Tumgik
thaimindfulnews · 5 years
Link
เรื่องการยกเลิกการรับนักศึกษามุสลิมเข้าศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล.... วันที่ 3 เมษายน 2562 เรื่อง ขอให้ยุติโควต้านักศึกษามุสลิมเข้าศึกษาฟรีในมหาวิทยาลัยของรัฐ             เรียน อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล สิ่งที่ส่งมาด้วย เอกสารจำนวน 34 หน้า              ตามที่มหาวิทยาลัยมหิดลเป็นหนึ่งในจำนวนมหาวิทยาลัยของรัฐที่จัดให้มีโครงการรับนักศึกษามุสลิมเข้าศึกษาฟรีในมหาวิทยาลัย โดยไม่ผ่านการสอบวัดผลเพื่อเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของรัฐ (Entrance) ตามระเบียบทางราชการ อันเนื่องมาจากโครงการตามมติคณะรัฐมนตรี ตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2513 เป็นต้นมานั้น ทำให้นักศึกษาที่นับถือศาสนาอิสลามได้รับสิทธิพิเศษเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของรัฐฟรี อันทำให้ได้นักศึกษาที่ขาดคุณภาพ และละเมิดสิทธิของนักศึกษาที่นับถือศาสนาอื่นๆ โดยทั่วไป
จากโครงการดังกล่าว เป็นเหตุให้สร้างความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นในสถาบันการศึกษาของรัฐ เข้าข่ายละเมิดสิทธิของนักศึกษาที่นับถือศาสนาอื่นๆ เป็นเครื่องมือให้ความรุนแรงในภาคใต้ของไทยยังคงดำรงอยู่ต่อไป และเป็นช่องทางพิเศษให้กลุ่มนักศึกษาดังกล่าวแปรสภาพเข้าไปเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในรูปแบบต่างๆ โดยไม่ผ่านกระบวนการสอบแข่งขันอีกเช่นกัน โดยประเด็นหลักๆ ที่ควรยกเลิกนั้น มีดังนี้ 1. โครงการดังกล่าวโดยการปรารภว่า เพื่อให้นักศึกษามุสลิมที่มีความด้อยทางด้านภาษา ชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์  เป็นต้น ไม่มีความน้อยเนื้อต่ำใจจึงควรให้สิทธิพิเศษเพื่อเข้าศึกษาร่วมกับนักศึกษาอื่นๆ เพื่อให้ได้มีการศึกษาและจะเป็นเหตุให้ความรุนแรงในสังคมมุสลิมลดลง แต่หลังจากดำเนินการโครงนี้มาเป็นระยะเวลายาวนาน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2513 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน ความรุนแรงกลับไม่มีทีท่าว่าจะลดลง แต่กลับมีความทวีความรุนแรงและซับซ้อนมากเพิ่มขึ้น โครงการให้การศึกษาฟรีแก่นักศึกษามุสลิมจึงไม่สัมฤทธิ์ผลตามที่ตั้งไว้  จึงควรยกเลิกเสีย 2. เหตุความรุนแรงในภาคใต้ของไทย ตามสถิติ 14 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม 2547 ถึง 28 ธันวาคม 2560 ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 7,666 คน บาดเจ็บ 13,115 คน จนถึงปัจจุบันนี้ ปี 2562 คาดว่าเกินกว่า 80,000 คนแล้ว ซึ่งตามประวัติผู้ก่อเหตุความรุนแรงจำนวนหนึ่งยังคงเป็นนักศึกษาอยู่ ทั้งในและต่างประเทศซึ่งบางคนก็คือ นักศึกษาในโครงการนักศึกษามุสลิมเรียนฟรีเหล่านี้รวมอยู่ด้วย จึงสมควรยกเลิก 3. สถิติในปีการศึกษา 2553 ได้รับการเปิดเผยข้อมูลจากนายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขาธิการ ศอ.บต.ว่าเด็กนักศึกษามุสลิมเรียนฟรี เพียงปี 1 โดนรีไทร์กว่า 3,000 คน ซึ่งนักศึกษาเหล่านั้นล้วนแต่มาจากโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามทั้งสิ้น นอกจากนี้  แม้นักศึกษาที่ได้รับงบประมาณอุดหนุนไปศึกษาต่างประเทศก็ประสบปัญหาเดียวกัน ทำให้ต้องเปลี่ยนสถานที่เรียนและประเทศที่ให้การศึกษาด้วย ตามเอกสารที่แนบมาด้วยนี้ การให้โควตานักศึกษามุสลิมเรียนฟรีดังกล่าว จึงไม่ประสบผลสำเร็จตามเจตนารมณ์ จึงควรยกเลิกเสีย 4. นักศึกษาที่เข้าโครงการจำนวนมาก ล้วนแต่เป็นนักศึกษาที่เคยผ่านโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม หรือปอเนาะ หรือตาดีกา มาแล้วทั้งสิ้น ซึ่งเนื้อหาที่ถูกสอนในคัมภีร์อัลกุรอานนั้น มีเนื้อหาสร้างความรุนแรง และสั่งคนมุสลิมให้ทำร้ายคนที่นับถือศาสนาอื่น ซึ่งคำสอนเช่นนี้มีมากมายหลายบทในคัมภีร์อัลกุรอ่าน เช่น “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย  พวกเจ้าจงทำศึกกับบรรดาพวกไร้ศรัทธาที่อยู่ใกล้เคียง (เพื่อให้หมดเสี้ยนหนาม) และจงทำให้พวกเขาได้พบกับความแข็งแกร่งในหมู่พวกเจ้า และพวกเจ้าจงรู้ไว้เถิดว่า แท้จริงอัลเลาะห์อยู่พร้อมกับบรรดาผู้ยำเกรง” (ซูเราะห์ที่ 9: 123 อัตเตาบะห์) “พวกเจ้าจงฟาดฟันลงไปบนต้นคอทั้งหลายของข้าศึกเถิด  และจงฟาดฟันทุกปลายนิ้วมือของพวกมัน นั่นเป็นคำบัญชาจากอัลเลาะห์ เพราะเหตุพวกเขาได้ต่อต้านอัลเลาะห์ และศาสนฑูตของพระองค์ และผู้ใดต่อต้านอัลเลาะห์ และศาสนทูตของพระองค์ แน่นอนอัลล์ทรงลงโทษรุนแรงยิ่งนัก” (ซูเราะห์ที่ 8 :12-13 อัลอัมฟาล) เมื่อนักศึกษาได้รับการอบรมและท่องบ่นซูเราะห์ในอัลกุรอานเหล่านี้อยู่เป็นประจำ จึงยากที่จะทำให้นิสัยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ ปัญหาความรุนแรงจึงเกิดในสังคมมุสลิม แม้จะมีการศึกษาดีก็ตาม การเปิดโครงการให้เรียนฟรี กลับจะทำให้สถาบันการศึกษาของไทยกลายเป็นที่ซ่องสุมของผู้ก่อความไม่สงบด้วยซ้ำไป จึงควรยกเลิกเสีย 5. ในยุทธศาสตร์การสนับสนุนการศึกษาของนักศึกษาไทยมุสลิมในต่างประเทศ ซึ่งกำหนดให้หน่วยงานของรัฐกว่า 22 หน่วยงาน คือ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงาน ก.พ.  กระทรวงต่างประเทศ ศอ.บต.  กรมประชาสัมพันธ์ คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดชายแดนภาคใต้ สำนักงานจุฬาราชมนตรี ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานรัฐที่ปฏิบัติงานอยู่ในต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย สภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา สถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้อง โรงงานอุตสาหกรรม  ภาคเอกชน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กอ.รมน. เครือข่ายองค์กรมุสลิมที่เกี่ยวข้อง    หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง สำนักข่าวกรองแห่งชาติ หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง และสำนักงบประมาณให้การสนับสนุนนักศึกษามุสลิมใน 4 ยุทธศาสตร์ คือ (1) ยุทธศาสตร์การดำเนินการก่อนการเดินทางไปศึกษาต่อในต่างประเทศ (2) ยุทธศาสตร์การดำเนินการขณะศึกษาในต่างประเทศ (3)ยุทธศาสตร์ภายหลังกลับจากการศึกษาจากต่างประเทศ (4) ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ (กระบวนการให้ผู้จบการศึกษาเข้าทำงานในหน่วยงานราชการฟรี) วิธีการและกระบวนการทั้งหมดในแผนยุทธศาสตร์นี้ ล้วนสร้างความได้เปรียบให้กับนักศึกษามุสลิมทั้งสิ้น ในขณะเดียวกันก็ละเมิดสิทธิของนักศึกษาไทยที่นับถือศาสนาอื่นทั้งหมดจึงควรยกเลิกเสีย               จึงเรียนมายังอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ขอให้มีคำสั่งให้ยุติการรับนักศึกษามุสลิมเรียนฟรีในโครงการดังกล่าวทั้งหมด ตั้งแต่ปีการศึกษา 2562 นี้เป็นต้นไป มิฉะนั้นแล้ว ท่านและมหาวิทยาลัยอาจเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ             จึงเรียนมาเพื่อทราบ และโปรดดำเนินการตามเหตุผลดังกล่าว              ขอแสดงความนับถือ              (ดร.จรูญ วรรณกสิณานนท์)              ตัวแทนกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน
0 notes
thaimindfulnews · 6 years
Link
วันที่ 6 มิถุนายน 2561 เฟซบุ๊ก Sunthorn Utaithum ได้โพสต์ข้อความว่า พระพุทธศาสนาขึ้นแท่นเป็นศาสนาที่มีจำนวนผู้นับถือมากเป็นอันดับ 2 ของโลก จากการสำรวจล่าสุด ที่ 1,600 ล้านคน (23.88%) หรือคิดเป็น 1 ใน 5 ของประชากรโลก โดยเป็นผลมาจากนโยบายผ่อนปรนด้านศาสนาของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานาธิบดีสีจิ้นผิง เมื่อปี พ.ศ. 2557 ทำให้ชาวจีนซึ่งเคยถูกจำกัดสิทธิ์ในการนับถือศาสนาในยุคคอมมิวนิสต์ หันกลับมานับถือ "ไตรศาสนภาคี" ซึ่งประกอบด้วยพระพุทธศาสนา ปรัชญาเต๋า และปรัชญาขงจื้อ อันเป็นความเชื่อที่เคยยึดถือมาแต่เดิมก่อนเข้าสู่ยุคคอมมิวนิสต์กว่า 80% คิดเป็นประชากรกว่า 1.07 พันล้านคน โดยทั้งนี้ ประเทศจีนและชาวจีนได้ยึดถือมาเป็นเวลาช้านานแล้วว่า "ไตรศาสนภาคี" เป็นรากฐานของวัฒนธรรมและอารยธรรมจีนเสมอมา โดยมีปรากฏอยู่ในสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ ภาษา วรรณกรรม ตลอดจนประเพณีจีน โดยในปี พ.ศ. 2557 ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้กล่าวปาฐกถาที่องค์การยูเนสโกว่า "ไตรศาสนภาคี" มีบทบาทสำคัญเรื่อยมาต่อวัฒนธรรมและอารยธรรมจีน และทำให้ประเทศจีนเป็นประเทศจีนแบบทุกวันนี้ โดยเขาและพรรคคอมมิวนิสต์จีน พร้อมที่จะให้การสนับสนุนและฟื้นฟูให้ "ไตรศาสนภาคี" กลับมาเจริญรุ่งเรือง และเป็นหลักยึดสำหรับประชาชนชาวจีนอีกครั้ง ปัจจุบันพระพุทธศาสนาในประเทศจีนร้อยละ 80 เป็นแบบมหายานและวัชรยาน โดยชาวจีนได้นับถือร่วมไปกับปรัชญาเต๋าและขงจื้อ กระจายอยู่ทั่วแผ่นดินใหญ่และธิเบต โดยมีพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทอีก 20% อยู่หนาแน่นบริเวณมณฑลทางใต้ มีพระสงฆ์ทั่วประเทศ 240,000 รูป แม่ชี 85,000 ท่าน สำนักสงฆ์ 28,000 แห่ง และวัดกว่า 16,000 วัด โดยทางการจีนได้คุยว่า พระพุทธรูป วัด ถ้ำ และเจดีย์ในทางพระพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ล้วนอยู่ในประเทศตน โดยพระพุทธรูปที่ใหญ่และสูงที่สุดในโลกอยู่ที่มณฑลเหอนาน คือ Spring temple Buddha เจดีย์ที่สูงที่สุดในโลกอยู่ที่วัดเฟ๋อเหมินในมณฑลชานซี ปัจจุบันพระพุทธศาสนาได้รับการสนับสนุนและฟื้นฟูขนานใหญ่โดยรัฐบาลจีน ในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ วัดและสำนักสงฆ์ที่เคยถูกทุบทำลายไปในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมได้รับการฟื้นฟูและบูรณปฏิสังขรณ์กันขนานใหญ่ สถานะของพระพุทธศาสนาในประเทศจีนจึงถือว่ากลับมาอยู่ในช่วงขาขึ้นอีกครั้ง โดยได้รับการยอมรับและสนับสนุนมากกว่าศาสนาใดๆทั้งจากผู้นำของประเทศ พ่อค้าปัญญาชน รวมถึงเยาวชนคนรุ่นใหม่ของจีนอีกด้วย ปล- ในมุมมองของนักวิชาการตะวันตก ไม่อาจเข้าใจหรือทำใจยอมรับวิธีคิดของศาสนาตะวันออกได้ กับการที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีความเชื่อได้มากกว่าหนึ่งอย่างแบบพวกตน จึงยังคงใช้วิธีการนับและประมาณการจำนวนศาสนิก ด้วยการซอยความเชื่อต่างๆ ในซีกโลกตะวันออก ออกเป็นกลุ่มศาสนาย่อยตามความเข้าใจของตน โดยไม่พิจารณาถึงความเชื่อมโยงกันระหว่างความเชื่อเหล่านั้นกับวัฒนธรรมที่ความเชื่อนั้นๆผูกอยู่ ทำให้ศาสนาของคนเอเชียซึ่งมีประชากรกว่า 4.5 พันล้านคน ซึ่งคิดเป็น 67% ของประชากรโลก หรือ 3 ใน 5 คน ต้องถูกนับผิดไปจากความเป็นจริง ที่มา: https://ift.tt/2ysPY53
0 notes
thaimindfulnews · 6 years
Link
… พระสุเทพ พุทฺธสโร วัดหนองม่วง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว. เล่าว่า ... "หมู่บ้าน แถบชายแดนเขมรเปลี่ยนศาสนา จากพุทธเป็นอิสลาม หลายหมู่บ้าน โดยผู้ที่เผยแผ่ศาสนา ยื่นเงื่อนไขให้ชาวบ้านแถบนั้นว่า.."ถ้าใครเปลี่ยนการนับถือศาสนา จากศาสนาเดิมมาเป็นอิสลาม จะให้เงินก้อนใหญ่ แต่มีเงื่อนไขว่าทุกคนต้องไปเปลี่ยนบัตรประจำตัวประชาชน ใหม่ ให้ระบุว่า นับถือศาสนา อิสลามแทนศาสนาเดิม".. ... ถ้าไปเปลี่ยนมาแล้วเอาบัตรประชาชนไปเป็นหลักฐาน การรับเงิน..(แต่ให้ครึ่งหนึ่งของเงินก้อนนั้น อีกครึ่ง จะโอนให้ก็ต่อเมื่อ บุคคลนั้นๆ นับถือศาสนาอิสลามได้ 10 ปีเสียก่อน..พระแถวนั้นบ่นกันว่า..ทุกวันนี้บิณฑบาตแทบไม่มีคนใส่บาตรเลย..(อันนี่คือแนวทางการเผยแผ่ศาสนาเขา ใช้เงินเป็นหลักเพราะเขารู้จุดอ่อน ของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศยากจน จึงใช้เงินล้อ).."
0 notes
thaimindfulnews · 6 years
Link
คิดยังไงกันบ้างครับ กับร่าง พรบ. คณะสงฆ์ใหม่ ที่ คณะสงฆ์ไม่ได้มีส่วนร่วมในการร่างเลย ชาวพุทธส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีส่วนร่วมเช่นกัน !!!
0 notes
thaimindfulnews · 6 years
Link
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ได้ประทานคติธรรมเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ พ.ศ.2561 เพื่อจัดพิมพ์ในหนังสือวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2561 ใจความว่า
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนวิธีทำให้บุคคลได้ชื่อว่าเป็นคนดี เป็นที่รักของผู้คนทั่วไปไว้วิธีหนึ่งเรียกว่า “อัตถจริยา” หมายถึง การบำเพ็ญประโยชน์ การประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ช่วยเหลือ ทำงาน สร้างสรรค์ ด้วยความตั้งใจอย่างดีเลิศ ส่งเสริมให้เพื่อนสมาชิกในสังคมประพฤติดีงาม และมีสติปัญญาอัตถจริยาดังกล่าวนี้ ปัจจุบันนิยมเรียกว่า “จิตอาสา” ซึ่งถ้าพิจารณาอย่างผิวเผิน อาจเข้าใจคลาดเคลื่อนไปว่า จิตอาสากำลังจำต้องเหน็ดเหนื่อย หรือเผชิญทุกข์กว่าคนที่ไม่เป็นจิตอาสา แต่ถ้าพิเคราะห์ในแง่มุมกลับกัน แท้จริงแล้วคนทำงานจิตอาสาที่แท้จริงแล้ว คนทำงานจิตอาสาด้วยใจจริงย่อมมีความรู้สึกเบิกบาน ยิ่งกว่าคนที่ไม่ทำงานจิตอาสา เพราะจิตอาสาที่แท้จริงจะไม่คิดว่าตนกำลังสูญเสีย พละกำลังหรือประโยชน์ใดๆ โดยไร้ค่า หากกลับเป็นฝ่ายได้รับประโยชน์ คือ ได้ความสุขใจ ชื่นใจที่เห็นความสุขของผู้อื่น และได้ภาคภูมิใจว่าเป็นผู้สร้างสรรค์สังคมที่ดีงาม
เด็กและเยาวชนเป็นกำลังสำคัญที่จะพาบ้านเมืองไทยให้รุ่งเรืองสืบไป จึงขอให้ผู้ใหญ่เร่งปลูกฝังและสร้างสรรค์ให้เด็กและเยาวชน เป็นผู้หนักแน่นในคุณธรรม ข้ออัตถจริยา และขอให้เด็กๆ รู้สึกสนุกสนาน เบิกบานทุกครั้ง ที่ได้ทำประโยชน์ จงอย่ายอมแพ้แก่ความรู้สึกเหน็ดเหนื่อย หรือยากลำบากขอให้ระลึกไว้เสมอว่า กำลังเล็กๆของเด็กๆ อย่างเรานี้แล มีอานุภาพสูงยิ่งที่จะช่วยสร้างสรรค์ประเทศชาติ ให้เจริญก้าวหน้าอย่ามัวรั้งรอ ผัดผ่อน ให้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่เสียก่อน ค่อยเริ่มทำความดี เพราะเมื่อนั้นเด็กๆจะเผชิญกับการทำความชั่วจนกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวและไม่รู้วิธีทำตนเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้ในที่สุด ขอให้เด็กและเยาวชนทุกคนมีกำลังใจที่จะบำเพ็ญประโยชน์ด้วยความสุขใจนับแต่บัดนี้ เป็นต้นไป ขอจงรักษาคุณลักษณะจิตอาสาอย่างสมบูรณ์ไว้ตลอดกาล เพื่ออนาคตของตนเองและสังคมไทยของเราทุกคน
0 notes
thaimindfulnews · 6 years
Link
มีปัญหาอย่างหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทันสังเกต คือ เรามักเชื่อกันว่าพระเจ้าอโศกมหาราชทรงส่งพระโสณะ-พระอุตตระ มาสุวรรณภูมิ (และส่งรูปอื่นๆ ไปยังแคว้นต่างๆ) ทำให้มีคนเถียงว่าเรื่องนี้เป็นตำนานไร้หลักฐาน เพราะจารึกพระเจ้าอโศกไม่มีชื่อพระโสณะ-พระอุตตระ หรือแม้แต่สุวรรณภูมิ ก็แหงล่ะสิครับ เพราะเจ้าอโศกไม่ได้ส่งคณะสมณทูตมายังสุวรรณภูมิ จึงไม่มีบันทึกอะไรไว้ทั้งสิ้นที่โยงไปถึงพระองค์  ย้ำนะครับว่า มายาคติที่ฝังหัวเราคือ พระเจ้าอโศกส่งสมณทูตมาสุวรรณภูมิ แต่จริงๆ แล้ว "ท่านไม่ได้ส่งใครมา"  ผมไม่เข้าใจว่าตำราต่างๆ ถึงได้อ้างว่าพระเจ้าอโศกส่งคณะสมณทูตทั้งๆ ที่ไม่มีหลักฐานเลย หรือว่าผู้เขียนเหล่านั้นไม่ได้อ่านตำราปฐมภูมิ ได้แต่อ้างต่อๆ กันมา? ความจริง ผู้ที่ส่งพระโสณะ-พระอุตตระมายังสุวรรณภูมิ คือ "พระโมคัลลีบุตรติสสมหาเถระ" ประธานสังคายนาครั้งที่ ๓ หลักฐานแรกที่เอ่ยถึงเรื่องนี้คือทีปวงศ์ (พงศาวดารลังกาทวีป) แล้วมาขยายความในมหาวงศ์ (พงศาวดารใหญ่ของลังกา) จากนั้นเล่าต่อในสมันตปาสาทิกา (อรรถกถาพระวินัย) ในท่วงทำนองเดียวกัน เนื้อความในมหาวงศ์ว่าไว้ชัดว่า พระโมคัลลีบุตรติสสมหาเถระชำระพระศาสนาแล้ว พิจารณาดูแล้วว่าพระศาสนาจะไปเจริญที่ปัจจันตชนบท (ดินแดนไกลโพ้น) ในอนาคตกาล จึงส่งพระเถระเจ้าทั้งหลายไป (เถโร โมคฺคลิปุโตฺต โส, ชินสาสน โชตโก; / นิฎฺฐาเปตฺวาน สํคีติํ, เปกฺขมาโน อนาคตํฯ / สาสนสฺส ปติฎฺฐานํ, ปจฺจเนฺตสุ อเวกฺขิย; / เปเสสิ กตฺติเก มาเส, เตเต เถเร ตหิํ ตหิํฯ)  จะเห็นชัดว่าคือพระโมคัลลีบุตรติสสมหาเถระที่ส่งคณะสมณทูตไปยังทิศต่างๆ และถ้าว่ากันโดยสถานะแล้ว แม้พระเจ้าอโศกทรงเป็นเจ้าภาพการสังคายนาครั้งที่ ๓ แต่มิได้หมายความว่าจะทรงมีอำนาจสั่งพระสงฆ์ให้ไปไหนต่อไหนได้ เพราะทางธรรมนั้นอยู่เหนือทางโลก พระด้วยกันเองเท่านั้นที่สั่งพระด้วยกันได้  นอกจากนี้ จารึกอโศกก็ไม่ได้ระบุตรงๆ ว่าทรงส่งสมณะทูตไปไหน เพียงแต่บอกว่า "พระธรรมไปพิชิตดินแดนนั้นแล้ว" โดยเฉพาะในแคว้นโยนก (กรีกแคว้นต่างๆ จากคันธาระถึงเอเธนส์) จารึกเอ่ยถึงธรรมที่แพร่ไปทางตะวันตกเป็นพิเศษ ไม่เห็นเอ่ยถึงทางตะวันออกเลย (ใครพบแจ้งผมด้วยผมอาจพลาด)  อีกข้อคือ คนสงสัยว่าส่งไปทีละรูปสองรูปจะไปบวชใครได้? คำตอบก็อยู่ในมหาวงศ์นั่นแล้ว ท่านกล่าวว่า "พระมหาเถระเจ้าทั้งปวงเมื่อไปนั้น ๕ รูปทั้งพระองค์" (ปญฺจ เถเร อเปสยิ) คือส่งไป ๕ รูปพอจะทำสังฆกรรมบวชลูกหลานคนท้องถิ่นได้  เป็นอันว่า พระเจ้าอโศกไม่ได้ส่งพระโสณะ-อุตตระมาสุวรรณภูมิ (รวมถึงดินแดนอื่นๆ ด้วย) ที่มา: Facebook Isara Teptum
0 notes
thaimindfulnews · 6 years
Link
ตะลึง ! ประเทศซาอุดิอาราเบีย เกิดการอุดตันในท่อระบายน้ำกลางใจเมือง Taif ,,, และเป็นที่น่าแปลกใจเพราะสิ่งที่อุดตันในท่อระบายนั้นได้มีคำภิธ์อันกูรอ่านของพร:เจัาอันล่ออฺ์ที่ยิ่งใหญ่เป็นจำนวนมาก,
‎عبدالرحمن الصيري
السعوديه انسداد المجاري في وسط الطائف ،،، وكانت المفاجئه بسبب عشرات المصاحف القـرآنية الملقاة فيها ،، حسبنا الله ونعم الوكيل ‏يامن تشهد هذا المنشور علق ‏#حسبنا_الله_ونعم_الوكيل ‏غيره على كتاب الله القران الكريم القران العظيم ที่มา: Facebook Wijarn Lokar
0 notes
thaimindfulnews · 6 years
Link
อวิชฺชา  ปรมํ  มลํ ความไม่รู้เป็นมลทินร้ายที่สุด                             (๒๓/๑๐๕) สิ่งของเปรอะเปื้อน แปลกปลอม โลหะขึ้นสนิม คอนกรีตมีขยะเจือปน ย่อมสร้างมลทินและอันตรายอย่างใหญ่หลวงได้ แต่กระนั้นก็ไม่ถึงเศษเสี้ยวแห่ง “อวิชชา” ที่ปลอมปนอยู่ในใจมนุษย์ อวิชชาเป็นต้นตอแห่งความไม่รู้ทั้งปวง ความไม่รู้ที่ทำให้คนเราคิดผิด พูดผิด กระทำผิด เป็นสิ่งติดตามมานับภพนับชาติไม่ถ้วนแล้ว ความไม่รู้ความเป็นจริงของชีวิต คือไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้สาเหตุที่เกิดทุกข์ ไม่รู้ว่าต้องดับสาเหตุแห่งทุกข์ ไม่รู้วิธีพ้นทุกข์ ซึ่งจะทำให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ ความไม่รู้สิ่งเหล่านี้เป็นมลทินที่ร้ายแรงที่สุด อันตรายที่สุด ต้องเร่งแก้ไขอย่างด่วนที่สุด จะแก้ไข “อวิชชา” ได้ ด้วยมี “วิชชา” จะแก้ไข “ความไม่รู้” ได้ ด้วยมี “ความรู้” ความรู้ที่เกิดจากใจหยุดนิ่ง ก่อเกิดการเห็นแจ้งในสรรพสิ่ง พรั่งพรูปัญญาให้สว่างไสว หลั่งไหลความสุขใจอย่างไม่มีประมาณ  สะอาด สว่าง สงบ รู้แจ้ง เห็นแจ้ง  ไม่มีช่องว่างให้มลทินใจอยู่เลยแม้แต่น้อย  จึงหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง.. Cr. อิ่มธรรม วารสารอยู่ในบุญ  ฉบับที่ ๑๓๙  เดือนพฤษภาคม  พ.ศ. ๒๕๕๗
0 notes
thaimindfulnews · 6 years
Link
#อินเดียเสนอจำคุกมุสลิมใช้วิธีการบอกเลิก 3 ครั้งหย่าเมีย
ทางการอินเดียเตรียมเสนอร่างกฎหมายซึ่งมีบทลงโทษจำคุก 3 ปี หากสามีเลิกรากับภรรยาด้วยวิธีกล่าวคำหย่า (ตอลัก) 3 ครั้ง ตามธรรมเนียมอิสลามที่มีปฏิบัติในบางประเทศ
ร่างกฎหมายพิทักษ์สิทธิในการสมรสของสตรีมุสลิม กำลังอยู่ในขั้นขอคำปรึกษาจากทางการท้องถิ่นของรัฐต่าง ๆ ในอินเดีย ก่อนที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาเพื่อออกเป็นกฎหมายในช่วงกลางเดือนนี้
#ศาลอินเดียชี้หย่าแบบอิสลามขัดรัฐธรรมนูญ
"ทุกครั้งที่มองตาลูก ฉันเห็นหน้าคนข่มขืน" ฟังเธอเล่า ทำไมไม่ทำแท้ง?
เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลฎีกาของอินเดียมีคำวินิจฉัยชี้ขาดให้วิธีการหย่าแบบดังกล่าวเป็นธรรมเนียมที่ไม่ใช่ของศาสนาอิสลามอย่างแท้จริง เป็นการกระทำตามอำเภอใจ และขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญของประเทศ อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่ายังคงมีผู้ปฏิบัติตามธรรมเนียมการหย่าร้างนี้จำนวนมาก ทำให้ทางการต้องออกข้อห้ามเป็นกฎหมายอย่างชัดเจนตามมา
ก่อนหน้านี้พบว่ามีหญิงอินเดียผู้นับถือศาสนาอิสลามหลายพันคนถูกสามีทอดทิ้งด้วยวิธีการกล่าวคำหย่าเพียง 3 ครั้ง ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้หญิงเหล่านี้ได้รับความไม่เป็นธรรม และต้องเผชิญความยากลำบากในการหาเลี้ยงชีพ
หลายรายถูกสามีบอกหย่าร้างผ่านทางข้อความตัวอักษรทางโทรศัพท์ แอปพลิเคชันสนทนาต่าง ๆ รวมทั้งโปรแกรมสไกป์อย่างง่ายดายโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ซึ่งเนื้อหาในร่างกฎหมายใหม่ได้กำหนดให้การบอกเลิกผ่านช่องทางเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน
ร่างกฎหมายนี้มุ่งให้ความคุ้มครองทางกฎหมายแก่หญิงที่ถูกสามีบอกเลิกและไล่ออกจากบ้าน รวมทั้งยังกำหนดให้สตรีที่สามีได้รับโทษ ได้รับเงินช่วยเหลือและความคุ้มครองดูแลจากรัฐด้วย
อินเดียเป็นเพียงไม่กี่ประเทศที่สังคมมุสลิมมีการปฏิบัติตามธรรมเนียมการหย่าร้างดังกล่าว โดยในประเทศอิสลามหลายแห่ง เช่น ปากีสถานหรือบังกลาเทศ ทางการได้สั่งห้ามธรรมเนียมนี้ไปแล้ว โดยให้เหตุผลว่าเป็นธรรมเนียมที่ไม่ปรากฏอยู่ทั้งในกฎหมายชารีอะฮ์และในคัมภีร์อัลกุรอาน
บรรดาผู้รอบรู้คำสอนศาสนาอิสลามของอินเดียบอกว่า คัมภีร์อัลกุรอานได้บัญญัติถึงวิธีการหย่าร้างที่ถูกต้องไว้แล้วอย่างชัดเจน โดยกระบวนการดังกล่าวต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือน เพื่อให้คู่สมรสได้ทบทวนไตร่ตรองและมีโอกาสประนีประนอมกัน รวมทั้งป้องกันการตั้งครรภ์หลังการหย่าร้างด้วย
-------------------
0 notes
thaimindfulnews · 7 years
Link
 #อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 221
 10 #ธัมมิกสูตร ว่าด้วยพระราชาประพฤติไม่เป็นธรรมและเป็นธรรม
[๗๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในสมัยใด พระราชาทั้งหลายประพฤติ ไม่เป็นธรรม ในสมัยนั้น แม้ข้าราชการทั้งหลาย ก็พลอยประพฤติไม่เป็นธรรม เมื่อข้าราชการประพฤติไม่เป็นธรรม พราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลายก็ประพฤติ ไม่เป็นธรรมบ้าง เมื่อพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลายประพฤติไม่เป็นธรรม ชาวบ้านชาวเมืองก็ประพฤติไม่เป็นธรรมไปตามกัน ครั้นชาวบ้านชาวเมือง ประพฤติไม่เป็นธรรม ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ก็โคจรไม่สม่ำเสมอ ครั้น ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ โคจรไม่สม่ำเสมอ ดาวนักษัตรทั้งหลายก็เดินไม่เที่ยงตรง ครั้นดาวนักษัตรทั้งหลายเดินไม่เที่ยงตรง คืนและวันก็เคลื่อนไป ครั้นคืนและ วันเคลื่อนไป เดือนและปักษ์ก็คลาดไป ครั้นเดือนและปักษ์คลาดไป ฤดูและ ปีก็เคลื่อนไป ครั้นฤดูและปีเคลื่อนไป ลมก็พัดผันแปรไป ครั้นลมพัด ผันแปรไป ลนนอกทางก็พัดผิดทาง ครั้นลมนอกทางพัดผิดทาง เทวดา ทั้งหลายก็ปั่นป่วน ครั้นเทวดาทั้งหลายปั่นป่วน ฝนก็ไม่ตกตามฤดูกาล ครั้น ฝนไม่ตกตามฤดูกาล ข้าวกล้าทั้งหลายก็สุกไม่ดี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ ทั้งหลายบริโภคข้าวที่สุกไม่ดี ย่อมอายุสั้น ผิวพรรณก็ไม่งาม กำลังก็ลดถอย และมีอาพาธมาก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในสมัยใด พระราชาทั้งหลายประพฤติเป็นธรรม ในสมัยนั้น แม้ข้าราชการทั้งหลายก็ประพฤติเป็นธรรมไปด้วย เนื้อข้าราชการ ทั้งหลายประพฤติเป็นธรรม พราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลายก็ประพฤติเป็นธรรม บ้าง เมื่อพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลายประพฤติเป็นธรรม ชาวบ้านชาวเมือง ก็ประพฤติเป็นธรรมไปตามกัน ครั้นชาวบ้านชาวเมืองประพฤติเป็นธรรม ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ก็โดยจรสม่ำเสมอ ครั้นดวงจันทร์ดวงอาทิตย์โคจรสม่ำเสมอ ดาวนักษัตรทั้งหลายก็เดินสม่ำเสมอ ครั้นดาวนักษัตรทั้งหลายเดินสม่ำเสมอ คืนและวันก็ตรง ครั้นคืนและวันตรง เดือนและปักษ์ก็ตรง ครั้นเดือนและ ปักษ์ตรง ฤดูและปีก็สม่ำเสมอ ครั้นฤดูและปีสม่ำเสมอ ลมก็พัดเป็นปกติ ครั้นลมพัดเป็นปกติ ลมในทางก็พัดไปถูกทาง ครั้นลมในทางพัดไปถูกทาง เทวดาทั้งหลายก็ไม่ปั่นป่วน ครันเทวดาทั้งหลายไม่ปั่นป่วน ฝนก็ตกตาม ฤดูกาล ครั้นฝนตกดามฤดูกาล ข้าวกล้าทั้งหลายก็สุกได้ที่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลายได้บริโภคข้าวที่สุกได้ที่ ย่อมมีอายุยืน ผิวพรรณงาม มีกำลัง และมีอาพาธน้อย เมื่อฝูงโคข้ามฟากอยู่ ถ้าโคโจกตัว นำฝูงไปคด โคนอกนั้นไปคดตามกัน ในหมู่มนุษย์เหมือนกัน ถ้าท่านผู้ได้รับ สมมติให้เป็นใหญ่ ประพฤติไม่เป็นธรรม ไซร้ ประชาชนนอกนี้ ก็จะประพฤติไม่ เป็นธรรมด้วย ถ้าพระราชาไม่ตั้งอยู่ใน ธรรม รัฐทั้งปวงก็ยากเข็ญ. เนื้อฝูงโคข้ามฟากอยู่ ถ้าโคโจกตัว นำฝูงไปตรง โคนอกนั้นก็ไปตรงตามกัน ในหมู่มนุษย์ก็เหมือนกัน ถ้าท่านผู้ได้รับ สมมติให้เป็นใหญ่ ประพฤติเป็นธรรมไซร้ ประชาชนนอกนี้ ย่อมประพฤติเป็นธรรม ด้วย ถ้าพระราชาเป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรม รัฐ ทั้งปวงก็อยู่เป็นสุข. จบธัมมิกสูตรที่ ๑๐ จบปัตตกัมมวรรคที่ ๒ อรรถกถาธัมมิกสูตร พึงทราบวินิจฉัยในธัมมิกสูตรที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้ :- บทว่า อธมฺมิกา โหนฺติ ความว่า พระราชาทั้งหลายประพฤติ ไม่เป็นธรรมโดยไม่เก็บส่วย ๑๐ ส่วน และไม่ลงโทษ ตามสมควรแก่ความผิด ซึ่งพระราชาเก่าก่อนทรงตั้งไว้แล้ว เก็บส่วยเกินพิกัด และลงโทษเกินกำหนด บทว่า ราชยุตฺตา ได้แก่ พนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้ทำราชการอยู่ในชนบทของ พระราชา. บทว่า พฺราหฺมณคหปติกา ได้แก่ พราหมณ์และคฤหบดี ทั้งหลายผู้อยู่ภายในเมือง. บทว่า เนคมชานปทา ได้แก่ ชาวนิคม และ ชาวชนบท. บทว่า วิสมํ ความว่า ลมก็ผันแปรไป ไม่ถูกตามฤดู. บทว่า วิสมา ความว่า ลมพัดไม่สม่ำเสมอ พัดแรงเกินไปบ้าง พัดอ่อนเกินไปบ้าง. บทว่า อปญฺชสา ได้แก่ ลมนอกทาง พัดออกนอกทางไป. บทว่า เทวดา ปริกุปฺปิตา ภวนฺติ ความว่า ด้วยว่าเมื่อลมนอกทางพัดไม่สม่ำเสมอ ต้นไม้ ทั้งหลายก็หัก วิมานก็พังทะลาย เพราะฉะนั้น พวกเทวดาก็ปั่นป่วน. เทวดา เหล่านั้นจึงไม่ยอมให้ฝนตกตามฤดูกาล. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า ฝนก็ไม่ตก ตามฤดูกาล. บทว่า วิสมปากีนิ สสฺสานิ ภวนฺติ ความว่า ข้าวกล้า ทั้งหลายก็สุกไม่เสมอกันอย่างนี้คือ ในที่แห่งหนึ่งตั้งท้อง ในที่แห่งหนึ่ง เกิดน้ำนม แต่ที่แห่งหนึ่งแก่ ดังนี้. บทว่า สมํ นกฺขตฺตานิ ตารกรูปานิ ปริวตฺตนฺติ ความว่า ดาวนักษัตรทั้งหลายย่อมหมุนเวียนสม่ำเสมอเหมือนวันเพ็ญนั้น ได้นักษัตร นั้น ๆในเดือนนั้นอย่างนี้ว่า วันเพ็ญเดือน ๑๒ ได้นักษัตรในเดือน ๑๒ เท่านั้น วันเพ็ญเดือนอ้าย ได้นักษัตรในเดือนอ้ายเท่านั้นฉะนั้น. บทว่า สมํ วาตา วายนฺติ ความว่า ลมทั้งหลายมิใช่พัดไม่สม่ำเสมอพัดในฤดูกาลเท่านั้น ย่อม พัดในฤดูอันเหมาะแก่ชนบทเหล่านั้น ๆ อย่างนี้ คือ ลมเหนือพัด ๖ เดือน ลมใต้พัด ๖ เดือน. บทว่า สมา ความว่า ลมพัดต่ำเสมอ ไม่แรงเกินไป ไม่อ่อนเกินไป. บทว่า ปญฺชสา ได้แก่ ลมที่พัดในทาง ย่อมพัดตามทาง นั่นเอง หาใช่พัดโดยมิใช่ทางไม่. บทว่า ชิมฺหํ คจฺฉติ แปลว่า เดินไปคด คือ ย่อมถือเอาแต่ที่ มิใช่ท่า. บทว่า เนตฺเต ชิมฺหํ คเต สติ ได้แก่ โคชื่อว่าเนตตา เพราะ นำไป. อธิบายว่า เมื่อโคตัวนำเดินไปคด ถือเอาแต่ที่มิใช่ท่า โคแม้นอกนี้ ย่อมถือเอาแต่ที่มิใช่ท่าตามกัน ไป. ปาฐะว่า เนนฺเต ดังนี้ก็มี. บทว่า ทุกฺขํ เสติ แปลว่า ย่อมนอนเป็นทุกข์ อธิบายว่า ประสบทุกข์แล้ว. จบอรรถกาธัมมิกสูตรที่ ๑๐ จบปัตตกัมวรรควรรณนาที่ ๒ พระสูตรปนกับคาถา จบบริบูรณ์ พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 225
0 notes
thaimindfulnews · 7 years
Link
สัตว์ที่ใช้เชือดกุรบาน และ ความประเสริฐของ การทำกุรบาน
อัล อุฎหิยะฮฺ การเชือดสัตว์กรุบ่าน
โดย อ.อับดุลลอฮฺ สุไลหมัด
สัตว์ที่ใช้เชือดกุรบานต้องมีอายุครบตามเกณฑ์กำหนด ดังนี้
1. อูฐ ต้องมีอายุครบ  5 ปี
2. วัว ต้องมีอายุครบ 2 ปี (ตามทรรศนะของนักวิชาการส่วนมาก เช่น อาบีฮานีฟะฮ์,อัชชาฟิอีย์และอะหมัด, ส่วนมาลิกมีทรรศนะว่าต้องมีอายุครบ 3 ปี )
3. แพะ ต้องมีอายุครบ 1 ปี และแกะต้องมีอายุครบ 6 เดือน
สัตว์ที่ใช้เชือดกุรบานต้องมีลักษณะที่สมบูรณ์สวยงามไม่พิกลพิการหรือมีตำหนิที่น่ารังเกียจอย่าง ชัดเจน เช่น ตาเขเสียอย่างน่าเกลียดหรือบอดข้างเดียว ป่วยอาการหนักมากขาเป๋ ขาหัก เขาหัก ผอมแห้งโซ  ฟันหักหมด ทั้งปาก  ไม่มีใบหู ปากแหว่ง  หูแหว่ง จมูกแหว่ง หางขาด และอื่นๆอีก ที่เป็นตำหนิน่าเกลียด อย่างชัดเจน  ดังรายงานจากบะรออฺบุตรอาซิบ  ท่านรอซูลทรงกล่าวว่า
أَرْبَعٌ لاَ تَجُوْزُ فِيْ الأَضَاحِيْ الْعَوْرَاءُ الْبَيِّنُ عَوَرُهَا وَالْمَرِيْضَةُ الْبَيِّنُ مَرَضُهَا وَالْعَرْجَاءُ الْبَيِّنُ عَرَجُهَا وَالْعَجْفَاءُ الَّتِيْ لاَ تُنْقِيْ
“มีสัตว์สี่ประเภทที่ไม่อนุญาตให้นำมาทำกอุฎหิยะฮ์ คือ สัตว์ที่ดวงตาเสียหนึ่งข้าง อย่างชัดเจน สัตว์ที่มี อาการเจ็บป่วยอย่างชัดเจน สัตว์ที่ขาพิการหนึ่งขาอย่างชัดเจน และสัตว์ที่ ผอมแห้งจนออกเดินหากิน เองไม่ได้ ”
จากบันทึกของอะหมัด,มุสลิม,อาบีดาวู้ด,อัตติรมิซีย์, อันนะซาอีย์และอิบนิมาญะฮ์
ท่านค่อลีฟะฮ์อาลีเคยกล่าวว่า
أَمَرَنَا رَسُوْلُ اللهِ أَنْ نَسْتَشْرِفَ الْعَيْنَ وَ الأُذُنَ  وَلاَ نُضَحِّيَ بِعَوْرَاءَ وَلاَ مُقَابِلَةٍ وَلاَ مُدَابِرَةٍ  وَ لاَ خَرْقَاءَ وَلاَ شَرْقَاءَ
"ท่านรอซูลทรงกำชับให้พวกเราพิถีพิถัน โดยเลือกสัตว์ที่มีดวงตาและใบหูที่สมบูรณ์ ไม่พิกลพิการ ท่านห้ามพวกเราเชือดกุรบาน ด้วยสัตว์ที่ตาเขเสีย สัตว์ที่ใบหูถูกเฉือนจนขาด หรือหู ฉีกขาดหรือแม้กระ ทั่งมีใบหู่เป็นรูโหว่น่าเกลียด "
จากบันทึกของอะหมัด,อาบีดาวู้ด,อัตติรมิซีย์, อันนะซาอีย์และอิบนิมาญะฮ์
และยังมีรายงานอีกว่า
أَنَّ النَّبِيَّنَهَى عَنْ أَعْضَبِ الأُذُنِ وَالْقَرْنِ
“แท้จริงท่านนาบีทรงห้ามทำกุรบานด้วยสัตว์ที่ใบหูขาดแหว่งหรือเขาแตกหัก ”
จากบันทึกของอะหมัด,อาบีดาวู้ด,อัตติรมิซีย์และอันนะซาอีย์
ดังนั้นสัตว์ที่ประสงค์จะนำมาเชือดเป็นกุรบานจึงสมควรและจำเป็นจะต้องมีลักษณะ และรูปพรรณสริระที่สมบูรณ์ ที่สุด มีอายุครบบริบูรณ์ ร่างกายอ้วนพลี ไม่มีลักษณะพิกลพิการอย่าง น่าเกลียดแต่อย่างใด และสมควรเป็นสัตว์ที่ เนื้อมีรสชาตอร่อยนุ่มเมื่อนำไปปรุงรับประทานเป็นอาหาร
ส่วนกรณีที่สัตว์มีตำหนิเพียงเล็กน้อยไม่น่าเกลียดอนุญาตให้เชือดทำกุรบานได้ และหากผู้เป็นเจ้าของไม่ชอบใจ เมื่อสัตว์มีตำหนิเพียงเล็กน้อยให้เปลี่ยนตัวใหม่ ได้ทันที มีรายงานว่าอาบูบุรดะฮ์ปรึกษาท่านรอซูลว่า “ ข้าพเจ้าไม่ ประสงค์จะเชือดสัตว์ที่มีตำหนิตรงเขากับหู ” (ไม่สวยเพราะเล็กและสั้นกว่าปกติ)  ท่านรอซูลจึงแนะนำว่า “เมื่อ ท่านประสงค์เช่นนั้นท่านก็ไม่ต้องเชือดมัน แต่ท่านอย่าห้ามผู้อื่นเชือดมัน ”
และหากสัตว์ที่ผู้เป็นเจ้าของเคยตั้งใจไว้ว่าจะเชือดทำกุรบาน แต่ต่อมาภายหลังสัตว์ตัวนั้นเกิดมีตำหนิที่น่าเกลียด ย่างชัดเจน จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นสัตว์ ตัวใหม่ทันที่ถ้ามีความสามารถพอ และหากไม่มีความสามารถพอก็อนุโลม ให้ใช้สัตว์ตัวเดิมได้ อินชาอัลลอฮ์  ดังมีรายงานจากอาบีสะอีดอัลคุดรีย์ว่า “ข้าพเจ้าเคยซื้อแกะไว้ตัวหนึ่งเพื่อ เชือดทำอุฎหิยะฮ์ แต่ต่อมาสุนัขจิ้งจอกได้กัดหางแกะจนขาดวิ่น ข้าพเจ้าจึงสอบถามจากท่านรอซูล ว่าจะสามารถ เชือดแกะตัวนั้นทำกุรบานได้อีกหรือไม่ ? อย่างไร ?  ท่านรอซูลทรงตอบชี้แจงว่า “ มิเป็นไรหรอก  ท่านจงเชือดแกะตัวนี้นทำกุรบานเถิด ”
สัตว์ประเภทใดที่สมควรเชือดเป็นกุรบานมากที่สุด?
นักวิชาการส่วนมากมีทรรศนะและความเข้าใจตรงกันว่า อูฐ เป็นสัตว์ที่สมควรเชือดเป็นกุรบานมากที่สุด รองจาก นั้นเป็นวัว,แกะและแพะตามลำดับ ทั้งนี้เพราะท่านรอซูลทรงเคยชี้แจงถึงผลบุญหรือกุศลสำหรับผู้ไปละหมาดวันศุกร์ อย่างเป็นลำดับตามความประเสริฐของการทำกุรบานไว้ดังนี้รายงานจาก อาบีฮุรอยเราะฮ์ ท่านรอซุลกล่าวว่า
مَنِ اغْتَسَلَ يَوْمَ الْجُمْعَةِ غَسْلَ الْجَنَابَةِ ثُمَّ رَاحَ فِيْ السَّاعَةِ الأُوْلَى فَكَأَنَّمَا قَرَّبَ بَدَنَةً ، وَمَنْ رَاحَ فِيْ السَّاعَةِ الثَّانِيَّةِ فَكَأَنَّمَا قَرَّبَ بَقَرَةً ، وَمَنْ رَاحَ فِيْ السَّاعَةِ الثَّالِثَةِ فَكَأَنَّمَا قَرَّبَ كَبْشًا أَقْرَنَ .. .. الخ )
 “บุคคลใดอาบน้ำชำระร่างกายในวันศุกร์เหมือนการอาบน้ำวาญิบ ( เพื่อไปละหมาดญุมอะฮ์ ) จากนั้นเขา ออกไปมัสยิดตั้งแต่ชั่วโมงแรก เขาจะได้รับกุศลเหมือนทำกุรบานด้วยอูฐหนึ่งตัว และเมื่อเขาออกไป มัสยิดในชั่วโมงที่สองเขาจะได้รับกุศลเหมือนทำกุรบานด้วยวัวหนึ่งตัว และเมื่อเขาออกไปมัสยิดใน ชั่วโมงที่สามเขาจะได้รับกุศลเหมือนกับทำกุรบานด้วยแกะตัวงามหนึ่งตัว  และเมื่อเขาออกไปมัสยิด ในชั่วโมงที่สี่ เขาจะได้รับกุศลเหมือนทำกุรบานด้วยไก่หนึ่งตัว .. .. ”
จากบันทึกของอะหมัด,อัลบุคอรีย์และมุสลิม
ส่วนอิหม่ามมาลิกมีทรรศนะและความเข้าใจว่า สัตว์ที่สมควรและเหมาะสมที่สุดสำหรับเ���ือดทำกุรบานคือ แกะ หรือแพะ รองจากนั้นคือวัวและอูฐตามลำดับ ด้วยเหตุผลที่ว่าท่านรอซูล เชือดกุรบานด้วยแกะหรือแพะเท่านั้น ซึ่งโดยปกติแล้วท่านรอซูลจะทำและสอนให้ทำแต่เฉพาะของที่ดีมีคุณค่าและผลบุญตอบแทน ที่สุดเท่านั้น  และด้วยอีกเหตุผลที่ว่า พระองค์อัลลอฮ์ทรงเรียกสัตว์กุรบานที่ญิบรีลนำมาไถ่แลกตัวอิสมาอีลจากการเชือดของ อิบรอฮีมครั้งนั้นว่า ษิบหฺอะซีม   ذِبْحٌ عَظِيْمٌ แปลว่า สัตว์เตรียมไว้เพื่อเชือดที่ยอดเยี่ยมที่สุด และอัลลอฮ์ทรง ประกาศให้วีรกรรมและเกียรติคุณครั้งนั้นหรือการเชือดสัตว์ ( ษิบหฺอะซีม ) ตัวนั้นเป็นเยี่ยงอย่างแกชนรุ่นหลังสืบไป  ( โปรดดูอัลกุรอานบทอัสซอฟฟ้าต โองการที่ 107-108 )
สัตว์กุรบานสามารถแบ่งส่วนเพื่อให้กระจายทั่วถึงตามอัตราต่อไปนี้
อูฐ กระจายส่วนได้   7  ส่วนตามทรรศนะของนักวิชาการส่วนมาก มีบางทรรศนะระบุว่า อูฐนั้นสามารถกระจาย ส่วนได้ถึง 10 ส่วน ( ในการนี้ท่านอิหม่ามอิบนุ ก็อยยิมอัลเญาซียะฮ์ได้อธิบายชี้แจง เพื่อมิให้เกิดความขัดแย้งระ หว่างทรรศนะที่ประกอบด้วยการอ้างอิงตัวบทหลักฐานที่ถูกต้องไว้ว่า อูฐนั้นสามารถกระจายเพิ่มเป็น 10 ส่วนได้ กล่าวคือ อูฐที่มีรูปร่างสัด ส่วนมาตรฐานทั่วไปกระจายได้เพียง 7 ส่วน  และอูฐตัวใหญ่ ๆ มีสัดส่วนทีใหญ่โตกว่า ปกติทั่ว ไปกระจายได้ 10 ส่วน โดยอาศัยหลักฐานต่อไปนี้  มีรายงานว่าท่านสะอีดอิบนุลมุซัยยิบเคย กล่าวว่า
                         أَنَّ الْجَزُوْرَ عَنْ عَشْرَةٍ وَ الْبَقَرَةَ عَنْ سَبْعَةٍ
“แท้จริงอูฐหนึ่งตัวกระจายส่วนได้สำหรับ 10 คน และวัวหนึ่งตัวกระจายส่วนได้สำหรับ 7 คน ”
ท่านอิบนุอับบาสกล่าวว่า    
كُنَّا مَعَ النَّبِيْ  فِيْ سَفَرٍ فَحَضَرَ الأَضْحَى فَاشْتَرَكْنَا فِيْ الْجَزُوْرِ عَنْ عَشْرَةٍ     وَفِيْ  الْبَقَرَةِ عَنْ سَبْعَة
“พวกเราร่วมเดินทางพร้อมกับท่านาบี  เมื่อถึงวันอีดอัฎฮา พวกจึงเราร่วมกันเชือดกุรบานด้วยอูฐ 1 ตัว สำหรับจำนวน 10 คน  และเชือดวัวอีก 1 ตัวสำหรับ 7 คน ”
จากบันทึกของอาบีดาวู้ด,อัตติรมิซีย์และอิบนิมาญะฮ์
ท่านรอฟิออฺเคยกล่าวว่า
أَنَّ   النَّبِيَّ  قَسَمَ فَعَدَلَ عَشْرَةً مِنَ الْغَنَمِ بِبَعِيْرٍ
“ท่านรอซูลทรงจัดสรรแบ่งปศุสัตว์ให้กับซอฮาบะฮ์ โดยกำหนดให้แพะและแกะ 10  ตัวเท่ากับอูฐ 1 ตัว ”
จากบันทึกของอัลบุคอรีย์และมุสลิม
และทรรศนะที่ท่านอิบนุลก็อยยิมนำเสนอเป็นทรรศนะที่ได้รับการยอมรับในหมู่นักวิชาการจำนวนมาก   เพราะเป็น การรวมหลัก ฐานเข้าด้วยกัน
1.วัว กระจายส่วนได้   7   ส่วน    ตามหลักฐานข้างต้น
2.แกะหรือแพะ  ตัวละ  1  ส่วน
สัตว์กุรบานหนึ่งตัว  สามารถเชือดให้กับสมาชิกในครอบครัวทั้งหมด
     ในกรณีที่สมาชิกในครอบครัวมีความพร้อมด้านทุนทรัพย์ สามารถเชือดสัตว์กุรบานด้วยส่วนของตนเองได้ เป็นการดีสำหรับเขา (อัฟฎ็อล) ที่จะเชือด สัตว์กุรบานด้วยส่วนของตนเองเป็นการเอกเทศ หากสมาชิกในครอบครัว ไม่มีความพร้อมด้านทุนทรัพย์ ศาสนาเห็นชอบให้ผู้นำครอบครัวเชือดสัตว์กุรบานหนึ่งตัว สำหรับแทนสมาชิก ทั้งหมด แม้เพียงแกะหรือแพะหนึ่งตัวก็ใช้ ได้และสามารถแทนคนทั้งหมดได้แม้จะมีจำนวนมากก็ตาม ดังหลักฐาน เหล่านี้ อาอิชะฮ์กล่าวว่า
أَنَّ   النَّبِيَّ ضَحَّى عَنْ نِسَائِهِ بِالْبَقَرِ
“ท่านนาบีทรงเชือดวัว 1 ตัวเป็นกุรบานให้กับภรรยาทั้งหมด ”
ในบางรายงานจากพระนางอาอิชะฮ์ระบุเพิ่มเติมว่า
“ท่านรอซูลทรงเชือด แกะ 1 ตัวเป็นอุฎหิยะฮ์ให้ตัวเองและคนในครอบครัวทั้งหมด ”
จากบันทึกของอัลบุคอรีย์และมุสลิม
และมีรายงานจากอิบนิชิฮาบว่า
مَا نَحَرَ رَسُوْلُ اللهِ عَنْ أَهْلِ بَيْتِهِ إِلاَّ بَدَنَةً وَاحِدَةً أَوْ بَقَرَةً وَاحِدَةً
 “ท่านรอซูลนั้นไม่เคยเชือดกุรบานให้กับครอบครัวนอกจากด้วยการเชือดอูฐหรือวัวเท่านั้น ”
จากบันทึกของมาลิก
อับดุลลอฮ์อิบฮิชาม กล่าวอีกว่า
كَانَ رَسُوْلُ اللهِ   يُضَحِّيْ بِالشَّاةِ الْوَاحِدِةِ عَنْ جَمِيْعِ أَهْلِهِ
“ท่านรอซูลทรงเชือดแกะ 1 ตัวเป็นอุฎหิยะฮ์ให้กับคนในครอบครัวทั้งหมด ”
จากบันทึกของอัลฮาเก็ม
ขอบคุณข้อมูล สัตว์ที่ใช้เชือดกุรบาน จาก : warasatussunnah.net
ที่มา: http://ift.tt/2gr3BJN
0 notes
thaimindfulnews · 7 years
Link
"สาสน์จาก...ทาไลลามะ"
ขอสาธุคุณให้มีความสุขความเจริญ
เมื่อสองสามวันมานี้ ผมได้มีโอกาสเข้าเมือง
เพื่อตามปรนนิบัติพระอาจารย์ในงานบวชลูกศิษย์ ของท่าน
การมาครั้งนี้...ทำให้มีข่าวดีอยู่หลายๆ อย่าง
แต่ที่จะน่าประทับใจที่สุดก็คงเป็นเรื่องของ การมาเยือนขององค์ "ทะไลลามะ"
พระผู้ทรงอิทธิพลและเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ สูงสุดแห่งพุทธศาสนาชาวทิเบต
ท่านมีความประสงค์ต้องการที่จะพบปะกับ พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง
ต้องขอท้าวความก่อนว่า องค์ทะไลลามะนั้น
ท่านเป็นผู้นำของชาวพุทธนิกายมหายาน แบบทิเบตเกลุก เป็นองค์ทะไลลามะองค์ที่ 14 นามว่า ทะไลลามะทับเทน เกียตโซ
การพบปะของผู้ส่งสาสน์ของท่านทำให้พวกเรามา ประติดต่อเรื่องและทำให้พวกเราเข้าใจในที่สุด
ถึงเหตุแห่งการต้องการเข้าพบพระอาจารย์ของ องค์ทะไลลามะ
เมื่อวานนี้มีชาวอินเดียชื่อว่า "อันนิล" ได้เดินทางเข้ามาพบกับพระอาจารย์
เพื่อมาแจ้งให้อาจารย์ทราบถึงความคืบหน้าในเรื่อง ของการเข้าพบองค์ทะไลลามะ
ในส่วนของวิธีการนั้น
ผมไม่ขอเขียนไว้ เพื่อความเหมาะสม...
แต่ที่อันนิลสงสัยเป็นอย่างมากและไม่อา���เก็บงำ ความสงสัยนี้ไว้ได้นั้น
ถึงกลับเอ่ยปากถามพระอาจารย์ถึงสาเหตุการมาขององค์ทะไลลามะและลูกศิษย์อีกสองคนที่ได้มา พุทธอุทยาเกาะกลางน้ำบุญญพลัง
หรือสำนักเกาะดอกท้อเรานี่เอง...
ชาวบุญพลังทุกๆ คนจะรู้จักอันนิล เพราะอันนิลเป็นลูกศิษย์ชาวต่างชาติ
อันนิลเป็นชาวอินเดียคนแรกที่ได้เข้ามาเป็นศิษย์ ของพระอาจารย์
และอันนิลก็เป็นศิษย์ขององค์ทะไลลามะองค์ ปัจจุบัน
ต่อมาตัวเขาเองก็ได้เป็นผู้นำพาพี่สาวที่เป็นศิษย์ ร่วมสำนักมาเข้าพบเพราะมีความสนใจในตัวของ พระอาจารย์
และการพบปะและสนทนาธรรมกับท่าน
สร้างความประทับใจแก่ใจของพี่สาวอันนิล เป็นอย่างมาก
ถึงกับรับปากไว้ว่าจะกลับไปนำเรื่องราวและข้อ ธรรมที่พระอาจารย์ได้เปิดในมุมมองที่แตกต่างนั้น
ไปบอกเล่าให้ชาวศิษย์และองค์ทะไลลามะ��ด้ฟัง
และหลังจากนั้นไม่นานก็มีศิษย์อีกคน อยากมาเข้าพบกับอาจารย์ผ่านทางอันนิลอีกครั้ง
ศิษย์คนนี้มีนามว่า "เดนิช เมธา"
เดนิชเป็นดารานักแสดงที่โด่งดังมากๆ ในประเทศอินเดีย
และเป็นผู้แสดงพระเจ้าปเสนทิโกศลในซีรี่ย์เรื่อง "พระพุทธเจ้า มหาศาสดาโลก"
การมาของเดนิชสร้างความหือฮาแก่ป้าๆ ที่สำนักเกาะดอกท้อเป็นอย่างมาก
คงเพราะว่าดาราดังอาจจะหล่อสู้พระที่เกาะไม่ได้...
แต่ไม่ว่าจะยังไง เดนิชเขาไม่ได้มาเปล่าแค่เที่ยวเฉยๆ
แต่มาพร้อมกับคำถามที่ต้องการให้อาจารย์ตอบ
และคำตอบที่เดนิชได้ฟังนั้น สร้างความประหลาดใจแก่ใจของเขาเป็นอย่างมาก
เดนิชจึงต้องแบกความประหลาดใจนี้กลับไปให้ องค์ทะไลลามะและเหล่าศิษย์ร่วมสำนัก
ได้ฟังถึงเรื่องราวประสบการณ์การพบปะพระผ้าปะ ในครั้งนี้
อันนิลเองแทบไม่อยากเชื่อและได้แต่สงสัย
ว่าเหตุใดซุปเปอร์สตาร์จาก เมืองแกงกะหรี่อย่างเดนิชถึงได้มาสนใจ
พระโนเนมหรือม้ามืดในทางธรรมอย่าง พระอาจารย์
เพราะการมาเยือนของเดนิช ไม่ว่าจะสถานที่ไหนๆ ถ้าเจ้าตัวไม่ได้มาแบบเป็นทางการ
ก็ต้องให้ค่าเสียเวลาสำหรับการมาเยือนในแต่ละที่ ในราคาที่ค่อนข้างสูง
ซึ่งบุญญพลังเองก็ไม่ได้เสียตังสักแดงเดียว
อันนิลจึงเข้าไปถามถึงเหตุการมาของเดนิชและ ความประทับใจที่มีต่อบุญญพลัง
ซึ่งเดนิชตอบสั้นๆ ว่า
"ไม่ต้องถามว่าเขาชอบที่นี่หรือไม่ แต่เอาเป็นว่าตัวเขานั้นจะกลับมาร่วม สร้างพระกับที่นี่สักอาทิตย์นึงอย่างแน่นอน"
ส่วนตัวพี่สาวของอันนิลก็ให้คำตอบกับอันนิลว่า
"จริงๆ วันนั้นตัวเขาตั้งใจจะมาพบและกลับเมืองทันที
แต่การได้สนทนาธรรมกับอาจารย์ท่าน
ทำให้ตัวเขาตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ...
อย่าได้ถามเลยว่าเพราะอะไร
แค่การเปลี่ยนใจที่จะอยู่ต่อ นั่นเป็นคำตอบสำหรับเขาแล้วว่าเขารู้สึกยังไง กับสถานที่และพระอาจารย์"
เดนิชไปเที่ยววัดในประเทศมาก็ไม่ใช่น้อยๆ
แต่ไม่เคยมีที่ไหนที่ทำเขาพูดถึงได้มากเท่า บ้านของผมเอง...
เรื่องราวความประทับใจของการได้มาพบปะกับ พระครองผ้าปะที่อยู่ห่างไกลข้ามน้ำข้ามทะเลออกไป
สร้างความประทับใจแก่องค์ทะไลลามะและ เหล่าวงศิษย์ร่วมสำนักเป็นอย่างมาก
องค์ทะไลลามะจึงมีคำสั่งผ่านเลขาส่วนตัวเพื่อมา ติดต่อกับอันนิลว่าตัวพระองค์ท่าน
มีความปรารถนาจะสนทนาธรรมกับ พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง
และได้ท้าวความถึงสาเหตุที่แท้จริงถึงความ ปรารถนาที่จะเข้าพบ
โดยที่พระองค์ท่านได้ส่งลูกศิษย์ทั้งสอง ทดสอบพระอาจารย์
การมาของศิษย์ทั้งสองที่ได้มานั้น แท้จริงแล้วทั้งสองมาตามความประสงค์ ของเจ้าสำนัก
หรือองค์ทะไลลามะนี่เอง...
ส่วนเหตุที่เกริ่นว่าไว้นั้นต้องย้อนกลับไปเมื่อสองปีก่อน
ที่พุทธคยา...ตอนนั้นพระชาวทิเบตกำลังทำพิธี สำคัญทางนิกายของเขา
ไม่รู้ว่าพิธีอะไรแต่ดูจากการหรั่งไหลเข้ามาของ พระทิเบต น่าจะเป็นพิธีที่ใหญ่ไม่ใช่น้อย
ซึ่งการประกอบพิธีใหญ่ในวันนั้น ไม่มีใครรู้เลยว่าพิธีนั้นถูกเลื่อนออก ไปแบบไม่มีกำหนด
ด้วยกลุ่มชาวพุทธจากเมืองไทยเพียงแค่ร้อยกว่าคน ที่เข้ามาทำการสวดธรรมจักร 108 จบ (จริงๆ วันนั้นสวดไป 147 จบ)
โดยที่ผู้นำในการสวดนั้นก็คือ พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง
การนำสวดนั้นไม่ยาวนานสักเท่าไหร่ แค่เราเริ่มสวดก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
และสวดจบเมื่อตอนหลังพระอาทิตย์ตกดิน
พระชาวทิเบตถือความสำคัญของพิธีเป็นอย่างมาก พวกเขาจะไม่ทำพิธีซ้อนทับกับพิธีใดๆ
ซึ่งนั่นก็เป็นอีกเหตุผลนึงว่าทำไม เหล่าพระทิเบตจึงรอให้พวกเราทำพิธีให้เสร็จสิ้น
แต่ใครจะรู้เล่าว่ากว่าพิธีจะเสร็จสิ้นนั้นมันใช้เวลา แบบไม่นับเดือนนับตะวันกันเลยทีเดียว
เรื่องพระชาวไทยที่นำสวดมนต์ในพุทธคยานั้น
สร้างความกระฉ่อนในวงของพระชาวทิเบตเป็น อย่างมาก
และที่พวกพระเขาประทับใจเป็นอย่างมากนั้น คือผ้าบังสกุลจีวรที่ไม่มีพระในยุคนี้ครองด้วยผ้า แบบนี้
ผ้ายังสกุลจีวรนั้นเป็นผ้าปะที่ผ่านการซ่อมมาหลาย ต่อหลายครั้ง
เหตุเพราะการปารวนาตนครองจีวรผืนเดียวตลอด ชีวิต
แม้แต่พระทางทิเบตเองถึงกับเอ่ยว่า "เขาไม่นึกเลยว่าจะได้มาเห็นผู้ถือครองผ้า แบบสมัยอดีตกาลในยุคของเขาเองเช่นนี้"
เมื่อเห็นเช่นนี้ตัวพระผู้ใหญ่ทางทิเบตจึงขอถ่ายรูป เก็บไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์
และยินดีให้พระอาจารย์นั้นทำพิธีต่อได้นานตราบ เท่าที่ท่านต้องการ...
เรื่องราวที่พวกเรานั้นได้ไปสวดธรรมจักร 108 จบที่พุทธคยานั้น ทำให้พระทิเบตต้องตั้งแง่ใหม่ๆ ที่มีแก่พระไทย
และทำให้เหล่านักบวชทางทิเบตหรือแม้แต่องค์ ทะไลลามะนั้น
ต้องจับตามองพระสงฆ์ในประเทศเล็กๆ
อย่างเช่นประเทศไทย โดยเริ่มจากการการค้นหาพระที่ครองผ้าปะเสียก่อน
เรื่องราวจะดำเนินต่อไปในทิศทางไหนนั้น
หลังจากนี้ตัวผมเองก็ไม่สามารถคาดเดาได้ ว่าจะดำเนินไปตามที่วางแผนไว้รึเปล่า
แต่การที่ได้รับฟังเสียงสะท้อนจากภายนอกนั้น
ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันด้วยใจดวงนี้ว่า
"ไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆ ที่จะทรงคุณค่าเท่า
ทรัพย์สมบัติที่มาจากภูมิปัญญาแห่งมวลมนุษยชาติ"
คำถามจากองค์ทะไลลามะ...
แม้แต่ตัวท่านเองก็ยังอยากที่จะรับฟัง
เพราะคำตอบที่ได้ตอบนั้นใครเล่าจะเข้าใจ
ว่าตัวท่านเองนั้นก็จะได้ฟังคำตอบควบคู่ไปพร้อม กับองค์ทะไลลามะได้ด้วยเช่นกัน...
ขอสาธุคุณสวัสดี... ที่มา: 
ธนดล ขาวสอาด‎
0 notes
thaimindfulnews · 7 years
Link
ถาม : เคยอ่านเจอว่ามีพระวินัยห้ามมิให้พระสงฆ์แสดงธรรรมแก่ผู้ที่มีกิริยาไม่เคารพในธรรม หรือแสดงธรรมไปพร้อมกับพระสงฆ์ หากพระสงฆ์ให้พรด้วยบทสรรเสริญหรือบทพุทธคุณต่างๆ แล้วเราสวดไปพร้อมกับพระ จะทำให้พระท่านเข้าข่ายผิดพระวินัยหรือไม่เจ้าคะ ?ตอบ : ในเรื่องพระภิกษุแสดงธรรมพร้อมกันแล้วต้องอาบัตินั้น ไม่ได้แปลว่าสวดมนต์พร้อมกับชาวบ้าน แต่หมายถึง พระแย่งกันสอนชาวบ้าน ดังนั้น..การสนทนาธรรมกับญาติโยม ถ้าไม่ใช่เขาถามเฉพาะเจาะจงขึ้นมา ก็จะมีพระหนึ่งรูปที่คุยกับโยมอยู่ ถ้าถามเจาะจงขึ้นมา รูปที่กำลังสนทนาอยู่ต้องหยุด รอท่านอื่นตอบคำถามเสร็จแล้วจึงว่าต่อได้ ไม่ใช่ว่าสวดมนต์พร้อมกันแล้วโดนอาบัติ เพราะว่าการสวดมนต์ทำวัตรต้องสวดพร้อมกันอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นวัดท่าขนุนโดนอาบัติทุกวันเป็นแน่แท้ สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ) ณ บ้านวิริยบารมี เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๖ที่มา : เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๖ - กระดานสนทนาวัดท่าขนุน
0 notes
thaimindfulnews · 7 years
Link
ที่มา: อัศวินแห่งเทือกเขาบูโด knights of southern border
0 notes
thaimindfulnews · 7 years
Link
ที่มา: facebook กลุ่มต่อต้านมุสลิมหัวรุนแรง
0 notes
thaimindfulnews · 7 years
Link
ที่มา:  กลุ่มต่อต้านมุสลิมหัวรุนแรง 3 จังหวัดชายแดนใต้
0 notes
thaimindfulnews · 7 years
Link
      พบเอกสาร ราชการตำรวจภูธรภาค 4 ให้ นายเกษม ดวงแพงมาต อตีด พระเกษม ซึ่งเคยต้องอาบัติ ปาราชิก ฐาน เสพเมถุน ทางทวารหนัก กับลูกศิษย์ผู้ชาย เป็นที่ปรึกษาด้าน พระวินัย เหตุใดจึงใช้ผู้ที่มีคุณสมบ้ัติไม่เหมาะสมเช่นนี้มาเป็นที่ปรึกษา? พระภิกษุผู้บริสุทธิ์ในพระพุทธศาสนา ที่มีสติปัญญาความสามารถ เปรียญธรรม 9 ประโยค เจ้าคุณทั้งประเทศทำไมไม่ไปปรึกษาท่าน ????
0 notes