้หรือเปล่า ที่สำคัญวิถีทางที่เขาเลือกมันถูกต้องแน่หรือ เมื่อจริงอยู่ว่าเป้าหมายมันสำคัญ แต่หนทางที่เดินไปสู่เป้าหมายมันก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะหากทำผิดเรื่องหนึ่งแล้วต้องการปกปิด คนเราก็มักจะทำผิดซ้ำเพื่อปกปิดความผิดเดิมที่ก่อเอาไว้
แนะนำตัวละครหลัก
นักแสดงทุกคนในเรื่องนี้ คัดมาอย่างดี คาแรคเตอร์เข้ากับบทบาท ส่งต่อบทกันได้ดี บวกการเดินเรื่องเว็บหนัง HD กระชับฉับไว ไดอาล็อคสนทนาจะค่อนข้างเยอะ เพราะเป็นหัวใจหลักของการเดินเรื่อง
บางเกมก็มีความซับซ้อนหน่อย จนบางทีอาจมีงุนงง ตามไม่ทันได้บ้าง ถ้าไม่เข้าใจบริบทสังคม หรือการเมืองของเขามาก่อน แต่ถ้าพอจับประเด็นได้ปั๊บ รับรองว่าจะเข้าถึงความมันส์เข้มข้นแน่นอน
จางแทจุน (รับบทโดย อีจองแจ)
ตัวละครเทาๆ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยตำรวจระดับเกียตินิยม เคยทำงานในหน่วยอาชญากรรมการเงินที่สำนักงานตำรวจกรุงโซล แต่หันหลังให้อาชีพตำรวจ เลือกทางเดินในสายการเมือง โดยยึดอาชีพ Aide
หรือมือขวามานานกว่า 10 ปี จนเป็นระดับ Chief of Staff ชีวิตเริ่มแรกเขาเป็นมือขวาคู่ใจกับ สส. อีซองมิน (รับบทโดย จองจินยอง) ตั้งแต่สมัยที่ สส.ยังไม่ได้ตำแหน่ง แต่เขาผละจากอีซองมิน ไปหาช่องทางที่จะไต่ขึ้นหาอำนาจได้มากขึ้นเร็วขึ้น
คือทำให้กับ สส.ซงฮีซอบ (รับบทโดย คิมกับซู) ซึ่งเป็นนักการเมืองที่สังกัดพรรคใหญ่ จรัสแสงกว่า เพราะจางแทจุนมีเป้าหมายอุดมการณ์อยากไปถึงจุดที่มีอำนาจเปลี่ยนโลกให้ดีขึ้น ด้วยความที่เป็นคนเก่งฉลาดมาก
มีแรงมุ่งมั่นทะเยอทะยานสู่ความสำเร็จสูง ฝีมือรอบจัดจนได้ฉายาเป็น ‘อสรพิษ’ หมายถึงเป็นคนมีฤทธิ์พิษสงแบบประมาทเขามิได้ สิ่งพิสูจน์ผลงาน คือ เขาเป็นมือขวาที่ส่งให้ สส.ซงฮีซอบ ผ่านการเลือกตั้งได้ที่นั่งในสภาติดต่อกันถึง 4 สมัยแล้ว
สส.ซงฮีซอบ (รับบทโดย คิมกับซู)
อดีตหัวหน้าอัยการ ที่ผันตัวมาเล่นการเมือง สังกัดพรรคการเมืองแทฮัน ซึ่งเป็นพรรคใหญ่ ได้รับเลือกตั้งมาจากเมืองอีกวัง ปัจจุบันเป็นสส.มา 4 สมัยซ้อนแล้ว ด้วยฝีมือของมือขวาคนเก่ง จางแทจุน สส.ซง เป็นตัวแทนของนักการเมืองสกปรก
เบื้องหน้าคือรอยยิ้มและคำสัญญาสวยงามกับประชาชน แต่เบื้องหลังคือการเดินเกมการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง เขามีเป้าหมายจะเป็น Whip ของพรรค ตามต่อด้วยการเป็น รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม และไต่ขึ้นไปจบที่ตำแหน่งประธานาธิบดี
ด้วยพลังฐานเสียงและคะแนนความนิยมที่สั่งสมไว้ บุคลิกของ สส.ซง คือเป็นคนชอบดุด่าหยาบคายกับลูกน้อง เอะอะก็แจกบาทาเขวี้ยงรองเท้า ไม่มีความจริงใจ ไม่มีความผูกพัน เอาแต่รีดประโยชน์
เมื่อลูกน้องหมดประโยชน์หรือพลาดก็เขี่ยทิ้ง แต่ก็กลับมาใหม่ได้ถ้าเสนอประโยชน์ใหม่ที่น่าสนใจ สายสัมพันธ์แหล่งเงินทุจริตของเขาคือ กลุ่มธุรกิจของประธานอีชางจิน
สส. คังซอนยอง (รับบทโดย ชินมินอา)
เป็น สส.จากระบบสัดส่วนของพรรคแทฮัน อดีตเธอเป็นทนายความ เคยจัดรายการทีวี ก่อนจะมาสายงานการเมือง เธอเป็นโฆษกของพรรค และได้เป็น สส.สมัยแรก โดยมี สส.โจกับยอง (รับบทโดย คิมฮงฟา) เสนอชื่อและผลักดัน สส.คังเป็นคนมุ่งมั่น
แม้งานจะยาก ก็สู้ไม่ท้อ ความที่เป็น สส.หญิง เธอจึงเน้นการผลักดันกฎหมาย และให้ความช่วยเหลือปัญหาของผู้หญิง เช่น ปัญหาคุณภาพชีวิตของแม่เลี้ยงเดี่ยว สส.คังกับคังแทจุนเป็นคู่รักที่ปิดบังความสัมพันธ์ แม้จะอยู่ด้วยกันก็ตาม
การเปิดเผยจะกระทบการทำงาน มีผลต่อภาพลักษณ์ สส. เพราะ aide ด้อยศักดิ์ศรีกว่า แม้จะเป็นระดับหัวหน้าก็เถอะ (ทั้งๆที่��วามจริง Chief of Staff นี่แหละ คนขับเคลื่อนตัวจริงเลยนะ)
สส. โจกับยอง (รับบทโดย คิมฮงฟา)
เป็นสมาชิกอาวุโส ของพรรคแทฮ���นที่เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนเสนอชื่อ สส.คัง แต่กลับเป็นว่าเมื่อต้องร่วมงานในสภา เขามักขัดใจในความแข็ง อวดดี ไม่พินอบพิเทา และเชื่อว่าเธอขัดขาลับหลังเขาตลอด จึงเริ่มไม่เอ็นดู
และเล็งเป็นศัตรู มักเรียกเธอว่า ‘นังจิ้งจอก’ นอกจากนี้ สส.โจ ก็ไม่กินเส้นกับ สส.ซง เพราะลงสนามแข่งขันเลือกตั้ง Whip ซึ่ง สส.โจพ่ายแพ้อย่างไม่คาดคิด จากแทคติกเล็กๆที่จางแทจุนชี้ช่องให้ สส.ซงพลิกเกมมีชัย
สส. อีซองมิน (รับบทโดย จองจินยอง)
เป็น สส.ไม่สังกัดพรรค ได้รับเลือกตั้งมาจากเมืองซองจิน แบบเหมือนโชคช่วย เพราะในสนามแข่งขันครั้งนั้น คู่แข่งเกิดปลิวไปเอง ต้องคดีให้โดนจับปรับตกไป ในเรื่อง สส.อี เป็นตัวแทนของนักการเมืองน้ำดี มีอุดมการณ์ มีชีวิตสมถะ ขยันทำงานแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่อาศัยทางลัด
หรือทางทุจริตมิชอบ ทำทุกอย่างเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง หวังปกป้องคนอ่อนแอในสังคม และยึดมั่นในสิ่งถูกต้องยุติธรรมเสมอ หลายๆเหตุการณ์ในเรื่องที่ตกอยู่ในภาวะวิกฤต ก็ได้สส.อี นี่แหละเป็นตัวช่วย ทั้งจางแทจุน และ คังซอนยองนับถือความจริงใจของ สส.อี
โอวอนซิก (รับบทโดย จองอุงอิน)
เป็นอดีตหัวหน้าทีมทำงานของ สส.ซง ที่เคยทำงานไม่ถูกใจ เลยถูกเตะกลับไปแขวนลอยไว้ที่สำนักงานเขตของพรรค วันหนึ่งเขาก็กลับมา และเมื่อเขามีประโยชน์ สส.ซงก็เก็บเขาไว้ข้างตัว หัวหน้าโอนี่แหละที่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นอสรพิษ
เพราะเมื่อได้กลับเข้ามาก็เดินเกมพ่นพิษใส่จางแทจุนทุกรูปแบบ เป็นหอกข้างแคร่ ที่หวังชิงตำแหน่งมือขวาคืนจากจางแทจุนให้ได้ เพราะจะได้มีช่องทางการกอบโกยทุจริตง่ายขึ้น
ยุนฮเยวอน (รับบทโดย อีเอไลจา)
หนึ่งในทีมทำงานของ สส.ซง ลูกน้องของจางแทจุน อดีตเธอเคยเป็นนักข่าว การทำงานที่มีผลกระทบให้คนๆหนึ่งเดือดร้อนสาหัส จนทำให้เธออยากเข้ามาในสายงานนี้เพื่อแก้ไขให้มีกฎหมายที่ดีขึ้น เธอเป็นลูกน้องที่ทำงานได้ดี เชื่อถือในตัวจางแทจุน และเก็บซ่อนการมีใจให้เขาไว้อย่างเงียบๆด้วย
ฮันโดคยอง (รับบทโดย คิมดงจุน)
เป็นพนักงานฝึกหัดของทีมผู้ช่วยของจางแทจุน จริงๆแล้วเขาอยู่ในช่วงการติวสอบข้าราชการตามความฝันของแม่ แต่เขาปลื้มในตัวจางแทจุน และอยากทำงานสายนี้ จึงแอบแม่มาขอเป็น Trainee เขาช่วยงานทีมได้อย่างน่าทึ่งเกินตำแหน่ง
เพราะความอ่านเยอะ ละเอียด ตั้งใจ และจริงใจ เขาแอบมีใจให้ยุนฮเยวอน ฮันโดคยองเป็นตัวแทนของคนตั้งใจดี โลกสวย ที่ต้องอึ้งเมื่อเจอกับกลเกมการเมืองที่ไว้ใจไม่ได้
โกซอกมัน (รับบทโดย อิมวอนฮี)
เป็น Chief of Staff ของ สส.คัง ค่อนข้างสนิทกับจางแทจุน เป็นคนดี แข็งขัน แต่ไม่ได้มีฝีมือเฉียบเท่า เขาไม่ได้ล่วงรู้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ แต่สุดท้ายก็เป็นคนแรกที่รู้

ประเด็นระบบการเมือง
แม้ระบบการเมืองของแต่ละประเทศ และบริบทของสังคมจะแตกต่างกัน แต่การเมืองก็เหมือนเป็นประเด็นสากล ที่คนดูสามารถเข้าถึงอินกับเนื้อหาได้ไม่ยาก เพราะขึ้นชื่อว่าการเมืองแล้วหากมองแบบภาพกว้าง มันก็เป็นเรื่องการบริหารความพึงพอใจของประชาชน แต่หากไม่โลกสวยเกินไปก็มักจะเห็นได้ว่ามีนักการเมืองบางประเภท ที่สนใจความพึงพอใจของใครบางคนมากกว่าประชาชนที่เลือกเขามา
สรุป
สรุปแล้ว Chief of Staff (JTBC-2019) ss1 10EP มือขวา เป็นซีรี่ส์การเมืองที่ดูสนุก เข้าถึงคนดูได้อย่างง่าย ๆ ด้วยการเล่าประเด็นการเมืองพื้นฐาน ที่ประชาชนอย่างเราได้ยินได้ฟังกันอยู่แทบทุกวัน ที่ไม่พ้นการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น
แสวงหาอำนาจผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้อง ส่วนอุดมการณ์นั้นมันก็ค่อย ๆ จากหายไปเรื่อย ๆ หากเลือกหนทางขึ้นสู่อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง
1 note
·
View note
Text
Beyond Evil
รีวิว Beyond Evil - ปมปีศาจ
นาทีนี้ถ้าให้พูดถึงซีรีส์สายสืบสวนสอบสวน ปั่นประสาท แห่งปี 2021 ล่ะก็ คงต้องยกให้ ‘Beyond Evil’ ซีรีส์คุณภาพอัดแน่นจากช่อง JTBC ที่เรียกได้ว่ามาแรงแซงทางโค้งสุด ๆ เพราะเป็นซีรีส์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลถึง 7 สาขา จากเวทีการประกาศรางวัลสุดยิ่งใหญ่ของวงการบันเทิงเกาหลีอย่าง 57th Baeksang Arts Awards ไม่ว่าจะเป็น รางวัลซีรีส์ยอดเยี่ยม, รางวัลกำกับซีรีส์ยอดเยี่ยม, รางวัลบทละครยอดเยี่ยม, รางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยม,รางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม, รางวัลนักแสดงหน้าใหม่หญิงยอดเยี่ยม และ รางวัลเทคนิ���ศิลป์ยอดเยี่ยม จนหลายคนอาจจะสงสัยว่าซีรีส์เรื่องนี้มีดีอย่างไร มันจะปังสักแค่ไหน ซึ่งเอาเป็นว่าสำหรับใครที่ยังสงสัยอยู่ล่ะก็ มาค้นหาคำตอบกันได้ที่บทความนี้เลย รีวิว Beyond Evil
เรื่องย่อ
เกิดเหตุฆาตกรรมที่คล้ายคลึงกับคดีเก่าเก็บในเมืองเล็กๆ ตำรวจสองคนต้องรับหน้าที่ตามล่าหาความจริง ในขณะที่ต่างก็เก็บงำความลับบางอย่างไว้ในใจ
ในช่วงหลังๆ มานี่ ซีรีส์เกาหลีมักจะหยิบเอามาเรื่องราวของฆาตกรต่อเนื่องมาเขียนเป็นพล็อตอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะมองให้พวกเขามีลักษณะทางจิตแบบไซโคพาธ หรือจะเป็นหนึ่งในคดีที่อัยการหรือนักสืบต้องไขให้ออก บางเรื่องก็ให้เขาเป็นสามี แต่คราวนี้ให้เขาเป็นคู่หูตำรวจ ใช่แล้ว ผมกำลังพูดถึง Beyond Evil หรือชื่อไทย ปมปีศาจ ที่ตอนแรกก็มีฉายทาง Viu ตอนนี้ก็ลงใน Netflix เป็นที่เรียบร้อย
ผลงานการกำกับของ Sim Na Yeon ผ่านการครุ่นคิดเขียนบทของ Kim Soo Jin มีตัวแสดงนำอย่าง ชินฮาคยอน และ ยอจินกู ซีรีส์ที่ดีเด่นจนเข้าชิง 7 คว้า 3 รางวัล Best Drama, Best Screenplay และ Best Actor จากเวที 2021 BaekSang Arts Awards มาครองได้สำเร็จ จึงไม่ใช่ซีรีส์ที่ควรมองข้ามเลยทีเดียว
เนื้อเรื่อง
เรื่องราวซึ่งเกิดขึ้นใน ‘มันยาง’ เมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ที่กำลังมีแผนจะพัฒนาและสร้างการจดจำครั้งใหม่ให้เป็นเมืองศิวิไลซ์ปลอดอาชญากรรม แต่ทว่าความฝันครั้งใหม่นี้ดันไม่ได้สำเร็จง่าย ๆ อย่างที่คิด
เมื่อเกิดเหตุฆาตกรรมต่อเนื่องอันน่าสะพรึงขึ้น หลังพบศพของหญิงสาวหลายคนถูกฆาตกรรมอย่างไร้ความปรานี ที่ดูท่าแล้วมีลักษณะคล้ายคลึงกับคดีคนหายคดีหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในเมืองแห่งนี้เมื่อ 20 ปีก่อน อันเป็นที่โจษจันไปทั่วประเทศ เพราะพี่ชายฝาแฝดของเหยื่อผู้หายสาบสูญ
อย่าง อีดงชิก (รับบทโดย ชินฮาคยูน) นายตำรวจสุดบ้าบิ่นฝีมือดี กลับเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งเสียได้ งานนี้สารรวัตรหนุ่มไฟแรง ฮันจูวอน (รับบทโดย ยอจินกู) ที่เพิ่งย้ายมาประจำการในเมืองมันยาง จึงกลายเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะมาช่วยค้นหาปีศาจร้ายตัวจริงที่แฝงอยู่
การเล่าเรื่อง
สำหรับเนื้อหาของ Beyond Evil นั้น หลัก ๆ จะอยู่ที่การหาตัวอาชญากรใจเหี้ยม ผู้สร้างความหวาดหวั่นให้กับประชาชนชาวเกาหลีใต้ และแน่นอนว่าผู้ที่หวาดวิตกกว่าใคร ๆ คงหนีไม่พ้นผู้คนในเมืองมันยาง ซึ่งตัวคดีจะแบ่งออกเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องในปัจจุบัน
และคดีคนหายในอดีตที่เหยื่อคือ อียูยอน น้องสาวของ อีดงชิก ซึ่งรูปคดีโหดเหล่านี้ถูกก่อขึ้นอย่างแนบเนียน แทบจะไร้เบาะแสที่จะยึดโยงไปหาคนร้าย แม้แต่ร่างของเหยื่อยังหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงนิ้วสิบนิ้วที่ถูกตัดและจัดวางไว้อย่างน่าสะพรึงกลัว
ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ทำให้เรื่องนี้มีเสน่ห์อย่างมากคือลำดับการเล่าเรื่องที่วางได้อย่างน่าติดตาม และฉาก ending ที่ตราตรึงในทุกตอน โดยในช่วงองก์แรกของซีรีส์ดูหนังฟรีจะเน้นในเรื่องของการตามล่าหาคนร้ายในชุมชนชาวมันยาง ที่ทำเอาผู้ชมสับสน เปลี่ยนการคาดเดาผู้ต้องสงสัยกันแบบตอนต่อตอน พลิกแล้วพลิกอีก แม้แต่ตัวเอกก็ไว้ใจไม่ได้ และยิ่งถลำลึกยิ่งมีแต่เรื่องเซอร์ไพรส์ที่ทำเอาดูจบต้องตบเข่าฉาดกับความคาดไม่ถึง
การใช้อำนาจระบบราชการตำรวจ
แต่ไม่เพียงแต่เท่านั้น เพราะนอกจากการตามล่าหาตัวฆาตกร ที่พบเห็นได้ตามซีรีส์สืบสวนส่วนใหญ่แล้ว Beyond Evil ยังสะท้อนและวิพากษ์วิจารณ์การใช้อำนาจในระบบราชการของตำรวจอย่างชัดเจน
ทั้งการสืบสวนแบบจับผิดบ้างจับถูกบ้าง การรีบสรุปรูปคดี การล่อซื้อที่ทำให้เหยื่อถึงแก่ความตาย อีกทั้งตลอดทั้งเรื่องจะเห็นได้ว่าตัวละครที่เป็นตำรวจแทบจะทุกตัวในเรื่องนี้ต่างทำผิดกฎหมายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ผ่านการใช้ช่องว่างของกฎและอำนาจที่มีอยู่ในมือเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ แถมในเรื่องยังชี้ว่าผู้ต้องสงสัยก็วนเวียนอยู่ในแวดวงตำรวจเสียเอง แล้วแบบนี้จะเป็นอย่างไรหากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ กลับไม่ได้พิทักษ์ความสันติอย่างที่ว่ากัน?
สะท้อนถึงการแสวงหาผลประโยชน์
อีกทั้งตัวซีรีส์ยังสะท้อนถึงการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบของนักการเมืองท้องถิ่น และกลุ่มนายทุนผู้มีอำนาจ ที่น่าหวาดกลัวไม่ต่างจากคนร้าย ความน่าหวาดหวั่นชวนหดหู่จึงกลับไม่ได้ลอยฟุ้งอยู่เพียงเพราะศพที่หาย หรือนิ้วขาด ๆ ชวนสะอิดสะเอียน แต่ท้ายที่สุดแล้ว ซีรีส์ก็ชวนให้เราเกิดการตั้งคำถามว่า แล้วใครกันแน่ที่เทำให้เมืองเตลิดไปด้วยความหดหู่?ใครกันแน่ที่เป็นปีศาจ
ปมคดีต่างๆ
แต่ยิ่งไปเรื่อย ๆ ปมบางอย่างก็เริ่มคลี่คลาย แต่ไม่นาน ก็มีปมใหม่เข้ามาให้ได้ปวดหัวกัน ซึ่งความสนุกของเรื่องก็ไม่ได้น้อยลงเลย แม้ว่าจำนวนตอนจะมากขึ้น เพราะการร้อยเรียงและลำดับการตัดต่อที่มีลูกล่อลูกชนและทำได้อยู่มือ
ช่วงองก์หลังของซีรีส์จึงถูกทำให้น่าติดตามด้วยการรชักชวนให้ผู้ชมเกิดความสนใจว่า ถ้าเป็นคนนี้แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นต่อ? แล้วอีดงชิก ฮันจูวอนจะรับมืออย่างไร? พวกเขาจะทำอะไร? คดีและซีรีส์เรื่องนี้จะไปก้าวไปสู่จุดจบแบบใด?
โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนสุดท้ายนั้นมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันทั้งหมด ซึ่งซีรีส์หนังออนไลน์จะค่อย ๆ เผยถึงที่มาที่ไปของข้อสงสัยที่ถูกหยิบยกมา แต่กว่าจะไปถึงจุดสิ้นสุดของสิ่งที่เกิดขึ้น เหล่าตัวละครต้องขับเคี่ยวกันด้วยการเล่นแง่แหย่เชิงกันอยู่ยกใหญ่
ชนิดที่ว่าไม่มีใครยอมใคร งัดกึ๋นมาโต้กันแบบเอาตาย บทสนทนาระหว่างตัวละครในเรื่องนี้จึงเต็มไปด้วยคารมและคมคาย เล่นกับจิตวิยาอารมณ์ความรู้สึก รวมถึงเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการดำเนินเรื่องที่ทำให้ต้องกลับมาคิดตีความต่อ
จุดเด่น
สำหรับซีรีส์เรื่องนี้นั่นก็คือความสัมพันธ์ของผู้คนในชุมชนมันยาง ที่มีต่อกันหลากหลายรูปแบบ ซึ่งทำให้รู้สึกน่าอบอุ่นอยู่ในที และก็น่าขนลุกอยู่ในทีไปพร้อม ๆ กัน แถมแต่ละคนต่างก็มีบทบาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันมากนัก การกระทำของแต่ละตัวละครต่างยึดโยงและมีบทบาทต่อเรื่องที่จะสร้างจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้ทั้งสิ้น ทำให้แต่ละตัวคนในเรื่องนี้นั้นน่าจดจำไม่ต่างกัน
ในส่วนของโปรดักชั่น อาร์ตไดเรกชั่นของ Beyond Evil ก็เรียกได้ว่าน้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ อาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่อลังการเมื่อเทียบกับซีรีส์ที่ฉายในล็อตเดียวกัน แต่ทำออกมาได้ดีใน genre ของตัวเอง ทั้งโทนสี โลเคชั่น มุมภาพที่ชวนสงสัย
และสกอร์เสียงเพลงที่ผู้เขียนขอออกความเห็นตรงนี้ว่าซีรีส์เรื่องนี้ใช้สกอร์ เพลงประกอบในการเล่าเรื่อง บีบคั้นอารมณ์ได้ถูกจังหวะจะโคนดีมาก ๆ พูดได้คำเดียวว่า ‘ทำสกอร์ได้โคตรเท่’
เหล่านักแสดง
และที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยนั่นก็คือ การแสดงขั้นเทพจากเหล่าทีมนักแสดงมากความสามารถ ที่ทำให้ตัวละครทุกตัวดูมีชีวิตและมีเสน่ห์ในแบบของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงชั้นครู สมเกียรติกับการถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำชายแพคซัง ของ ชินฮาคยูน ที่สวมบท อีดงชิก ได้อย่างบ้าดีเดือด ทั้งดูจิต ๆ หลอน ๆ
แต่ก็มีความเศร้าหมอง มีความอบอุ่นอยู่ในคนเดียวกัน หรือ ยอจินกู ที่แสดงเป็น สารวัตรฮันจูวอน ด้วยแววตา น้ำเสียง สีหน้าที่สามารถฟาดฟันกับนักแสดงรุ่นพี่ได้แบบไม่น้อยหน้าเลยทีเดียว (ส่วนตัวผู้เขียนสนุกที่ได้ดูฉากขับเคี่ยวคารมของตัวละครหลักทั้ง 2 ตัวเป็นพิเศษ
เพราะเป็นซีนที่ได้เห็นนักแสดงแสดงความซับซ้อนของจิตใจตัวละครได้ดี) ซึ่งนอกจากนักแสดงหลักแล้วเหล่านักแสดงสมทบก็ทำได้ยอดเยี่ยมไม่ต่างกันทุก ๆ คน จนแอบลุ้นว่าเหล่านักแสดงจากเรื่องนี้ คงคว้ารางวัลจากเวทีประกาศรางวัลใหญ่ ๆ ในปี 2021 นี้กันมาบ้าง (ปัจจุบัน ชินฮาคยูน ได้เป็นเจ้าของรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว)

โดยรวม
หากถามว่ามีจุดที่น่าเสียดายของเรื่องนี้ไหม ส่วนตัวผู้เขียนคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีบ้างเล็กน้อย แต่หลังจากที่ได้รับชมจนมาถึงช่วงสุดท้ายของซีรีส์ ผู้เขียนต้องขอบอกเลยว่านี่เป็นผลงานซีรีส์แนวทริลเลอร์จิตวิทยาของเกาหลีใต้ที่ทำออกมาได้เข้มข้น ปราณีต มีชั้นเชิงดีงามมาก ๆ อีกเรื่องหนึ่ง
จนไต่เต้ามาเป็นซีรีส์แนวสืบสวนอันดับต้น ๆ ในใจของผู้เขียนได้อย่างไม่ยาก และอยากเชิญชวนให้ผู้อ่านทุก ๆ ท่านลองมาเปิดใจรับชมอีกหนึ่งผลงานที่น่าสนใจของวงการบันเทิงเกาหลีใต้อีกชิ้นหนึ่งไปด้วยกัน ที่เราไม่อยากให้คุณพลาดด้วยประการทั้งปวง
0 notes
Text
Memories of Murder
รีวิว Memories of Murder - ฆาตกรรม ความตาย และสายฝน
หรือในชื่อไทย ‘ฆาตกรรม ความตาย และสายฝน’ ภาพยนตร์ดราม่าอาชญากรรมในปี 2003 ที่ทำให้ชื่อของ บงจุนโฮ กระฉ่อนและเป็นที่รู้จักไปทั่วเกาหลีใต้ ผลงานที่พิสูจน์ว่าชายหนุ่มในวัยอายุเพียงรุ่นราวคราวสามสิบกว่า เมื่อช่วง 17 ปีที่แล้ว มีฝีมือ��ารกำกับเล่าเรื่องอันคมคาย ทั้งดิบเถื่อนและงดงาม อันเป็นที่ประจักษ์ว่า บงจุนโฮ นั้นมีของดีมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่ก่อนพา Parasite (2019) ไปสู่เวทีโลกเสียอีก ซึ่งถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแล้ว นับตั้งแต่ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกปล่อยออกมาสู่สายตาชาวโลก แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ภาพยนตร์เรื่อง Memories of Murder นี้เป็นผลงานชิ้นโบแดงของ บงจุนโฮ ที่ทรงคุณค่าเหนือกาลเวลาอย่างยิ่ง รีวิว Memories of Murder
เรื่องย่อ
เมื่อต้องทำคดีที่ไม่เคยมีมาก่อนโดยปราศจากเทคโนโลยีทางนิติเวชที่ล้ำสมัย ตำรวจชนบทสองนายจึงต้องใช้วิธีการแบบเก่าเพื่อตามจับฆาตกรต่อเนื่องรายแรกในประวัติศาสตร์เกาหลี
สำหรับพ.ศ.นี้ชื่อ บงจุนโฮ มิได้เป็นเพียงผู้กำกับโนเนมจากเกาหลีใต้อีกต่อไป เพราะหลังจาก Parasite คว้าออสการ์ไปแบบมิชชันอิมพอสซิเบิลเมื่อต้นปี ความฮอตของนักทำหนังจากดินแดนโสม
ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าศิลปะภาพยนตร์สามารถทำลายกำแพงกั้นทางภาษา 1 นิ้วที่มาในรูปของซับไตเติลลงได้อย่างราบคาบและบ่อยครั้งที่มันถูกยกมาอ้างอิงในการพูดถึงเรื่องชนชั้นกระทั่งเปรียบเปรยความเหลื่อมล้ำอันเป็นสากลไปทั่วโลก
แต่ย้อนกลับไป 17 ปีที่แล้วชื่อของบงจุนโฮได้ถูกแนะนำให้คอหนังทั่วโลกรู้จักครั้งแรกจากผลงานการกำกับเรื่องที่ 2 อย่าง Memories of Murder ที่เขาร่วมเขียนบทและกำกับโดยมีแรงบันดาลใจมาจากคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่เมืองฮวาซอง (Hwaseong)
ซึ่งจับผู้ต้องหาไม่ได้แม้เวลาผ่านมาตั้งแต่ปี 1986 และละครเวทีเรื่อง Come See Me ของคิมกวางริมที่ได้แรงบันดาลใจจากคดีเดียวกันที่ช่วยให้เขาวางโครงเรื่องจากข้อมูลที่รีเสิร์ชมาได้แบบไม่ลืมบุญคุณเลยทีเดียว
สร้างขึ้นจากเหตุการณ์จริง
ต้องเรียนให้ทราบก่อนว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างขึ้นจากเหตุการณ์จริงอันน่าสะพรึงกลัวที่เขย่าขวัญชาวเกาหลีใต้ มาเป็นระยะเวลา 30 กว่าปี กับคดีฆาตกรรมพ่วงด้วยการข่มขืนอุกอาจซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในเมืองเล็ก ๆ
อย่างเมืองฮวาซอง จังหวัดคยองกี ของเกาหลีใต้ เมื่อปี 1986-1991 ที่จนแล้วจนรอด ตำรวจก็ไม่สามารถจับตัวคนร้ายมาลงโทษได้ทันก่อนคดีจะหมดอายุความในปี 2006 ความเจ็บปวดรวดร้าวจากคดีนี้จึ��ถูกส่งต่อเป็นเรื่องราว
ผ่านผลงานซีรีส์และภาพยนตร์ดูหนังฟรีแนวสืบสวนสอบสวนของเกาหลีอยู่หลากหลายเรื่องด้วยกัน ซึ่งรวมไปถึงผลงานมาสเตอร์พีซของ บงจุนโฮ อย่าง ‘ฆาตกรรม ความตาย และสายฝน’ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ‘Memories of Murder’ เรื่องนี้ด้วย
เนื้อเรื่อง
เรื่องราวมันเริ่มที่ฆาตกรรมแรกของฆาตกร เมื่อนักสืบพัค (Song Kang Ho/ซงคังโฮ จากหนังเรื่อง Parasite, Snowpiercer และ The Host) กับนักสืบโช (Kim Roe Ha จากซีรีส์เรื่อง อิลจิแม และหนัง Monster และThe Host) ต้องมาร่วมสืบคดีด้วยกัน ภายใต้การกดดันของสังคมและสื่อ ในเมื่อไม่อาจจะหาหลักฐานและพยานรู้เห็นได้ พวกเขาจึงใช้วิธีหาแพะรับบาปมารับบทเป็นฆาตกร
วิธีการช่างแสนแยบยล บีบบังคับให้ประชาชนผู้ที่ไม่น่าจะเป็นฆาตกรตัวจริง แต่สภาวะของร่างกายหรืออะไรก็แล้วแต่ ทำให้เขาต้องเลือกจะทำตามที่ตำรวจสั่ง ถ้าไม่ทำตามก็จะต้องทำร้ายร่างกายต่างๆ นานา
ในที่สุด ก็ได้มือดีจากโซลที่เข้าอาสามาช่วยสืบคดี เขาคือนักสืบซอ (Kim Sang Kyung/คิมซังคยอง จากซีรีส์ Racket Boys, The Crowned Clown) คนที่มีแววจะเป็นนักสืบได้มากกว่าคนที่เหลือ แถมยังดูจริงจังกว่า ไม่เชื่อในการทำร้ายและบีบบังคับประชาชนให้กลายเป็นแพะ
ทั้งหมดถูกถ่ายทอดออกมาในช่วงเวลาเกาหลีเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนหลายอย่าง ความพยายามของตำรวจกลุ่มเล็กๆ ที่หมายจะสืบคดีดังและเป็นที่สนใจของสื่อมวลชน โดยที่ยิ่งสืบก็เหมือนจะยิ่งเจอทางตัน
การเล่าเรื่องแบบตลกร้าย
ผมกล้ากล่าวได้ว่าไม่ว่าคนชาติใดดูหนังเรื่องนี้ก็ได้รับความบันเทิงเห็นจะเป็นน้ำเสียงที่ บงจุงโฮ เลือกจะเอาอารมณ์ขันมาเคลือบแฝงเนื้อหาที่ว่าด้วยการจับแพะอันเป็นหนึ่งในเรื่องราวสุดอื้อฉาวของคดีจริง
และการเลือก ซงกันโฮ กับ โร-ฮาคิม มาจับคู่ก็ถือเป็นมวยถูกคู่มากในขณะที่ฝ่ายแรกมามุกตลกแดกนิ่ง ๆ แต่ฝ่ายหลังเล่นมุกสังขารสุดกักขฬะโดยเฉพาะอุปนิสัยของนักสืบโชยังกูที่ชอบซ้อมผู้ต้องหาเพื่อให้สารภาพตามที่คู่หูอย่างนักสืบปาร์คโดมันได้วางแผนไว้
ซึ่งการเอาอารมณ์ขันตลกร้ายมาเล่าเรื่องราวสุดมืดหม่นก็ทำให้การเล่าเรื่องติดตรึงและเร้าอารมณ์คนดูตลอดเวลาแม้ภาพบนจอจะไม่ได้มีฉากระเบิดภูเขาเผากระท่อมหรือกระทั่งมีตัวละครหนุ่มสาวหน้าตาดีเดินผ่านไปมา
แต่มันก็ทำให้เราละสายตาจากพวกเขาไม่ได้ด้วยจังหวะการแสดงที่เข้าขาและแม่นยำซึ่งก็ไม่แปลกใจอีกเหมือนกันว่าในผลงานหนังใหม่ชนโรงเรื่องต่อมาทำไมบงจุนโฮถึงเลือกซงกังโฮเป็นดาราคู่บุญ
ชั้นเชิงแบบหนังสืบสวน
การวางชั้นเชิงแบบหนังสืบสวนที่ทำได้แม่นยำมาก เพราะแม้หนังจะเอาเรื่องจริงมาเป็นวัตถุดิบแต่การปรุงให้มันออกมาเป็นหนังสนุก ๆ เรื่องหนึ่งก็ถือเป็นเรื่องยากแต่ทว่า Memories of Murder กลับทำได้อย่างสวยงามทั้งการทิ้งปม
และให้เบาะแสคนดูตามตัวละครไปสืบหาความจริงกระทั่งมีจังหวะลุ้นระทึกเดี๋ยวจับได้เดี๋ยวจับผิดหรือจับแล้วหลุดจากคดีซึ่งบอกตามตรงว่าแม้หนังจะผ่านมานานแล้วแต่ความลุ้นระทึกนี่แทบจะยกให้เป็นหนังที่ตื่นเต้นที่สุดที่ได้ฉายในเมืองไทยปีนี้เลยล่ะครับ
การวิพากษ์การเมือง
สิ่งที่ทำให้คนดูอินที่สุดเห็นจะเป็นการวิพากษ์การเมืองในหนังซึ่งเหตุฆาตกรรมก็ดันไปซ้อนทับเหตุประท้วงของนักศึกษาเกาหลีใต้พอดีแบบเป็นประวัติศาสตร์คนละด้านทว่ากลับส่งผลกระทบให้กันไปมาอย่างคาดไม่ถึงโดยเฉพาะซีนที่นักสืบได้เบาะแสคนร้ายแต่ขาดกำลังคนและทางการก็เทกำลังทหารไปปราบจลาจลกันหมด
หรือแม้กระทั่งความเหลื่อมล้ำในที่ทำงานที่เอาตำรวจหญิงเก่ง ๆ ไปชงกาแฟทั้งที่มีฝีมือ ซึ่งแม้เราจะไม่ใช่เพื่อนร่วมชาติก็อดสงสารและโกรธแค้นตามไม่ได้ที่ท้ายที่สุดความเหลื่อมล้ำก็เกิดขึ้นแม้แต่หน่วยงานที่เป็นที่พึ่งของประชาชนเอง
จุดเด่น
Bong Joon-ho สามารถถ่ายทอดความล้มเหลวนั้นออกมาให้ดูเหมือนขำขัน ก่อนจะค่อย ๆ ออกลายเป็นตลกร้าย และเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ที่ไปถึงจุดที่ขำไม่ออกอย่างแนบเนียนไร้รอยต่อ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่รู้จะพูดว่า ที่คดีนี้ถูกเรียกว่าคดีปริศนา ทั้งที่ใช้ตำรวจรวมกว่า 3 แสนนายในการสืบหาเบาะแส
และสอบสวนผู้ต้องสงสัยไปกว่า 3 พันคน แล้วยังล้มเหลวเนี่ย เป็นเพราะคนร้ายมันฉลาดมาก หรือเป็นเพราะตำรวจมันเก่งไม่พอ หรือเป็นที่ระบบมันแต่แรกกันแน่ แต่ที่รู้ ๆ ตอนนี้คือ ในเรื่องจริง เกาหลีเองก็เพิ่งจับคนร้ายตัวจริงได้เมื่อไม่นานมานี้เอง
นอกจากนี้ สิ่งที่เราชอบคือ Memories of Murder เต็มไปด้วยบรรยากาศความไม่น่าไว้วางใจและความโกลาหลวุ่นวาย จนไปถึงสัญลักษณ์และภาษาภาพยนตร์ ที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์และความสามารถในการทำหนังของ Bong Joon-ho ที่มีมาเป็นกว่าทศวรรษ เช่น ท่อหรืออุโมงค์
ซึ่งอาจเป็นสัญลักษณ์ของความมืดมิดหรือมืดแปดด้าน ยังติดอยู่ในวังวนที่ตัวละครไม่สามารถเข้าใจหรือหาทางออกได้ และบางครั้งคนเราก็ lost จนต้องเผยด้านมืดหรือสูญเสียความเป็นตัวเองไปในถ้ำนั้น ๆ เช่นเดียวกับ ตำรวจจากโซลที่เริ่มถูกระบบตำรวจของคย็องกีกัดกินเข้าไปโดยที่เขาอาจไม่รู้ตัว

โดยรวม
ยอมรับว่านี่คือประสบการณ์การชม Memories of Murder คร้้งแรกของผมและการได้ชมในโรงภาพยนตร์ก็ทำให้นี่เป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืมนอกเหนือจากบทภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องได้อย่างมีชั้นเชิงแล้ว มันยังทำให้ผมไม่แปลกใจเลยที่เขากล้าบอกให้ผู้ชมจากโลกตะวันตก
เปิดใจให้หนังของเขาและเพื่อน ๆ จากเอเซียเพราะแม้จะหยิบคดีฆาตกรรมในบ้านเกิดตัวเองมาทำหนังทว่าวิธีการเล่าและลีลามีความเป็นสากลแต่ไม่ทิ้งอัตลักษณ์ของความเป็นหนังเกาหลีเลยแม้แต่น้อย
และด้วยการโขกสับวัตถุดิบชั้นดีด้วยชั้นเชิงการเล่าเรื่องชั้นเซียนก็ทำให้ Memories of Murder กลายเป็นงานคลาสสิกเหนือกาลเวลาที่แม้แต่ข่าวล่าสุดที่ว่าสามารถจับผู้ร้ายตัวจริงนาม Lee Chun-jae ก็ไม่ได้ลบความดีของหนังได้เลยเพราะสุดท้ายเวลาเกิดเรื่องร้ายแรงคอขาดบาดตายความเหลื่อมล้ำ
และล่าช้าของระบบราชการก็ยังคงเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่เปลี่ยนแม้หนังจบและเรื่องจริงจะได้รับความกระจ่างแต่พอมามองสังคมเมืองไทยแววตาของนักสืบปาร์คโดมันก็ยังคงแทนใจประชาชนตาดำ ๆ ธรรมดาอย่างพวกเราได้อย่างไม่เปลี่ยนแปลง
สรุป
หนังอาชญากรรมที่ผสมผสานไปด้วยความตลกร้ายของสังคมที่ไม่ควรจะเข้ากัน แต่กับลงตัวมากในหนังเรื่องนี้ เนื้อหาน่าติดตามชวนคนดูลุ้นไปพร้อมกับไขคดีฆ่าข่มขืนที่ฉาวที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกาหลี
เป็นหนึ่งในผลงานมาสเตอร์พีซและคลาสสิกขึ้นหิ้งของ Bong Joon-ho รองจาก Parasite เลยก็ว่าได้ เพราะโดยส่วนตัวเราชอบเรื่องนี้มากกว่า The Host, Snowpiercer, และ Okja ถ้าใครอยากลองดู ก็สามารถหาดูได้บน Netflix รับรองว่า เป็นหนังดีที่ดูง่ายและดูสนุก น่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ และตอนจบก็จบได้อย่างทรงพลังต่อความรู้สึกของคนดู!
0 notes
Text
Brand New Cherry Flavor
รีวิว Brand New Cherry Flavor - รสแค้นแสนหวาน
อเมริกัน-ลองของ อาจเป็นการให้คำนิยามแบบไว ๆ ที่อาจไม่ตรงเสียทีเดียวนัก แต่ความรู้สึกแรกของมันก็ชวนให้นึกถึงหนังที่หญิงสาวล้างแค้นโดยอาศัยมนตร์ดำและอาถรรพ์น่าสยดสยอง ในแบบที่ก้ำกึ่งระหว่างจะเป็นหนังรุนแรงสุดโหดแบบหนังไทยเรื่องดัง หรือจะเป็นซีรีส์แม่มดทางเน็ตฟลิกซ์ที่มักจะไปไม่สุดอารมณ์ดาร์ก แต่ที่แน่ ๆ ‘Brand New Cherry Flavor’ หรือชื่อไทย ‘รสแค้นแสนหวาน’ ก็จัดอยู่ในหมวดหนังรสประหลาดสำหรับคนดูหนังทั่วไปอย่างชัดเจน แต่ก็ยังไปไม่ถึงขั้นซีรีส์อมตะอย่าง ‘Twin Peaks’ แม้จะมีกลิ่นบางอย่างในเชิงคารวะอยู่ก็ตาม รีวิว Brand New Cherry Flavor
เรื่องย่อ
ช่วงต้นยุค 90s ลิซ่า โนวา นักสร้างหนังสั้นอิสระคนหนึ่งได้มุ่งหน้าสู่ฮอลลีวูดเพื่อขายโปรเจกต์หนังยาวของตัวเอง ก่อนจะดำดิ่งสู่โลกมืดที่พัวพันกับ เซ็กส์ การล้างแค้น ไสยศาสตร์ ประสบการณ์หลอนจับจิต และการให้กำเนิดลูกแมวจากการอาเจียนออกมา!!
อเมริกัน-ลองของ อาจเป็นการให้คำนิยามแบบไว ๆ ที่อาจไม่ตรงเสียทีเดียวนัก แต่ความรู้สึกแรกของมันก็ชวนให้นึกถึงหนังที่หญิงสาวล้างแค้นโดยอาศัยมนตร์ดำและอาถรรพ์น่าสยดสยอง ในแบบที่ก้ำกึ่งระหว่างจะเป็นหนังรุนแรงสุดโหดแบบหนังไทยเรื่องดัง หรือจะเป็นซีรีส์แม่มดทางเน็ตฟลิกซ์ที่มักจะไปไม่สุดอารมณ์ดาร์ก
แต่ที่แน่ ๆ ‘Brand New Cherry Flavor’ หรือชื่อไทย ‘รสแค้นแสนหวาน’ ก็จัดอยู่ในหมวดหนังรสประหลาดสำหรับคนดูหนังทั่วไปอย่างชัดเจน แต่ก็ยังไปไม่ถึงขั้นซีรีส์อมตะอย่าง ‘Twin Peaks’ แม้จะมีกลิ่นบางอย่างในเชิงคารวะอยู่ก็ตาม
รสแค้นแสนหวาน แค่ชื่อซีรีส์ก็เก๋แล้ว และหนังเรื่องนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นรสชาติใหม่ที่ไม่มีใครเหมือน มันทั้งชวนลุ้น น่าติดตาม มีบรรยากาศแบบแปลกๆ ผสมกับความอี๋ หยี และความแหวะ
ไปกับเรื่องราวของความมูเตลู ไสยศาสตร์ คำสาป เวทมนต์ที่ลึกลับ แต่ไม่ซับซ้อน โดยซีรีส์สร้างจากหนังสือในชื่อเดียวกัน เขียนโดย Todd Grimson ที่มีผลงานเด่นเป็นนิยายแวมไพร์อย่างเรื่อง Stainless
ตัวซีรีส์เป็นการดัดแปลงจากหนังสือแนวสยองขวัญชื่อเดียวกันของ ทอดด์ กริมสัน (Todd Grimson) นักเขียนแนวสยองขวัญชื่อดัง ผู้ฝากผลงานแวมไพร์ที่ก่อวัฒนธรรมร่วมสมัยยุค 90s อย่าง ‘Stainless’ ในปี 1996
ซึ่งปีเดียวกันนั้นเองที่เขามีผลงานสยองต่างรสอีกเรื่องคือ ‘Brand New Cherry Flavor’ ที่ว่าด้วยวงการฮอลลีวูดที่ไม่ได้มีแต่ด้านสวยงาม และบางคนก็เลือกต่อต้านความโสมมของวงการบันเทิงด้วยการดำดิ่งสู่โลกมืดของคำสาปแช่ง
เนื้อเรื่อง
เรื่องราวของ ลิซ่า โนวา นักสร้างหนังไฟแรงที่มีของในตัว หลังจากเธอพยายามจะขายไอเดียและผลงานหนังสั้นของตัวเองเพื่อให้ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์ไปสร้างเป็นหนังขนาดยาว โดยผลงานหนังสั้นขาวดำที่เธอกำกับ ไปเข้าตา ลู เบิร์ก ผู้กำกับหนังฮิตรุ่นใหญ่ที่ไม่มีผลงานโดดเด่นมานาน
เริ่มแรกลู เบิร์กพยายามปลุกปั้นลิซ่า ให้เป็นที่รู้จักในวงการ แต่ดูเหมือนว่าลูจะคิดไม่ค่อยซื่อกับลิซ่านัก เมื่อเขาพยายามจะล่วงละเมิดทางเพศเธอ มิหนำซ้ำเมื่อฝ่ายหญิงอย่างลิซ่ามีท่าทีต่อต้านไม่ยินยอม เขาจึงตัดสินใจทรยศลิซ่าด้วยการขโมยหนังสั้นของเธอไปให้ผู้กำกับลูกหม้อของตัวเองมากำกับแทน
หลังจากรู้ว่าตัวเองกำลังโดนหักหลัง ลิซ่าที่คับแค้นใจและอยากจะนำผลงานของตัวเองกลับคืนมา ได้รับข้อเสนอจากโบโร หญิงสาวลึกลับวัยกลางคนที่เธอได้พบในงานเลี้ยงนิทรรศการศิลปะว่าเธอสามารถช่วยแก้แค้นคนที่เธอเกลียดอย่างสาสมได้
เพียงแต่มีข้อแม้ว่า ลิซ่าจะต้องจ่ายค่าจ้างให้กับโบโรเป็นบางสิ่งบางอย่างที่เธอก็ยังรู้ว่ามันคืออะไร แต่ด้วยจุดมุ่งหมายเดียวของลิซ่า ที่ต้องการให้ลูได้รับความเจ็บปวดอย่างสาสม เธอจึงไม่ลังเลที่จะเดินทางไปหาโบโรเลยสักนิดเดียว
เมื่อลิซ่าได้พบกับโบโรในบ้านหลังโตที่อุดมไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ เรื่องราวสุดประหลาดก็เริ่มต้นหลังจากที่ ลิซ่าเกิดอาการปวดท้องและอ้วกออกมาเป็นลูกแมว ก่อนที่เธอจะล่วงรู้ความจริงว่า ตัวเองนั้นมีของพิเศษอยู่ในตัวและผลงานรวมไปถึงความสามารถที่โดดเด่นของตัวลิซ่านั้นเป็นของแปลกที่หายาก ดังน��้นพิธีกรรมเล่นของสุดสะพรึงจึงเริ่มต้นขึ้น
การเล่าเรื่อง
ด้วยสไตล์การเล่าเรื่องที่เล่นกับความเหนือจริง สอดรับกับชื่อซีรีส์ Brand New Cherry Flavor ว่าด้วยรสชาติอันแปลกใหม่จนคนดูอาจจะเกิดอาการเหวอได้ตั้งแต่ตอนแรกของเรื่องราว อาทิ การที่นางเอกของเรื่องมีหน้าตาดูที่เปรี้ยวแอบจิตแต่งตัวเป็นสาวพังค์ๆ แถมเธอยังมีความฝันอันยิ่งใหญ่ในการเป็นผู้กำกับในยุคสมัยที่อาชีพในวงการภาพยนตร์นั้นล้วนกุมอำนาจโดยผู้ชายผิวขา
นอกจากเรื่องยุคสมัยที่ว่าด้วยการปกครองแบบปิตาธิปไตยแล้ว องค์ประกอบรายล้อมของซีรีส์ดูหนังออนไลน์ ก็ยังจัดได้ว่าเป็นรสชาติที่น่าลิ้มลอง มีอะไรที่ชวนเซอร์ไพรส์คนดูอยู่เป็นระยะไม่ว่าจะเป็นพระเอกของเรื่องที่เหมือนจะดูปรารถนาดีกับลิซ่า แต่ลึกๆแล้วตัวละครนี้อาจจะมีผลประโยชน์แอบแฝงในแบบที่ผู้ชมคาดไม่ถึงด้วยก็ได้
การดำเนินเรื่องจะค่อนข้างเป็นเส้นตรงๆ เพื่อนำพาผู้ชมไปพบกับความแปลกประหลาดของซีรีส์เรื่องนี้เหมือนกับที่ตัวนางเอกเจอ และที่สำคัญเลยก็คือซีรีส์เรื่องนี้ ขายฉากแหวะจนสามารถทำให้ผู้ชมรู้สึกมวนท้องได้ ถ้าใครไม่ชอบแนวนี้ขอแนะนำ���ห้เลี่ยง
และซีรีส์เรื่องนี้มีเหล่าแมวเหมียวเป็นตัวประกอบที่ค่อนข้างสำคัญในเรื่อง ไม่ต้องกลัวว่าจะมีฉากทารุณสัตว์ หรือจังหวะหลอกคนดูแบบ Jump Scare แต่เรื่องราวมันก็จะทำให้คนดูรู้สึกคิ้วขมวด ลุ้นตาม และอึดอัดไปกับเรื่องได้ไม่ยากเลย
ในช่วงต้น เรื่องราวก็จะวนเวียนอยู่กับการล้างแค้นด้วยคุณไสยของนางเอก ทำของใส่คนที่เกลียดขี้หน้า เริ่มจากต้องกินสตูว์เครื่องในหนูท่อแบบสดๆ จนลิซ่าเริ่มพบเห็นกับวิญญาณที่ตามหลอกหลอนเธอด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไปเรื่อยๆ เหล่าผู้คนรอบตัวเธอ รวมไปถึงศัตรูของเธอก็พบกับชะตากรรมที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ จนมันเกินที่เธอจะรับไหว
ขึ้นชื่อว่าการทำของแบบไสยศาตร์ มันได้นำเสนอความแฟนตาซีที่มีมวลบางอย่างแปลกๆ ให้เห็นทั้งเรื่อง เริ่มจากนางเอกที่เป็นผู้กำกับ ทำหนังสั้นที่สมจริงจนน่าขนลุก และหนังของเธอก็มีเบื้องหลังบางอย่าง พบเจอกับแม่มดที่พร้อมทำของใส่คนที่ลิซ่าเกลียด
ด้วยการแลกกับบางสิ่งในตัวเธอ แล้วแม่มดคนนี้ก็มีบริวารรับใช้เป็นซอมบี้ที่คอยเก็บลูกแมวที่ลิซ่าอ้วกออกมา ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน บริวารซอมบี้ก็จะตรงดิ่งไปเก็บลูกแมวมาทันที ทั้งในคุก โรงแรมโมเตลข้างทาง ฯลฯ
และช่วงกลางเรื่อง ซีรีส์ก็จะดำเนินไปอีกทิศทางหนึ่งที่ต่างจากช่วงต้น จากการทำคุณไสยของนางเอกใส่โปรดิวซ์เซอร์ลู เป็นการตามหาความลับของนางเอกโดยตัวของลูเบิร์คเอง จากผู้โดนทำของใส่ เริ่มหาวิธีเอาคืน
เพราะเบื้องลึกเบื้องหลังของนางเอกเองก็น่าติดตามและดำมืดไม่น้อย โดยมันจะค่อยๆ เฉลยออกมาให้ผู้ชมลุ้นว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปกันแน่ และคำสาปก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
สาดฉากอี๋ ฉากโหด ฉากแหวะให้ผู้ชมหายใจไม่ทั่วท้องกันไปจนถึงตอนสุดท้ายเลยทีเดียว ทางด้านดราม่าตัวละครที่ได้รับผลกระทบรอบตัวนางเอกก็เป็นส่วนเสริม ที่เป็นความตลกร้ายของเรื่องที่ชวนดราม่าและรู้สึกแย่ตามในบางตอน
คุณไสยมนต์ดำ
ในแง่ของเรื่องราวคุณไสยมนต์ดำ จัดได้ว่าเปรี้ยวเก๋และมีอะไรที่คนดูคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นการที่นางเอกของเราอ้วกออกมาเป็นลูกแมวที่โตไวราวกับ ต้นไม้เจอปุ๋ยเร่งออกดอกออกผล
ซุปสตูสภาพแปลกประหลาดที่ชวนแหวะมากกว่าจะน่ากิน ผู้ชายร่างท้วมที่เดินแก้ผ้าโทงๆเดินไปมา ภาพหลอนของลิซ่าเป็นตัวประหลาดสุดสะพรึง การสำเร็จความใคร่กับบาดแผล
หรือองค์ประกอบในซีรี่ย์ Netflixการทำของใส่ลู คือการที่ลิซ่าต้องไปขโมยเอาขนเพชรของเขามาเป็นส่วนหนึ่งในพิธีกรรม ถือได้ว่าเป็นอะไรที่นอกจากดูชวนตลกร้ายแล้วมันยังเป็นสิ่งแปลกใหม่ ดูพิลึกพิลั่นไปพร้อมๆกัน
จุดเด่น
ซีรีส์มีจำนวน 8 ตอน และใช้ 2-3 ตอนแรกไปกับการปูเรื่องราวความต้องการของตัวเอกจนถึงเรื่องความแค้นที่ปะทุขึ้น และธรรมดาของซีรีส์เน็ตฟลิกซ์ที่จะเริ่มสนุกและน่าติดตามสุด ๆ ก็ประมาณตอนที่ 4-5 ไปแล้ว
แต่กระนั้นก็ต้องยอมรับว่าผู้สร้างก็มีไม้เด็ดหลอกล่อผู้ชมให้สนใจเรื่องราวในตอนแรก ๆ ก่อนที่มนตร์ดำและความรุนแรงจะเริ่มทำงานได้อยู่หมัด เพราะตัวหนังสั้นของโนวาเองก็มีความลับบางอย่างที่ใครก็ตามได้ชมต่างต้องอุทานด้วยความตกใจ จนผู้ชมอย่างเราก็อยากรู้ไปด้วยว่าฉากนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ตัวซีรีส์ให้ความรู้สึกถึงการคารวะงานแนวสยองขวัญในยุค 90 ที่การรับรู้ความจริงบิดเบี้ยว โลกความจริงกับความรุนแรงเหนือโลกที่ผสมกันไปมาอย่างงงงวย แบบหนังของ เดวิด โครเนนเบิร์ก (David Cronenberg)
รวมถึงคารวะหนังขาวดำที่น่าตื่นตะลึงในยุคสมัยที่เทคนิคพิเศษยังเป็นเรื่องน่างุนงงว่าผู้สร้างทำได้อย่างไร หรือสิ่งที่เห็นบนจอนั่นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ด้วย บางช่วงทำให้เรานึกถึงหนังของ ซัลวาดอร์ ดาลี (Salvador Dalí) อยู่เหมือนกัน
จุดด้อย
แม้จะรู้สึกถึงแง่งามหลายอย่างที่เป็นวัตถุดิบในการสร้างสรรค์ซีรีส์นี้ของผู้สร้าง นิก แอนทอสกา (Nick Antosca) และ เลนอเร ไซออน (Lenore Zion) ที่เคยร่วมกันสร้างงานซีรีส์สยองมีเอกลักษณ์อย่าง ‘Channel Zero’ มาแล้ว
แต่กับเรื่องนี้มันก็ยังเห็นว่าหนังยังขาดความสม่ำเสมอของการเร้ากระตุ้นให้คนดูอยากติดตามต่อในแต่ละตอน เชื่อว่าอาจมีคนคิดลังเลถอดใจเป็นระยะ ยิ่งไปเจอฉากเมายาตลอด 1-2 ตอนยาว ๆ ด้วยแล้ว

โดยรวม
และเมื่อดูจบ 8 ตอนก็ออกลูกก้ำกึ่งว่าอยากดูซีซันต่อไปไหมเช่นกัน แม้ว่าซีรีส์จะสร้างเซอร์ไพรส์ให้เราด้วยฉากรุนแรงเกินคาดเดาได้อยู่หมัดในจังหวะที่วางม��ลงตัว (แม้เราจะคาดหวังให้มันรุนแรงได้มากกว่านี้ก็ตาม) การสร้างบทสนทนาที่ดี ๆ หลายฉากที่ทำให้ตัวละครมีมิติ รวมถึงการบูชาหนังยุคเก่าไปพร้อมกัน และการคลี่คลายตัวละครที่ไม่ค่อยเหมือนใคร
ทว่าในแง่เส้นแกนเรื่องหลักที่หนังเปลี่ยนแนวไป แถมยังทิ้งเชื้อความสงสัยให้อยากตามต่อเบาบางไปสักนิดด้วย แต่ก็คงน่าจะมีซีซัน 2 ให้ชมกันเพราะคะแนนรีวิวจากฝั่งตะวันตกคะแนนค่อนข้างดีทีเดียว ทว่าส่วนตัวแล้วเป็นคนหนึ่งที่ถ้าจะมีมาก็รอชมได้
สรุป
อาจจะไม่ใช่ซีรีส์ระทึกขวัญ สยองขวัญในแบบที่เราคุ้นตา แต่ด้วยรสชาติอันแปลกใหม่ที่หลีกหนีจากความจำเจทำให้เรื่องราวการล้างแค้นของลิซ่ามีความน่าสนใจมากขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นในซีรีส์นี้ไม่ได้ดูยากเย็นหรือต้องปีนบันไดดูเพื่อตีความให้ปวดหัว
ซึ่งต้องน่าชื่นชมในแง่ของการออกแบบงานสร้าง องค์ประกอบศิลป์ รวมไปถึงการคุมโทนภาพรวมของเรื่องที่ให้ออกมามีบรรยากาศของความเมามาย ประหนึ่งอยู่ในโลกเสมือนจริงกึ่งหลับกึ่งตื่นเอาเป็นว่าถ้าใครอยากลองเปิดงานซีรีส์รสชาติแปร่งๆ ซีรีส์นี้อาจจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจในเวลานี้
0 notes