มะดูก
มะดูก ชื่อสามัญ Ivru wood
มะดูก ชื่อวิทยาศาสตร์ Siphonodon celastrineus Griff. จัดอยู่ในวงศ์กระทงลาย (CELASTRACEAE)
สมุนไพรมะดูก มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ยายปลวก (สุราษฎร์ธานี), ไม้มะดูก (คนเมือง), บั๊กโค้ก (เขมร-สุรินทร์) เป็นต้น
ลักษณะของมะดูก
ต้นมะดูก จัดเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลาง ไม่ผลัดใบ ลำต้นมีความสูงได้ประมาณ 20-35 เมตร แตกกิ่งก้านทึบ เรือนยอดมีลักษณะกลมทึบ เปลือกต้นเป็นสีเทาอมดำแตกเป็นร่องตามยาว ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง และการปักชำกิ่ง จัดเป็นพรรณไม้กลางแจ้งที่เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกสภาพ ชอบดินร่วนที่ระบายน้ำได้ดี มีแสงแดดเต็มวัน เป็นพรรณไม้ที่มักพบขึ้นตามบริเวณป่าราบ ป่าโปร่งที่ค่อนข้างชื้น โดยเฉพาะทางภาคเหนือและภาคกลางของประเทศไทย ที่ระดับความสูงไม่เกิน 800 เมตร จากระดับน้ำทะเล ใบมะดูก ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับกัน ลักษณะของใบเป็นรูปค่อนข้างรีหรือรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบสอบแถบเข้าหากัน ส่วนขอบใบเป็นหยักหรือจักเป็นซี่ฟันตื้น ๆ จักห่างหรือแทบมองเห็นไม่ชัด ใบมีขนาดกว้างประมาณ 1-3.5 นิ้ว และยาวประมาณ 1.5-9 นิ้ว แผ่นใบค่อนข้างหนาคล้ายแผ่นหนัง ผิวใบด้านบนเป็นสีเขียวเข้ม เส้นแขนงใบมีข้างละ 6-10 เส้น ก้านใบยาวประมาณ 0.5-2 เซนติเมตร ใบอ่อนเป็นสีเขียวแก่ เมื่อแห้งแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวมะกอกหรือสีเขียวอมเทา
ดอกมะดูก ออกดอกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบ มีประมาณ 2-3 ดอก ก้านช่อดอกยาวประมาณ 0.5-1.5 เซนติเมตร ส่วนก้านดอกย่อยยาวประมาณ 5-11 มิลลิเมตร บางทีมีจุดสีน้ำตาลแดง ดอกเป็นสีขาวนวลหรือสีเหลืองอมส้ม กลีบดอกเป็นรูปไข่หรือรูปรี มี 5 กลีบ ซ้อนทับกัน มีขนาดกว้างประมาณ 1.7-2.5 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 2.2-3.5 มิลลิเมตร ปลายกลีบมน ส่วนกลีบเลี้ยงมี 5 กลีบ โคนกลีบเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็นรูปไจหรือกึ่งกลม ค่อนข้างมน ยาวได้ประมาณ 1-2 มิลลิเมตร กลางดอกมีเกสรเชื่อมติดกับกลีบดอกข้างใน ดอกมีเกสรเพศผู้ 5 อัน ก้านเกสรเพศผู้แบน ยาวได้ประมาณ 1 มิลลิเมตร เชื่อมติดกันที่ครึ่งหนึ่งหรือใกล้ ๆ โคนดอก ออกดอกในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน ผลมะดูก ผลมีลักษณะเป็นรูปกลมหรือรูปรี ผลมีขนาดกว้างประมาณ 1-2.5 นิ้ว และยาวประมาณ 1.5-3 นิ้ว ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อแก่หรือสุกเต็มที่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง ภายในมีเมล็ดรูปไข่หลายเมล็ด เป็นผลในช่วงประมาณเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์
การขยายพันธุ์
ทำได้ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง และการปักชำกิ่ง เป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุยที่อุดมสมบูรณ์ สามารถระบายน้ำและถ่ายเทอากาศได้ดี ชอบแสงแดดแบบเต็มวัน ต้องการน้ำในปริมาณปานกลาง เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่กลางแจ้ง สภาพนิเวศวิทยา พบตามลำธาร และหนอง บึง ในป่าเบญจพรรณและป่าทาม เจริญเติบโตได้ดีในดินเกือบทุกชนิด แต่ชอบดินร่วนโปร่ง มีการระบายน้ำดี มีความชื้นสูงและมีความอุดมสมบูรณ์สูง เกาะอันดามัน, บังกลาเทศ, บอร์เนียว, กัมพูชา, หิมาลายาตะวันออก, จาวา, ลาว, ซุนดาน้อย, มาลายา, โมลุกกะ, เมียนมาร์, นิวกินี, ฟิลิปปินส์, สุลาเวสี, สุมาเตรา, ไทย, เวียดนาม
สรรพคุณทางยา
ราก-ใช้เป็นยาแก้โรคผิวหนัง ผื่นคัน น้ำเหลืองเสีย แก้เอ็นพิการ อาการปวดแสบปวดร้อน แก้ปวดข้อและกระดูก หรือนำไปผสมกับสมุนไพรชนิดอื่นใช้เป็นยาบำรุงและดับพิษในกระดูก แก้โรคมะเร็ง แก้พิษฝีในตับ ในปอด และในกระดูก ลำต้น-ใช้ต้มน้ำดื่มร่วมกับสมุนไพรตัวอื่นเพื่อแก้อาการปวดเมื่อย และบำรุงกำลัง
ขอขอบคุณผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการเว็บ Fast98 เป็น เว็บตรงไม่ผ่านเอเย่นต์ ฝาก-ถอนระบบออโต้ มีแอดมินบริการตลอด 24 ชั่วโมง
0 notes
มะม่วงหัวแมงวัน
มะม่วงหัวแมงวัน ชื่อวิทยาศาสตร์ Buchanania cochinchinensis (Lour.) M.R.Almeida (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Buchanania lanzan Spreng., Buchanania latifolia Roxb. จัดอยู่ในวงศ์มะม่วง (ANACARDIACEAE)
สมุนไพรมะม่วงหัวแมงวัน มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า มะม่วงแมงวัน (ลำปาง), หัวแมงวัน (สุโขทัย), มะม่วงหัวแมงวัน (นครราชสีมา, ราชบุรี), ฮักหมู ฮักผู้ (ภาคเหนือ), รักหมู (ภาคใต้), มะม่วงนก เป็นต้น
ลักษณะของมะม่วงหัวแมงวัน
ต้นมะม่วงหัวแมงวัน จัดเป็นไม้ยืนต้น มีความสูงของต้นได้ถึง 8-20 เมตร ขนาดโตวัดรอบได้ประมาณ 60-100 เซนติเมตร ลำต้นมีลักษณะเปลาตรง เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ ตามก้านและกิ่งอ่อนมีขนยาวสีน้ำตาลแดงทั่วไป เปลือกต้นแตกเป็นร่องหรือเป็นสะเก็ดยาว ๆ ตามลำต้น มีสีเทาแก่หรือสีดำ เปลือกด้านในเป็นสีแดงเลือดหมู เมื่อถากเปลือกในจะมีน้ำยางสีน้ำตาลไหลซึมออกมา เมื่อถากทิ้งไว้จะมียางสีดำ ทำให้ผิวหนังพุพองได้ พบขึ้นทั่วไปตามป่าเบญจพรรณ ป่าชายหาด และป่าเต็งรัง ที่ความสูงจากระดับน้ำทะเล 50-300 เมตร
ใบมะม่วงหัวแมงวัน ใบเป็นใบเดี่ยว ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลับแกมรูปไข่กลับ รูปรียาว หรือรูปขอบขนาน ปลายใบมนสอบแหลม โคนใบสอบ ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 5-7.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 10-15 เซนติเมตร เนื้อใบหนาเหนียวคล้ายหนังสัตว์ หลังใบเรียบ ส่วนท้องใบมีขนตาม���ส้นกลางใบและเส้นแขนงใบ ก้านใบยาว ผลมะม่วงหัวแมงวัน ลักษณะของผลเป็นรูปทรงค่อนข้างกลมหรือป้อม ผลอ่อนเป็นสีเขียวปนม่วง หรือเขียวปนม่วงแดง เมื่อแก่เป็นสีดำ ผลมีขนาดประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ผิวผลเรียบ ภายในมีเมล็ด 1 เมล็ด
ดอกมะม่วงหัวแมงวัน ออกดอกเป็นช่อบริเวณปลายกิ่ง ก้านช่ออวลมีขนสีน้ำตาลแดงขึ้นปกคลุมอย่างหนาแน่น แยกแขนงสั้น ๆ เวลาดอกบานทำให้ดูเป็นก้อนทึบ ดอกมีขนาดเล็กสีขาว ขนาดกว้างประมาณ 2-3 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 3-5 มิลลิเมตร ทั้งกลีบดอกและกลีบเลี้ยงมีอย่างละ 5 กลีบ กลีบเลี้ยงเป็นสีน้ำตาล มีขนปกคลุมใต้กลีบ ด้านนอกของกลีบเลี้ยงและรังไข่มีขนขึ้นหนาแน่น กลีบดอกเป็นสีขาว มีขนาดกว้างประมาณ 3 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร ดอกมีเกสรเพศผู้ 5 อัน เกสรเพศเมีย 1 อัน รังไข่ superior ovary 1 ห้อง 1 ออวุล มีขนสีน้ำตาลแดงขึ้นปกคลุมก้านดอก
ประโยชน์ของมะม่วงหัวแมงวัน
ผลสุกมีรสหวาน ใช้รับประทานเป็นผลไม้ได้ แต่ในเปลือกผลมียางเหมือนกับมะม่วงทั่วไป หากรับประทานมากเกินไปอาจทำให้เกิดการระคายเคืองในลำคอได้ เนื้อไม้มีสีน้ำตาลอมเทา มีความแข็งแรงทนทาน สามารถนำมาใช้ในงานก่อสร้าง ทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้หรือเฟอร์นิเจอร์ได้ กิ่งก้านใช้ทำเป็นฟืนหรือเผาเป็นถ่านได้เป็นอย่างดี ยางและราก สามารถนำมาใช้ทำเป็นสีย้อมผ้า หรือสีพิมพ์ผ้าได้
การขยายพันธุ์มะม่วงหัวแมงวัน
มะม่วงหัวแมงวันสามารถขยายพันธุ์ได้ด้วยวิธีการตอนกิ่ง ทาบกิ่ง การเพาะเมล็ด และการเปลี่ยนยอด โดยการปลูกช่วงต้นฤดูฝน เพื่อให้มะม่วงหัวแมงวันตั้งตัวได้เร็วเนื่องจากอากาศและดินมีความชุ่มชื้นดี และเป็นการสะดวกที่ไม่ต้องรดน้ำในระยะแรก ส่วนระยะการปลูกมีอยู่ 2 ลักษณะคือ การปลูกชิดและการปลูกห่าง แต่ในปัจจุบันจะนิยมการปลูกระยะห่างมากกว่าเพราะลงทุนต่ำกว่าและดูแลรักษาง่ายกว่า ซึ่งปกติแล้วมักจะใช้ระยะปลูกประมาณ 6-10 x 6-10 เมตร ซึ่งจะปลูกได้ไร่ละประมาณ 16-25 ต้น
สำหรับหลุมปลูกควรให้มีขนาดความกว้าง x ยาว x ลึก ไม่น้อยกว่า 30x30x30 ซม. โดยหากดินในพื้นที่ไม่อุดมสมบูรณ์ต้องขุดหลุมปลูกให้มีขนาดใหญ่ จากนั้นนำดินที่ขุดไปผสมกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก หรือนำดินที่อุดมสมบูรณ์มาใส่เพื่อให้มะม่วงหัวแมงวันในระยะแรกเจริญเติบโตได้ดี ส่วนการปลูกนั้นเมื่อขุดหลุมเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วก็นำต้นกล้าลงปลูกจากนั้นกลบดินที่ผสมปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอกให้พูนสูงกว่าระดับดินเดิม 20-30 ซม. จากนั้นกลมดินให้แน่นรดน้ำให้ชุ่ม แล้วใช้ไม้รวกปักแล้วใช้เชือกมัดยึดกับลำต้นเพื่อกันลมโยก ถ้าแสงแดดจัดอาจพรางแสงด้วยวัสดุต่าง ๆ เช่น ทางมะพร้าว เป็นต้น
สนับสนุนโดย เว็บFast98 เล่นได้ทันที ไม่ต้องโหลดแอพให้ยุ่งยาก มีเกมและกีฬาให้เลือกอย่างมากมาย สล็อตเว็บตรง ที่ดีที่สุดและทันสมัยที่สุดในไทย สมัครฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
0 notes
ฟักเขียว
ฟักเขียว หรือ ฟักแฟง (พันธุ์เล็ก) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า "ฟัก" มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Winter melon, White gourd, Winter gourd, Ash gourd
ฟักเขียว ชื่อวิทยาศาสตร์ Benincasa hispida (Thunb.) Cogn. จัดอยู่ในวงศ์แตง (CUCURBITACEAE)
ฟักเขียว มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า มะฟักหอม (แม่ฮ่องสอน), ฟักขี้หมู ฟักจิง มะฟักขม มะฟักหม่น มะฟักหม่นขม (ภาคเหนือ), บักฟัก (ภาคอีสาน), ฟัก ฟักขาว ฟักเขียว ฟักเหลือง ฟักจีน แฟง ฟักแฟง ฟักหอม ฟักขม (ภาคกลาง), ขี้พร้า (ภาคใต้), ตังกวย (จีน), ดีหมือ ลุ่เค้ส่า (ชาวกะเหรี่ยง), หลู่ซะ (กะเหรี่ยงเชียงใหม่), หลู่สะ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน), หลึกเส่ (กะเกรี่ยงแดง), สบแมง (เมี่ยน), ฟักหม่น ผักข้าว (คนเมืองล้านนา) เป็นต้น
ฟัก จัดเป็นพืชล้มลุกจำพวกไม้เถาเช่นเดียวกับบวบ มะระ หรือแตงชนิดอื่น ๆ มีถิ่นกำเนิดไม่แน่นอนระหว่างทวีปเอเชีย แอฟริกา และอเมริกา เพาะปลูกกันมากในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียตะวันออก และเอเชียใต้ ลักษณะของผลจะเป็นรูปทรงกระบอกปลายมน มีสีเขียวแก่จะเรียกว่า "ฟัก" ถ้าเป็นพันธุ์เล็กผิวมีสีเขียวอ่อน ๆ เราจะเรียกว่า "แฟง" หรือ "ฟักแฟง" แต่ถ้าเป็นพันธุ์ที่ลักษณะของผลค่อนข้างกลมสีเขียวแก่ ๆ จะเรียกว่า "ฟักหอม" หรือถ้าเป็นพันธุ์ที่รสขมเราจะเรียกว่า "ฟักขม" เป็นต้น สำหรับในบ้านเรานั้นผลฟักเขียวจะนิยมนำมาใช้ประกอบอาหารเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นอาหารประเภทคาวและหวาน เช่น ต้ม ผัด แกง หรือทำเป็นขนมหวานในช่วงเทศกาล ใช้บริโภคทั้งแบบดิบและแบบสุก และสามารถบริโภคได้ทั้งผลอ่อนและผลแก่ โดยผลอ่อนจะมีรสชาติที่เข้มกว่าผลแก่ และมีน้ำมากกว่า
ลักษณะของฟักเขียว
ต้นฟักเขียว เป็นพืชอายุสั้น ลำต้นยาวหลายเมตร ลำต้นมีสีเขียว มีขนหยาบขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วทั้งต้น เป็นพืชที่แตกกิ่งก้านสาขามาก ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด สามารถปลูกได้ดีในดินร่วนปนทราย ปลูกเพียง 3 เดือนก็สามารถเก็บผลผลิตได้ ใบฟักเขียว ลักษณะของขอบใบหยักเป็นเหลี่ยม แยกออกเป็น 5-11 แฉกคล้ายฝ่ามือ ปลายใบแหลม ขอบใบหยักแบบซี่ฟัน โคนใบเว้าเป็นรูปหัวใจกว้าง ๆ ใบออกเรียงสลับกันตามข้อต้น ผิวใบหยาบ มีขนปกคลุมทั้งสองด้าน ใบมีสีเขียวเข้ม แผ่นใบกว้างประมาณ 10-20 เซนติเมตรและยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร ส่วนก้านใบยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร
ดอกฟักเขียว ออกดอกตามง่าม ดอกเป็นดอกเดี่ยว มีสีเหล���อง ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียจะอยู่ต้นเดียวกัน เมื่อดอกบานเต็มที่จะกว้างประมาณ 6-12 เซนติเมตร โดยดอกเพศผู้จะมีก้านดอกยาว 5-15 เซนติเมตร มีกลีบรองดอกโคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกเป็นกลีบ 5 กลีบ กลีบเป็นรูปไข่หัวกลับ ยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร มีเส้นมองเห็นได้ชัดเจน มีเกสรตัวผู้ 3 อันติดอยู่ใกล้กับปากท่อดอก และอับเรณูจะหันออกไปด้านนอก ส่วนดอกเพศเมีย ก้านดอกจะสั้น มีกลีบรองดอกและกลีบดอกลักษณะเหมือนดอกเพศผู้ เป็นรูปไข่หัวกลับหรือเป็นรูปทรงกระบอก ยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร มีขนยาวปกคลุมอยู่หนาแน่น มีท่อรังไข่สั้น ปลายท่อแยกออกเป็น 3 แฉก
ผลฟักเขียว ลักษณะของผลเป็นรูปกลมยาว หรือเป็นรูปไข่แกมขอบขนานหรือขอบขนานค่อนข้างยาว ผลมีความกว้างประมาณ 10-20 เซนติเมตรและยาวประมาณ 20-40 เซนติเมตร ผลอ่อนมีขน ส่วนผลแก่ผิวนอกมีนวลเป็นแป้งสีขาวเคลือบอยู่ เปลือกแข็งมีสีเขียว เนื้อด้านในมีสีขาวปนเขียวอ่อน ฉ่ำน้ำ เนื้อแน่นหนา เนื้อตรงกลางฟูหรือพรุน และมีเมล็ดสีขาวอยู่ภายในจำนวนมาก เมล็ดฟักเขียว ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปไข่ เมล็ดแบน มีความกว้างประมาณ 5-7 มิลลิเมตร และยาวประมาณ 10-15 มิลลิเมตร ผิวเรียบมีสีขาวหรือสีน้ำตาลอ่อน
การปลูก
ฟักเขียวขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด ปลูกได้ดีในดินร่วนปนทรายโดยการนำเมล็ดที่เตรียมไว้หยอดลงหลุมลึกประมาณ 3–5 เซนติเมตร ประมาณ 2–3 เมล็ด กลบหลุมและรดน้ำสม่ำเสมอทุกวันโดยเฉพาะช่วงติดดอกและผลมิฉะนั้นอาจทำให้ดอกและผลที่ติดหลุดร่วงได้ ในช่วงเวลา 15 วัน ก่อนการเก็บเกี่ยวควรหยุดการให้น้ำเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพและเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในช่วง 35–60 วัน
คุณค่าทางโภชนาการ
คนไทยมักนำผลฟักเขียวมาประกอบอาหารในประเภท ต้ม ผัด แกงหรือนำมาทำขนมหวานในเทศกาล เมนูยอดนิยมของฟักเขียวที่รู้จักกันดี คือ แกงจืดฟักต้มกับไก่ แกงเขียวหวานไก่ฟักเขียว แกงเลียง ฟักเขียวผัดกับหมูใส่ไข่ ฟักเชื่อม และยอดอ่อนลวกหรือต้มกะทิรับประทานทานคู่กับน้ำพริก ทั่วโลกนิยมนำผลฟักเขียวมาบริโภคทั้งแบบดิบและสุก เช่น ฟักเขียวดอง แกงเผ็ด หรือกวนแยม ฟักเขียวสามารถบริโภคได้ทั้งผลอ่อนและผลแก่ โดยผลอ่อนรสชาติจะเข้มกว่าผลแก่ มีน้ำมาก ใบอ่อนและตาดอก นำไปนึ่งหรือใส่ในแกงจืดเพิ่มรสชาติ ส่วนเมล็ดอุดมไปด้วยน้ำมันและโปรตีนโดยทำให้สุกสามารถกินได้ แต่มีข้อควรระวังสำหรับคนที่มีปัญหาทางด้านการขับถ่าย และมีอาการแน่นหน้าอก ไม่ควรรับประทาน
ขอขอบคุณผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการเว็บ Fast98 เป็น สล็อตแตกง่าย ไม่ผ่านเอเย่นต์ ฝาก-ถอนระบบออโต้ มีแอดมินบริการตลอด 24 ชั่วโมง
0 notes
พลองเหมือด
ชื่อสมุนไพร : พลองเหมือด
ชื่ออื่น ๆ : พลองดำ (ประจวบคีรีขันธ์) เหมียด (สุรินทร์) เหมือดแอ่ (มหาสารคาม)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Memecylon edule Roxb.
ชื่อพ้อง : Memecylon edule var. scutellatum (Lour.) Triana, Memecylon scutellatum
ชื่อวงศ์ : Melastomataceae
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้นไม้พลองเหมือด เป็นไม้พุ่มกึ่งยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงประมาณ 1-3 เมตร เปลือกของลำต้นขรุขระเป็นร่อง มีสีน้ำตาลดำ สามารถพบได้มากตามป่าโคกข่าว ป่าโคกหินลาดหนองคู-นาดูน ป่าโคกดงเค็ง ป่าชุมชนดงใหญ่ เป็นต้น ใบพลองเหมือด เป็นใบเดี่ยวออกตรงข้ามกัน ลักษณะของใบรูปวงรีคล้ายโล่ แผ่นใบเรียบเป็นมันมีสีเขียวเข้ม ม้วนขึ้นเขาหาเส้นกลางใบเล็กน้อย ปลายใบแหลม ขอบใบขนาน ความกว้างของใบประมาณ 2-3 เซนติเมตร และยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร ดอกพลองเหมือด เป็นช่อดอกออกเป็นกระจุกตามซอกใบ กลีบดอกมีสีม่วง มีฐานรองดอกคล้ายรูประฆัง ผลพลองเหมือด ผลเป็นผลเดี่ยวคล้ายลูกหว้า ผลดิบมีสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะมีสีม่วงเกือบดำ ข้างในผลมีเมล็ด 1 เมล็ด ลักษณะกลม
ถิ่นกำเนิดพลองเหมือด
พลองเหมือดเป็นพันธุ์พืชที่มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชีย ทั้งในภูมิภารเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้ ซึ่งได้แก่ประเทศ พม่า ลาว ไทย กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย บังคลาเทศ เป็นต้น โดยมักจะพบตามป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าดิบแห้ง และป่าผสมผลัดใบที่มีความสูงตั้งแต่ระดับน้ำทะเล จนถึง 700 เมตร สำหรับในประเทศไทย พบได้มากในภาคอีสาน ส่วนภาคอื่น ๆ พบได้ประปราย
ประโยชน์และสรรพคุณพลองเหมือด
ตามภูมิปัญญาชาวบ้านตามภาคต่าง ๆ ของไทย มีการนำส่วนต่าง ๆ ของพลองเหมือดไปใช้ประโยชน์ในหลายๆด้าน เช่น ผลสุกของพลองเหมือดสามารถนำไปรับประทานเล่นเป็นผลไม้ได้ ยอดอ่อนสามารถนำไปรับประทานเป็นผักสดจิ้มน้ำพริกหรือนำไปเป็นเครื่องเคียงขออาหารชนิดอื่น ๆ ได้อีกหลายชนิด ส่วนเนื้อไม้ของต้นพลองเหมือด สามารถนำไปทำเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในครัวเรือนและเครื่องมือเครื่องใช้ในการเกษตรได้ เช่น ด้ามจอบด้ามเสียบ ใช้ทำซี่ของคราด ทำคอกเทียมวัว-ควายเป็นต้น และยังมีการนำแก่นของต้นพลองเหมือดไปย้อมไหมเพื่อจะให้ไหมมีสีเหลืองอีกด้วย
สำหรับสรรพคุณทางยาของพลองเหมือดนั้นจะคล้ายๆกับบัวบก ตามตำรายาไทยระบุถึงสรรพคุณของพลองเหมือดไว้ว่า เปลือก ใช้รักษารอยฟกช้ำ ราก รักษาโรคกระเพาะอาหาร แก้ประดง (อาการโรคผิวหนัง มีเม็ดขึ้นคล้ายผด คันมาก มักมีไข้ร่วมด้วย) ใบ ต้มรักษาโรคโกโนเรีย ต้นและใบ ต้มน้ำดื่ม เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะขัด รากหรือลำต้น ต้มน้ำดื่ม แก้หืด รักษาโรคกระเพาะอาหาร เปลือกต้นและแก่น บรรเทาอาการปวดฟัน ทำให้ฟันแข็งแรง และในตำรายาพื้นบ้านภาคอีสาน ใช้ น้ำยาง ทาฟันทำให้ฟันไม่ผุง่าย
การขยายพันธุ์พลองเหมือด
พลองเหมือดสามารถขยายพันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด ซึ่งในการขยายพันธุ์ของพลองเหมือดนั้น ส่วนมากจะเป็นการขยายพันธุ์ในธรรมชาติมากกว่าการถูกนำมาปลูกและขยายพันธุ์โดยมนุษย์ และสำหรับการนำส่วนต่าง ๆ ของพลอยเหมือดมาใช้ประโยชน์นั้น ก็จะเป็นการเก็บมาจากในป่าแทบทั้งสิ้น ซึ่งพลองเหมือดถือเป็นพืชสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่ยังไม่เป็นที่นิยมนำมาปลูกตามเรือกสวนไร่นาหรือตามบริเวณบ้านและที่พักอาศัย
ขอขอบคุณผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการเว็บ Fast98 เป็น สล็อตฟรีเครดิต ไม่ผ่านเอเย่นต์ ฝาก-ถอนระบบออโต้ มีแอดมินบริการตลอด 24 ชั่วโมง
0 notes
ทุเรียน
วงศ์ (Family): Bombacaceae
ชื่อสามัญ (Common name): Durian
ชื่อวิทยาศาสตร์ (Scientific name): Durio zibethinus Murray
ลักษณะทั่วไป
ใบ ทุเรียนเป็นไม้ยืนต้น ไม่มีการผลัดใบ ทรงพุ่มแผ่กว้าง อาจสูงถึง 20 ถึง 40 เมตรสำหรับต้นที่ปลูกมาจากเมล็ด ส่วนต้นที่ปลูกจากการเสียบยอดอาจสูงถึง 8 ถึง 12 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ยาวประมาณ 8 ถึง 20 เซนติเมตร และกว้างประมาณ 4 ถึง 6 เซนติเมตร ลักษณะของใบมีลักษณะเป็นพืชใบเลี้ยงคู่ชนิดใบกว้างแบบใบเลี้ยงเดียว ขนาดของใบกว้าง 2-3 นิ้ว ยาว 6-8 นิ้วปลายใบแหลม มีก้านใบสีน้ำตาลยาวประมาณ 1 นิ้ว บนใบสีเขียวแก่ถึงเขียวเข้ม ใต้ใบเป็นสีน้ำตาล เส้นใบทุเรียนสานกัน เป็นร่างแห
ราก ทุเรียนเป็นพันธุ์ไม้ที่มีรากหาอาหารกันตามผิวดินจนถึงระดับ 50 เซนติเมตร มีรากพิเศษที่เกิดจากบริเวณโคนต้นอยู่มากมายตามผิวดิน แตกออกมาลักษณะตีนตะขาบเรียกว่า”รากตะขาบ” รากแก้วของ ทุเรียนทำหน้าที่ยึดลำต้น ทุเรียนนนท์ส่วนใหญ่ ไม่มีรากแก้วเพราะปลูกจากกิ่งตอน แต่จะมีรากพิเศษแทนหรือรากแขนงที่ แตกจากรากพิเศษที่หยั่งลึกลงไปในดินทำหน้าที่คล้ายรากแก้วและสามารถหยั่งลึกไปถึงระดับน้ำใต้ดินได้ มีรากฝอยเป็น รากหาอาหาร ออกมาจากรากพิเศษที่ทำหน้าที่ดูดอาหารด้วย
ดอก ทุเรียนมีลักษณะคล้ายระฆัง มีส่วนของ ดอกครบถ้วนและเป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีรังไข่อยู่เหนือส่วนอื่นของดอกแต่ละ ดอกประกอบด้วย กลีบเลี้ยงอยู่ชั้นนอกสุดมีสีเขียวอมน้ำตาล หุ้มดอกไว้มิดชิดโดยไม่มีการแบ่งกลีบแต่เมื่อดอกใกล้แย้ม จึงแยกออกเป็นสองหรือสามกลีบ กลีบรองลักษณะคล้ายหม้อตาลโตนดอยู่ถัดเข้าไปจากกลีบเลี้ยง กลีบดอกสีขาวนวลมี 5กลีบ เกสรตัวผู้มี 5 ชุด ประกอบด้วยก้านเกสร5-8 อัน ทุเรียนมักออกดอกเป็นช่อๆหนึ่งมีตั้งแต่ 1-30 ดอก ดอกมักอยู่รวม กันเป็นพวงๆมี 1-8 ดอก
ผลผลของทุเรียนมีเปลือกหนา มีหนามแหลมแข็งเป็นรูปปิรามิดตลอดผล ทรงของผลทุเรียนมีหลายรูปแบบแล้วแต่ชนิดพันธุ์ของทุเรียน เช่นพันธุ์กลม (ก้านยาว กระดุม) พันธุ์ก้นป้าน (หมอนทอง ทองย้อย) ฯลฯ ผลมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 10-20 เซนติเมตรความยาวอยู่ที่ลักษณะของทุเรียน เนื้อของทุเรียนมีสีจำปาหรือเนื้อสีเหลืองอ่อน ขึ้นอยู่กับสภาพของดินและพันธุ์ของทุเรียน
ทุเรียนเป็นผลไม้ที่อยู่วงศ์ฝ้าย ในสกุลทุเรียน (แต่นักอนุกรมวิธานบางท่านจัดให้ทุเรียนอยู่ในวงศ์ทุเรียน) ทุเรียนจัดว่าเป็นราชาผลไม้ไทย โดยเป็นพืชพื้นเมืองของประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไน โดยลักษณะของผลทุเรียนจะมีขนาดใหญ่ ผลรีถึงกลม และมีเปลือก( สีเขียวถึงสีน้ำตาล) ที่ปกคลุมไปด้วยหนามแข็ง ผลทุเรียนอาจมีเส้นผ่านศูนย์กลางของผลยาวถึง 15 ซม. น้ำหนักโดยทั่วไปประมาณ 1-3 กิโลกรัม และมีเนื้อที่นำมารับประทานเป็นสีเหลืองซีดจนถึงสีแดง ซึ่งจะแตกต่างกันออกไปตามสายพันธุ์
ทุเรียนมีมากกว่า 30 ชนิด แต่มีเพียง 9 ชนิดเท่าน��้นที่สามารถรับประทานได้ ได้แก่ Durio zibethinus, Durio dulcis, Durio grandiflorus, Durio graveolens, Durio kutejensis, Durio lowianus, Durio macrantha, Durio oxleyanus และ Durio testudinarum แต่มีเพียงสายพันธุ์ Durio zibethinus ชนิดเดียวเท่านั้นที่ได้รับความนิยมทั่วโลก และชนิดนี้ก็แบ่งแยกย่อยไปอีกมากกว่า 200 สายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมและปลูกกันมากก็คือ พันธุ์หมอนทอง ชะนี กระดุมทอง และพันธุ์ก้านยาว เป็นต้น
ทุเรียนเป็นผลไม้ที่กลิ่นเฉพาะตัว โดยเนื้อในจะเหมือนคัสตาร์ด มีรสชาติคล้ายอัลมอนด์ สำหรับบางคนนั้นบอกว่าทุเรียนมีกลิ่นหอม แต่ในขณะที่บางคนกลับมองว่ามันมีกลิ่นเหม็นรุนแรงจนถึงขั้นสะอิดสะเอียนเลยทีเดียว (ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เขาห้ามนำทุเรียนเข้าไปในโรงแรมและการขนส่งสาธารณะ) ทุเรียนนั้นเราสามารถรับประทานได้ทั้งสุกและห่ามแล้วแต่คนชอบ นอกจากนี้ยังนำไปใช้ทำอาหารได้อย่างหลากหลาย แม้แต่เมล็ดก็รับประทานได้แต่ต้องทำให้สุกก่อน
ขอขอบคุณผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการเว็บ Fast98 เป็น แทงหวยออนไลน์ ไม่ผ่านเอเย่นต์ ฝาก-ถอนระบบออโต้ มีแอดมินบริการตลอด 24 ชั่วโมง
0 notes
ถั่วดํา
ถั่วดำ ชื่อสามัญ Vigna mungo, Black gram, Black lentil[1], Catjung, Cow pea, Black matpe, Urd
ถั่วดำ ชื่อวิทยาศาสตร์ Vigna mungo (L.) Hepper (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Phaseolus mungo L.) จัดอยู่ในวงศ์ถั่ว (FABACEAE หรือ LEGUMINOSAE) และอยู่ในวงศ์ย่อยถั่ว FABOIDEAE (PAPILIONOIDEAE หรือ PAPILIONACEAE)
ถั่วดํา มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ถั่วนา ถั่วไร่ ถั่วมะแป ถั่วซั่ง มะถิม ถั่วเขียวผิวดำ ถั่วแขก เป็นต้น
จากข้อมูลของคณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ระบุว่า ถั่วดำ ก็คือ "ถั่วเขียวผิวดำ" ที่เดิมใช้ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Phaseolus mungo L. และต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนชื่อวิทยาศาสตร์เป็น Vigna mungo (L.) Hepper สรุปแล้วถั่วดำก็คือถั่วเขียวชนิดหนึ่งนั่นเอง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าถั่วดำมีถิ่นกำเนิดในแถบประเทศอินเดีย หรือในพม่า เนื่องจากมีหลักฐานที่ระบุว่ามีศูนย์กลางแหล่งกำเนิดอยู่ในประเทศอินเดียและเอเชียกลาง และภายหลังได้แพร่กระจายไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ประเทศไทย พม่า มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ตลอดจนถึงทวีปอเมริกา แอฟริกา และออสเตรเลีย
ลักษณะของถั่วดำ
ลักษณะถั่วดำและถั่วเขียวโดยรวมแล้วจะคล้ายกัน ๆ โดยรากถั่วดำมีระบบรากแก้ว ต้นถั่วดำ จัดเป็นพืชล้มลุก มีลำต้นตั้งตรงเป็นพุ่ม มีความสูงประมาณ 30-100 เซนติเมตร บางสายพันธุ์มีลำต้นแบบกึ่งเลื้อย ส่วนของลำต้นที่อยู่เหนือใบเลี้ยงจะค่อนข้างเป็นเหลี่ยม และมีขนปกคลุมอยู่ทั่วไป ใบถั่วดำ ใบจริงคู่แรกจะเป็นใบเดี่ยวอยู่ตรงข้ามกัน และใบจริงในลำดับต่อไปจะเกิดแบบสลับอยู่บนลำต้น แต่ละใบประกอย จะมีใบย่อย 3 ใบ มีขนาดเล็ก สีเขียวเข้ม และหนา เป็นรูปไข่ (ใบย่อยมีขนาดเล็กกว่าใบย่อยถั่วเขียว) ส่วนก้านใบยาวประมาณ 6-20 เซนติเมตร ที่ฐานของก้านใบจะมีหูใบอยู่ 2 อัน ส่วนก้านใบย่อยจะสั้น ใบย่อยใบกลางมีหูใบย่อย 2 อัน ส่วนใบย่อย 2 ใบล่าง จะมีหูใบย่อยอยู่ข้างละอัน และใบมีขนปกคลุมยาวและหนาแน่นอยู่ทั่วไป
ดอกถั่วดำ ออกดอกเป็นช่อ มีก้านดอกยาวและดอกเกิดเป็นกลุ่มที่ปลาย ในหนึ่งช่อจะมีดอกประมาณ 5-6 ดอก โดยดอกจะเกิดตามมุมใบ ก้านช่อดอกยาวประมาณ 18 เซนติเมตร ส่วนดอกย่อยมีขนาดเล็ก สีเหลืองหรือสีเขียวอ่อน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-1.75 เซนติเมตรดอก มีกลีบ 5 กลีบ โดยมีกลีบใหญ่ 1 กลีบ กลีบข้าง 2 กลีบ และกลีบหุ้มเกสร 2 กลีบ โดยกลีบหุ้มเกสรจะมีลักษณะม้วนเป็นเกลียว ปลายมีลักษณะคล้ายปากแตร ดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียในดอกเดียวกัน
ฝักถั่วดำ ฝักมีลักษณะเป็นทรงกระบอกยาว ฝักสั้นตรง ฝักเมื่อแก่อาจมีสีขาวนวล น้ำตาลอ่อน สีน้ำตาลเข้ม หรือสีดำ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่ปลูก ในฝักจะมีเมล็ดอยู่ไม่เกิน 8 เมล็ด เมล็ดถั่วดำ หรือ ลูกถั่วดำ มีลักษณะค่อนข้างเป็นทรงกระบอก ปลายตัดเป็นเหลี่ยม มีตาสีขาวคล้ายรอยแผลเป็นเล็กน้อยอยู่ทางด้านเว้าของเมล็ดถั่ว เมล็ดมีสีดำและด้าน โดยเมล็ดถั่วดำ 100 เมล็ดจะหนักประมาณ 1.5-4 กรัม
สรรพคุณของถั่วดำ
ถั่วดำมีรสหวาน สรรพคุณช่วยบำรุงโลหิต ช่วยบำรุงสายตา สรรพคุณถั่วดำ ช่วยขจัดพิษในร่างกาย ช่วยขับเหงื่อ ถั่วดำ สรรพคุณช่วยแก้อาการร้อนใน ช่วยรักษาดีซ่าน ถั่วดำ มีสารที่ช่วยบรรเทาอาการปวดลำไส้เล็ก สรรพคุณของถั่วดำ ช่วยขับลมในกระเพาะ ช่วยขับของเหลวในร่างกาย ช่วยบำรุงไต ป้องกันไตเสื่อม ช่วยแก้อาการบวมน้ำ ช่วยแก้อาการเหน็บชา ช่วยแก้อาการปวดเอว
ขอขอบคุณผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการเว็บ Fast98 เป็น หวยรัฐบาล ไม่ผ่านเอเย่นต์ ฝาก-ถอนระบบออโต้ มีแอดมินบริการตลอด 24 ชั่วโมง
0 notes
ตะโกสวน
ตะโกสวน ชื่อวิทยาศาสตร์ Diospyros malabarica (Desr.) Kostel. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Diospyros embryopteris Pers., Diospyros peregrina (Gaertn.) Gürke, Embryopteris peregrina Gaertn.) จัดอยู่ในวงศ์มะพลับ (EBENACEAE)
สมุนไพรตะโกสวน มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า พลับ, ตะโก (ไทย), ตะโกไทย, ปลาบ, มะเขือเถื่อน, มะสุลัวะ เป็นต้น
ตะโก เป็นต้นไม้ถิ่นกำเนิดไทย จึงเป็นต้นไม้ไทยแท้ ๆ ขึ้นเองตามธรรมชาติตามป่าหรือใกล้นา ซึ่งส่วนใหญ่ ตามชนบทก็ดูเป็นต้นไม้ธรรมดา ไม่ค่อยนำมาใช้ประโยชน์มากนัก อย่างเช่นผู้เขียนเมื่อก่อนมองแล้วก็ผ่านเลย ตอนนี้ชื่นชอบตะโกมาก ๆ ยิ่งทราบว่าเป็นไม้ไทยแท้ จึงพยายามหามาปลูก พอมาอยู่ในกลุ่มผู้ปลูกเลี้ยงไม้บอนไซ เวลามีงานประกวดไม้บอนไซ ได้ชมเสมอบอนไซตะโกให้ความสวยงาม มีคุณค่ามาก ฯ ตะโกยังเป็นไม้ดัดโบราณ เราได้ชมภาพตามหนังสือไม้ดัด หรือบางสถานที่จะปลูกเป็นไม้ประดับที่สวยงามเยี่ยม
ลักษณะของตะโกสวน
ต้นตะโกสวน จัดเป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบขนาดกลาง มีความสูงได้ประมาณ 8-15 เมตร ทรงพุ่มกลมทึบ เปลือกต้นเป็นสีดำมีแต้มสีขาว เนื้อในเปลือกเป็นสีแดงเข้ม ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด พบขึ้นตามป่าไม้ ป่าเบญจพรรณและมีปลูกตามเรือกสวนไร่นาทั่วไป ใบตะโกสวน ใบเป็นใบเดี่ยว ใบอ่อนเป็นสีแดง ลักษณะของใบแคบรูปขอบขนาน ปลายใบค่อนข้างแหลม ปลายใบแหลมมน โคนใบโค้งมน เนื้อใบหนาคล้ายแผ่นหนัง ใบมีขนาดประมาณ 4x8 เซนติเมตร
ดอกตะโกสวน ดอกเป็นสีขาวจนถึงสีเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ออกดอกตามซอกใบ ดอกเพศผู้จะออกดอกเป็นช่อ ช่อละประมาณ 2-7 ดอก กลีบเลี้ยงมีขนอ่อน ๆ ขึ้นปกคลุม มี 4 แฉก ลักษณะเป็นรูปไข่กว้างและกลีบดอกเป็นหลอดกว้าง ส่วนดอกเพศเมียมักจะออกเป็นดอกเดี่ยวและมีขนาดใหญ่กว่าดอกเพศผู้ กลีบเลี้ยงมีขนขึ้นปกคลุม ลักษณะของกลีบเป็นรูปไข่กว้าง และกลีบดอกเป็นรูประฆัง
ผลตะโกสวน ผลมีลักษณะกลม มีเกล็ดที่หลุดร่วงได้ง่ายขึ้นปกคลุม ผลมีขนาดโตคล้ายผลตะโกนา แต่จะโตและยาวกว่า โดยจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3.5 เซนติเมตร ผลดิบมียางมากและมีรสฝาด ผลสุกเป็นสีส้มเหลือง ภายในผลมีเมล็ดฝังอยู่ในเนื้อ 8 เมล็ด เมล็ดเป็นสีน้ำตาลดำทรงรีแป้น มีขนาดประมาณ 1x2 เซนติเมตร
สรรพคุณของตะโกสวน
ใช้เป็นยาบำรุงธาตุ (เปลือกต้น, เนื้อไม้) เปลือกต้นมีสรรพคุณช่วยทำให้เกิดกำลัง (เปลือกต้น) เปลือกต้นมีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด (เปลือกต้น) ใช้เป็นยาแก้อาเจียน (เปลือกราก, เปลือกต้น) ใช้เป็นยาแก้ปวดฟัน (เปลือกราก) ยางจากต้นมีสรรพคุณเป็นยาแก้ท้องเดิน (ยางจากต้น) เปลือกรากมีสรรพคุณเป็นยาแก้ท้องร่วง (เปลือกราก, ยางจากผล) ใช้เป็นยาแก้บิด (เปลือกราก, ยางจากต้น) เนื้อไม้มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหาร (เนื้อไม้) ใช้เป็นยาแก้พยาธิ (ราก, ดอก, ผล) เปลือกผลมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะ (เปลือกผล) ใช้เป็นยาแก้ฝีเปื่อยผุพัง (ราก) ใช้เป็นยาสมานแผล (เปลือกราก, ยางจากต้น) ใช้เป็นยาแก้แผลน้ำกัดเท้า (ยางจากต้น, ยางจากผล) ใช้เป็นยาแก้บวม (ราก, เปลือกราก, ดอก, ผล)
ขอขอบคุณผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการเว็บ Fast98 เป็น เกมยิงปลา ไม่ผ่านเอเย่นต์ ฝาก-ถอนระบบออโต้ มีแอดมินบริการตลอด 24 ชั่วโมง
0 notes
ชำมะเลียง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lepisanthes fruticosa (Roxb.) Leenh.
ชื่อเรียกอื่น : โคมเรียง (ตราด), พูเวียง (นครราชสีมา), มะเถ้า ผักเต้า (ภาคเหนือ), หวดข้าใหญ่ ภูเวียง (ภาคอีสาน), ชำมะเลียง ชำมะเลียงบ้าน พุมเรียง พุมเรียงสวน (ภาคกลาง)
ชื่อวงศ์ : (SAPINDACEAE)
ลักษณะของชำมะเลียง
ต้นชำมะเลียง มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง มีความสูงของต้นประมาณ 4-7 เมตรและสูงได้ถึง 8 เมตร เปลือกลำต้นเป็นสีน้ำตาลแตกเป็นร่อง ๆ ตามกิ่งอ่อนและยอดอ่อน มีขนสีน้ำตาล ชำมะเลียงเป็นพันธุ์ไม้ผลพื้นเมืองที่ขยายพันธุ์ได้ง่าย ทนทานต่อโรคและแมลงได้ดี โดยขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด ขึ้นได้ในดินเค็ม มีการแพร่กระจายพันธุ์ตามธรรมชาติ ตามป่าโปร่ง ตามแนวชายป่า หรือริมลำธาร ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลจนถึง 1,000 เมตร และพบได้มากในแถบพื้นที่ชายทะเล พบได้ในทุกภาคของประเทศ แต่จะพบได้มากในภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงใต้
ใบชำมะเลียง ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกเรียงสลับ มีใบย่อยประมาณ 5-7 คู่ ออกเยื้องกันเล็กน้อย ลักษณะของแผ่นใบย่อยเป็นรูปรีแกมขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมนหรือสอบเข้า ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2-3 เซนติเมตรและยาวประมาณ 7-21 เซนติเมตร แผ่นใบหนา หลังใบเรียบเป็นมัน ส่วนท้องใบเรียบ ก้านใบยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร และบริเวณก้านใบจะมีหูใบลักษณะเป็นแผ่นกลม ๆ เด่นชัด
ดอกชำมะเลียง ออกดอกเป็นช่อแบบ Raceme ออกตามกิ่งและลำต้น ช่อดอกห้อยลง ช่อดอกยาวได้ถึง 75 เซนติเมตร ดอกย่อยของแต่ละช่อจะมีทั้งดอกที่สมบูรณ์เพศและไม่สมบูรณ์เพศ ดอกเป็นสีขาวครีม ดอกเมื่อบานจะมีขนาดกว้างประมาณ 5-7 มิลลิเมตร กลีบดอกมี 5 กลีบแยกกัน ที่ฐานจะเรียวเล็ก กลีบดอกมีลักษณะเป็นรูปรีคล้ายกลีบเลี้ยงแต่จะบางกว่าและอยู่สับหว่างกลีบเลี้ยง ดอกเพศผู้มีเกสรเพศผู้ 8 ก้าน ติดอยู่ด้านหนึ่งของฐานรองดอกที่นูนขึ้น มีขนาดยาวประมาณ 3-4 มิลลิเมตร มีก้านชูอับเรณูสั้น ๆ ส่วนดอกเพศเมียมีเกสรเพศเมีย 1 ก้าน มีรังไข่ติดอยู่เหนือฐานรองดอก และมีเกสรเพศผู้ที่ไม่เจริญ 8 ก้านติดอยู่รอบ ๆ รังไข่ รังไข่มี 3 พู 3 ห้อง ในแต่ละห้องจะมีออวุล 1 อัน สำหรับกลีบเลี้ยงดอกนั้นจะเป็นสีม่วง มี 5 กลีบ ลักษณะกลีบเลี้ยงเป็นรูปรี มีขนาดกว้างประมาณ 3-4 มิลลิเมตรและยาวประมาณ 5-6 มิลลิเมตร โดยจะออกดอกในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนธันวาคม
ผลชำมะเลียง หรือ ลูกชำมะเลียง ผลออกเป็นช่อ ๆ ในหนึ่งช่อจะมีผลเป็นพวง พวงละประมาณ 20-30 ผล ลักษณะของผลเป็นรูปทรงกลม รูปไข่ หรือรูปไข่ถึงรูปรีป้อม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของผลประมาณ 2-3 เซนติเมตร ผิวผลเรียบเป็นมัน ผลสดเป็นสีเขียวอมม่วงแดง เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงดำ เนื้อผลฉ่ำน้ำ มีรสหวาน ใช้รับประทาน ภายในผลมีประมาณ 1-2 เมล็ด ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปทรงกลมหรือรูปไข่ปนขอบขนาน ผิวเรียบเป็นสีดำ มีขนาดกว้างประมาณ 1-1.5 เซนติเมตรและยาวประมาณ 2-2.5 เซนติเมตร โดยจะติดผลในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนธันวาคม และผลจะแก่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์
สรรพคุณของชำมะเลียง
รากชำมะเลียง รับประทานได้ มีรสขมเล็กน้อย ใช้กินแก้ไข้เหนือ ไข้กาฬ ไข้พิษ ไข้สันนิบาต เลือดกำเดาไหล อาการร้อนใน อาการกระสับกระส่าย และอาการท้องผูก ควรนำไปต้มให้สุกก่อน ผลชำมะเลียงสุก ช่วยแก้อาการท้องเสีย
วิธีการปลูกชำมะเลียงในกระถาง
นำดินร่วนผสมกากมะพร้าวหรือแกลบใส่หลุมกระถางเพาะต้นกล้า แล้วรดน้ำให้ดินยุบตัวลงเล็กน้อย คัดเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์โรยลงบนหน้าดินที่เตรียมไว้ จากนั้นนำดินที่เหลือมากลบ รดน้ำให้ชุ่มปานกลาง ย้ายกระถางเพาะเมล็ดชำมะเลียงไว้ในที่ที่มีแดดส่องทั่วถึง หลังจากเพาะต้นกล้าได้แล้วประมาณ 10 วัน จะสังเกตเห็นต้นกล้างอกออกมา และเมื่อต้นกล้าเจริญเติบโตแข็งแรงพอควร ให้ย้ายมาปลูกในกระถางขนาดกลาง วิธีปลูกไม่ยากเลยใช่ไหม หากใครสนใจปลูกชำมะเลียงใส่กระถางไว้ที่บ้าน ลองทำตามวิธีการที่บ้านทิพย์สวนทองนำมาฝากกันดู
ขอขอบคุณผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการเว็บ Fast98 เป็น สล็อตjoker ไม่ผ่านเอเย่นต์ ฝาก-ถอนระบบออโต้ มีแอดมินบริการตลอด 24 ชั่วโมง
0 notes
เงาะ
เงาะ ชื่อสามัญ Rambutan
เงาะ ชื่อวิทยาศาสตร์ Nephelium lappaceum L. จัดอยู่ในวงศ์เงาะ (SAPINDACEAE)
เงาะ มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า เงาะป่า (นครศรีธรรมราช), พรวน (ปัตตานี), กะเมาะแต มอแต อาเมาะแต (มาเลย์ปัตตานี) เป็นต้น
เงาะเป็นผลไม้เมืองร้อน มีถิ่นกำเนิดในประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย และแพร่ขยายมาปลูกในบ้านเราในภายหลัง ซึ่งนิยมปลูกในภาคใต้และภาคตะวันออก สายพันธุ์ที่นิยมเพาะปลูกมากที่สุดก็ได้แก่ พันธุ์โรงเรียน (เงาะโรงเรียน) พันธุ์สีทอง พันธุ์สีชมพู เป็นต้น ส่วนสายพันธุ์อื่น ๆ ก็มีปลูกกันบ้างประปราย
ลักษณะทั่วไป
ลำต้นของเงาะนั้นจะมีความสูงประมาณ 10-15 เมตร แต่ต้นเงาะที่ปลูกตามสวนของเกษตรกรนั้นจะมีความสูงไม่มากนัก โดยจะมีความสูงอยู่ประมาณ 4-8 เมตร เพราะวิธีการปลูกคือนำต้นพันธุ์มาจากการเสียบยอดหรือการตอนจึงทำให้ต้นมีความสูงไม่มาก แต่ต้นที่ปลูกด้วยเมล็ดก็จะมีความสูงมากกว่านี้ ในส่วนของลำต้นเงาะนั้นมีเปลือกสีเทาอมน้ำตาล โดยที่ลำต้นจะแตกกิ่งตั้งแต่ระดับล่างและแตกกิ่งออกเป็นจำนวนมาก ทำให้มองเป็นทรงพุ่มหนาทึบ ซึ่งกิ่งนั้นจะมีขนาดเล็กและเปราะหักง่าย แต่มีเนื้อไม้ลำต้นที่แข็ง
ใบของเงาะนั้นจะเป็นใบประกอบแตกออกตามปลายกิ่ง ในส่วนของก้านใบหลักนั้นจะยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร และบนก้านใบหลักจะมีใบย่อยแตกออกเรียงสลับกันประมาณ 4-6 อยู่ใบด้วยกัน ลักษณะของใบจะเป็นรูปไข่กลับหัว ขนาดใบประมาณ 4×15 เซนติเมตร แผ่นใบด้านบนจะมีสีเขียมอมน้ำตาลเป็นมันเล็กน้อย ส่วนแผ่นใบด้านล่างนั้นจะมีสีที่อ่อนกว่า ซึ่งแผ่นและขอบใบจะดูเรียบ มีปลายใบที่แหลมแต่ไม่มีขน และมีเส้นใบ 8-10 คู่
ดอกในส่วนของดอกเงาะนั้นจะออกดอกเป็นช่อและแทงออกที่ส่วนปลายของกิ่ง แต่ถ้าหากปลายหรือยอดกิ่งถูกทำลายก็จะทำให้ช่อดอกนั้นแทงออกบริเวณตาข้างใกล้ส่วนปลายกิ่ง ความยาวของแต่ละช่อก็จะมีขนาดประมาณ 25 เซนติเมตร และมีความกว้างประมาณ 20 เซนติเมตร ในระยะแรกช่อดอกนั้นจะเป็นสีน้ำตาลดำ แต่เมื่อโตขึ้นแล้วจะมีสีเขียวอ่อนหรือน้ำตาลอมเขียว โดยแต่ละช่อดอกนั้นจะมีดอกประมาณ 1,450 ดอก แต่จะติดเป็นผลประมาณ 0.5-0.9% ของดอกทั้งหมด หรือประมาณ 6-13 ผลนั่นเอง
วิธีการปลูก
การปลูกด้วยวิธีขุดหลุม การปลูกด้วยการขุดหลุมนั้นควรจะขุดหลุมให้มีลักษณะ กว้าง×ยาว×ลึก ประมาณ 50×50×50 เซนติเมตร แต่ในกรณีที่ดินที่ใช้ปลูกนั้นมีความอุดมสมบูรณ์น้อยก็ควรจะขุดหลุมขนาด 1×1×1 เมตร โดยแนะนำให้ผสมดินกับปุ๋ยคอกแห้งประมาณ 1 บุ้งกี๋ พร้อมกับหินฟอสเฟตประมาณ 2 กระป๋องนม จากนั้นก็กลบลงในหลุมให้สูงกว่าระดับเดิมประมาณ 20-25 เซนติเมตร เสร็จแล้วก็นำกิ่งพันธุ์ดีมาวางไว้กลางหลุมเล็ก ๆ ที่เตรียมไว้และทำการกลบดินให้สูงกว่าระดับเดิมประมาณไม��เกิน 1 นิ้ว แต่ให้ระวังอย่ากลบดินให้สูงกว่ารอยแผลที่ติดตา และควรใช้ไม้เป็นหลักโดยการใช้เชือกผูกต้นไว้กับไม้เพื่อยึดกิ่งไว้ไม่ให้ต้นล้ม วิธีนี้จะเหมาะกับพื้นที่ที่ยังไม่มีการวางระบบระบายน้ำเอาไว้มาก่อน ซึ่งจะช่วยให้ดินในหลุมนั้นเก็บความชื้นเอาไว้ได้ดีขึ้น
การปลูกโดยที่ไม่ต้องขุดหลุม การปลูกด้วยวิธีนี้จะเหมาะกับพื้นที่ที่มีฝนตกชุก เพราะต้นเงาะชอบพื้นที่ที่ค่อนข้างชื้นแต่สามารถระบายน้ำได้ดี แต่วิธีนี้จำเป็นต้องมีการวางระบบระบายน้ำเอาไว้ก่อนที่จะปลูก โดยวิธีนี้จะทำให้ต้นเงาะมีการเจริญเติบโตได้เร็วกว่าวิธีการขุดหลุม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแนะนำให้เลือกต้นกล้าที่มีระบบรากดี ไม่ขดไม่งอ ถ้าเป็นต้นกล้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อยก็ให้ตัดดินและรากที่ขดหรือจะพันตรงก้นถุงออกก็ทำได้เช่นกัน
ขอขอบคุณผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการเว็บ Fast98 เป็น สล็อตpgแตกง่าย ไม่ผ่านเอเย่นต์ ฝาก-ถอนระบบออโต้ มีแอดมินบริการตลอด 24 ชั่วโมง
0 notes
[TEASER] Lisa’s #OUTNOW Unlimited teaser poster
183 notes
·
View notes
กาแฟ
กาแฟ เป็นไม้ยืนต้นที่มีใบเขียวชอุ่มตลอดทั้งปี ให้ผลซึ่งมีสรรพคุณในการกระตุ้นประสาท ซึ่งต้นกำเนิดของกาแฟเชื่อว่าอยู่ในดินแดนเอธิโอเปียโบราณในทวีปแอฟริกา โดยในอดีตนั้น กาแฟเคยเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของดินแดนอาหรับ จากนั้นก็ได้แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลก ในปัจจุบันประเทศที่ปลูกกาแฟส่งออกติดอันดับโลก ได้แก่ บราซิล เวียดนาม อินโดนีเซีย โคลัมเบีย และอินเดีย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ต้นกาแฟ ลำต้นเจริญเติบโตมาจากรากแก้ว มีลักษณะเป็นข้อและปล้อง โคนใบจะอยู่ตามข้อของลำต้น เมื่อต้นโตขึ้นใบจะร่วงหล่นไป โคนใบมีตา 2 ชนิด คือ ตาบนและตาล่าง ตาบนจะแตกกิ่งออกมาเป็นกิ่งแขนงที่ 1 ลักษณะเป็นกิ่งนอนขนานกับพื้นดินมีข้อและปล้อง แต่ละข้อจะมีกลุ่มตาดอกที่จะติดเป็นผลกาแฟต่อไป ส่วนตาล่างจะแตกออกเป็นกิ่งตั้ง กิ่งจะตั้งตรงขึ้นไปเหมือนลำต้น และไม่ติดผล แต่สามารถสร้างกิ่งแขนงที่ให้ดอกผลได้ ซึ่งเรียกเป็นกิ่งแขนงที่ 1 เช่นกัน และกิ่งแขนงที่ 1 ยังสามารถแตกกิ่งแขนงต่อไปได้อีกเป็นกิ่งแขนงที่ 2 และกิ่งแขนงที่ 2 ก็สามารถแตกเป็นกิ่งแขนงที่ 3 ได้อีก โดยกิ่งแขนงเหล่านี้จะเกิดในลักษณะเป็นคู่สลับเยื้องกันบนลำต้นหรือกิ่งตั้ง เมื่อมีการตัดลำต้นกาแฟ ตาล่างบนลำต้นจะแตกกิ่งตั้งขึ้นมา กิ่งก็จะแตกเป็นกิ่งแขนงที่ 1, 2 และ 3 จากนั้นก็จะมีการสร้างดอกและผลกาแฟต่อไป โดยต้นกาแฟนั้นจะสามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด
ใบกาแฟ ใบเป็นใบเดี่ยว เกิดที่ข้อเป็นคู่ตรงข้ามกัน โคนใบและปลายใบเรียวแหลม ส่วนขอบใบหยักเป็นคลื่น ตรงกลางใบกว้าง ผิวใบเรียบนุ่มเป็นมัน มีปากใบอยู่ด้านท้องใบ แต่ละใบจะมีปากใบประมาณ 3 ล้านถึง 6 ล้านรู โดยปากใบโรบัสต้าจะมีขนาดเล็กกว่าปากใบของกาแฟอาราบิก้า แต่จะมีจำนวนมากกว่า มีอายุใบประมาณ 250 วัน ส่วนก้านใบนั้นมีขนาดสั้น
ดอกกาแฟ ปกติแล้วดอกกาแฟจะออกเป็นดอกเดี่ยวสมบูรณ์เพศ มีกลีบดอกประมาณ 4-9 กลีบ ส่วนกลีบเลี้ยงมี 4-5 ใบ มีเกสร 5 อัน และมีรังไข่ 2 ห้อง ในแต่ละห้องของรังไข่จะมีไข่ 1 ใบ ผลกาแฟจึงมีเมล็ด 2 เมล็ด ดอกจะออกเป็นกลุ่ม ๆ บริเวณโคนใบบนข้อของกิ่งแขนงที่ 1, 2 หรือ 3 กลุ่มดอกแต่ละข้อจะมีดอกประมาณ 2-20 ดอก ดอกจะออกจากกิ่งแขนงจากข้อที่อยู่ใกล้กับลำต้นออกไปหาปลายกิ่งแขนง โดยปกติแล้วต้นกาแฟจะออกดอกตามข้อของกิ่ง ข้อที่ออกดอกออกผลแล้วในปีต่อไปก็จะไม่ออกดอกและให้ผลอีก
ผลกาแฟ ผลมีลักษณะเป็นรูปทรงรี ก้านผลสั้น ผลดิบเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สีส้ม และสีแดง ผลกาแฟจะประกอบด้วยเปลือก เนื้อที่มีสีเหลือง (เมื่อสุกมีรสหวาน) และกะลาที่ห่อ���ุ้มเมล็ด ช่วงระหว่างกะลากับเมล็ดจะมีเยื่อบาง ๆ ที่หุ้มเมล็ดอยู่ ซึ่งเราเรียกว่า "เยื่อหุ้มเมล็ด" ในแต่ละผลจะมี 2 เมล็ดประกับกันอยู่ ก้านที่ประกบกันจะอยู่ด้านในมีลักษณะแบน มีร่องตรงกลางเมล็ด 1 ร่อง ส่วนด้านนอกโค้ง ลักษณะของเมล็ดจะเป็นเมล็ดเดี่ยวหรือเมล็ดโทน ในบางครั้งหากการผสมเกสรไม่สมบูรณ์ จะทำให้ผลติดเมล็ดเพียงเมล็ดเดียว (คิดเป็นประมาณ 5-10%) ซึ่งจะมีลักษณะเป็นรูปกลมรีทั้งเมล็ด มีร่องตรงกลาง 1 ร่อง เมล็ดจำพวกนี้จะเรียกว่า "พีเบอร์รี่"
สายพันธุ์ของกาแฟ
แม้ว่าสายพันธุ์ของกาแฟจะมีอยู่ด้วยกันหลายสายพันธุ์ แต่หลัก ๆ ที่นิยมปลูกและจำหน่ายกันทั่วโลก มีอยู่ด้วยกัน 2 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์อาราบิก้า (Coffea Arabica) ซึ่งเป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกเป็นอย่างมาก โดยผลผลิตของการแฟพันธุ์อาราบิก้าคิดเป็นร้อยละ 75-80 ของผลผลิตของกาแฟทั่วโลก ส่วนอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่มีผลผลิตประมาณร้อยละ 20 ของผลผลิตกาแฟทั่วโลก คือ พันธุ์โรบัสต้า (Coffea canephora) ซึ่งมีรสชาติและความเข้มของรสกาแฟแตกต่างจากอาราบิก้า โดยโรบัสต้าจะมีความเข้มของกาแฟที่มากกว่าอาราบิก้า รวมถึงยังมีปริมาณของคาเฟอีนที่มากกว่าอีกด้วย แต่โรบัสต้าจะด้อยกว่าอาราบิก้าตรงที่รสชาติอาจไม่ค่อยถูกปากคอกาแฟมากนัก
สนับสนุนโดย เว็บFast98 เล่นได้ทันที ไม่ต้องโหลดแอพให้ยุ่งยาก มีเกมและกีฬาให้เลือกอย่างมากมาย พนันบอล ที่ดีที่สุดและทันสมัยที่สุดในไทย สมัครฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
0 notes
กล้วยนวล
กล้วยนวล ชื่อสามัญ Elephant banana, Ensets
กล้วยนวล ชื่อวิทยาศาสตร์ Ensete glaucum (Roxb.) Cheesman[2],[5] (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Musa glauca Roxb.)] จัดอยู่ในวงศ์กล้วย (MUSACEAE)
สมุนไพรกล้วยนวล มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า กล้วยศาสนา (เชียงใหม่), กล้วยโทน (น่าน), กล้วยหัวโต (กรุงเทพฯ), กล้วยญวน, แอพแพละ, นอมจื่อต๋าง (เมี่ยน) เป็นต้น
ลักษณะของกล้วยนวล
ต้นกล้วยนวล มีเขตการกระจายพันธุ์กว้าง พบได้ตั้งแต่ประเทศอินเดีย เนปาล พม่า จีนตอนใต้ และในภูมิภาคมาเลเซีย รวมไปถึงนิวกินีและฟิลิปปินส์ด้วย ส่วนในประเทศไทยจะพบได้ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และทางภาคใต้ เป็นกล้วยลำต้นเดี่ยว ไม่มีไหล น้ำยางเป็นสีเหลืองอมส้ม จัดเป็นไม้ล้มลุกที่มีกาบใบกลายเป็นลำต้นเทียม ลำต้นเทียมมีจุดสีดำม่วงกระจาย
ลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก มีความสูงของต้นประมาณ 5-6 เมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของต้นประมาณ 30-50 เซนติเมตร โคนต้นกว้างอวบใหญ่ ส่วนกาบลำต้นเป็นสีเขียวและมีนวลหนาสีขาว ไม่มีหน่อที่โคนต้น ต้นกล้วยนวลสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศ เป็นไม้ล้มลุกที่เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนระบายน้ำได้ดี และขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด
ใบกล้วยนวล ใบเป็นใบเดี่ยว ลักษณะของใบเป็นรูปรียาวขอบขนาน ปลายใบยาวคล้ายหาง ส่วนโคนใบมีลักษณะเป็นรูปลิ่ม ใบมีขนาดกว้างประมาณ 50-60 เซนติเมตรและยาวประมาณ 1.4-1.8 เมตร แผ่นใบเกลี้ยงเป็นสีเขียวเข้ม ส่วนท้องใบมีนวลหนา ก้านใบยาวเป็นสีเขียวนวล และมีร่องเปิดที่เส้นกลางใบ ส่วนก้านใบสั้น ดอกกล้วยนวล ออกดอกเป็นช่อขนาดใหญ่คล้ายระฆังห้อยดิ่งลง โดยปลีมีใบประดับขนาดใหญ่สีเขียวเรียงสลับ และชิดติดกันตั้งแต่โคนจนถึงปลาย ช่อดอกหรือปลีมีลักษณะเป็นรูปกรวย ยาวประมาณ 2.5 เมตร มีใบประดับเรียงซ้อนเหลื่อมกัน มีนวลติดทนอยู่ด้านใน แต่ละใบมีประมาณ 10-20 ดอก
โดยดอกเพศผู้จะอยู่ช่วงปลาย ส่วนดอกเพศเมียหรือดอกสมบูรณ์เพศจะออกบริเวณช่วงโคน กลีบรวมที่เชื่อมติดกันยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร ที่ปลายมี 3 หยัก กลีบรวมที่แยกเป็นรูปหัวใจสั้นกว่ากลีบรวมที่เชื่อมติดกัน ที่ปลายเป็นติ่ง ผลกล้วยนวล ผลอยู่รวมกันเป็นหวีภายในปลี ผลเป็นผลเดี่ยว ลักษณะของผลเป็นรูปรีสั้น ๆ และมีสันตามยาว ผลมีขนาดกว้างประมาณ 3 เซนติเมตรและยาวประมาณ 6 เซนติเมตร ภายในผลมีเนื้อเยื่อบาง ๆ และมีเมล็ดสีดำขนาดใหญ่ ผิวเรียบและแข็งมาก มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-1.2 เซนติเมตร
สรรพคุณของกล้วยนวล
รากเหง้าใช้เป็นยาแก้ถ่ายท้องได้เป็นอย่างดี (รากเหง้า) น้ำใส ๆ ที่อยู่ภายในโพรงหัว ใช้รักษาผมร่วง (น้ำใสที่อยู่ในโพรงหัว)
ประโยชน์ของกล้วยนวล
ผลอ่อนนำมาใช้ทำส้มตำกล้วย หรือใช้รับประทานสด หรือจะใช้ผลดิบเป็นเครื่องเคียงก็ได้ ยอดอ่อน นำมาใช้ทำแกงหยวกกล้วยใส่ไก้ มีรสหวานเล็กน้อย ปลีกล้วย สามารถนำมารับประทานได้ด้วยการนำไปแกง บ้างว่ากล้วยชนิดนี้รับประทานไม่ได้ แต่สามารถนำมาใช้เลี้ยงสุกรได้ โดยกาบกล้วยใช้เป็นอาหารสุกร ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับทั่วไปในสวน ใบนำใช้รองผักหญ้า รองข้าวเหนียวตอนอุ่นในลังถึง หรือใช้กาบใบนำมาทำใยมาใช้ทำเชือกสำหรับรัดสิ่งของ หรือใช้สับทำปุ๋ยใส่โคนต้นไม้อื่น
0 notes
กระเจี๊ยบแดง
กระเจี๊ยบแดง ภาษาอังกฤษ Rosella, Jamaican sorel, Roselle, Rozelle, Sorrel, Red sorrel, Kharkade, Karkade, Vinuela, Cabitutu
กระเจี๊ยบแดง ชื่อวิทยาศาสตร์ Hibiscus sabdariffa Linn. จัดอยู่ในวงศ์ชบา (MALVACEAE)
ลักษณะของกระเจี๊ยบแดง
ต้นกระเจี๊ยบแดง จัดเป็นไม้พุ่มมีความสูงประมาณ 50-180 เซนติเมตร มีอยู่หลายสายพันธุ์ ลำต้นและกิ่งก้านมีสีม่วงแดง ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด ใบกระเจี๊ยบแดง มีใบเป็นใบเดี่ยว ใบมีหลายลักษณะ ลักษณะคล้ายรูปฝ่ามือ 3 แฉก หรือ 5 แฉก ใบเว้าลึกหรือเรียบ หรือใบเป็นรูปรีแหลม หรือรูปเรียวแหลม ขอบใบมีจักเป็นฟันเลื่อย ใบมีความกว้างและความยาวใกล้เคียงกันประมาณ 8-15 เซนติเมตร และก้านใบมีความยาวประมาณ 5 เซนติเมตร
ดอกกระเจี๊ยบแดง ดอกเป็นดอกเดี่ยว ออกดอกตามซอกใบ มีกลีบดองสีชมพูหรือสีเหลือง บริเวณกลางดอกจะมีสีเข้มกว่าคือสีม่วงแดง ดอกมีเกสรตัวผู้เชื่อมกันเป็นหลอด ก้านดอกสั้น มีริ้วประดับเรียวยาวปลายแหลม มี 8-12 กลีบ กลีบเลี้ยงจะแผ่ขยายติดกันออกหุ้มเมล็ดไว้ มีสีแดงเข้มและหักง่าย เมื่อดอกบานเต็มที่จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 6 เซนติเมตร ผลกระเจี๊ยบแดง ลักษณะของผลเป็นรูปรีมีปลายแหลม ผลมีความยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร ผลอ่อนมีสีเขียว ผลแก่จะแห้งแตกเป็น 5 แฉก ในผลมีเมล็ดสีน้ำตาล ลักษณะคล้ายรูปไตอยู่จำนวนมาก ประมาณ 30-35 เมล็ดต่อผล และผลยังมีกลีบเลี้ยงหนาสีแดงฉ่ำน้ำหุ้มอยู่ เราจะเรียกส่วนนี้ว่ากลีบกระเจี๊ยบหรือกลีบรองดอก (Calyx) หรือที่คนทั่วไปเข้าใจว่าเป็นดอกกระเจี๊ยบนั่นเอง
ประโยชน์ของกระเจี๊ยบแดง
กระเจี๊ยบมีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) และสารโพลีฟีนอล ซึ่งได้แก่ Protocatechuic Acid ที่มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยชะลอความแก่ และช่วยให้เส้นเลือดอ่อนนิ่มได้ กระเจี๊ยบใช้ทำเป็นน้ำดื่มที่ช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น เนื่องจากมีกรดซิตริกอยู่ด้วย ใบอ่อนของกระเจี๊ยบใช้รับประทานเป็นผักได้ หรือจะนำมาใช้ทำแกงส้มก็ได้ ให้รสเปรี้ยวกำลังดี และยังมีวิตามินเอสูง (12,583 I.U. ต่อ 100 กรัม) ที่ช่วยบำรุงสายตาอีกด้วย
กลีบเลี้ยงผลและกลีบดอกอุดมไปด้วยแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง กระเจี๊ยบแดงจัดเป็นพืชส่งออกโดยนำไปใช้เป็นส่วนผสมสำคัญสำหรับ Herbal tea และใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ใช้บริโภคภายในประเทศ ใช้ทำเป็นผลิตภัณฑ์ได้อย่างหลากหลาย เช่น ผลิตภัณฑ์ชาชง กระเจี๊ยบแดงอบแห้ง กระเจี๊ยบแดงแคปซูล เครื่องดื่มต่าง ๆ ใช้ในอุตสาหกรรมสีผสมอาหาร หรือใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ได้แก่ แยม เยลลี่ เบเกอรี ไอศกรีม ไวน์ น้ำหวาน ซอส เป็นต้น รวมไปถึงในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง เช่น โลชัน ครีมกระเจี๊ยบแดง เจลอาบน้ำ ครีมขัดผิว เป็นต้น
น้ำต้มของดอกแห้งจะมีกรดผลไม้หรือ AHA อยู่หลายชนิดในปริมาณสูง จึงมีการนำมาผลิตเป็นเครื่องสำอางประเภทครีมหน้าใส เมนูดอกกระเจี๊ยบแดง เช่น แกงส้มดอกกระเจี๊ยบ ยำดอกกระเจี๊ยบ แยมดอกกระเจี๊ยบ ดอกกระเจี๊ยบแช่อิ่ม กระเจี๊ยบกวน ชากระเจี๊ยบแดง น้ำกระเจี๊ยบแดง เป็นต้น ในแอฟริกาใต้มีการใช้น้ำมันจากเมล็ดเป็นยารักษาแผลให้อูฐนอกจากนี้ลำต้นของกระเจี๊ยบแดงยังสามารถนำมาทำเป็นเชือกปอได้อีกด้วย
โทษของกระเจี๊ยบแดง
กระเจี๊ยบแดงอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ในผู้ป่วยบางราย เพราะมีฤทธิ์เป็นยาระบาย น้ำกระเจี๊ยบมีฤทธิ์เป็นยาขับปัสสาวะ แม้ว่าจะมีความเป็นพิษต่ำมาก แต่ก็ไม่ควรดื่มในปริมาณเข้มข้นและติดต่อกันนาน ๆ เพราะจะไม่เกิดผลดีต่อสุขภาพ
0 notes
กล้วยไม้สกุลเข็ม
กล้วยไม้สกุลเข็ม Ascocentrum
กล้วยไม้สกุลเข็มได้สมญาว่าเป็น “ราชินีของกล้วยไม้แวนด้าแบบมินิหรือแบบกระเป๋า” เพราะเป็นกล้วยไม้ที่มีลักษณะเล็กทั้งขนาดต้น ช่อดอก ขนาดดอก และมีดอกที่มีสีสดใสสะดุดตามากกว่ากล้วยไม้อื่น ๆ ในธรรมชาติพบกล้วยไม้สกุลนี้กระจายพันธุ์อยู่ในทวีปเอเชีย ตั้งแต่อินเดีย ศรีลังกา พม่า ไทย ลงไปถึงอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ จัดเป็นกล้วยไม้ประเภทไม่แตกกอ มีการเจริญเติบโตขึ้นไปทางส่วนยอด เช่นเดียวกับกล้วยไม้สกุลช้าง สกุลแวนด้า สกุลกุหลาบ มีลำต้นสั้น ใบเรียงแบบซ้อนทับกัน รากเป็นระบบรากอากาศ ออกดอกตามข้อของลำต้นระหว่างใบ ช่อดอกตั้งตรงเป็นรูปทรงกระบอก จัดเป็นกล้วยไม้ประเภทแวนด้าที่มีดอกขนาดเล็ก ในประเทศไทยมีกล้วยไม้สกุลเข็มแท้อยู่ 4 ชนิดคือ เข็มแสด เข็มแดง เข็มม่วง และเข็มหนู แต่ที่มีบทบาทสำคัญในการผสมปรับปรุงพันธุ์ คือ เข็มแดง เข็มแสด และเข็มม่วง
เข็มแดง Ascocentrum curvifolium
พบกระจายพันธุ์ในแคว้นอัสสัม ประเทศอินเดีย มาทางประเทศพม่า จนถึงประเทศไทย แถบจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ตาก และ กาญจนบุรี ที่ระดับความสูง 100-300 เมตรจากระดับน้ำทะเล ใบมีสีเขียวอ่อน ค่อนข้างอวบน้ำ ใบแคบ โค้ง เรียว ยาวประมาณ 20 เซนติเมตร กว้างประมาณ 1 เซนติเมตร ในฤดูแล้งขอบใบจะปรากฏจุดสีม่วงประปรายและจะหนาแน่ขึ้นเมื่อแล้งเพิ่มมากขึ้น ดอกสีแดงอมส้ม ดอกโตประมาณ 1.5 เซนติเมตร ช่อดอกรูปทรงกระบอก ตั้งตรง แข็ง ยาวประมาณ 20 เซนติเมตร ดอกแน่นช่อ บานทนนับเป็นสัปดาห์ ออกดอกในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม
เข็มแสด Ascocentrum miniatum
พบกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติในทุกภาคของประเทศไทย ทั้งในลักษณะภูมิประเทศที่ราบและที่เป็นภูเขา จึงสามารถปลูกเลี้ยงได้ดีในทุกภาคของประเทศไทย เข็มแสดมีลำต้นไม่สูงนัก ใบเรียงซ้อนกันแน่น ใบอวบหนา ปลายใบเป็นฟันแหลม และโค้งเล็กน้อย ใบสีเขียวแก่ และอาจมีสีม่วงบ้างเล็กน้อย เมื่อมีสภาพอากาศแห้งแล้ง ใบยาวประมาณ 20 เซนติเมตร กว้างประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ดอกมีกลีบหนา ผิวกลีบเป็นมันสีส้มหรือสีเหลืองส้ม ขนาดดอกโตประมาณ 1–1.5 เซนติเมตร ช่อดอกเป็นรูปทรงกระบอก ดอกแน่นช่อ ช่อหนึ่งอาจมีมากกว่า 50 ดอก ออกดอกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม
เข็มม่วง Ascocentrum ampullaceum
พบตามธรรมชาติในประเทศไทยที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก และต่ำลงไปถึงจังหวัดกาญจนบุรี ที่ระดับความสูงกว่าเข็มแดง เข็มม่วงมีลำต้นตั้งแข็ง ใบแบนกว้าง ปลายตัดและมีฟันแหลมๆ ไม่เท่ากันทลายฟัน ใบยาวประมาณ 15 เซนติเมตร กว้างประมาณ 2 เซนติเมตร ใบสีเขียวคล้ำ ในฤดูแล้งใบจะมีจุดสีม่วงเล็กน้อย ดอกสีม่วงแดง ก้านดอกสั้นเป็นสีเดียวกับดอก เดือยดอกยาวดอกโตประมาณ 2 เซนติเมตร ช่อดอกตั้งตรงรูปทรงกระบอก ยาวประมาณ 15 เซนติเมตร ดอกแน่น ช่อหนึ่งมีประมาณ 30 ดอก มักออกดอกบริเวณส่วนล่างของลำต้น ออกดอกในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ดอกบานทนประมาณ 2 สัปดาห์
เข็มหนู Ascocentrum semiteretifolium
นกล้วยไม้ที่มีใบเป็นแบบใบกลม มีร่องลึกทางด้านบนของใบ ใบกว้างประมาณ 5 มิลลิเมตร มีดอกสีม่วงอ่อน มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย พบที่ดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ ระดับความสูง 1,800-1,900 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นกล้วยไม้ที่ค่อนข้างหายาก ลักษณะของต้นและดอกไม่เป็นที่นิยมของนักปลูกเลี้ยง กล้วยไม้สกุลเข็มเป็นกล้วยไม้ที่ดอกมีสีสันสดใส มีช่อดอกแข็งชูตั้งขึ้นเป็นรูปทรงกระบอก ดอกแน่นเป็นระเบียบ สามารถให้ดอกพร้อมกันได้หลายช่อ ปลูกเลี้ยงง่าย จึงนิยมนำกล้วยไม้สกุลเข็ม (Ascocentrum) ผสมข้ามสกุลกับกล้วยไม้สกุลแวนด้า (Vanda) เป็นกล้วยไม้ลูกผสมแอสโคเซ็นด้า (Ascocenda) ซึ่งจะทำให้ได้กล้วยไม้ที่มีสวยงามขึ้น ออกดอกดกขึ้น ดอกบานทนและปลูกเลี้ยงง่ายขึ้น
ลักษณะพื้นที่ ที่ชอบอยู่อาศัย
กล้วยไม้สกุลเข็มเป็นกล้วยไม้ประเภทไม่แตกกอ ดอกขนาดเล็กกระทัดรัด ช่อดอกอาจตั้งตรงหรือย้อยลงคล้ายกล้วยไม้สกุลกุหลาบ และดอกติดอยู่โดยรอบเป็นทรงกระบอก กลีบชั้นนอกและชั้นในมีรูปร่างคล้ายกันมาก กับส่วนโค้งของสาวเกษรหูกระเป๋ามีขนาดเล็กตั้งและตั้งและมีปลายแหลมฮอร์โมนแผนที่ปากยาวกว่าหูลายปากมูลเป็นรูปขายดินชี้ไปข้างหน้าวิธีลงข้างล่างปากมีหน่วยเป็นถุงยาวคนเดือนอะไรจุดจุดจุดจุดกล้วยไม้สกุลเข็มมีบทบาทในการผสมพันธุ์และเป็นที่นิยมมาก รูปผสมที่ได้จากออกดอกง่ายดอกทั้งปีเลี้ยงง่ายโตเร็วไหมสีสันสะดุดตาสามารถผสมกับกล้วยไม้สกุลต่าง ๆ ได้หลายสกุล
ถิ่นอาศัยและถิ่นกำเนิด
สกุลเข็มกระจายพันธุ์อยู่ในทวีปเอเชียตั้งแต่อินเดียศรีลังกาพม่าไทยลงไปถึงอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์พบอยู่ในป่าธรรมชาติเพียง 5-6 ชนิดเท่านั้นแต่พบในประเทศไทยมี 3 ชนิดคือเข็มแดงเข็มแสดแนะนำมะม่วงเอนเดอร์เกมแดงแหล่งกำเนิดของตะวันตกของไทยมีลำต้นสูงกว่า 20 เมตรเซนติเมตรแบบกระโปรงทรงตัวไม่ได้ใบแคบลงเรียวยาวประมาณ 20 เซนติเมตรกว้างประมาณไหน cm ใบมีสีเขียวอ่อน สีของใบเข็มแสดดอกสีแดงอมส้มมีสีสดใสช่อดอกยาวประมาณ 20 cm ช่อดอกเป็นรูปทรงกระบอกดอกโตประมาณ 1.5 cm ออกดอกในช่วงเมษายนถึงพฤษภาคมดอกบานทนเป็นดารา
0 notes
ไซคลาเมน
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cyclamen spp.
วงศ์ : PRIMULACEAE
สกุล : Cyclamen
พบมีอยู่มากกว่า 20 ชนิด กระจายพันธุ์ตั้งแต่แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนฝั่งทวีปยุโรป ไปจนถึงประเทศอิหร่าน และบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียนฝั่งทวีปแอฟริกา ลงไปจนถึงประเทศโซมาเลีย พบขึ้นตั้งแต่ภูมิประเทศแบบแอลไพน์ (Alpine) ซึ่งอยู่ตามยอดเขาสูง ป่าที่ชุ่มชื้น รวมทั้งบริเวณที่ค่อนข้างแห้งแล้ง พืชในสกุลไซคลาเมน มีลำต้นสะสมอาหารใต้ดิน (Tuber) โดยใบและช่อดอกจะแตกจากตาอ่อนซึ่งอยู่ด้านบน ไซคลาเมนเป็นไม้ผลัดใบ
ดอกของพืชสกุลนี้มีลักษณะเด่น คือกลีบดอกจะกระดกกลับขึ้นไปด้านบน ส่วนมากดอกมีสีอยู่ในโทนสีชมพู แดง บานเย็น ม่วงหรือขาว ไซคลาเมนที่ปลูกเป็นไม้กระถางส่วนมาก เป็นลูกผสมของ Cyclamen persicum (Florist cyclamen) ถิ่นกำเนิดเดิมมาจากตอนเหนือของทวีปแอฟริกา และบริเวณภาคตะวันออกเฉียงใต้ของชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ปัจจุบันมีลูกผสมจำนวนมาก มีตั้งแต่ขนาดเล็กจิ๋วไปจนถึงขนาดใหญ่ รวมทั้งยังคัดพันธุ์จนได้ดอกที่ออกเป็นเฉดสีเหลืองอ่อนอีกด้วยชอบอากาศเย็นจึงจะเจริญงอกงามดี
การเพาะเมล็ด
คุณจะต้องมีกล่องกว้างตื้นทำจากไม้หรือพลาสติก ไม่สามารถปลูกในกระถางแยกต่างหากจนกว่าจะงอก ระบบรากอ่อนแอไม่สามารถครอบครองพื้นที่ทั้งหมดดังนั้นดินเริ่มเปรี้ยวและรา เป็นผลให้หน่ออ่อนป่วยและตาย Cyclamen เติบโตจากเมล็ดมีความทนทานมากกว่าสำเนาพร้อมจากร้านค้า ตัวเขาเองถูกปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่บ้าน ดูเหมือน cyclamen สามารถ ปีแต่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม ในเวลานี้วันของวันเพิ่มขึ้นและต้นกล้าไม่ต้องการแสงเพิ่มเติม
ความสามารถและดินหลวมสำหรับพืชที่เตรียมไว้ล่วงหน้า เมล็ดใน Cyclamen มีขนาดใหญ่ด้วยผิวที่หนาแน่น ก่อนหน้านี้พวกเขาเปียกโชกในน้ำหรือสารละลายของสารกระตุ้นการเจริญเติบโต จากนั้นปิดในพื้นผิวเปียกถึงความลึก 0.5 ซม. ความสามารถถูกปกคลุมด้วยฟิล์มเพื่อให้ดินชื้น หว่านระบายอากาศทุกวันและ ตรวจสอบความพร้อมของการถ่ายภาพ
พวกเขางอกไม่สม่ำเสมอต้นกล้าแรกจะปรากฏขึ้นภายใน 2-4 สัปดาห์ พืชเล็กสร้าง เงื่อนไขที่ดี: เลือกสถานที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอการควบคุมความชื้นของดินไม่อนุญาตให้แห้งกร้านจะถูกตรวจสอบว่าหัวเล็กปกคลุมไปด้วยโลกอย่างสมบูรณ์ ที่พักพิงจากการหว่านถูกทำความสะอาดเมื่อได้รับการแก้ไขแล้วหายไปอย่างสิ้นเชิง ในช่วงเวลานี้ระบบรากของ Cyclamen กำลังพัฒนาอย่างเข้มข้นเป็นเวลา 1-2 เดือน ผ่านผนังของภาชนะบรรจุโปร่งใสมันสามารถมองเห็นได้อย่างไรว่าคั่วค่อยๆเติมพื้นดินซึ่งหมายความว่าเวลาที่ได้มาเผยแพร่พืช
การรดน้ำ
ในระหว่างการออกดอก Cyclamen รดน้ำอย่างล้นเหลือไม่อนุญาตให้มีการบรรจบกัน ในช่วงเวลาที่เหลือรดน้ำลดลง แต่ดินไม่ควรแทนที่ น้ำเพื่อการชลประทานการใช้งานทนอุณหภูมิห้อง คุณไม่สามารถเทหัวและฐานของ cuffs นอกจากนี้ไซคราวน์ไม่ชอบเมื่อน้ำกระทบใบ มันถูกรดน้ำอย่างระมัดระวังในหม้อขอบและมันจะดีกว่าที่ด้านล่างผ่านพาเลท คุณสามารถใช้วิธีการแช่หม้อลดลงในถังด้วยน้ำในระดับดินและทิ้งไว้จนกระทั่งน้ำผ่านรูระบายน้ำถึงพื้นผิวดิน
จากนั้นก็เพิ่มกระถางให้ใส่เพื่อให้ความชื้นส่วนเกินของแก้วและหลังจากถ่ายโอนไปที่ สถานที่ถาวร. ฟีด Cyclamen ในช่วงการเติบโตครั้งแรกและการออกดอกทุก ๆ 2-3 สัปดาห์ ปุ๋ยเหลว สำหรับ พืชดอก. ในช่วงเวลาของการเพิ่มใบของพืชมันเป็นไปได้ที่จะได้รับ 1-2 ครั้งด้วยการแก้ปัญหาที่อ่อนแอของปุ๋ยอินทรีย์ตัวอย่างเช่นเรือที่ให้ความมั่นใจอย่างดี มันผึ่งขึ้นด้วยน้ำที่ความเข้มข้นของ 1:30 แต่ไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในปุ๋ยไนโตรเจน พืชที่ตีพิมพ์ต้านทานโรคและศัตรูพืชอย่างอ่อนโยนบานสะพรั่ง ในระหว่างการบ่งสีและการออกดอก Cyclamen ควรได้รับโพแทสเซียมและฟอสฟอรัสเพียงพอ ในช่วงที่เหลือของพืชไม่ให้อาหาร
0 notes