Don't wanna be here? Send us removal request.
Text
3 วิธีกระตุ้นพลังชีวิต
คุณรู้สึกไหมว่า ยิ่งเราอายุมากขึ้นเท่าไหร่ พลังงานชีวิตของเรายิ่งเริ่มลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ๆ เพราะเมื่อเรายิ่งโตขึ้น เราก็จะพบเจอกับประสบการณ์ต่าง ๆ เยอะ ทั้งเรื่องดี เรื่องร้าย เรื่องที่ทำให้มีความสุข และเรื่องที่บั่นทอนจิตใจ ซึ่งทุกเรื่องที่ผ่านมาที่มันเลวร้ายนั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ทำให้พลังชีวิตของเราลดลงเร็วขึ้นเป็นเท่าตัว แล้วถ้าหากเราปล่อยให้ตัวเองหมดพลังชีวิตโดยที่ไม่มีการเติมหรือกระตุ้นมันเลย เราก็ไม่อาจจะใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ได้ เพราะพลังงานมันทำให้คุณมีหน้าที่ในการที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จได้แต่ละวัน แล้วมันยังทำให้คุณดึงดูดสิ่งดี ๆ เข้ามาด้วย นอกจากนั้นการที่มีพลังยังจะช่วยทำให้คุณมีไอเดียเจ๋ง ๆ ในการทำงาน และทำให้คุณก้าวไปสู่เป้าหมายได้เร็วขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นวันนี้เราจึงนำ 3 วิธีที่จะกระตุ้นพลังชีวิตกลับคืนมาค่ะ วิธีที่ 1 พูดให้เร็วขึ้น ถ้าวันไหนที่คุณรู้สึกเหนื่อย รู้สึกว่าร่างกายกำลังหมดพลัง การพูดให้เร็วขึ้นช่วยได้ค่ะ จะสังเกตได้จากเวลาที่เราฟังคนที่เขาพูดช้า ๆ เนิบ ๆ ฟังไปก็จะหลับไป มันไม่มีความกระตือรือร้นที่อยากจะฟังต่อเลย เพราะฉะนั้นวิธีง่ายที่สุดที่จะทำให้พลังของคุณกลับมา คุณอยากจะดึงพลังให้กับชีวิต คุณอยากจะทำให้พลังงานในตัวเองสูงขึ้น ก็แค่คุณพูดให้เร็วขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องพูดเร็ว ๆ จนไม่รู้เรื่องนะคะ เอาแค่กำลังดี แต่เพียงแค่เปลี่ยนจังหวะในการพูดให้มันแรงขึ้น พูดให้มันเร็วขึ้น แล้วเซลล์ในร่างกายเรามันจะตื่นตัวขึ้นมาเอง แล้วคุณจะรู้สึกว่าร่างกายมีพลังในทัน เพราะฉะนั้นลองสังเกตตัวเองดูว่าคุณเป็นคนที่ชอบพูดเนิบ ๆ เชื่องช้า พูดเบา ๆ เสียงอยู่ในลำคอ แล้วก็รู้สึกว่าชีวิตไม่มีพลัง การพูดให้เร็วขึ้น พูดให้ชัดขึ้น หนักแน่นขึ้น ใส่จังหวะในการพูด เหล่านี้จะช่วยคุณให้มีพลังกลับคืนมาได้ค่ะ วิธีที่ 2 ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกาย เรื่องนี้อาจจะฟังดูเป็นเรื่องธรรมด๊า ธรรมดา แต่คุณเชื่อไหมล่ะว่าชีวิตของคนยุคใหม่โคตรจะนั่งอยู่กับที่ โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่ทำงานออฟฟิศ นั่งอยู่หน้าคอมทั้งวัน พิมพ์เอกสารบนโต๊ะทำงานทั้งวัน จ้องหน้าจอคอม หน้าจอมือถือ ไอแพด แทบจะตลอดเวลา สรุปคือเราแทบไม่ได้ขยับตัวในแต่ละวันเลย แล้วคุณลองสักเกตตัวเองว่า ถ้าวันไหนคุณไม่ค่อยได้ขยับเขยื้อนร่างกาย คุณจะรู้สึกเลยว่ามันเหนื่อย ไม่ใช่แค่ปวดเมื่อยตามร่างกาย แต่คุณจะรู้สึกเลยว่าอึน ๆ มึน ๆ เหมือนมีพลังงานมันไหลอยู่ในตัว แต่เราไม่ได้ปลดปล่อยมันออกมา แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเริ่มขยับตัว เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกเศร้า คุณรู้สึกพลังงานมันต่ำ พลังงานตก แค่คุณลุกขึ้นมาขยับตัว ออกไปวิ่ง ไปออกกำลังกาย หรือเปิดเพลงมันส์ ๆ แล้วก็เต้น หรือปาร์ตี้ก็ได้ เพียงแค่นี้มันก็จะทำให้พลังงานในตัวของคุณมันเปลี่ยน วิธีที่ 3 ปลุกพลังด้วยของสำคัญ คุณเคยฟังเพลงเพลงนึงแล้วคุณก็ชอบมันมากไหมคะ แล้วก็ฟังเพลงนั้นซ้ำ ๆ วนไปวนมาอยู่อย่างนั้น แล้วพอเวลาผ่านไปเป็นหลายปี พอคุณได้ยินเพลงนั้นแล้วมันทำให้คุณหวนย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์บางอย่าง ที่คุณได้ฟังเพลงนั้นซึ่งไม่รู้ทำไมเหมือนกัน หรืออาจจะเป็นรูปภาพ หรือสิ่งของบางอย่าง ที่คุณเคยมีประสบการณ์ดี ๆ กับมัน อาจจะเป็นรูปภาพที่ถ่ายกับครอบครัว ตุ๊กตาที่แฟนให้ ดอกไม้วันรับปริญญา หรืออะไรก็ได้ที่มันเป็นความทรงจำที่ดี ๆ เพราะฉะนั้นให้คุณลองนึกดูสิคะว่า คุณเคยมีเหตุการณ์อะไร มีเพลงอะไรไหม หรือมีสิ่งของอะไรไหม ที่ทำให้คุณนึกถึงเรื่องราวดี ๆ ที่จะเป็นกำลังใจให้คุณปลุกพลังในตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง��ึง ถ้าคุณมีของแบบนั้นอยู่ เวลาที่คุณท้อ คุณรู้สึกหมดพลัง รู้สึกอ่อนแรง ลองเอาสิ่ง ๆ นั้นออกมาดู แล้วพอคุณดูมัน ฟังมัน มันจะช่วยให้คุณหวนนึกถึงเรื่องดี ๆ ที่เกี่ยวกับของสิ่งนั้น แล้วคุณก็จะมีพลังงานเพื่อออกไปทำสิ่งต่าง ๆ และมีกำลังใจในการก้าวข้ามอุปสรรคต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเอง #พลังชีวิต #ปลุกพลัง

0 notes
Text
10 อาหารกินต้านไข้หวัด

ในช่วงที่สภาพอากาศค่อนข้างที่จะแปรปรวนและเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันอยู่บ่อยครั้ง บางวันก็ร้อนจนตับจะแตก บางวันฝนก็ตกมืดฟ้ามัวดิน เพราะฉะนั้นเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บก็อาจจะเป็นกันง่ายขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของโรคหวัด โรคหวัดนั้นส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ภูมิคุ้มกันในร่างกายมันอ่อนแอมากเกินไป ทำให้ไม่สามารถที่จะไปต่อสู้กับเชื้อไวรัสที่เป็นต้นเหตุของไข้หวัดได้ วันนี้เราจึงมีอาหารสำหรับต้านหวัดมาฝากเพื่อน ๆ กันค่ะ เพราะอาหารก็เป็นตัวสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะช่วยป้องกันจากโรคหวัดได้ 1. วิตามินซี เป็นสารอาหารประเภทที่ให้สารแอนตี้ออกซิแดนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ มีการศึกษาพบว่าสารตัวนี้ถ้าเกิดรับประทานเข้าไปในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย มันจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้ค่ะ ซึ่งอาหารที่ให้วิตามินซีก็คืออาหารที่มีรสเปรี้ยว จริง ๆ แล้ววิตามินซีจะเป็นกรดชนิดหนึ่งที่พบอยู่ในพืชผักและผลไม้ โดยเฉพาะผลไม้ที่ให้รสเปรี้ยว เช่น ฝรั่ง มะขามป้อม ส้ม มะนาว ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เป็นต้น แต่ตัวที่มีวิตามินซีสูงที่สุดก็คือมะขามป้อม แต่มะขามป้อมสดอาจจะหาทานยากไปสักนิดนึงแถมรสชาติก็เปรี้ยวจนเกินไป เพราะฉะนั้นหลัก ๆ แล้วก็เลือกทานส้มและฝรั่งจะดีที่สุดค่ะ และอีกอย่างหนึ่งก็คือวิตามินซีจะเป็นวิตามินที่ไม่ค่อยทนความร้อน บางทีในผักแล้วจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วก็มีวิตามินซีค่อนข้างเยอะ แต่ว่าในการปรุงประกอบอาหารเราต้องใช้ความร้อน จึงทำให้วิตามินซีสูญเสียไปกับความร้อน เพราะฉะนั้นเราควรจะทานผักผลไม้ตอนที่มันสด ๆ จะดีที่สุดเพราะจะได้รับวิตามินได้อย่างเต็มที่ ส่วนพวกน้ำผลไม้ปั่นหรือน้ำผลไม้คั้นต่าง ๆ อันนี้แค่คั้นใส่แก้วทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง วิตามินซีและวิตามินบางตัวในนั้นก็หายไปเกินกว่าครึ่งแล้ว เพราะตัวการสำคัญที่ทำลายวิตามินซีก็คือความร้อนแล้วก็ออกซิเจนที่อยู่ในอากาศนั่นเองค่ะ ส่วนวิตามินซีที่ได้จากการสังเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ คือจริง ๆ แล้วรูปแบบฟอร์มมันก็จะคล้าย ๆ กับวิตามินซีในธรรมชาติ แต่ว่าพอมันไปทำปฏิกิริยาหรือว่าเอาไปใช้ประโยชน์เนี่ยมันจะได้ไม่เท่ากับวิตามินซีที่ได้มาจากธรรมชาติ คือปริมาณมันเทียบเท่ากับธรรมชาติมี แต่ว่าในแง่ของการเอาไปใช้มันยังสู้แบบธรรมชาติไม่ได้ ส่วนปริมาณที่เราควรจะทานต่อวันก็จะอยู่ที่ประมาณ 65 มิลลิกรัม แต่ก็มีหลาย ๆ คนที่ทานเพื่อให้ผิวขาวใสหรือทานในแง่ของความสวยงาม ก็จะทานพุ่งไปถึง 1,000-2,000 มิลลิกรัมกันเลยทีเดียว ซึ่งอันนี้คือเยอะเกินไป ถึงแม้ว่าวิตามินซีจะเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ คือถ้าเราทานเข้าไปแล้วมันมากกว่าที่ร่างกายต้องการเราสามารถที่จะขับมันออกมาทางปัสสาวะได้ก็จริง แต่ว่าถ้ามันมากเกิน 2,000 มิลลิกรัม ด้วยความที่วิตามินซีมันมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ มันอาจจะทําปฏิกิริยากับเบสในทางเดินปัสสาวะทำให้ตกตะกอนเป็นนิ่วได้ อันนี้คือความร้ายแรงของมันค่ะ 2. วิตามินเอ ก็เป็นวิตามินอีกตัวหนึ่งที่ให้สารแอนตี้ออกซิแดนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระเช่นกันกับวิตามินซี และก็สามารถป้องกันหวัดได้เช่นกัน วิตามินเอเราจะพบมากในพืชผักผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ฟักทอง มะม่วงสุก แครอท จริง ๆ ที่เราเห็นสีเหลืองหรือสีส้มมันไม่ใช่วิตามินเอหรอกนะคะ แต่ว่ามันชื่อว่าเบต้าแคโรทีน ตัวนี้พอทานเข้าไปปุ๊บเนี่ยร่างกายมันจะไปเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ การทำงานของมันเพื่อป้องกันไข้หวัดก็คือ ปกติแล้วลักษณะของวิตามินเอคือหน้าที่ของมันคือช่วยทำให้เซลล์เยื่อบุต่าง ๆ แข็งแรง ทั้งเยื่อบุลำไส้ เยื่อบุทางเดินหายใจ กลไกที่เราได้รับไข้หวัดจากอากาศก็คือ ปกติแล้วไวรัสมันจะไปเกาะที่เยื่อบุภายในช่องจมูก แล้วถ้าเกิดว่าเราทานวิตามินเอเพียงพอแล้วทำให้เยื่อบุในช่องจมูกมันแข็งแรง เจ้าพวกไวรัสไข้หวัดมันก็จะไม่สามารถที่จะผ่านด่านเข้าไปได้ อันนี้ก็คือเป็นการป้องกันไข้หวัดด้วยวิตามินเอค่ะ 3. ซุปไก่สกัด ได้ทั้งซุปไก่แบบที่ทำเองและแบบสำเร็จรูปนะคะ มันจะช่วยเสริมในเรื่องของภูมิคุ้มกันได้เหมือนกัน เพราะว่าในซุปไก่มันจะมีกรดอะมิโนที่ชื่อว่าซิตเตอีนค่อนข้างสูง โดยซิตเตอีนตัวนี้จะมีโมเลกุลคล้าย ๆ กับยาขับเสมหะ ก็คือเวลาที่มีไวรัสเข้าไปเกาะที่เยื่อบุในร่างกายปกติระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายคือพยามที่จะให้มันมีเมือกออกมาเพื่อที่จะขับไวรัสออกมา ทำให้เราจามออกมา ทำให้เรามีน้ำมูกออกมา ตัวนี้ก็จะเป็นตัวที่มีส่วนช่วยต้านหวัดที่ดีอีกตัวหนึ่งเลยค่ะ 4. อาหารที่ให้ซีลีเนียม อาหารประเภทนี้ก็มีสารที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายค่ะ โดยซีลีเนียมจะพบมากในอาหารทะเล อย่างเช่น หอยนางรม ซึ่งหอยนางรมจะมีซีลีเนียมค่อนข้างสูง แต่ก็ไม่ควรทานหอยนางรมเยอะนะคะ เพราะหอยนางรมไม่ได้ให้แค่สารซีลีเนียมสูงอย่างเดียวเท่านั้น ยังพ่วงมาด้วยคอลเลสเตอลรอลสูงอีกด้วย ซึ่งปริมาณซีลิเนียมที่เราต้องการต่อวันนี้แค่ 11 มิลลิกรัมเท่านั้น ซึ่งในหอยนางรมแค่ตัวเดียวก็มีซีลีเนียมมากกว่า 11 มิลลิกรัมแล้วค่ะ 5. ผักใบเขียวทุกชนิด พวกนี้จะมีวิตามินเคกับวิตามินซีค่อนข้างสูง แต่ถึงจะมีมากก็จริงแต่ว่าพอไปทำกับข้าว ทำอาหาร ปรุงสุก ผ่านความร้อน ปัจจัยเหล่านี้ก็จะทำให้วิตามินซีละลายออกไป 6. โยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยว ในโยเกิร์ตและนมเปรี้ยวจะมีแบคทีเรียชนิดดีอยู่ ก็คือ แลคโตบาซิลลัส ตัวนี้จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายค่ะ แล้วก็มีงานวิจัยออกมาว่าการทานโยเกิร์ตมาก ๆ มันจะช่วยลดอาการไอหรือลดอาการที่เป็นอาการที่มาจากหวัดได้ เพราะปกติแล้วเวลาที่เกิดการอักเสบขึ้นในร่างกาย เม็ดเลือดขาวก็จะวิ่งไปที่ปอด ซึ่งการทานโยเกิร์ตก็จะช่วยชะลอไม่ให้เม็ดเลือดขาววิ่งไปที่ปอดเร็วขึ้น แล้วทำให้การอักเสบที่ปลอดลดน้อยลง จึงเป็นสาเหตุทำให้ลดอาการไอและลดอาการที่มาจากหวัดค่ะ จริง ๆ โยเกิร์ตทานเข้าไปมันอาจจะอยู่ที่ระบบทางเดินอาหารไม่เกี่ยวกับทางเดินหายใจ แต่จริง ๆ แล้วอวัยวะภายในร่างกายมันเกี่ยวข้องกันทั้งหมด 7. กระเพรา โหระพา มีฤทธิ์ที่ช่วยลดความรุนแรงของโรคหวัดได้ ช่วยเปิดทางเดินหายใจ ทำให้จมูกเราโล่งขึ้นได้ แล้วก็ช่วยลดการเกิดการอุดตันที่บริเวณทางเดินหายใจได้ค่ะ 8. ขมิ้น ในขมิ้นจะมีสาร��ฤกษเคมีบางตัวที่ช่วยลดการอักเสบได้ และช่วยชะละความรุนแรงของอาการหวัดได้ 9. อาหารรสเผ็ด จะช่วยเปิดทางเดินหายใจให้มันโล่งมากขึ้น ทำให้หายใจสะดวกขึ้นได้ ช่วยให้ระบบเลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น เพื่อเลือดไหลเวียนดี การระบายความร้อนในร่างกายมันก็จะออกไปได้ค่อนข้างเร็ว เพราะว่าการเป็นไข้หวัดก็จะต้องมีอาการตัวร้อนหรือมีไขร่วมด้วย 10. น้ำเปล่าสะอาด บางทีตอนที่เราเป็นหวัดจะทำให้ร่างกายเราสูญเสียน้ำในร่างกายออกไป ทั้งทางเหงื่อและทางปัสสาวะ เพราะว่ากลไกของร่างกายคือจะขับเอาไวรัสออกไป การดื่มน้ำเยอะ ๆ จะช่วยทดแทนน้ำที่สูญเสียไปและช่วยขับน้ำมูกและเสมหะออกมาได้ดีมากขึ้น
0 notes
Text
สิ่งที่ควรทำก่อนอายุ 30+

2 รู้จักลงทุน หากคุณรู้จักการออมเงินแล้ว แล้วสามารถเก็บเงินได้สักก้อนนึง จงอย่าให้มันเป็นเพียงเงินสดที่อยู่ในกระเป๋าของคุณ คุณต้องเอาเงินไปลงทุนอะไรสักอย่าง ซึ่งแต่ก่อนเวลาคนออมเงินก็มักจะฝากเงินในธนาคาร เพราะมันได้ดอกเบี้ย แต่สมัยนี้การฝากเงินในธนาคารไม่เวิร์คอีกต่อไปแล้วค่ะ เพราะเงินมันมีโอกาสเฟ้อ พอเงินเฟ้อค่าเงินก็ลดลง แล้วถึงคุณจะมีเงินคุณก็อาจจะจนโดยไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นเราต้องรู้จักลงทุน และคุณจะลงทุนอะไรก็ได้ค่ะ อาจจะไปศึกษาเรื่องลงทุนในหุ้น ลงทุนคอนโด ที่ดิน บ้านเช่า หอพัก หรือทำธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ แต่ต้องศึกษาดูให้ดี ๆ นะคะเพราะทุกการลงทุนมีความเสี่ยงอยู่เสมอ แต่ก่อนที่คุณจะไปลงทุนทำอย่างอื่น คุณต้องลงทุนในตัวเองก่อน ถ้าคุณลงทุนให้ตัวเองมีความรู้ จากนั้นคุณจะไปทำเรื่องหุ้น ทำเรื่องคอนโด หรือเรื่องอะไรมันก็ไม่ยากแล้วค่ะ เพราะคุณลงทุนให้ความรู้กับตัวเองแล้ว
0 notes
Text
สิ่งที่ควรทำก่อนอายุ 30+
1 ยิ่งออมเร็ว ยิ่งรวยเร็ว เก็บเงินตอนที่อายุน้อย ๆ จะได้เปรียบกว่าคนที่เก็บเงินตอนแก่ เพราะถ้าเก็บเงินก่อน ก็รวยเร็วกว่า อายุยังไม่เยอะเราก็มีแรง มีกำลัง มีสมองในการทำงานหาเงิน แต่เมื่อเราอายุเยอะขึ้น จะเอาแรงที่ไหนไปทำงาน และสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องจำไว้ก็คือ ชีวิตที่ไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ หลาย ๆ คนทำงานแล้วไม่เก็บตังค์ หาเงินมาได้เท่าไหร่ก็ใช่เท่านั้นไม่มีเหลือเก็บ เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็หาใหม่ได้ เดี๋ยวเงินเดือนเดือนหน้าก็มี บางคนแย่กว่านั้นคือใช้มากกว่าที่หาได้ซะอีก หาได้ 100 แต่ใช้ 200 ก็เป็นหนี้เ��็นสินกันไปอีก สำหรับน้อง ๆ ที่เพิ่งได้ทำงานใหม่ ๆ เพิ่งมีเงินเดือนจากน้ำพักน้ำแรงตัวเอง บางคนดีใจมากได้ทำงานมีเงินเดือนก็เลยฉลองมันทุกวันไปเลย แต่ยิ่งเพิ่งได้ทำงานนี่แหละยิ่งดีที่จะเก็บเงิน เพราะว่าการเก็บเงินเป็นบันไดขั้นแรกของความมั่งคั่ง คุณต้องใช้ให้น้อยกว่าที่คุณหามาได้ เหลือเก็บค่อยเอามาใช้ แต่คนส่วนใหญ่ทำตรงกันข้ามคือ เหลือจ่ายค่อยเอามาเก็บ แล้วอย่างนี้มันจะเหลือให้คุณเก็บไหม

1 note
·
View note