Tumgik
pisanuv · 1 month
Text
"พ่อครับ!!! ข้างบ้านขโมยสอยมะม่วงเราครับ"เด็กชายตัวน้อยวิ่งมาหาพ่อ พ่อหัวเราะแล้วถามว่า
"เราเหลืออีกหลายลูกไหม? ลูก"
"ผมเห็นอีกหลายลูกเลยครับ"
"งั้นไปสอยมะม่วงสุกมาให้พ่อสักเจ็ดลูกสิ"
เด็กชายเข้าใจว่าพ่อคงใช้ให้สอยมะม่วง
เพราะกลัวเพื่อนบ้านจะขโมยอีก จึงรีบสอยมะม่วงมาให้พ่อเมื่อได้มะม่วงก็หอบมาให้พ่อ หวังว่าจะได้ทานกันอย่างเอร็ดอร่อย
แต่ปรากฎว่า ผู้เป็นพ่อนำมะม่วงทั้งหมดมาจัดใส่ตะกร้าอย่างสวยงามแล้วจูงมือลูกชายไปกดกริ่งหน้าประตูของเพื่อนบ้านที่ลูกชายบอกว่ามาแอบสอยมะม่วงที่บ้านไป
เด็กชายงง ไม่เข้าใจว่าพ่อจะทำอะไร
เมื่อเพื่อนบ้านเปิดประตูรั้วออกมา
เป็นชายวัยกลางคน หน้าตามีพิรุธเหมือนทำผิดอะไรบางอย่าง
ผู้เป็นพ่อจึงยื่นมะม่วงทั้งตะกร้าให้ แล้วกล่าวว่า
"ผมเอามะม่วงมาฝากครับ เป็นเพื่อนบ้านอยู่บ้านข้างๆ นี่เอง
มีอะไรก็บอกกันนะครับ จะได้ช่วยเหลือกัน"
ชายคนนั้นมีสีหน้าเสียใจอย่างเห็นได้ชัด เขาบอกให้พ่อรอสักครู่
พร้อมทั้งกลับมาด้วยตะกร้าใบเดิม แต่คราวนี้มีไข่ไก่เต็มตะกร้า
"ผมเลี้ยงไข่ไก่ไว้หลายตัว ขอให้ไข่ไก่เป็นของตอบแทนน้ำใจนะครับ"
พ่อกล่าว "ขอบคุณ" แล้วจูงมือเด็กชายกลับบ้านเด็กชายถามพ่อด้วยความสงสัย
"ทำไมพ่อถึงเอามะม่วงไปให้เขา แทนที่จะไปทวงมะม่วงของเราคืนมา"
"ถ้าพ่อไปทวงมะม่วง เราอาจจะได้มะม่วงคืน แต่เราจะเสียเพื่อนบ้าน
และอาจจะโกรธกัน แต่นี่พ่อเอามะม่วงไปให้เขาเจ็ดลูก
รวมที่เขาสอยไปหนึ่งลูกเป็นแปดลูก แต่เราได้ทั้งน้ำใจเขา
ซึ่งก็คือไข่ตะกร้าใหญ่ แถมยังได้เพื่อนบ้านเพิ่ม ลูกว่าแบบไหนดีกว่ากันล่ะ"
เด็กน้อยพยักหน้า พร้อมกับตอบว่า "ผมเข้าใจแล้วครับ!"
"อารมณ์" คือ ปัญหา
"สติ" ปัญญา คือ ทางออก
การใช้อารมณ์ มักเป็นตัวเริ่มต้นปัญหาต่างๆของมนุษย์การใช้สติปัญญา ก่อนที่จะเกิดอารมณ์ไม่ดีต่อกันย่อมจะเป็นหนทางที่ดี ทั้งในการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา
และการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง
"ชีวิต" มีค่ากว่า "อารมณ์"
น่าเสียดายที่หลายคนต้องสูญเสียอนาคต
และ​มิตรภาพ​ไปเพราะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอ
หากเรามองปัญหาต่างๆ ด้วยสติปัญญาอย่างรอบคอบให้เข้าใจในที่มาของปัญหาที่เหตุของมันแล้วเราย่อมจะได้แนวทางแสงสว่างนำทางที่จะแก้ปัญหาได้เสมอ
การมีเพื่อนสักร้อยคน ก็น้อยไปมีศัตรูเพียงคนเดียว ก็มากเกินการมีเพื่อนนั้น ไม่ยากแต่การรักษาเพื่อนเอาไว้นานๆนั้น ยากกว่า
0 notes
pisanuv · 3 months
Text
อวิชา คือเหตุ เวียนว่ายตายเกิด 10 ความจริงสูงสุดที่ทุกคนควรตระหนัก
1. แท้จริงแล้วสุขทุกข์ไม่ได้เกิดจากใครทำ ไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอก แต่เกิดจากการกระทบกันของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ปัจจัยภายนอกเป็นเพียงตัวแปร ปัจจัยภายในได้แก่ สติ คือสาเหตุใหญ่ ถ้าสติไม่แข็งแรง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด เป็นใครมาจากไหน ก็มีความทุกข์ได้ทั้งนั้น เมื่อสติแข็งแรง ย่อมเห็นกระบวน การทำงานของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อเห็นกระบวนการดังกล่าว จิตย่อมไม่เสวยอารมณ์ อันเป็นต้นเหตุของสุข ทุกข์ สุขทุกข์จึงถูกปรับสมดุลให้อยู่ในภาวะเป็นกลาง สิ่งนี้เรียกว่า ความเบิกบาน
2. ความเป็นเรา เป็นเขา คือ กระบวนการปรุงแต่งของจิต แท้จริงแล้ว ตัวเราไม่มีอยู่ คำว่าตัวเราไม่มีอยู่นี้ ไม่ใช่คำอุปมาอุปไมย แต่เป็นสิ่งที่สามารถตรวจสอบได้เอง จากการฝึกจิต ความเป็นตัวเรานั้นเปรียบเหมือนรถยนต์หนึ่งคัน เมื่อจับล้อไว้ทางหนึ่งเครื่องยนต์ไว้ทางหนึ่ง ประตู ตัวถังไว้ทางหนึ่ง เมื่อจับแยกส่วนได้เช่นน���้ สภาพความเป็นรถยนต์ก็หมดไป เมื่อฝึกสติจนแยกกาย ความคิด และจิต ออกจากกันได้ ความเป็นตัวเราก็หมดไปด้วย เมื่อความเป็นตัวเราหมดไป ผู้ยึดมั่นถือมั่นก็หมดไปด้วย ความทุกข์ทั้งปวงก็เป็นอันยุติ
3. เราทั้งหลาย ล้วนเกิดมานับล้านล้านล้านชาติ เป็นจำนวนที่นับไม่ได้ เคยเกิดเป็นคนรวย คนจน ราชา พระ ยาจก เป็นคนฉลาด เป็นคนโง่เขลา เป็นคนพิการ เป็นคนรูปงาม เป็นชาย เป็นหญิง เป็นกระเทย เป็นทอม เป็นนักบุญ เป็นมหาโจร เคยเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก เปรต อสูรกาย เทวดา เคยเป็นมาทุกอย่าง ดังนั้น ถ้าชาตินี้เกิดมาดี ก็ไม่ได้แปลว่าชาติหน้าจะดี ชาตินี้อาจเป็นมหาเศรษฐี ชาติหน้าอาจเกิดเป็นสัตว์นรก ชาตินี้อาจเป็นสัตว์เดรัจฉาน ชาติหน้าอาจเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในตระกูลสูงก็เป็นได้ ตราบใดที่ยังเวียนว่ายตายเกิด จงอย่าลำพองใจว่า เรานั้นดีแล้ว ประเสริฐแล้ว เพราะแท้จริง ไม่มีใครเลยที่ดีกว่าใคร ทุกคนล้วนอยู่ในความสุ่มเสี่ยงทั้งสิ้น
4. จิตสุดท้ายก่อนตาย เป็นสิ่งชี้วัดว่าชาติหน้าเราจะไปเกิดเป็นอะไร ขณะที่จิตสุดท้ายเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยากที่สุด ในวินาทีสุดท้ายความเศร้า ความกลัว ความสงสัย การยึดติด และความเจ็บปวด สิ่งเหล่านี้ จะดึงมนุษย์ให้ไปปฏิสนธิจิตในภูมิเบื้องต่ำ ได้แก่ นรก เปรต อสูรกาย เดรฉาน พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งหลังจากตายไปแล้ว มีเท่าจำนวนเม็ดทรายที่ปลายนิ้ว ส่วนทรายที่เหลือบนปฐพี เทียบได้กับผู้ที่ตายแล้วไปจุติในอบายภูมิ ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว คงน้อยกว่า 0.00000000000001 เปอร์เซ็นต์ นั่นเท่ากับว่า เป็นไปได้มากเหลือเกินว่า คนทั้งหมดที่เรารู้จัก จะไม่มีใครเลยที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ไม่เว้นแม้กระทั้งเราเอง!!!
5. ชีวิตที่เราเห็นอยู่ เป็นชีวิตชั่วคราว เมื่อเราตาย สิ่งที่เราหามาด้วยความลำบาก สิ่งที่เราเคยมั่นหมายว่าสำคัญ ทั้งความสามารถ เกียรติภูมิ ลูก เมีย ผัว ญาติพี่น้อง เพื่อน มิตรสหาย หน้าที่การงาน สมบัติพัสถาน เงินทอง บ้านช่อง ที่ดิน ความภาคภูมิใจ ทั้งหมดนี้ ไม่มีอะไรเลยที่เราสามารถนำติดตัวไปได้ คำถามสำคัญที่เราควรต้องคิด คือ "ทุกวันนี้เราใช้เวลาที่มีเพื่อสิ่งใด" แน่นอนว่า เวลาเกือบทั้งหมดของเรามุ่งไปสู่สิ่งที่เราไม่สามารถนำติดตัวไปได้ เหล่านี้ คือเรื่องอันตรายที่เราสมควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเร่งด่วน
6. บุญบาปเป็นของมีจริง ทุกการกระทำของเรา ย่อมส่งผลสะท้อนกลับ ไม่วันนี้ก็วันหน้า ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า คำพูด และการกระทำ จึงเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าที่เราคิด พูดสิ่งใด ทำสิ่งใดลงไป มิได้จารึกไว้เพียงโลกนี้ หากแต่มันจะจารึกไว้ในสังสารวัฏ ในจิตของเรา และเราจะต้องเป็นผู้รับผลแห่งการกระทำของตนเอง ตลอดการเวียนว่ายตายเกิด ดังนั้น จงระวังคำพูด และการกระทำของเราไว้ให้มากกว่าที่เป็นอยู่
7. ทุกคนที่เราเห็น พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ เพื่อนฝูง มิตรสหาย ผู้คน ทั้งคนที่รู้จัก และไม่รู้จัก ตลอดการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีใครเลยที่ไม่รู้จักกัน ไม่มีใครเลยที่ไม่เกี่ยวข้องกัน และตราบใดที่เรายังเวียนว่ายตายเกิด เราและเขา จะได้พบกันอีก ไม่ฐานะใดฐานะหนึ่ง ทำดีกับเขาวันนี้ จะพบกันในเส้นทางที่ดี ทำร้ายเขาในวันนี้ ก็จะต้องตามจองเวรกันต่อไป ไม่สิ้นสุด ดังนั้น คำว่า "เพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย" จึงเป็นคำที่มีนัยยะสำคัญกว่าที่เราคิดไว้หลายเท่า จงมองผู้อื่นให้เหมือนครอบครัวของท่าน นั่นคือ หนทางที่ดีที่สุด
8. เมื่อการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง การบริหารจัดการชีวิตของเรา ก็สมควรเป็นการบริหารจัดการชีวิตที่ครอบคลุมทุกมิติ ไม่เน้นหนักในชาติใดชาติหนึ่ง ชาตินี้ก็ต้องกินต้องใช้ แต่ชาติหน้าก็ต้องเผื่อเหลือเผื่อขาด กิจกรรมบางอย่าง อาจส่งผลดีสูงสุดในชาตินี้ แต่ชาติหน้าอาจทำให้ท่านไม่เหลืออะไรเลยแม้แต่อัตภาพความเป็นมนุษย์ ดังนั้น ในทุกวัน เราควรถามตนเองว่า วันนี้เราได้เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัวในชาติหน้าบ้างแล้วหรือยัง
9. เวลาที่เราเห็นตรงหน้า มีเพียงปัจจุบัน วินาทีต่อวินาที เมื่อเวลาเคลื่อนเลยไป ไม่มีใครสามารถนำช่วงเวลานั้นกลับมาใช้ซ้ำได้ อดีต ไม่มีจริง เพราะอดีต คือภาพจำที่เรานำมาคิดซ้ำในเวลาปัจจุบัน ส่วนอนาคตก็ไม่มีจริง เพราะอนาคต ก็คือการปรุงแต่งในปัจจุบันของเรา จงจำไว้เสมอ ชีวิต คือเรื่องสดใหม่ ตัวท่านมีอยู่เพียงปัจจุบันการอยู่กับปัจจุบันจะช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างในชีวิตของท่านได้ และนี่คือ กุญแจเพียงดอกเดียวที่จะไขความลับของชีวิต จงอยู่กับปัจจุบันจนถึงที่สุด(มีสติและสัมปชัญญะ) แล้วชีวิตจะเป็นของท่านอย่างแท้จริง
10. เป้าหมายของการเกิดเป็นมนุษย์คืออะไร บางคนบอกว่า ฉันเกิดมาเพื่อมีความสุข บางคนบอกว่า ฉันเกิดมาเพื่อสร้างสิ่งดีงามไว้ให้โลก บางคนบอกว่า ฉันเกิดมาเพื่อคนที่ฉันรัก นั่นก็เป็นสิ่งที่จะคิดกันไปตามภูมิปัญญา แต่ละคนก็มีเป้าหมายชีวิตที่แตกต่างกันไป แต่สำหรับพระพุทธเจ้า ท่านได้ฝากเป้าหมายไว้ให้มนุษยชาติอย่างชัดเจน เป้าหมายของการเกิดเป็นมนุษย์ในทัศนะของพระพุทธเจ้า ก็คือ การดับกิเลส และทำที่สุดแห่งทุกข์ให้แจ้ง คือการดับความไม่รู้ หรืออวิชา อันเป็นต้นเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิดตลอดการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
ขอให้เชื่อเถอะว่า เราเคยตั้งเป้าหมายชีวิตมาแล้วนับไม่ถ้วน และขอให้เชื่อเถอะว่า ทุกเป้าหมาย ทุกความปราถนา ทุกความสำเร็จ ทุกความอยากมี อยากดี อยากได้ อยากเป็น เราล้วนเคยบรรลุมาแล้วก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น คงเหลือเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้นที่เรายังไม่เคยบรรลุ นั่นคือเป้าหมายแห่งการไม่เกิด ไม่ตาย
เช่นนั้นแล้ว ถ้าชาตินี้เรายังตั้งเป้าหมายเก่าๆ ซ้ำๆ เดิมๆ ชีวิตของเราคงไม่ต่างอะไรกับนิยายน้ำเน่าที่นำมาเล่าซ้ำๆ เปลี่ยนแต่เพียงชื่อแซ่ หน้าตา เสื้อผ้า หน้า ผม แต่ทุกอย่างก็ยังวนเวียนอยู่ในวังวนเก่าๆ
เช่นนี้แล้ว การเกิดของเราคงเป็นการเกิดที่ไร้ค่า
จงหยุดคิด พินิจ ใคร่ครวญ ด้วยสัมปชัญญะของท่าน อัตภาพความเป็นมนุษย์ คือ สิ่งล้ำค่าอันหาที่สุดมิได้ ทุกวันนี้ท่านกำลังใช้สิ่งล้ำค่าที่ว่า เพื่อแสวงหาสิ่งใดอยู่หรือ!!!
0 notes
pisanuv · 3 months
Text
ถ้าไม่อ่าน..คุณจะเสียใจ
▪️.อย่าไปวิตกกับสิ่งที่ผ่านมา ความพ่ายแพ้ หรือความผิดหวัง ความสุข หรือความทุกข์ เพราะหากชีวิตมนุษย์จะเรียบง่าย คงไม่เริ่มต้นด้วยการร้องไห้เมื่อแรกเกิด
▪️คนเรา " เกิดมา " พร้อมกับเสียงร้องไห้ของตัวเอง แต่
▪️ " ตายไป " พร้อมกับเสียงร้องไห้ของผู้อื่น ช่วงเวลาระหว่างนั้น เรียกว่า " ชีวิตคน "
▪️แมวชอบกินปลา แต่แมวลงน้ำไม่ได้
▪️ปลาชอบกินไส้เดือน แต่ขึ้นฝั่งมากินไส้เดือนไม่ได้
▪️ ชีวิตคนเรา " มีได้ - มีเสีย "
มีทั้ง "ได้เลือก" และต้อง "ล้มเลิก"
▪️.ในชีวิตคนเราไม่มีทางที่ทุกอย่างจะเป็นไปดั่งใจนึกได้หมด
.▪️จงอย่าไปคิดเล็กคิดน้อยกับใครเพราะมันไม่คุ้ม
▪️จงอย่าจริงจังกับ ตัวเองเกินไปเพราะจะทำร้ายตัวเอง
▪️จงอย่าไปจมอยู่แต่อดีต เพราะมันไม่ได้อะไรขึ้นมา..
▪️จงอย่าจริงจังกับปัจจุบันมากไปเพราะชีวิตยังคงต้องเดินต่อไป..
▪️ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นของๆ เรานอกจากสุขภาพกายที่แข็งแรง (⭐อันมาจากสุขภาพใจที่เข้มแข็ง เปี่ยมกำลังใจ)
▪️อย่าได้อวดเรื่องเงินเรื่องทอง
ตายไปก็กลายเป็นเพียงเศษกระดาษ
▪️.อย่าได้อวดเรื่องหน้าที่การงาน
ลาออกไปแล้วจะมีคนมาแทนที่คุณและอาจทำได้ดีกว่าคุณ
▪️อย่าอวดเรื่องบ้านเรื่องรถ
ตายไปแล้วก็เป็นของทายาท..คุณหมดเวลา
▪️คุณอวดเรื่อง"สุขภาพแข็งแรง"จะดีกว่า
คนอื่นตายไปแล้วคุณยังนอนเล่นริมทะเลนั่งจิบชามองดูลูกหลาน..อย่างมีความสุขและเข้าใจในชีวิต.
⭐ "10 ปี 7 ครั้ง"
ค่อยๆตั้งใจอ่าน
เปิดใจรับแล้วจะพบแต่ความสุขที่ได้เกิดมาบน โลกใบนี้.....
▪️"ชีวิตคนเราจะมีสิบปีสักกี่ครั้งกัน"
ชอบประโยคนี้มากมันจริงอย่างยิ่ง
▪️ถ้าคนเราอายุเฉลี่ย 70 ปี
เราก็มี 10 ปีแค่ 7 ครั้ง
▪️1. สิบปีแรก...หมดไปกับความไร้เดียงสา
▪️2. สิบปีต่อมา...หมดไปกับการศึกษาเล่าเรียน
▪️3. สิบปีต่อมา...หมดไปกับการทำงานและการใช้ชีวิต
▪️4. สิบปีต่อมา...หมดไปกับการสร้างฐานะ สร้างครอบครัว
▪️5. สิบปีต่อมา...หมดไปกับการลงหลักปักฐาน รักษาสิ่งที่หามา
▪️6.สิบปีต่อมา...หมดไปกับการดูแลรักษาสุขภาพกายใจให้แข็งแรง
▪️7.สิบปีสุดท้าย...หมดไปกับการปล่อยวางทุกสิ่งรอคอยการกลับบ้าน
▪️แต่ละสิบปีผ่านไป...
ไวเหมือนโกหกอีกไม่นานปีนี้ก็จะผ่านไป
▪️มีอะไรที่เราทำไปแล้วมากมายและก็ยังมีอะไรอีกมากมายที่เรายังไม่ได้ทำ
▪️ เวลา คือ หน่วยเงินในกำมือของเราที่เอาไปแลกสิ่งอื่น
- เราเอาเวลาไปแลกงาน
- เราเอางานไปแลกเงิน
- แต่เราก็ไม่เคยเอาเงินไปแลกเวลาคืนกลับมาได้สักที
▪️ถ้า 'ธนาคารเวลา'มีจริง
เราก็ไม่เคยมีสมุดบัญชีสักเล่มที่จะให้เราดูได้..ว่าตอนนี้เหลือเวลาอยู่เท่าไหร่?
◾เรารู้ว่าเราใช้"สิบปี"ของเราไปกี่ครั้งแล้ว
◾แต่เราไม่อาจรู้ว่า...
เราจะใช้"สิบปี"ที่เหลือของเราได้ครบมั้ย
▪️แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับเราใช้เวลาสิบปีของเราไปคุ้มค่าหรือเปล่า
▪️เมื่อเราหันหลังกลับมาขอให้พูดได้เต็มปากว่าเราใช้มันไปอย่างไม่น่าเสียดาย
⭐ ชี วิ ต ค น เ ร า จ ะ มี "สิ บ ปี" สั ก กี่ ค รั้ ง กั น?
⭐ ใช้สิบปี เจ็ดครั้งของเรา ใ ห้ คุ้ ม ค่า
สวัสดีกับสิบปีปัจจุบันของท่าน
เขียนดีมาก อ่านให้จบ คุณอาจจะหัน มารักตัวเอง...
⭐สรุป: ชีวิตที่เรียบง่าย ให้สนุกกับการใช้ชีวิต 30% ที่เป็นของคุณ
⭐- ไม่เจ็บปวดแต่ก็ต้อง บำรุง
⭐- ไม่กระหายแต่ก็ต้อง ดื่มน้ำ
⭐- ว้าวุ่นแค่ไหนก็ต้อง ปล่อยวาง
⭐- มีเหตุมีผลแต่ก็ต้อง ยอมคน
⭐- มีอำนาจแต่ก็ต้องรู้จัก ถ่อมตน
⭐- ไม่เหนื่อยแต่ก็ต้อง พักผ่อน
⭐- ไม่รวยแต่ก็ต้อง รู้จักพอเพียง
⭐- ธุระยุ่งแค่ไหนก็ต้องรู้จัก พักผ่อน
⭐- หมั่นเตือนตน : ชีวิตนี้สั้นนัก
🔺️# อยากกิน...กิน
🔺️# อยากเที่ยว....เที่ยว
🔺️# เรื่องกลุ้มอย่าเก็บไว้
🔺️# ไม่เครียด ปล่อยวาง
🔺️# สุขสบายทุกเพลา
◾ เวลาที่ยังจับมือไหว
ให้เชิญเพื่อนมาสังสรรค์
หรือออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆบ้าง
◾ เวลาที่ยังกอดไหว
ให้โอบกอดให้ชื่นใจ
◾ ทำหน้าที่พ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา
พี่ น้อง และเพื่อนที่ดีต่อไป
▪️ ครอบครัวสุขสรรค์ มาก่อนเสมอ !!!
▪️ เวลาที่อยู่ด้วยกัน
อย่าได้โกรธกันง่ายๆ
▪️ที่สำคัญ ต้องเป็น "ผู้ให้" ก่อนเสมอ
▪️เต็มใจ - สุขใจ ที่เป็นผู้ "ให้"
▪️รู้จัก "ขอโทษ" และ "สำนึกผิด"
ทุกครั้งที่ทำ "ผิด"
▪️ ท้ายสุด "ปล่อยวาง" และ "พอเพียง"
⭐ คิดดี ทำดี พูดดี...มีสุข
# ถ้าคุณส่งให้เพื่อนๆแสดงว่าคุณเป็นคนรักและหวังดีกับเพื่อนคุณ #ถ้าไม่ส่งแสดงว่าคุณรักแต่ตัวเองไม่คิดจะเผื่อแผ่ความสุขให้คน รอบข้างและเตือนสติเพื่อนของคุณ
0 notes
pisanuv · 3 months
Text
🟤 พามาฟัง..แพทย์ที่รักษาสโตรกเส้นเลือดในสมอง.. รพ.ธนบุรี
ศ.นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์..ท่านให้คำแนะนำที่น่าสนใจ..อยากให้อ่าน..อย่าข้ามไปน่ะ
.
🟤สรุปสาระสำคัญมาได้ 8 ข้อว่า
(one)หากจมูกใคร…เริ่มไม่ได้กลิ่น …แม้ไม่เป็นหวัด …
ให้รีบไปตรวจ… เพราะอาจมีผลต่อสมอง ส่วนความจำในระยะต่อไป…
พึงทราบว่า…อัลไซเมอร์ เริ่มถามหาท่าน สว. แล้ว
(two)เซลล์สมอง…พัฒนาเต็มที่ถึงเพียงอายุ 2 ขวบ…
หลังจากนั้นเซลล์ จะเริ่มตายมากกว่าเกิดใหม่
…การเลี้ยงดูเด็กทารก…จึงสำคัญมากในช่วง 2 ปีแรก
(three) อัลไซเมอร์จะเป็นโรค…ที่คนแก่เป็นมากที่สุด
…จะแซงหน้ามะเร็ง…
อย่าได้ประมาทกับโรคสมองเสื่อม
(four) อัลไซเมอร์ …นอกจากจะมีผลต่อความจำแล้ว…
…ยังมีผลต่อความคิด การตัดสินใจ…และอารมณ์…
ในปัจจุบัน ผู้ที่อายุมากกว่า 60 มีโอกาสเป็นอัลไซเมอร์ หรือ มีสภาวะสมองเสื่อมมากขึ้นเรื่อยๆ
(five)การอดนอนมีผลต่อความจำ
สว.ควรนอนให้เพียงพอ…
ถ้านอนน้อย.โอกาสอัลไซเมอร์ มาอยู่ด้วยมีสูง
…ควรนอน 22.00~05.00 หรือ นอนถึง 06.00 น.
ถ้านอนได้คืนละ 7~8 ชม.ได้จะดีมาก…สภาวะสมองเสื่อมจะถอยออกห่าง
(six).อาหารของสมองมี 2 ชนิด
คือ กลูโคส และออกซิเจน…
กลูโคสระดับต่ำกว่า 60 อาจตายได้ใน 6 ชม. ถ้ามากกว่า 120 เป็นเบาหวาน
ผู้สูงอายุ..ปกติน้ำตาลในเลือด จะอยู่ที่ 100-120 ถ้ามีน้ำตาลในเลือด มากกว่า 80 ไม่เกิน 110 ถือว่า โชคดี มีบุญ
สว.ทุกคนควรฝึกหายใจเข้า/ออกยาวๆ …ในทุกครั้งที่นึกได้ …
จะช่วยเติมออกซิเจนและ…ไล่อากาศเก่า ที่หมักหมมอยู่ในปอดออก…
สมองจะสดชื่น แจ่มใส…อัลไซเมอร์ จักหนีห่าง
(seven) ปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีรักษา…คนที่เป็นอัลไซเมอร์…
มีเพียงวิธีป้องกัน..ที่ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นอัลไซเมอร์
7.1 สำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง…
ต้องรักษาเบาหวาน …ลดความดันโลหิต …
และเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้เพียงพอ
7.2 คนทั่วไป ต้อง…ฝึกสติ …ด้วยวิธีใดก็ได้ …
สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ…
มีกิจกรรม/ทำอะไรใหม่ๆ …เพื่อให้สมองได้ทำงาน ( แต่อย่าไปคิดเรื่องลงทุน…ที่ไม่เคยทำ…และไม่ถนัดนะ …จะหมดตัวซะก่อน)
(eight)โกโก้ (ไม่ใช่ช๊อคโกแลต)……
เป็นอาหารที่ดีที่สุดของมนุษย์ ……มีสารต้านอนุมูลอิสระ/สารลดอัตราการตายของเซลล์ /สารลดการแข็งตัวของหลอดเลือด ฯ ……
มีงานศึกษาวิจัย..ประโยชน์ของ โกโก้.. หลายผลงานวิจัย
พบว่า การดื่มโกโก้…ในปริมาณมากพอ ……จะทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองส่วนต่างๆ ดีขึ้น(โดยเฉพาะบริเวณ anterior cingulate cortex)
คุณหมอ…แนะนำ..
ให้ดื่มโกโก้ร้อนทุกวันตอนเช้า
โดยใช้ผงโกโก้ 2 ช้อนโต๊ะ …
ควรเติมน้ำผึ้ง…เพื่อให้ดื่มง่ายขึ้น "Two spoonfuls of cocoa a day keeps Alzeimer away "
โกโก้ รสชาติไม่อร่อย…แต่ มีคุณค่ามหาศาล……สามารถไล่อัลไซเมอร์ให้หนีไปไกลได้เลย……
ส่วนผู้ที่มีน้ำตาลในเลือดไม่สูง ไม่เกิน 100 อาจเติมนม/น้ำตาลช่วยชูรสชาติเพิ่มได้ (จากผลวิจัยในต่างประเทศ……ถ้าใช้ผงโกโก้น้อยกว่าครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ…จะไล่อัลไซเมอร์ไม่ค่อยได้ผลมากนัก)
ขอให้..ท่าน สว.ทุกท่าน..โชคดี..ห่างไกลอัลไซเมอร์ ตลอดไป
0 notes
pisanuv · 6 months
Text
◉ ถ้ามี 3 ช่าง อยู่ที่ไหนก็ไม่ทุกข์ ◉
#ช่างกู
คือ ไม่แคร์สื่อ ไม่สนขี้ปากชาวบ้านใครจะว่า นินทาอะไร ก็ช่าง
เราทำของเราให้ดี เป็นใช้ได้
#ช่างมึง
คือ ไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้านใครจะเอาเรื่องไรมาโพทนาให้เราฟัง
ก็อย่าเก็บเอามาใส่ใจให้รกสมอง
#ช่างมัน
อะไรเกิดขึ้นมา แก้ได้ก็แก้ไป ทำจนสุดวิสัยแก้ไม่ได้ก็ปล่อยมันไป อะไรอยากเกิด ก็ปล่อยมันรักษาใจของเรา อย่าให้เศร้าหมองก็พอ
1 note · View note
pisanuv · 6 months
Text
”สังสารวัฏ“ วงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่มีวันสิ้นสุด
สังสารวัฏนี้แปลว่าวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่มีวันสิ้นสุด ที่สัตว์โลกทั้งหลายอย่างพวกเราคือจิตวิญญาณหรือดวงวิญญาณต่างๆ ที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในไตรภพ ไตรภพนี้เป็นที่ตั้งของสังสารวัฏที่มีการเวียนว่ายตายเกิด สัตว์โลกคือดวงวิญญาณหรือดวงจิตดวงใจของสัตว์โลกแต่ละดวงนี้ ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพต่างๆ มีอยู่ ๓ ภพใหญ่ๆ ด้วยกันเรียกว่า “ไตรภพ”
ไตรภพนี้ก็มีภพที่ ๑ เรียกว่า “กามภพ” ภพที่ ๒ เรียกว่า “รูปภพ” และภพที่ ๓ เรียกว่า “อรูปภพ” ภพเหล่านี้เป็นที่เกิดแก่เจ็บตายของดวงวิญญาณต่างๆ กามภพนี้เป็นภพของดวงวิญญาณที่เสพกาม เสพกามคุณ ๕ ได้แก่รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะชนิดต่างๆ ในกามภพนี้แบ่งไว้เป็น ๒ ซึกด้วยกัน ซีกหนึ่งเรียกว่า “สุคติ” และอีกซีกหนึ่งเรียกว่า “ทุคติ” ซีกที่เรียกว่าสุคติก็คือภพของเทวดา เป็นสวรรค์ชั้นต่างๆ ส่วนภพที่เป็นทุคติเรียกว่า “อบาย” มีอยู่ ๔ ได้แก่ เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย และนรก ส่วนภพที่อยู่ตรงกลางระหว่างสุคติและทุคติก็คือภพของมนุษย์
พวกเราตอนนี้เป็นมนุษย์เพราะร่างกายเป็นมนุษย์ อยู่ในภพที่ไม่สูงไม่ต่ำ ไม่สุขไม่ทุกข์ มีทั้งสุขมีทั้งทุกข์ปนกันไป เป็นภพที่เราจะมาสร้างภพต่างๆ กัน ภพของมนุษย์นี้เป็นภพที่สามารถสร้างภพต่างๆ ได้ จะสร้างอบายก็ได้ สร้างสวรรค์ก็ได้ อยู่ที่การมาเกิดเป็นมนุษย์ ส่วนเวลาที่ไปเกิดในสุคติหรือทุคติ อันนี้ก็เป็นที่ไปรับผลของการกระทำในขณะที่เป็นมนุษย์ ถ้ากระทำบุญเวลาตายไปก็จะไปเป็นเทวดา เป็นเทพ ไปอยู่ในสวรรค์ชั้นต่างๆ อยู่ได้ระยะหนึ่ง เมื่อกำลังของบุญหมดลงก็จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ แล้วก็มาทำบุญทำบาปใหม่ ถ้าทำบาปเวลาตายไปดวงวิญญาณก็ไปเกิดเป็นเดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสูรกายบ้าง เป็นนรกบ้าง นี่เป็นอำนาจของบาปที่จะทำให้ดวงวิญญาณต้องไปอยู่ในทุคติ อยู่ในอบาย ภพเหล่านี้ ภพในอบายก็เป็นภพชั่วคราว อยู่ในอบายได้ เมื่อหมดเวลาของบาปที่ได้ทำเอาไว้ ก็จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ แล้วก็จะมาทำบุญทำบาปใหม่ ก็จะเวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ นี่คือกามภพ
ส่วนอีก ๒ ภพได้แก่ รูปภพ และ อรูปภพ รูปภพก็คือภพของผู้ที่เสพรูปฌาน เช่น พวกนักบวชทั้งหลาย พวกนักบวชนี้เขาไม่ยินดีกับการเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ เขายินดีกับการเสพรูปฌานและอรูปฌานที่เป็นความสุขที่เหนือกว่าความสุขของกามสุข พวกนี้เวลามาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเป็นนักบวชกัน แล้วก็จะไปหาความสุขจากการถือศีล นั่งสมาธิเข้าฌานกัน ถ้าเข้าได้ในระดับรูปฌาน เวลาตายไปดวงวิญญาณก็จะไปอยู่ในรูปภพ คือภพของรูปพรหม เป็นสวรรค์ชั้นพรหม พวกที่สามารถเข้าสมาธิขั้นอรูปฌานได้ เวลาตายไปดวงวิญญาณก็จะไปอยู่ในอรูปภพ คือภพของอรูปพรหม ภพของรูปพรหม กับ ภพของอรูปพรหม ก็เป็นภพชั่วคราว เมื่อกำลังของสมาธิหรือฌานเสื่อมลง ก็จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ กลับมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็กลับมาบวชใหม่ ไปหาความสุขจากการนั่งสมาธิใหม่ นี่คือเรื่องของดวงวิญญาณต่างๆ ที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏที่ไม่มีวันสิ้นสุด
ธรรมะหน้ากุฏิ
วันที่ ๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๖
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
0 notes
pisanuv · 8 months
Text
เงิน..อินังร้อยชื่อ
. เมื่ออยู่ในวัด เรียกว่า "ปัจจัย"
. อยู่ที่โรงเรียน เรียกว่า "แป๊ะเจี๊ยะ"
. ในการแต่งงาน เรียกว่า "สินสอด"
. ในการหย่า เรียกว่า "ค่าเลี้ยงดู"
. เมื่อหยิบยืมใคร เรียกว่า "หนี้สิน"
. เมื่อจ่ายให้รัฐบาล เรียกว่า "ภาษี"
. ในศาล เรียกว่า "ฤชา"
. ในบ่อน เรียกว่า "ชิพ"
. บนโรงพัก เรียกว่า "ค่าปรับ"
. นอกโรงพัก เรียกว่า "ใต้โต๊ะ"
. จ่ายข้าราชการเกษียณเป็นก้อน เรียกว่า "บำเหน็จ"
. จ่ายข้าราชการเกษียณเป็นเดือน เรียกว่า "บำนาญ"
. รับตอนตรุษจีน เรียกว่า "แต๊ะเอีย"
. รับตอนสิ้นปี เรียกว่า "โบนัส"
. จ่ายลูกจ้าง เรียกว่า "ค่าจ้าง"
. จ่ายพนักงาน เรียกว่า "เงินเดือน"
. จ่ายลูกพี่ เรียกว่า "ค่าครู"
. จ่ายลูกน้อง เรียกว่า "ค่าตอบแทน"
. ให้เด็ก เรียกว่า "เบี้ยเลี้ยง"
. ให้ผู้ยากไร้ เรียกว่า "ทาน"
. จ่ายหลังจากได้รับบริการที่ดี เรียกว่า "ทิป"
. จ่ายหลังจากถูกหลอก เรียกว่า "ค่าโง่"
. ฝากธนาคาร เรียกว่า "เงินฝาก"
. เมื่อยืมธนาคาร เรียกว่า "เงินกู้"
. จ่ายให้โจร เรียกว่า "ค่าไถ่"
. จ่ายตำรวจ เรียกว่า "ส่วย"
. จ่ายเพื่อรับบริการที่ถูกกฎหมาย เรียกว่า "ค่าธรรมเนียม"
. จ่ายเพื่อรับบริการที่ผิดกฎหมาย เรียกว่า "สินบน"
. จ่ายให้ประกันเรียกว่า "เบี้ยประกัน"
. จ่ายให้ กรณีบาดเจ็บ เรียกว่า"สินไหม"
. จ่ายให้ ชาวบ้าน ตอนเลือกตั้ง เรียกว่า "ซื้อเสียง"
. จ่ายให้ สส.หิว เรียกว่า "กล้วย"
# กรณรัฏฐ์ ทวีวัฒน์ธน
0 notes
pisanuv · 9 months
Text
ผัก 36 ชนิด (ไม่กินไม่ได้แล้ว)
1.สะเดา (Neem tree)
มีเบต้าแคโรทีนสูง บำรุงสายตา เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้นอนหลับ
2.ผักกาดขาว (Chinese white cabbage)
ช่วยระบบย่อยอาหารขับปัสสาวะ แก้ไอ มีโฟเลทสูงบำรุงคุณแม่ตั้งครรภ์
3.ต้นหอม (Shallot)
หอมระเหย บรรเทา อาการหวัด มีสารฟลาโวนอยด์ต้านมะเร็ง
4.แครอท (Carrot)
เบต้าแคโรทีน ป้องกันโรคมะเร็ง มีแคลเซียม แพคเตท ลดระดับคลอเลสเตอรอลได้
5.หอมหัวใหญ่ (Onion)
มีสาร ฟลาโวนอยด์ ช่วยลดอาการของโรคหัวใจ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
6.คะน้า (Chinese kale)
มีแคลเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระสูง ป้องกันโรค กระดูกพรุน และมะเร็ง
7.พริก (Chilli)
มีแคปไซซิน กระตุ้นการ ขยายตัวของหลอดเลือด ช่วยให้เจริญอาหาร ขับเหงื่อ
8.กระเจี๊ยบเขียว (Okra)
ลดความดันโลหิต บำรุงสมอง ลดอาการกระเพาะ หรือ ลำไส้อักเสบ
9.ผักกระเฉด (Water mimosa)
ดับพิษไข้ กากใยช่วยระบบขับของเสีย เพิ่มการเผาผลาญสารอาหาร
10.ตำลึง (Ivy gourd)
มีวิตามินเอสูง ดีต่อดวงตา เส้นใยจับไนเตรต ลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร
11.มะระ (Chinese bitter cucumber)
มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นยาระบายอ่อน ๆ น้ำคั้นลดระดับน้ำตาล ในเลือด
12.ผักบุ้ง (Water spinach)
บรรเทาอาการร้อนใน มีวิตามินเอ บำรุงสายตา ธาตุเหล็กบำรุงเลือด
13.ขึ้นฉ่าย (Celery)
กลิ่นหอมช่วยเจริญ อาหาร มีวิตามินเอ บี และซี บำรุงสมอง ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด
14.เห็ด (Mushroom)
แคลอรีน้อย ไขมันต่ำ มีวิตามินดีสูงช่วยในการดูดซึม แคลเซียมเสริมกระดูกและฟัน
15.บัวบก (Indian pennywort)
มีวิตามินบีสูงช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายบำรุง สมองและความจำบำรุงผิวพรรณลดอาการ อักเสบ
16.สะระแหน่ (Kitchen mint)
กลิ่นหอมเย็นของใบ��ห้ความสดชื่นทำให้ ความคิดแจ่มใส แก้ปวดหัว
17.ชะพลู (Cha-plu)
รสชาติเผ็ดเล็กน้อย แก้จุกเสียด ขับเสมหะมีแคลเซียมสูง
18.ชะอม (Cha-om)
ช่วยลดความร้อน ในร่างกาย ขับลมในลำไส้มีเส้นใยคอยจับ อนุมูลอิสระ
19.หัวปลี (Banana flower)
รสฝาด แก้ร้อนใน กระหายน้ำ และบำรุงน้ำนม มีกากใย โปรตีน และวิตามินซีสูง
20.กระเทียม (Garlic)
ลดไขมันในเลือด ป้องกันหัวใจขาดเลือด ใบกระเทียมมีโฟเลท เหล็กวิตามินซีสูง
21.โหระพา (Sweet basil)
น้ำมันหอม ระเหยทำให้โล่งจมูก ช่วยระบายลม มีเบต้าแคโรทีนแคลเซียม
22.ขิง (Ginger)
บรรเทาอาการหวัดเย็น ลดอาการคัดจมูก รสเผ็ดร้อนแก้อาการ ท้องอืดท้องเฟ้อ
23.ข่า (Galangal)
น้ำมันหอมระเหย ช่วยระบบย่อยอาหารขับลมมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา
24.กระชาย (Wild ginger)
บรรเทา อาการท้องอืดท้องเฟ้อ บำรุงธาตุ มีวิตามิน เอและแคลเซียม
25.ถั่วพู (Winged bean)
ให้คุณค่าทางอาหารสูง มีโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส และสาร ช่วยย่อยกรดไขมันอิ่มตัว
26.ดอกขจร (Cowslip creeper)
กระตุ้นให้รู้รสอาหาร ให้พลังงานสูง ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน
27.ถั่วฝักยาว (Long bean)
มีเส้นใย ช่วยลดคอเลสเตอรอล มีวิตามินซี ช่วยให้ ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็ก บำรุงเลือด
28.มะเขือเทศ (Tomato)
มีวิตามินเอสูง วิตามินซี รสเปรี้ยว ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย และแก้อาการคอแห้ง
29.กะหล่ำปลี (White cabbage)
มีกลูโคซิโนเลท เมื่อแตกตัวจะเป็น สารต้านมะเร็ง และมีวิตามินซีสูง
30.มะเขือพวง (Plate brush eggplant)
ช่วยให้เจริญอาหารและช่วยลดความดันเลือด มีแคลเซียม และฟอสฟอรัส
31.ผักชี (Chinese paraley)
ขับลม บำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหาร มีน้ำมันหอม ระเหย แก้หวัด มีวิตามินเอและซีสูง
32.กุยช่าย (Flowering chives)
มีกากใยช่วยระบายของเสียมีธาตุเหล็กช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง
33.ผักกาดหัว (Chinese radish)
แก้ไอ ขับเสมหะเพิ่มภูมิต้านทางโรคมีสารช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้บีบตัวได้ดี
34.กะเพรา (Holy basil)
แก้อาการ จุกเสียดแน่นท้อง มีเบต้าแคโรทีนสูง ป้องกันโรคมะเร็ง และโรคหัวใจขาดเลือดได้
35.แมงลัก (Hairy basil)
ช่วยย่อย อาหาร ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ขับลม ขับเหงื่อ
36.ดอกแค (Sesbania)
กินแก้ไข้ช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง เป็นยาระบายอ่อนๆ มีวิตามินเอสูง บำรุงสายตา
0 notes
pisanuv · 11 months
Text
บริษัท​ขายยาทั่วโลก​ สะเทือน!!! สุดยอดสูตรยา.ถูกเปิดเผยออกมาแล้วแบบนี้!!!!
กล้ากล่าวได้ว่าบริษัทยาทั้งหลายไม่ชอบใจแน่ๆ การค้นพบข้อเท็จจริงของยาเภสัชชนิดนี้..อีกทั้งในปัจจุบันก็ยังถูกใช้ในการบำบัดรักษาโรคและเป็นยาฟื้นฟูสุขภาพ..ไปทั่วโลกอย่างแพร่หลาย
และน้ำผึ้งนี้มีคุณสมบัติสามารถซึมซับน้ำได้ดี
น้ำผึ้งสามารถผลิตได้ทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังยอมรับว่าเป็น “Ram Ban” (มีประสิทธิผลมาก) ในการรักษาโรคนานาชนิด น้ำผึ้งสามารถใช้ได้โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ
น้ำผึ้งเป็นอาหารเพียงชนิดเดียวในโลกนี้ที่ไม่เสียหรือบูดเน่า จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาล
... แท้จริงแล้วน้ำผึ้งแท้ก็ คือน้ำผึ้งแท้อยู่วันยังค่ำ อย่างไรก็ตามถ้าปล่อยทิ้งไว้ในที่มืดนานๆ มันจะตกผลึก ถ้าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ให้นำขวดน้ำผึ้งแช่ในน้ำร้อน ปล่อยให้ค่อยๆ เย็นลงจนกลายเป็นของเหลว มันก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม
.... อย่านำเข้าตู้ไมโครเวฟเด็ดขาด เพราะจะทำลายเอ็นไซม์ในน้ำผึ้ง
น้ำผึ้งกับอบเชย
ปัจจุบันวิทยาศาสตร์กล่าวว่าส่วนผสมน้ำผึ้งกับอบเชยสามารถรักษาโรคได้เป็นส่วนมาก แม้น้ำผึ้งจะมีรสหวาน ถ้ารับประทานในปริมาณที่เหมาะสมก็จะเป็นยาชนิดหนึ่ง ไม่เป็นอันตรายแก่ผู้ป่วยเบาหวาน
หนังสือ World Weekly News ของแคนาดา ประจำวันที่ 17 มกราคม 1995 ได้บอกถึงสรรพคุณของ
น้ำผึ้งกับอบเชยว่ารักษาโรคใดได้บ้าง ซึ่งเป็นผลการวิจัยของนัก
วิทยาศาสตร์ชาติตะวันตกดังนี้ :-
01. โรคหัวใจ (Heart Diseases)
นำน้ำผึ้งผสมกับผงอบเชยแล้วป้ายขนมปังแทนเยลลี่
และแยม ทานเป็นประจำเป็นอาหารเช้าจะช่วยลดคอเรสเตอรอลในเส้นเลือดและช่วยลดอาการหัวใจวาย สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว ถ้ารับประทานตามที่แนะนำมานี้เป็นประจำก็จะทำให้อาการเจ็บกล้ามเนื้อหัวใจทุเลา
ถ้าคนปกติรับประทานเป็นประจำดังกล่าวมาก็จะทำให้ระบบหายใจ
ดีขึ้น การเต้นหัวใจแข็งแรงขึ้น ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา สถานดูแลผู้ป่วยหลายแห่งใช้วิธีนี้บำบัดคนไข้ได้ผลดี และค้นพบต่อไปอีกว่า
เมื่อคนเราอายุมากขึ้น เส้นโลหิตแดงและโลหิตดำขาดความยืดหยุ่นและอุดตันได้ง่าย
น้ำผึ้งกับอบเชยสามารถฟื้นฟูเส้นโลหิตทั้งสองชนิดได้
02. โรคปวดข้อปวดกระดูก (Arthritis)
ผู้ป่วยโรคปวดข้อปวดกระดูกอาจจะรับประทานเป็นประจำ
โดยชงน้ำผึ้ง 2 ช้อน กับผงอบเชย 1 ช้อนชาในน้ำร้อนขนาดถ้วยกาแฟทุกเช้า
และเย็นก็จะทำให้อาการปวดทรมานหายได้ จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัย
โคเปนฮาเกนพบว่าหมอให้คนไข้ รับประทาน
น้ำผึ้งขนาด2ช้อนโต๊ะกับผงอบเชยขนาดครึ่งช้อนชา ก่อนอาหารเช้า พบว่าในเวลา 1 สัปดาห์ คนไข้จำนวน 73 คนจากจำนวนทั้งหมด 200 คน ที่เข้าร่วมโครงการทดลอง
มีอาการปวดลดลง เมื่อทดลองต่อไปจนครบ 1 เดือนปรากฏว่าคนไข้ส่วนใหญ่ที่เดินไม่ได้สามารถเดินได้เองโดยไม่มีอาการปวดแต่อย่างใด
03. โรคกระเพาะปัสสาวะติดเชื้อ (Bladder Infections)
ให้ใช้ผงอบเชย 2 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ชงในน้ำอุ่น 1 แก้วแล้วดื่ม มันจะไปฆ่าเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ
04. คอเลสเตอรอล (Cholesterol)
ชงน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ กับผงอบเชย 3 ช้อนชาในน้ำชา ขนาด 16 ออนซ์ ให้คนไข้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูงดื่ม ปรากฏว่าภาย
ในเวลา 2 ชั่วโมง ระดับคอเลสเตอ รอลลดลง 10 เปอร์เซ็นต์
ดังที่ได้กล่าวถึงคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคปวดข้อ ถ้าให้คนไข้ดื่มวันละ 3 เวลา คอเลสเตอรอลจะหายเป็นปกติได้
ตามข้อมูลที่อ่านจากนิตยสารนี้กล่าวว่าการดื่มน้ำผึ้งบริสุทธิ์
พร้อมอาหารเป็นประจำทุกวันช่วยลดคอเลสเตอรอลได้
05. ไข้หวัด (Colds)
สำหรับผู้ที่มีอาการทรมานจากไข้หวัดทั่วไป หรือไข้หนัก
ควรชงน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับผงอบเชย ¼ ช้อน ทุกวัน เป็นเวลา 3 วัน ก็จะช่วยลดอาการไอรุนแรงและจมูกโล่ง
06. อาการท้องอืด (Upset Stomach)
ให้รับประทานน้ำผึ้งผสมผงอบเชยจะช่วยให้อาการปวดท้องทุเลา และยังช่วยลดอาการแผลในกระเพาะอาหารได้ด้วย
07. ลมในกระเพาะ (Gas)
ผลการศึกษาในอินเดียและญี่ปุ่นพบว่าถ้ารับประทานน้ำผึ้งกับผงอบเชยจะช่วยลด
ลมภายในกระเพาะอาหารลงได้
08. ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย (Immune System)
การรับประทานน้ำผึ้งผสมผงอบเชยประจำวันจะช่วยเพิ่ม
ภูมิคุ้มกันร่างกายให้เข้มแข็ง ช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นักวิทยาศาสตร์พบว่าในน้ำผึ้ง
มีวิตามินหลายชนิดและธาตุเหล็กเป็นจำนวนมาก การรับประทานน้ำผึ้งประจำ
ยังเพิ่มเม็ดเลือดขาวเพื่อต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้
09. อาหารไม่ย่อย(Indigestion)
โรยผงอบเชยลงบนน้ำผึ้งขนาด 2 ช้อนโต๊ะก่อนอาหารจะช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารและช่วยให้การย่อยอาหารเมื้อหนักได้ดี
10. ไข้หวัดใหญ่(Influenza)
นักวิทยาศาสตร์สเปนได้พิสูจน์น้ำผึ้งประกอบด้วยสารอาหารธรรมชาติที่ทำลายเชื้อไข้หวัดใหญ่
และช่วยให้ผู้ป่วยให้ปลอดภัยจากไข้หวัดใหญ่
11. ยาอายุวัฒนอาหารที่มีพลังงานสูง(Longevity)
การดื่มชาที่ผสมน้ำผึ้งกับผงอบเชยเป็นประจำช่วยชะลอความชรา
วิธีการทำคือ ใช้น้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ ผงอบเชย 1 ช้อน น้ำเปล่า 3 ถ้วย แล้วนำไปต้มเหมือนชา ให้ดื่ม ¼ ถ้วยวันละ 3-4 เวลา จะช่วยให้ผิวหนังเปล่งปลั่ง นุ่มมีน้ำมีนวล ช่วยทำให้อายุยืน อาจถึง 100 ปีให้เริ่มต้นตั้งแต่อายุราว 20 ปี
12. แก้สิว (Pimple)
ผสมน้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ กับผงอบเชย 1 ช้อนชาให้เข้ากัน แล้วป้ายบนหัวสิวก่อนนอนแล้วล้างออกในวันรุ่งขึ้นด้วยน้ำอุ่น ถ้าปฏิบัติติดต่อกัน 2 สัปดาห์ก็จะสามารถกำจัดหัวสิวได้
13. ผิวหนังติดเชื้อ(Skin Infections)
ใช้น้ำผึ้งผสมกับผงอบเชยปริมาณเท่าๆ กันทาบริเวณที่ติดเชื้อ
จะช่วยรักษาเรื้อนกวาง (eczema) กลากและโรคผิวหนัง
ชนิดต่างๆ ได้
14. ลดน้ำหนัก(Weight Loss)
ดื่มน้ำผึ้งผสมผงอบเชยในน้ำร้อน ทุกๆเช้าก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงขณะท้องว่างและก่อนนอนทุกคืน ถ้าทำเป็นประจำจะช่วยลดน้ำหนัก แม้คนที่อ้วนมากๆ
เช่นเดียวกัน ถ้าดื่มเครื่องดื่มที่กล่าวมานี้
จะช่วยไม่ให้ไขมันสะสมในร่างกาย
15. โรคมะเร็ง (Cancer)
ผลการวิจัยในญี่ปุ่นและออสเตรเลียเมื่อไม่นานมานี้พบว่า
ผู้ที่เป็นมะเร็งในกระเพาะอาหารและมะเร็งกระดูกในขั้นมากๆ แล้วสามารถรักษาได้สำเร็จ ผู้ป่วยที่ได้รับความทรมานจากมะเร็งดังกล่าว
ควรดื่มน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมผงอบเชย 1 ช้อนชาเป็นประจำ 3 เวลา ประมาณ 1 เดือน
16. แก้อาการอ่อนเพลีย (Fatigue)
ผลการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ แสดงให้เห็นว่าน้ำตาลในน้ำผึ้งมีประโยชน์มากในการ
เพิ่มพลังให้แก่ร่างกาย ในผู้สูงวัยที่รับประทานน้าผึ้งกับผงอบเชยในปริมาณเท่าๆ กัน ช่วยให้กระปรี้กระเปร่าและมีร่างกายที่ยืดหยุ่น
ดร. มิลตัน ที่ศึกษาเรื่องนี้ กล่าวว่า การดื่มน้ำผึ้ง ½ ช้อนโต๊ะ
ในแก้วหนึ่งแก้ว โรยด้วยผงอบเชยเป็นประจำหลังแปรงฟันและตอนบ่ายราวๆ15.00 น. เมื่อร่างกายเริ่มล้า จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงมี
ชีวิตชีวาใน 1 สัปดาห์
17. ขจัดลมหายใจมีกลิ่น (Bad Breath)
ชาวอเมริกาใต้ ตื่นนอนตอนเช้า สิ่งที่เขาทำอันดับแรกคือ
กลั้วคอด้วยส่วนผสมของน้ำผึ้ง 1 ช้อนชากับผงอบเชยในน้ำร้อน เพื่อให้ลมหายใจสดชื่นตลอดวัน
18. สูญเสียการได้ยินกลับคืนมา (Hearing Loss)
การรับประทานน้ำผึ้ง และผงอบเชยผสมกันในปริมาณเท่าๆ กันเป็นประจำทุกเช้าและก่อนนอนจะช่วยให้การได้ยินกลับมาเหมือนเดิม
วิจัยล่าสุดพบว่า..
น้ำผึ้งกับผงอบเชย
ลดความดันได้ด้วย!!
0 notes
pisanuv · 11 months
Text
"ชื่อสามัญ : เมีย"
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ : ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว
-ส่วนประกอบ : น้ำ โปรตีน ไขมัน อาร์เอ็นเอ (RNA) คาร์โบไฮเดรต และแร่ธาตุในปริมาณน้อย มีกลิ่นหอม
-คุณสมบัติทางเคมี : มีฤทธิ์เป็นกรด และละลายง่ายเมื่อเจอคำพูดจา ที่อ่อนหวานและการกระทำที่อ่อนโยน
-ลักษณะทางกายภาพ : ผิวเรียบเนียน แรกเริ่มใบหน้าอ่อนโยน เมื่อนานวันใบหน้าจะเต็มไปด้วย ฝ้าและกระ ชื่นชอบเพชรนิลจินดา เสื้อผ้า ชอบเดินตามห้าง เพื่อตรวจสอบ ราคาสินค้า เวลาโมโหเหมือนยักษ์ขมูขี และหาของที่สามีซ่อนไว้ได้เก่งฉกาจ
-ประสิทธิภาพ : เป็นนักสืบค้น ยิ่งซ่อนลึกลับ ยิ่งหาเจออย่างไว ข้อมูลในอดีต จะจดจำแม่น และตอบสนองเร็วมาก
-ผลข้างเคียง : ขี้น้อยใจ หูเบา มักมีน้ำโหขึ้นมาในทันที เมื่อรู้ว่าสามีปิดบังอะไร ผลข้างเคียงขั้นรุนแรงคือ อาจทำให้สามีบาดเจ็บมีรอยขีดข่วน ตามแขนและใบหน้าได้
-ปริมาณการใช้ : ชาติละ 1 คน ก็เพียงพอแล้ว และจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อสามีรักและถนอม
-คำเตือน : อย่าใช้เกินปริมาณข้างต้น หากมี 2 คนขึ้นไป อาจเกิดอันตรายถึงชีวิต และอาจหมดอายุในทันที
-การเก็บรักษา : ไม่ควรนำไปวางไว้ใกล้กับหญิงอื่น ที่เธอระแวง
-ระยะเวลา : ใช้ได้ทั้งชีวิต
หลักฐานการอนุมัติ : ดูได้ที่ใบทะเบียนสมรส
วันที่ผลิต : ดูที่บัตรประจำตัวประชาชน
ผู้ผลิต : พ่อตาแม่ยาย
#หมายเหตุพิเศษ : ไม่ควรนำคืนสินค้า เพราะมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก ก่อนซื้อควรเบิกตาให้กว้าง เพื่อตรวจสอบสินค้าให้ดี หลังซื้อควรปิดตาข้างเปิดตาข้าง เพื่อความเป็นสุขของครอบครัว
Cr: นุสนธิ์บุคส์
0 notes
pisanuv · 1 year
Text
ตอนมา เจ้ามาคนเดียว
ตอนไป เจ้าก็ไปคนเดียว
ตอนมา เจ้าอ่อนแอ
ตอนไป เจ้าก็อ่อนแอ
ตอนมา เจ้าไม่มีเงินทองข้าวของมากมาย
ตอนไป เจ้าก็ไม่มีเงินทองข้าวของอะไรเลย
ตอนเจ้า อาบน้ำครั้งแรก มีคนอาบให้เจ้า
ตอนเจ้า อาบน้ำครั้งสุดท้าย ก็มีคนอาบให้เจ้า
นี่คือความจริงของชีวิต!!!
แล้วทำไมมนุษย์เราจึงมีเต็มไปด้วย ความอาฆาตพยาบาท อิจฉาริษยา เกลียดชัง ขุ่นเคือง หยิ่งทะนง โลภ และเห็นแก่ตัวมากมาย ขนาดนั้นไปทำไมกัน?
เพราะตอนที่เราต้องจากโลกนี้ไป เราก็เอาอะไรไปไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว มีแต่บุญและบาปเท่านั้น ที่จะติดตัวเจ้าไปสู่ภพใหม่
คำสอนสุดท้ายก่อนพระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ตรัสสอนไว้ว่า
"จงอย่าประมาท"
1. อย่าประมาทในชีวิตว่าจะยืนยาว
2. อย่าประมาทในวัยว่ายังหนุ่มยังสาว
3. อย่าประมาทในสุขภาพว่ายังแกร่งกร้าว
4. อย่าประมาทในเวลาว่ายังเหลือมากเกินจะกล่าว
5. อย่าประมาทในธรรมะและบุญกุศลว่า เอาไว้ก่อน วันหลังค่อยทำ
ใครก็ตามที่ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท คนคนนั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้ใช้ชีวิตที่คุ้มค่าที่สุด
ส่วนใครก็ตามที่ประมาท พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นคนที่ตายไปแล้วครึ่งตัว
คำถามสำคัญที่สุดที่เราจะถามตัวเองก่อนจากโลกนี้ไป ก็คือ
ท่านได้เตรียมตัวให้พร้อมต่อการจากโลกนี้แล้วหรือยัง?
เตรียมเส��ียงไว้เลี้ยงตัวเองเพียงพอหรือยัง เจริญสติ
ฝึกสมาธิกรรมฐาน เพื่อจิตสุดท้ายก่อนออกจากร่าง
จะได้มีจิตที่ผ่องใส ไปในภพภูมิที่ดี ไว้หรือยัง
#ธรรมะ #อมตะธรรม #ธรรมะสอนใจ
0 notes
pisanuv · 1 year
Text
*..โรคน๊อคทูเรีย(Nocturia)..ก็คือ.."อาการปัสสาวะบ่อยในตอนกลางคืน"..ซึ่งเกิดขึ้นกับวัยกลางคนและผู้สูงอายุ..*
..แก้ด้วยการดื่มน้ำอุ่นตอนกลางคืนสามารถช่วยได้
"อาการNocturiaมีความสัมพันธ์กับกล้ามเนื้อหัวใจและกล้ามเนื้อสมองอย่างมีนัย​สำคัญ"..
..ผลวิจัยจากแพทย์ชาวอเมริกันค้นพบว่า "Nocturia" ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ และกล้ามเนื้อในสมอง มีความเกี่ยวข้องกัน อาการที่พบบ่อยที่สุด ในวัยกลางคนและผู้สูงอายุ คือ อาการกลางคืน (ตื่นกลางดึกเพื่อปัสสาวะ) เพราะ ปัสสาวะออกหากินเวลากลางคืน ผู้สูงอายุจึงกลัวการดื่มน้ำก่อนนอน พวกเขาไม่รู้ว่า *การไม่ดื่มน้ำก่อนเข้านอน *การตื่นกลางดึก เพื่อฉี่ โดยไม่ดื่มน้ำเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหลอดเลือดสมองตีบในช่วงเ��้าของวัยกลางคน และผู้สูงอายุ
..ในความเป็นจริง 'Nocturia' ไม่ใช่ปัญหาของความผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะ
'Nocturia' เกิดจากความล้มเหลวของการทำงานของหัวใจในผู้สูงอายุ และการที่หัวใจห้องบนขวา ไม่สามารถดูดเลือดจากร่างกายส่วนล่างได้ ในระหว่างวัน เราทุกคนอยู่ในท่ายืน เลือดจะไหลลงมา ถ้าหัวใจไม่ดี ปริมาณเลือดของหัวใจไม่เพียงพอ ความดันในร่างกายส่วนล่างจะเพิ่มขึ้น..
..ดังนั้น คนวัยกลางคนและผู้สูงอายุ จะมีอาการบวมน้ำตามร่างกายในระหว่างวัน เวลานอนตอนกลางคืน จะคลายแรงกดทับที่ร่างกายส่วนล่าง และมีน้ำสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อมาก น้ำจะกลับเข้าสู่กระแสเลือด หากมีน้ำมากเกินไป 'ไต' จะทำงานอย่างหนัก เพื่อแยกน้ำออก และระบายออกไปยังกระเพาะปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการปวดปัสสาวะในตอนกลางคืน..
..ดังนั้น หลังจากนอนลง มักจะใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมง จึงจะลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำเป็นครั้งแรก หลังจากนั้น น้ำในเลือดยังคงเพิ่มขึ้น ดังนั้นอีก 3 ชั่วโมงต่อมา พวกเขาจะต้องไปเข้าห้องน้ำอีกครั้ง..
..เหตุใดจึงเป็นสาเหตุสำคัญของ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย และกล้ามเนื้อหัวใจตาย เพราะ หลังจากปัสสาวะ 2-3 ครั้ง น้ำในเลือดจะลดลงอย่างมาก ร่างกายยังคงสูญเสียน้ำ ผ่านการหายใจ จากนั้นเลือดเริ่มหนาและเหนียว และอัตราการเต้นของหัวใจช้าลง เนื่องจากการเผาผลาญของร่างกายต่ำระหว่างการนอนหลับ ด้วยเลือดข้น และการไหลเวียนของเลือดช้า การตีบของหลอดเลือดจึงอุดตันได้ง่าย...
นี่คือสาเหตุที่คนวัยกลางคนและผู้สูงอายุ มักมีกล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือกล้ามเนื้อหัวใจตาย ในเวลา 5 หรือ 6 โมงเช้า..
..สถานการณ์นี้ จะนำไปสู่ความตายขณะหลับ สิ่งแรกที่ต้องบอกทุกคน คือ Nocturia ไม่ใช่ความผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะ แต่เป็นปัญหาของ 'หัวใจที่ชราภาพ'
..สิ่งที่ 2 ที่ต้องบอกทุกคน คือ คุณต้องดื่มน้ำอุ่นก่อนเข้านอน และคุณต้องดื่มน้ำอุ่นหลังจากตื่นนอนกลางดึกเพื่อฉี่ อย่ากลัว Nocturia เพราะการไม่ดื่มน้ำ อาจคร่าชีวิตคุณได้..
..สิ่งที่ 3 คือ คุณต้องออกกำลังกายมากขึ้นในเวลาปกติ เพื่อเสริมสร้างการทำงานของหัวใจ ร่างกายมนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร เครื่องจักรจะเสื่อมสภาพเมื่อใช้บ่อยๆ แต่ร่างกายของมนุษย์จะตรงกันข้าม จะแข็งแรงขึ้นเมื่อใช้บ่อยๆ อย่ากินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอาหารจำพวกแป้งและของทอด..
*..สรุป..ก็คือ..
(1)..ออกกำลังกายด้วยการเดินหรือวิ่งเยาะๆเพราะร่างกายมนุษย์​ไม่เหมือนเครื่องจักรกลเมื่อใช้บ่อยๆหนักๆก็จะเสื่อม..แต่ร่างกายมนุษย์​ต้องใช้บ่อยๆด้วยการออกกำลังกาย​แต่ไม่ใช่หักโหมเกินเลย..
(2)..งดอาหารปิ้งย่างทอดและแป้ง(แป้งให้กินพอเหมาะแต่เน้นหนักผักผลไม้)..
(3)..ดื่มน้ำอุ่นๆก่อนนอนและตอนเช้าก่อนกินอาหารหรือหลังตื่นนอน..
*..จะเป็นประโยชน์มาก หากท่านได้ส่งต่อข้อมูลนี้ ให้กับเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง ที่เข้าวัยกลางคน หรือผู้สูงอายุ เพื่อที่จะได้เป็นวิทยทานต่อไป..*
1 note · View note
pisanuv · 1 year
Text
ความดันโลหิตไม่ใช่เป็นเรื่องล้อเล่น มันมีผลต่อสุขภาพของคนเราค่อนข้างมาก เพื่อลดความเสี่ย��และให้เข้าใจเรื่องความดันโลหิตมากยิ่งขึ้น ให้เรามีสุขภาพที่ดี
(')วัยหนุ่มสาวที่สุขภาพดี ความดันควรอยู่ที่ 120/80
(')ผู้สูงวัยที่แข็งแรง ความดันควรอยู่ 140/90
(')ตัวล่างเป็นตัวชี้วัดความดันด้านหัวใจ สูงสุดไม่ควรเกิน 95 และไม่ควรต่ำกว่า70
(')ส่วนตัวบนเป็นตัวชี้วัดความดันของสมอง สูงสุดไม่ควรเกิน 160 และไม่ควรต่ำกว่า 110
(')แยกวิเคราะห์ได้ดังนี้
(*)1. ตัวบนสูง ตัวล่างก็สูง แสดงว่าเป็นโรคความดันสูง หากความดันสูงนาน 10 ปี จะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหัวใจ แต่ถ้าความดันสูงนาน 20 ปี ก่อให้เกิดโรคด้านเส้นเลือดสมอง
(.)2. ตัวบนสูง ตัวล่างปกติ สะท้อนโรคสันหลังคออักเสบ เป็นสาเหตุสำคัญของโรคเส้นเลือดสันหลังตีบ
(*)3. ตัวบนสูง ตัวล่างต่ำ แสดงว่าเป็นโรคสันหลังคอ และหัวใจขาดเลือด
(.)4. ตัวบนต่ำ ตัวล่างต่ำ เป็นสาเหตุหลักของความดันต่ำ
(*)5. ตัวบนต่ำ ตัวล่างปกติ แสดงว่าหัวใจขาดเลือด
(.)6. ตัวบนปกติ ตัวล่างสูง แสดงว่าหัวใจทำงานหนัก ร่างกายอ่อนแอง่าย
(*)7. ตัวบนปกติ ตัวล่างต่ำ ปัญหาของหัวใจขาดเลือด จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจได้ง่าย
(')นอกจากนี้ยังมีข่าวการวิจัยใหม่ของ USA ประกาศอย่างเป็นทางการ คนอายุ 65 ปีขึ้นไป ค่ามาตรฐานคือ 150/90 คนอายุ 80 ปีขึ้นไป ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 160 หรือ 170 ก็ได้
(')ที่ผ่านมาหลายปี เป็นเพราะผลด้านการค้า ทำให้ใช้เกณฑ์มาตรฐานเก่า ๆ ว่า ไม่ควรเกิน 120 ทำให้คนอายุ 60-70 ปี ต้องรับภาระที่ไม่จำเป็น และกังวลเรื่องความดันโลหิต ต่อจากนี้ต้องเปลี่ยนแนวคิดที่แพทย์เคยสอนมาผิด ๆ
(')หวังว่าทุกบ้านจะมีคนที่เข้าใจปัญหาด้านสุขภาพอย่างแท้จริง เหล่านี้เป็นเรื่องที่คณะแพทย์สะสมการวิจัยมานับร้อยปี มีคุณค่าการศึกษาอย่างยิ่ง
(')เพื่อให้สุขภาพที่ดีต่อตัวเองและครอบครัว หลังดูคลิ๊ปนี้แล้ว ช่วยแชร์ต่อให้คนที่รักดูด้วยครับ
1 note · View note
pisanuv · 1 year
Text
ท่านดร.นราวดี​ แสงรัตนกุล
อายุ85ปีแล้ว ท่านส่งมาให้อ่าน
⏰ถ้าไม่อ่าน..คุณจะเสียใจ💥
▪️.อย่าไปวิตกกับสิ่งที่ผ่านมา ความพ่ายแพ้ หรือความผิดหวัง ความสุข หรือความทุกข์ เพราะหากชีวิตมนุษย์จะเรียบง่าย คงไม่เริ่มต้นด้วยการร้องไห้เมื่อแรกเกิด
▪️คนเรา " เกิดมา " พร้อมกับเสียงร้องไห้ของตัวเอง แต่
▪️ " ตายไป " พร้อมกับเสียงร้องไห้ของผู้อื่น ช่วงเวลาระหว่างนั้น เรียกว่า " ชีวิตคน "
▪️แมวชอบกินปลา แต่แมวลงน้ำไม่ได้
▪️ปลาชอบกินไส้เดือน แต่ขึ้นฝั่งมากินไส้เดือนไม่ได้
▪️ ชีวิตคนเรา " มีได้ - มีเสีย "
มีทั้ง "ได้เลือก" และต้อง "ล้มเลิก"
▪️.ในชีวิตคนเราไม่มีทางที่ทุกอย่างจะเป็นไปดั่งใจนึกได้หมด
.▪️จงอย่าไปคิดเล็กคิดน้อยกับใครเพราะมันไม่คุ้ม
▪️จงอย่าจริงจังกับ ตัวเองเกินไปเพราะจะทำร้ายตัวเอง
▪️จงอย่าไปจมอยู่แต่อดีต เพราะมันไม่ได้อะไรขึ้นมา..
▪️จงอย่าจริงจังกับปัจจุบันมากไปเพราะชีวิตยังคงต้องเดินต่อไป..
▪️ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นของๆ เรานอกจากสุขภาพกายที่แข็งแรง (⭐อันมาจากสุขภาพใจที่เข้มแข็ง เปี่ยมกำลังใจ)
▪️อย่าได้อวดเรื่องเงินเรื่องทอง
ตายไปก็กลายเป็นเพียงเศษกระดาษ
▪️.อย่าได้อวดเรื่องหน้าที่การงาน
ลาออกไปแล้วจะมีคนมาแทนที่คุณและอาจทำได้ดีกว่าคุณ
▪️อย่าอวดเรื่องบ้านเรื่องรถ
ตายไปแล้วก็เป็นของทายาท..คุณหมดเวลา
▪️คุณอวดเรื่อง"สุขภาพแข็งแรง"จะดีกว่า
คนอื่นตายไปแล้วคุณยังนอนเล่นริมทะเลนั่งจิบชามองดูลูกหลาน..อย่างมีความสุขและเข้าใจในชีวิต.
⭐ "10 ปี 7 ครั้ง"
ค่อยๆตั้งใจอ่าน
เปิดใจรับแล้วจะพบแต่ความสุขที่ได้เกิดมาบน โลกใบนี้.....
▪️"ชีวิตคนเราจะมีสิบปีสักกี่ครั้งกัน"
ชอบประโยคนี้มากมันจริงอย่างยิ่ง
▪️ถ้าคนเราอายุเฉลี่ย 70 ปี
เราก็มี 10 ปีแค่ 7 ครั้ง
▪️1. สิบปีแรก...หมดไปกับความไร้เดียงสา
▪️2. สิบปีต่อมา...หมดไปกับการศึกษาเล่าเรียน
▪️3. สิบปีต่อมา...หมดไปกับการทำงานและการใช้ชีวิต
▪️4. สิบปีต่อมา...หมดไปกับการสร้างฐานะ สร้างครอบครัว
▪️5. สิบปีต่อมา...หมดไปกับการลงหลักปักฐาน รักษาสิ่งที่หามา
▪️6.สิบปีต่อมา...หมดไปกับการดูแลรักษาสุขภาพกายใจให้แข็งแรง
▪️7.สิบปีสุดท้าย...หมดไปกับการปล่อยวางทุกสิ่งรอคอยการกลับบ้าน
▪️แต่ละสิบปีผ่านไป...
ไวเหมือนโกหกอีกไม่นานปีนี้ก็จะผ่านไป
▪️มีอะไรที่เราทำไปแล้วมากมายและก็ยังมีอะไรอีกมากมายที่เรายังไม่ได้ทำ
▪️ เวลา คือ หน่วยเงินในกำมือของเราที่เอาไปแลกสิ่งอื่น
- เราเอาเวลาไปแลกงาน
- เราเอางานไปแลกเงิน
- แต่เราก็ไม่เคยเอาเงินไปแลกเวลาคืนกลับมาได้สักที
▪️ถ้า 'ธนาคารเวลา'มีจริง
เราก็ไม่เคยมีสมุดบัญชีสักเล่มที่จะให้เราดูได้..ว่าตอนนี้เหลือเวลาอยู่เท่าไหร่?
◾เรารู้ว่าเราใช้"สิบปี"ของเราไปกี่ครั้งแล้ว
◾แต่เราไม่อาจรู้ว่า...
เราจะใช้"สิบปี"ที่เหลือของเราได้ครบมั้ย
▪️แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับเราใช้เวลาสิบปีของเราไปคุ้มค่าหรือเปล่า
▪️เมื่อเราหันหลังกลับมาขอให้พูดได้เต็มปากว่าเราใช้มันไปอย่างไม่น��าเสียดาย
⭐ ชี วิ ต ค น เ ร า จ ะ มี "สิ บ ปี" สั ก กี่ ค รั้ ง กั น?
⭐ ใช้สิบปี เจ็ดครั้งของเรา ใ ห้ คุ้ ม ค่า
สวัสดีกับสิบปีปัจจุบันของท่าน เขียนดีมาก อ่านให้จบ คุณอาจจะหัน มารักตัวเอง...
⭐สรุป: ชีวิตที่เรียบง่าย ให้สนุกกับการใช้ชีวิต 30% ที่เป็นของคุณ
⭐- ไม่เจ็บปวดแต่ก็ต้อง บำรุง
⭐- ไม่กระหายแต่ก็ต้อง ดื่มน้ำ
⭐- ว้าวุ่นแค่ไหนก็ต้อง ปล่อยวาง
⭐- มีเหตุมีผลแต่ก็ต้อง ยอมคน
⭐- มีอำนาจแต่ก็ต้องรู้จัก ถ่อมตน
⭐- ไม่เหนื่อยแต่ก็ต้อง พักผ่อน
⭐- ไม่รวยแต่ก็ต้อง รู้จักพอเพียง
⭐- ธุระยุ่งแค่ไหนก็ต้องรู้จัก พักผ่อน
⭐- หมั่นเตือนตน : ชีวิตนี้สั้นนัก
🔺️# อยากกิน...กิน
🔺️# อยากเที่ยว....เที่ยว
🔺️# เรื่องกลุ้มอย่าเก็บไว้
🔺️# ไม่เครียด ปล่อยวาง
🔺️# สุขสบายทุกเพลา
◾ เวลาที่ยังจับมือไหวให้เชิญเพื่อนมาสังสรรค์หรือออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆบ้าง
◾ เวลาที่ยังกอดไหวให้โอบกอดให้ชื่นใจ
◾ ทำหน้าที่พ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา
พี่ น้อง และเพื่อนที่ดีต่อไป
▪️ ครอบครัวสุขสรรค์ มาก่อนเสมอ !!!
▪️ เวลาที่อยู่ด้วยกัน
อย่าได้โกรธกันง่ายๆ
▪️ที่สำคัญ ต้องเป็น "ผู้ให้" ก่อนเสมอ
▪️เต็มใจ - สุขใจ ที่เป็นผู้ "ให้"
▪️รู้จัก "ขอโทษ" และ "สำนึกผิด"
ทุกครั้งที่ทำ "ผิด"
▪️ ท้ายสุด "ปล่อยวาง" และ "พอเพียง"
⭐ คิดดี ทำดี พูดดี...มีสุข
0 notes
pisanuv · 1 year
Text
ทราบหรือไม่ว่า “น้ำอุ่น” ที่แสนจะธรรมดาที่เรามักจะมองข้ามไปนั้น จริงๆ แล้วมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากเลยทีเดียว มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ช่วยสนับสนุนว่าการดื่มน้ำอุ่นนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของระบบไหลเวียนโลหิต ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย และระบบกล้ามเนื้อต่างๆ วันนี้เราจึงนำคุณประโยชน์ที่ได้จากการดื่มน้ำอุ่นทุกวันอย่างน้อยวันละ 1 แก้ว มาให้ทุกคนได้รู้กัน ไม่แน่ว่าบทความนี้ อาจจะทำให้ทุกคนหันมาให้ความสำคัญกับการดื่มน้ำอุ่นมากขึ้นกว่าเดิมก็ได้
.
1️⃣ช่วยป้องกันไข้หวัด เนื่องจากน้ำอุ่นช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น และช่วยลดอาการคัดจมูก บรรเทาอาการเจ็บคอได้
.
2️⃣ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และบรรเทาอาการปวดต่างๆ เช่น ปวดประจำเดือน เนื่องจากน้ำอุ่นช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหน้าท้อง ขณะมีประจำเดือนได้
.
3️⃣ ช่วยเร่งการเผาผลาญ และช่วยลดน้ำหนัก เพราะน้ำอุ่นช่วยเพิ่มอุณหภูมิให้กระเพาะอาหารและลำไส้ จึงทำให้ความสามารถในการเผาผลาญดีขึ้น และช่วยลดการสะสมของไขมันในร่างกายได้อีกด้วย
.
4️⃣ ช่วยในระบบย่อยและระบบขับถ่าย และขจัดของเสียในร่างกายได้ เนื่องจากน้ำอุ่นทำให้อุณหภูมิในร่างกายเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยขับเหงื่อมาพร้อมของเสียต่างๆ ออกมา
.
5️⃣ ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สิวฝ้าลดลง หลุมสิวจางหาย เนื่องจากน้ำอุ่นช่วยขจัดของเสียหรือสารพิษต่างๆ ที่เป็นต้นกำเนิดของการเกิดสิว อีกครั้งยังลดอาการอักเสบของหัวสิวต่างๆ ได้
.
โดยอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการดื่มเพื่อสุขภาพคือ 48-60 องศา หากร้อนกว่านี้อาจทำให้ช่องปากและต่อมรับรสเสียหาย และเสี่ยงเป็นมะเร็งหลอดอาหารเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ก็ยังไม่ควรดื่มน้ำอุ่นในสภาวะร้อนจัดๆ หรือกำลังเสียเหงื่อมาก เช่น หลังออกกำลังกาย หากต้องการดื่มน้ำอุ่น ควรดื่มหลังจากร่างกายเย็นลงแล้ว
.
นอกจากนี้ หากนำน้ำอุ่นมาชงผสมกับสมุนไพรต่างๆ ก็ยิ่งช่วยเพิ่มประโยชน์ทางสุขภาพมากขึ้นได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น
.
1️⃣ น้ำอุ่น + มะนาว 🍋
▪️ วิตามินซีสูง จึงช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน
▪️ ช่วยกระตุ้นระบบย่อย ทำให้ขับถ่ายดีขึ้น บรรเทาอาการท้องอืด โดยมะนาวครึ่งลูกบีบใส่น้ำอุ่น 1 แก้ว ดื่มตอนเช้าก่อนอาหารประมาณ 15-30 นาที จะช่วยกระตุ้นลำไส้ได้ดี
▪️ เพิ่มความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
▪️ สารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยลดริ้วรอยและความหมองคล้ำของเซลล์ผิวหนัง
.
2️⃣ น้ำอุ่น + ขิง ☕️
▪️ ช่วยบรรเทาอาการไมเกรนได้ดี โดยให้ดื่มในขณะที่ปวด เพราะสารเคมีที่อยู่ในขิงจะสามารถปรับสารไอโคซานอยด์ ทำให้อาการปวดศีรษะบรรเทาลง
▪️ ช่วยในระบบย่อย ลดอาการท้องอืด โดยในขิงจะมีสารประกอบฟีโนลิกที่มีส่วนช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองในลำไส้ และกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
▪️ ช่วยรักษาสุขภาพช่องปาก โดยกำจัดเชื้อโรคอันเป็นสาเหตุของโรคเหงือกอักเสบและคราบพลัคในช่องปากได้
▪️ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคเเละแบคทีเรีย รวมถึงพยาธิชนิดต่างๆได้ดี เเละสารจิงเกอร์รอลในน้ำขิง ยังช่วยลดความเสี่ยงในการนำเชื้อต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย
.
3️⃣น้ำอุ่น + อบเชย 🍵
▪️ มีสารโพลีฟีนอลจำนวนมาก ซึ่งส่งผลดีต่อระดับน้ำตาลในเลือด
▪️ สามารถเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) และลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้
▪️ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ป้องกันการเกิดลิ่มเลือด ขยายหยอดเลือด การไหลเวียนของเลือด รักษาการขาดแคลนเลือดที่มาหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ถึง 89%
▪️ น้ำมันระเหยในเปลือกอบเชย สามารถในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย Helicobactor pyroli สาเหตุหนึ่งของโรคกระเพาะอาหาร ช่วยกระตุ้นลำไส้ให้บีบต��วแรงขึ้น เพิ่มน้ำย่อย ช่วยขับลม จึงช่วยแก้อาการปวดกระเพาะและลำไส้ได้
.
รู้ถึงคุณประโยชน์จากการดื่มน้ำอุ่นและน้ำสมุนไพรกันไปแล้ว หวังเป็นอย่างยิ่งหลายๆ คนจะหันมาให้ความสำคัญกับการดื่มน้ำในทุกวัน รับรองว่าจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีของสุขภาพตัวคุณเองอย่างแน่นอนไม่มากก็น้อย เพราะสุขภาพดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ต้องเริ่มที่ตัวเราเอง
0 notes
pisanuv · 1 year
Text
คาถาพระขุนแผน
หลวงพ่อกวย ชุตินธโร วัดโฆสิตาราม
ตั้งนะโม 3 จบ
"อมสิทธิ ท้าวฟื้นเจริญศรี หน้ากูงามคือพระแมน นะมะพะทะ
แขนกูงามคือพระนาราย ฉายกูงามคือพระอาทิตย์ ฤทธิกูงามคือพระจัน
สาวในเมืองสวันเห็นหน้ากูอยู่มิได้ กูมาระลึกถึงฝูงหงษ์มาลืมข้ามคูหา
กูมาระลึกถึงมหาเสนา ก็มาลืมแท่นที่นอน กูมาระลึกถึงลูกไก่อ่อน ก็วิ่งตามกูมา
กูมาระลึกถึงสาวใช้ก็มาลืมแม่ กูมาระลึกถึงสาวแก่ก็มาหลงไหล
กูมาระลึกถึงเจ้าทัยเทวีก็มาลืมสวดมนต์ กูมาระลึกถึงฝูงคนก็มารักกูอยู่ทั่วหน้าทั่วชั้นฟ้าและพื้นดิน
เหมือนช้างรักงา ปลารักน้ำ เข้าอยู่ในดง ผมก็ลืมเกล้า ข้าวอยู่ในคอก็ลืมกลืน
ให้สะอื้นคิดถึงตัวกู อยู่ทุกเวลาและราตรี อิติลีกันหาชูชะโกโมกรุณาพุทปราณี ทายินดี ยะเอ็นดู เอหิกะระนิโย อิติพิโส พะคะวาณะลีติ อิติมานิยม"
0 notes
pisanuv · 1 year
Text
☘ ถึงวัย ก็คิดได้เอง ☘
@ เคยอยากเป็นคนรวย แต่เดี๋ยวนี้ แค่มีเงินใช้ตามสมควร ไม่มีหนี้สิน ก็พอแล้ว
@ เคยอยากมีตำแหน่งสูงๆ แต่เดี๋ยวนี้ แค่มีอะไรให้ทำไม่เบื่อ ก็พอแล้ว
@ เคยอยากกินหรูๆอร่อยๆ แต่เดี๋ยวนี้กินแค่พออิ่ม ก็พอแล้ว
@ เคยอยากเอาชนะใครๆ แต่เดี๋ยวนี้แค่ทำอะไรให้สำเร็จตามที่ตั้งใจก็พอแล้ว
@ เคยอยากมีสิ่งที่อวดคนอื่น แต่เดี๋ยวนี้ แค่ผ่านไปแต่ละวันอย่างสงบก็พอแล้ว
@ เคยอยากมีบ้านใหญ่ๆสวยๆ แต่เดี๋ยวนี้ แค่มีที่พักเล็กๆสงบๆ ก็พอแล้ว
@ เคยอยากไปท่องเที่ยวที่ไกลๆหรูๆ แต่เดี๋ยวนี้ แค่ได้ออกไปพักผ่อนแถวนอกเมืองบ้างก็พอแล้ว
@ เคยอยากให้คนชื่นชม นับหน้าถือตา แต่เดี๋ยวนี้ แค่มีคนจำได้ ก็พอแล้ว
@ เคยอยากมีฝันสวยหรู ดูดีมีอนาคต แต่เดี๋ยวนี้ แค่ได้ตื่นทุกเช้าพร้อมลมหายใจที่ปกติก็พอแล้ว
@ เคยอยากมีลูกน้องไว้ใช้งาน แต่เดี๋ยวนี้ แค่มีอวัยวะครบและใช้งานได้ตามสมควรก็พอแล้ว
@ เคยอยากมีรถยนต์หรูๆ สมรรถนะสูงๆ แต่เดี๋ยวนี้ แค่เดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวกปลอดภัยก็พอแล้ว
@ เคยอยากมีที่ดินแปลงใหญ่ๆ แต่เดี๋ยวนี้ แค่มีสวนเล็กๆ ไว้ปลูกต้นไม้ที่ริมระเบียงบ้านก็พอแล้ว
เมื่อชีวิตคนเรา ได้เดินทางมาถึงจุดๆหนึ่ง ก็ไม่รู้จะอยากและกดดันตัวเองให้มี ให้เป็นตามความอยากไปเพื่ออะไร
ขอบคุณ ที่วันนี้ยังตื่นขึ้นมา แล้วยังมีลมหายใจก็พอแล้ว
0 notes