Text
“อธิบายการทำฝนหลวงเป็นผลงานของในหลวง ร.9 ด้วยการอธิบายการค้นพบอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ของไอน์สไตน์”
การค้นพบอันยิ่งใหญ่ทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากการค้นพบของคนๆ หนึ่ง แต่ถูกนำมาต่อยอดเพื่อใช้งานได้จริงโดยอีกคนหนึ่งในภายหลังเสมอ
การที่มีการบิดเบือนให้ร้ายว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ��โมยไอเดียการทำฝนเทียมของคนอื่นมาเป็นผลงานฝนหลวงของพระองค์เอง เป็นการแสดงความอ่อนด้อยความรู้ของผู้ที่บิดเบือนความจริง
ความจริงจะเป็นเช่นไรนั้น ผมจะขอใช้การค้นพบอันยิ่งใหญ่ ที่ทำให้ไอน์สไตน์ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนั้น ไอน์สไตน์ก็ต่อยอดวิทยาการมาจากผู้อื่นอีกที และมีคนต่อยอดการค้นพบของไอน์สไตน์ต่อไปอีก แล้วนำไปสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมสะท้านโลก
เฉกเช่นเดียวกับการค้นพบฝนเทียมโดยฝรั่ง แต่ฝรั่งก็นำฝนเทียมไปใช้ไม่สำเร็จ จนในที่สุด ในหลวงรัชกาลที่ 9 คือผู้ที่ทำฝนหลวงที่ใช้งานได้จริงสำเร็จจนเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก
มีแต่เฉพาะคนไทยที่ต่อต้านสถาบันฯ เท่านั้น ที่ไม่ยอมรับ
ตามมาดูกัน ว่าเรื่องราวที่ผมจะชี้ให้เห็นเป็นอย่างไร
ยาวมาก แต่มันต้องยาวถึงจะช่วยทำให้เข้าใจ และเบิกเนตรได้
............................................................................
ปี 1905 ไอน์สไตน์ พนักงานตรวจสิทธิบัตรโนเนมกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงสะท้านโลก ด้วยการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ 4 เรื่อง
โดยเขาได้ตีพิมพ์บทความอันทรงคุณค่าทางฟิสิกส์ 4 ชิ้น ซึ่งในเวลาต่อมาเรียกชื่อรวมกันว่า "Annus Mirabilis Papers"
________________________________________
• บทความแรก
“ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก”
เป็นการอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกซึ่ง Heinrich Hertz ค้นพบเมื่อปี 1887
เป็นปรากฏการณ์ที่อิเล็กตรอนหลุดออกจากวัตถุเมื่อสัมผัสกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่สูง แต่ไม่มีใครอธิบายการเกิดปรากฏการณ์นี้ได้อย่างสมบูรณ์
การค้นพบในเรื่องนี้นำไปสู่วิวัฒนาการของทฤษฎีควอนตัม และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ในอีก 16 ปีต่อมา
............................................................................
เห็นอะไรจากเรื่องการค้นพบอันยิ่งใหญ่เรื่องที่ 1 จาก 4 เรื่องที่สร้างชื่อเสียงให้กับไอน์สไตน์หรือไม่
*เขาไม่ใช่คนแรกที่ค้นพบสิ่งนี้ ผู้ที่ค้นพบคือ Heinrich Hertz เมื่อปี 1887 แต่ไม่มีใครเข้าใจและนำทฤษฎีของเขาไปใช้ทำประโยชน์อะไร และผ่านไปถึง 18 ปี ไอน์สไตน์ก็นำทฤษฎีนี้มาต่อยอดจนกลายเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ของเขา ที่สร้างชื่อเสียงให้เขาดังกระฉ่อนโลก
**เหมือนเรื่องฝนเทียมหรือไม่ ที่มีคนค้นพบมาก่อน แต่ไม่มีใครนำมาใช้งานได้จริง จนกระทั่งในหลวง รัชกาลที่ 9 ทำให้ฝนหลวงใช้งานเป็นประโยชน์ได้จริง
________________________________________
• บทความชิ้นที่ 2
“การเคลื่อนที่ของบราวน์”
เป็นการอธิบายการเคลื่อนที่แบบบราวเนียนซึ่ง Robert Brown สังเกตพบละอองเกสรดอกไม้ที่ลอยอยู่ในน้ำมีการเคลื่อนที่ไปมาอย่างสะเปะสะปะไร้ทิศทางตั้งแต่ปี 1827
หลังจากปี 1905 ที่ไอสไตน์ค้นพบจากการต่อยอดค้นคว้าเรื่องนี้ 3 ปีถัดมา Jean Perrin ได้ทำการทดลองพิสูจน์ว่าทฤษฎีของไอสไตน์เป็นจริงซึ่งทำให้ Perrin ได้รับางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์
สมการการเคลื่อนที่แบบบราวเนียนของไอสไตน์ยังถูกนำไปใช้ประโยชน์ในอีกหลายกรณีรวมทั้งใช้วิเคราะห์ตลาดหุ้น
............................................................................
เห็นอะไรจากเรื่องการค้นพบอันยิ่งใหญ่เรื่องที่ 2 จาก 4 เรื่องที่สร้างชื่อเสียงให้กับไอน์สไตน์หรือไม่
*ผู้ค้นพบสมการการเคลื่อนที่แบบบราวเนียนคนแรกคือ Robert Brown ตั้งแต่ปี 1827 แต่ไม่มีใครนำมาใช้ประโยชน์อะไรได้ จนกระทั่งปี 1905 ไอสไตน์ เอามาต่อยอด จนสร้างชื่อเสียงให้เขาดังกระฉ่อนโลก
แล้วอีก 3 ปี Jean Perrin นำมาต่อยอดอีกครั้งจนทำให้เขาได้รับางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์
สุดท้ายมีคนนำมาต่อยอดอีก โดยนำสมการการเคลื่อนที่แบบบราวเนียนของไอสไตน์มาใช้วิเคราะห์ตลาดหุ้นในปัจจุบัน
**เหมือนเรื่องฝนเทียมหรือไม่ ที่มีคนค้นพบมาก่อน แต่ไม่มีใครนำมาใช้งานได้จริง จนกระทั่งในหลวง รัชกาลที่ 9 ทำให้ฝนหลวงใช้งานเป็นประโยชน์ได้จริง
________________________________________
•บทความเรื่องที่ 3
“ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ”
บทความชิ้นที่สามของไอน์สไตน์ในชื่อพลศาสตร์ไฟฟ้าของวัตถุซึ่งเคลื่อนที่ ซึ่งต่อมาเรียกว่าทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ
ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษของของไอน์สไตน์ที่เผยแพร่ในปี 1905 ก็ไม่มีใครเข้าใจและเชื่อตามที่ของไอน์สไตน์ค้นพบ และไม่มีการผลิตอะไรที่เป็นประโยชน์ออกมาใช้งานได้จริงออกมาจากทฤษฎีนี้
จนกระทั่งในเวลาต่อมา ปี 1971 Joseph Hafele และ Richard Keating ได้ทำการทดลอง
โดยนำนาฬิกาอะตอมที่ละเอียดและแม่นยำสูงมากขึ้นเครื่องบินบินรอบโลกสองเที่ยว พบว่านาฬิกาบนเครื่องบินเดินช้ากว่านาฬิกาที่อยู่บนพื้นโลกจริงและสอดคล้องกับการทำนายโดยทฤษฎีสัมพัทธภาพ
หลังจากนั้นอีกหลายปี ระบบ GPS จึงถือกำเนิดขึ้นจากทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษของไอน์สไตน์
โดยใช้การส่งสัญญาณจากดาวเทียมที่โคจรรอบโลก 24 ดวงนั้นต้องมีการปรับแก้ค่าเวลาตามทฤษฎีสัมพัทธภาพ ถึงจะมีความแม่นยำ
............................................................................
เห็นอะไรจากเรื่องการค้นพบอันยิ่งใหญ่เรื่องที่ 3 จาก 4 เรื่องที่สร้างชื่อเสียงให้กับไอน์สไตน์หรือไม่
*ว่าทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษของของไอน์สไตน์ถูกคิดค้นขึ้นได้ในปี 1905 แต่ไม่มีใครเข้าใจ และไม่ได้นำมาผลิตอะไรที่เป็นประโยชน์เลย
แต่ปัจจุบันมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากมายสร้างมาจากทฤษฎีนี้ เช่น GPS หรือแม้แต่ประตูเปิดปิดอัตโนมัติ ก็เพิ่งมีคนนำทฤษฎีที่อยู่ในกระดาษมาสร้างผลิตภัณฑ์
**เหมือนเรื่องฝนเทียมหรือไม่ ที่มีคนค้นพบมาก่อน แต่ไม่มีใครนำมาใช้งานได้จริง จนกระทั่งในหลวง รัชกาลที่ 9 ทำให้ฝนหลวงใช้งานเป็นประโยชน์ได้จริง
________________________________________
• บทความชิ้นที่สี่
“เรื่องความสมมูลระหว่างมวลและพลังงาน”
เป็นภาคผนวกของทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ เป็นเรื่องความสมมูลระหว่างมวลและพลังงานซึ่งเป็นที่มาของสมการที่โด่งดังที่สุดในโลก E = mc2 ซึ่งเป็นเรื่องของ “มวลนิดเดียวสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานจำนวนมหาศาล”
............................................................................
เห็นอะไรจากเรื่องการค้นพบอันยิ่งใหญ่เรื่องที่ 4 ที่สร้างชื่อเสียงให้กับไอน์สไตน์หรือไม่
*ผลจากสมการเรื่องที่ 4 นี้ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโลก มีเทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้นอย่างมากมายมหาศาล เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เครื่องมือทางการแพทย์ ระบบสื่อสารโทรคมนาคมผ่านทางดาวเทียม การหาอายุจากคาร์บอนกัมมันตรังสี รวมไปถึงการคิดค้นระเบิดปรมาณูและพลังงานนิวเคลียร์
แต่ผู้ที่สร้างเครื่องมือและอุปกรณ์ทันสมัยเหล่านี้ ไม่ใช่ไอน์สไตน์
**เหมือนเรื่องฝนเทียมหรือไม่ ที่มีคนค้นพบมาก่อน แต่ไม่มีใครนำมาใช้งานได้จริง จนกระทั่งในหลวง รัชกาลที่ 9 ทำให้ฝนหลวงใช้งานเป็นประโยชน์ได้จริง
________________________________________
ไอน์สไตน์คิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปโดยใช้เพียงคณิตศาสตร์และจินตนาการ ไม่มีการทดลองใดชี้นำ มีเพียงการทดลองทางความคิดของเขาเองเท่านั้น
ดังนั้นในช่วงแรกจึงไม่มีใครเชื่อและเห็นว่าไม่มีประโยชน์เพราะไม่มีการทดลองใดๆมาสนับสนุนคำทำนายตามทฤษฎีของเขา
________________________________________
กำเนิดฝนเทียม
เมื่อปี ค.ศ. 1891 หลุยส์ กัธแมน ชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมัน ได้ทำวิจัยระบบทำความเย็นในปืนครก เมื่อปืนครกไม่ร้อนเกินไปจากการยิงกระสุน มันก็สามารถยิงได้ถี่ๆมากขึ้น
การประดิษฐ์นี้ ทำให้หลุยส์มีไอเดียยิงกระสุนพิเศษที่เต็มไปด้วยของเหลวที่เป็นกรดคาร์บอนนิค กระสุนนี้จะไปแตกที่ความสูงสูงๆ และทำให้อากาศเย็นตัวลงอย่างรวดเร็ว
และเมื่ออากาศเข้าใกล้จุดกลั่นตัวและมีความชื้นมากพอ มันก็จะก่อเป็นเมฆและฝนตก
หลุยส์ได้สิทธิบัตรในไอเดียนี้ ในชื่อว่า Rain Produced at Will ในปี คศ 1891
ต่อมาในปี ค.ศ. 1946 วินเซนต์ เชฟเฟอร์ และเออร์วิง ลองมัวร์ เริ่มงานที่ห้องปฏิบัติการวิจัยของบริษัทเจเนรัล อิเล็กทริก เมืองสกิเนกทาดี รัฐนิวยอร์ก เขาพิสูจน์ได้ว่าเราอาจกระตุ้นเมฆฝนให้ผลิตละอองฝนได้โดยวิธีวิทยาศาสตร์
ต่อมาสหภาพโซเวียต มีการใช้ปืนขนาด 70 มม. ยิงซิลเวอร์ไอโอไดด์เข้าไปให้ระเบิดในเมฆเพื่อกระจายสารเคมีออกไป วิธีนี้จะเพิ่มปริมาณฝนอีกถึง 1 ใน 5 แต่ผู้คนยังสงสัยว่า วิธีนี้คุ้มค่าหรือไม่ เพราะยังไม่สามารถรู้ได้ว่าฝนจะตกมากเท่าไร
ในอเมริกา รัฐที่มีเกษตรกรรมมากสุดคือแคลิฟอร์เนียที่อุณหภูมิอากาศดี แต่ความชื้นในอากาศมีเพียงแค่ 20-35%
ซึ่งไอ้เจ้าความชื้นในอากาศนี้��ีความสำคัญในการทำฝนเทียม ไทยเราเป็นผู้พบว่า การทำฝนเทียมจะได้ผลดีก็ต่อเมื่ออากาศมีความชื้นมากกว่า 60% และความเร็วลมต้องต่ำกว่า 25 กม/ชม.
ในช่วงยุค 1970s รัฐบาลอเมริกันใช้งบ 20 ล้านเหรียญต่อปีในการแปรเปลี่ยนภูมิอากาศพวกนี้ แต่ในที่สุด ได้มีการลงความเห็นว่าไม่คุ้ม เพราะให้ผลไม่แน่นอน ปัจจุบัน รัฐบาลสหรัฐอเมริกาไม่สนับสนุนการทำฝนเทียมแล้ว
ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างอเมริกา ออสเตรเลีย จึงไม่ได้พัฒนาฝนเทียมถึงไหนนัก เพราะความชื้นต่ำและลมยังแรง
สรุปว่าการทำฝนเทียมถูกคิดค้นโดยฝรั่ง แต่ทำไม่สำเร็จ ต่อมาในหลวงรัชกาล 9 นำทฤษฎีการทำฝนเทียมมาศึกษาค้นคว้าต่อยอดจนประสบความสำเร็จ จนได้สิทธิบัตร
________________________________________
กำเนิดฝนหลวง
เมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกร เมื่อปี พ.ศ. 2498 ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ทรงรับทราบถึงความเดือดร้อนทุกข์ยากของราษฎรและเกษตรกรที่ขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคและการเกษตร
จึงได้มีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานโครงการพระราชดำริ “ฝนหลวง”(Artificial rain) ให้กับ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ไปดำเนินการ
ซึ่งต่อมาได้เกิดเป็นโครงการค้นคว้าทดลองปฏิบัติการฝนเทียมหรือฝนหลวงขึ้น ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อปี พ.ศ. 2512
ด้วยความสำเร็จของโครงการ จึงได้ตราพระราชกฤษฎีการก่อตั้งสำนักงานปฏิบัติการฝนหลวงขึ้นในปี พ.ศ. 2518 ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเป็นหน่วยงานรองรับโครงการพระราชดำริฝนหลวงต่อไป
________________________________________
ประเทศจอร์แดน ตั้งอยู่ในตะวันออกกลาง ซึ่งมีภูมิอากาศค่อนข้างแห้งแล้ง มีปริมาณฝนตกน้อยมากจึงมีกสรพยายามแก้ปัญหาความแห้งแล้ง โดยมีการทดลองทำฝนเทียมเองในปี 1989 และ 1995 แต่ไม่สำเร็จ
ต่อมาในปี 2009 มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจหรือ MoU ในวันที่ 23 มีนาคม ปีเดียวกันนั้น เพื่อนำเทคโนโลยีจากโครงการ “ฝนหลวง” ที่เกิดขึ้นจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ไปทำฝนหลวงในประเทศจอร์แดน
________________________________________
อัษฎางค์ ยมนาค
รวบรวม เรียบเรียง

6 notes
·
View notes
Text
0 notes
Photo






Home in Cape Town | design by Play Associates
THENORDROOM.COM - INSTAGRAM - PINTEREST - SUPPORT THE BLOG
1K notes
·
View notes