dhamdople
dhamdople
dhammaforple
99 posts
Don't wanna be here? Send us removal request.
dhamdople · 4 days ago
Text
อธิบายเรื่อง “ธาตุรู้กับขันธ์ 5 และไตรลักษณ์” แบบง่าย ๆ
ในคำสอนของพระพุทธเจ้า มีเรื่องของ ขันธ์ 5 ซึ่งหมายถึงส่วนประกอบของร่างกายและจิตใจเรา 5 อย่าง ได้แก่ รูป (ร่างกาย), เวทนา (ความรู้สึก), สัญญา (ความจำ), สังขาร (จิตใจที่ปรุงแต่ง), และวิญญาณ (จิตรับรู้)
ในขณะเดียวกัน มีคำสอนเรื่อง ไตรลักษณ์ คือ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนมี 3 ลักษณะ คือ
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป (อนิจจัง)
ไม่มีตัวตนถาวร (อนัตตา)
เป็นทุกข์ (ทุกขัง)
ธาตุรู้กับขันธ์ 5 และความอมตะ
บางครั้งหลวงพ่อพูดว่า ถ้าเรา “รู้” อย่างแท้จริง เราจะเป็นอมตะ ไม่ตาย เพราะการรู้แท้จริงนั้นไม่อยู่ในกฎของไตรลักษณ์
แต่ก็เกิดคำถามว่า ถ้าเป็นแบบนั้น มันขัดกับคำสอนที่บอกว่า ทุกสิ่งล้วนอยู่ภายใต้ไตรลักษณ์หรือเปล่า?
คำตอบคือ
สิ่งที่ผสมปรุงแต่ง เช่น ร่างกายของเรา มีธาตุ 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ มารวมกันชั่วคราว
สิ่งเหล่านี้เป็นของชั่วคราว เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปตามกฎไตรลักษณ์
แต่ ธาตุรู้ หรือ “จิตที่รู้” นั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันมีอยู่ตลอดเวลา ไม่อยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์เหมือนกับร่างกาย
สรุปง่าย ๆ
ร่างกายและจิตใจที่เรารู้สึกและเห็น คือขันธ์ 5 ซึ่งเกิดขึ้นและดับไปตามกฎไตรลักษณ์
แต่ “ธาตุรู้” หรือจิตที่รู้จริง ๆ เป็นสิ่งที่ไม่เกิดไม่ดับ ไม่เปลี่ยนแปลง และอมตะ
เพราะฉะนั้น ธาตุรู้จึงไม่อยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์เหมือนกับร่างกายและจิตใจที่ผสมปรุงแต่ง
"ค่ะถ้าตัวเราคือธาตุรู้ที่มารวมกับขันธ์ ทั้ง 5 ที่หลวงพ่อเคยบอกว่าถ้ารู้เป็น 1:51:50 อมตะไม่ตายแสดงว่าถ้ารู้ไม่อยู่ในกฎ ไตรลักษณ์ใช่หรือไม่ครับซึ่งมันก็จะขัด กับคำสอนที่ว่าทุกสรรพสิ่งล้วนอยู่ภายใต้ กฎไตรรักหรือเปล่าครับ สิ่งใดที่มีการผสมปรุงแต่งอยู่ภายใต้กฎ 1:52:05 ไตลัก์ เช่นร่างกายนี้มีการผสมปรุงแต่งด้วยธาตุ 4 มันก็เป็นของชั่วคราวมารวมตัวกันชั่วคราว แล้วเดี๋ยวมันก็แยกออกไปแต่ตัวธาตุที่มา 1:52:20 รวมนี้มันไม่มันไม่เปลี่ยนมันไม่หายมัน ไม่เกิดมันไม่ดับธาตุดินน้ำลมไฟธาตุรู้ นี้มีอยู่ตลอดเวลา"
0 notes
dhamdople · 12 days ago
Text
ขอแจ้งเปลี่ยนแปลงช่องทางการไลฟ์สดการแสดงธรรมของ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช จากเพจ Dhamma.com
ไปที่เพจ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช
ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป
0 notes
dhamdople · 1 month ago
Text
หลวงปู่สาคร ธัมมาวุโธ ได้ให้คำสอนที่น่าสนใจเกี่ยวกับการประพฤติธรรมและการวางกายวางใจให้สบาย โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเข้าใจตัวเราเอง และจัดการกับอารมณ์และกิเลสที่เกิดขึ้นภายในใจ หลวงปู่เน้นว่าการจะประพฤติธรรมให้สมควรแก่ธรรมได้นั้น เราต้องวางกายและใจให้สบาย แต่การวางกายวางใจให้สบายนี่แหละคือสิ่งที่ยาก เพราะใจของเรามักถูกห่อหุ้มด้วยทิฐิ มานะ อาสวะ และกิเลสต่างๆ ทำให้ใจไม่สงบและไม่สามารถเข้าถึงธรรมดั้งเดิมได้ หากใจไม่สงบและวิ่งวุ่นอยู่กับการคิดเรื่องต่างๆ ตลอดเวลา จิตใจก็ไม่สามารถสงบลงไปได้ และหากจิตใจไม่สงบ มรรคผลและนิพพานก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ คำสอนนี้เตือนให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลใจและจัดการกับกิเลส เพื่อให้สามารถประพฤติธรรมได้อย่างแท้จริง และเข้าถึงความสงบภายในใจได้
Summary: The text reflects on what it truly means to practice the Dharma. It challenges us to question whether merely relaxing our body and mind—creating a surface sense of "comfort"—is enough. It points out that even when our body and mind seem at ease, our inner consciousness may still be entangled with defilements like rigid views, pride, and attachments. These obstacles prevent us from returning to our natural, original state that is essential for genuine inner peace. True practice involves continuous self-examination and the cultivation of mindfulness and insight so that we can dispel these hindrances and ultimately pave the way for the realization of Nirvana.
Hashtags:
ปฏิบัติธรรม #จิตสงบ #ธรรมดั้งเดิม #นิพพาน #สมาธิ #วิปัสสนา
0 notes
dhamdople · 1 month ago
Text
Tumblr media Tumblr media
สรุป (ไทย): ข้อความนี้เน้นให้ใคร่ครวญและตรวจสอบเจตนาและเป้าหมายของการภาวนาอย่างลึกซึ้ง โดยย้ำว่าความสำเร็จในการฝึกภาวนาอยู่ที่การตื่นรู้และตื่นตัวให้มากที่สุด
แฮชแท็ก (ไทย):
ภาวนา #เจตนา #ตื่นรู้ #สมาธิ #ตื่นตัว
Summary (English): This message emphasizes the importance of examining one’s intentions and goals in meditation. It stresses that true meditation lies in awakening and remaining as alert as possible.
Hashtags (English):
Meditation #Intention #Awakening #Mindfulness #Alertness
Tumblr media Tumblr media
ข้อความที่คุณให้มาเกี่ยวกับการภาวนาและการตื่นรู้นั้น สอดคล้องกับคำสอนในธรรมะหลายแหล่งที่เน้นเรื่องการฝึก “ตื่นรู้” และ “สติ” อย่างต่อเนื่อง ดังนี้ครับ
การภาวนาไม่ใช่แค่การนั่งสมาธิอย่างเดียว แต่เป็นการฝึกให้ตื่นรู้ในทุกขณะของชีวิต ตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับ เช่น รู้ทันลมหายใจ ท่าทางของร่างกาย ความรู้สึกในใจ เพื่อให้จิตใจมีสติและไม่หลงไปกับความคิดหรืออารมณ์ต่าง ๆ[1]
หลวงพ่อชยสาโร อธิบายการกำหนดสติตื่นรู้ในจิตโดยเปรียบจิตเป็นห้อง มีประตูหกบาน (อายตนะ) ถ้าสติและการตื่นรู้ครอบครองใจเหมือนนั่งอยู่บนเก้าอี้กลางห้อง อารมณ์ต่าง ๆ แม้จะเข้ามา แต่ไม่มีที่ให้นั่งพัก จึงไม่ยั่งยืนและจากไปเอง[2]
การฝึกตื่นรู้คือการรู้ทันความเปลี่ยนแปลงของกายและใจ เช่น รู้ทันลมหายใจ รู้ทันความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ เมื่อจิตหลงไปกับอารมณ์ใด ๆ ก็รู้ทันและกลับมาอยู่กับสติได้ทันที[7]
ท่าน ว.วชิรเมธี เน้นการอยู่กับปัจจุบันและรู้ทันสภาวะจิตใจตลอดเวลา เพื่อให้ชีวิตสดใหม่และมีความตื่นรู้ที่��ท้จริงในทุกขณะ[8]
สรุปคือ คำสอนที่เกี่ยวกับเจตนาและจุดมุ่งหมายในการภาวนา คือการฝึก “ตื่นรู้” อย่างต่อเนื่องและเต็มที่ในทุกขณะ เพื่อให้จิตใจมีสติ ตั้งมั่น และไม่หลงไปกับอารมณ์หรือความคิดใด ๆ ซึ่งเป็นหัวใจของการปฏิบัติธรรมที่นำไปสู่ความสงบและปัญญาในที่สุด
Tumblr media Tumblr media
ภาวนา #ตื่นรู้ #จิตใจ
ข้อความที่คุณให้มาเน้นย้ำถึง ความสำคัญของเจตนาและจุดมุ่งหมายในการภาวนา และ การมุ่งเน้นไปที่การตื่นรู้ เป็นหลักครับ
ความหมายโดยละเอียด:
"จะต้องเช็คดูว่าเจตนา หรือว่าจุดมุ่งหมายในการภาวนาคืออะไร" หมายความว่า ก่อนที่เราจะเริ่มต้นการฝึกภาวนา เราควรพิจารณาและตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนว่า อะไรคือแรงจูงใจที่แท้จริงของเราในการปฏิบัติธรรมครั้งนี้ เราภาวนาเพื่ออะไร? เพื่อความสงบชั่วคราว? เพื่อต้องการบรรลุธรรมขั้นสูง? เพื่อลดความทุกข์? หรือเพื่อความเข้าใจในสัจธรรม? การมีเจตนาที่ชัดเจนและถูกต้องจะนำทางการปฏิบัติของเราไปในทิศทางที่เหมาะสม
"อาตมาจะพยายามย้ำว่าอยู่ที่การตื่นรู้ พยายามตื่น ตื่นให้มากที่สุด" หมายความว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการภาวนาก็คือ การฝึกฝนให้เกิด "ความตื่นรู้" (awareness, awakening) การตื่นในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการไม่ง่วงนอน แต่หมายถึง การมีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวอยู่เสมอในปัจจุบันขณะ รู้ถึงความคิด ความรู้สึก ร่างกาย และสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว โดยไม่เข้าไปยึดมั่นหรือปรุงแต่ง การ "พยายามตื่น ตื่นให้มากที่สุด" เป็นการเน้นย้ำถึงความเพียรในการเจริญสติ เพื่อให้เราสามารถเห็นความจริงของสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน
สรุป:
ข้อความนี้กำลังสอนว่า หัวใจของการภาวนาอยู่ที่การมีเจตนาที่ถูกต้อง และการมุ่งมั่นฝึกฝนเพื่อพัฒนาความตื่นรู้ในทุกขณะของการปฏิบัติ การตื่นรู้จะนำไปสู่ความเข้าใจในตนเองและโลกตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาครับ
ครับ มีครูบาอาจารย์และนักปฏิบัติธรรมหลายท่านได้กล่าวถึงความสำคัญของเจตนาและเป้าหมายในการภาวนา รวมถึงการเน้นย้ำเรื่อง "การตื่นรู้" ครับ
เกี่ยวกับเจตนาและเป้าหมายในการภาวนา:
หลวงปู่ชา สุภัทโท: ท่านมักจะสอนให้พิจารณาถึง "ความอยาก" ที่ซ่อนอยู่ในใจขณะปฏิบัติธรรม และให้ตั้งเป้าหมายที่ถูกต้อง เช่น การภาวนาเพื่อละวางความยึดมั่นถือมั่น ไม่ใช่เพื่ออยากได้ความสงบหรืออยากบรรลุธรรมอย่างรวดเร็ว ท่าน ว.วชิรเมธี: ท่านได้กล่าวถึง "ฉันทะ" หรือความใฝ่ใจในการปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็นเจตนาที่ประกอบด้วยปัญญาและความเข้าใจในคุณค่าของการปฏิบัติ ครูบาอาจารย์สายวิปัสสนา: หลายท่านจะเน้นย้ำถึงการมีเจตนาที่บริสุทธิ์ในการภาวนา เช่น การปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ของตนเองและผู้อื่น โดยปราศจากความเห็นแก่ตัว เกี่ยวกับ "การตื่นรู้":
พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต: ท่านให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการมี "สติ" ที่แน่วแน่และต่อเนื่อง ซึ่งเป็นรากฐานของการตื่นรู้ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ: ท่านเน้นการ "รู้ตัวทั่วพร้อม" ในทุกอิริยาบถ ซึ่งเป็นการฝึกฝนให้เกิดความตื่นรู้อย่างเป็นธรรมชาติ อาจารย์โกเอ็นก้า (สายวิปัสสนาตามแนวทางของท่านอุบาสกะสยจี อูบาขิ่น): หลักการสำคัญของการปฏิบัติวิปัสสนาคือการสังเกตความจริงของกายและใจอย่างเป็นกลาง ด้วยจิตที่ตื่นรู้และไม่ตัดสิน โดยสรุป:
แนวคิดเรื่องการตรวจสอบเจตนาและเป้าหมายในการภาวนา รวมถึงการให้ความสำคัญกับการพัฒนาความตื่นรู้ เป็นหลักธรรมคำสอนที่ได้รับการเน้นย้ำและอธิบายโดยครูบาอาจารย์และนักปฏิบัติธรรมในหลายยุคหลายสมัยครับ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็น หลักการสำคัญและเป็นสากล ในการปฏิบัติธรรมเพื่อให้เกิดผลที่ถูกต้องและแท้จริงครับ
สรุปข้อความ
ในการภาวนา จงตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเจตนาหรือจุดมุ่งหมายของเราคืออะไร ไม่ใช่แค่การปฏิบัติเทคนิคเพียงอย่างเดียว แต่ควรให้ความสำคัญกับการตื่นรู้ในจิตใจ เพื่อให้เกิดความมีสติและตื่นตัวในทุกช่วงเวลาที่ฝึกฝน “อาตม” ย้ำว่าสิ่งสำคัญคือต้องพยายามตื่นรู้ให้มากที่สุดในแต่ละครั้งที่เราฝึกฝนความสงบภายใน
การตื่นรู้ คือภาวะของการมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ไม่หลงเข้าไปในความคิดหรืออารมณ์จนเหมือนคนหลับหรือคนละเมอ[1] คนที่ตื่นรู้จะไม่ยึดติดกับตัวตนหรือความเป็น “ตัวกู” เพราะเข้าใจความจริงของสรรพสิ่งว่าไม่มีอะไรเที่ยงถาวร ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป[1][3][5] การตื่นรู้จึงเป็นการตระหนักรู้ที่ลึกซึ้งถึงธรรมชาติที่แท้จริงของตัวเองและ���ลกภายนอก ทำให้จิตใจเต็มไปด้วยความรัก ความเมตตา และความเชื่อมโยงกับสรรพสิ่ง[1]
การตื่นรู้มีหลายระดับ ได้แก่
ตื่นรู้ในความคิด (Awakening Head) คือการเข้าใจความจริงผ่านการเรียนรู้และปัญญา
ตื่นรู้ที่หัวใจ (Awakening Heart) คือการสัมผัสประสบการณ์จริงของความจริงโดยตรง
ตื่นรู้ในชีวิต (Awakening Life) คือการเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกอย่างสิ้นเชิงจนเกิดอิสรภาพทางใจ ไม่หลงติดในความไม่รู้เดิมอีก[2][5]
โดยสรุป การตื่นรู้คือการปลุกจิตใจให้ตื่นตัวจากความหลงใหลในโลกจำลองและความคิดที่ปรุงแต่ง เป็นการเห็นความจริงของชีวิตและตัวตนอย่างแจ่มชัด ซึ่งนำไปสู่ความสุขและอิสรภาพทางจิตใจ[1][3][6]
Tumblr media Tumblr media
ผู้พูดเน้นย้ำสองประเด็นสำคัญในการทำสมาธิ: ทำความเข้าใจจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ของการทำสมาธิ มุ่งเน้นไปที่การตื่นรู้และมีสติ ("ตื่นขึ้น") ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
คำว่า "ตื่นรู้" เป็นคำที่มีความสำคัญในหลายบริบท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางธรรมและปรัชญาตะวันออก ดังนั้นจึงมีบุคคลสำคัญมากมายที่กล่าวถึงแนวคิดนี้ในรูปแ���บต่างๆ กันไป ขึ้นอยู่กับบริบทและปรัชญาของแต่ละคน
ในทางพระพุทธศาสนา:
พระพุทธเจ้า: ถือได้ว่าเป็นบุคคลแรกและสำคัญที่สุดที่กล่าวถึง "การตื่นรู้" หรือ "โพธิ" (Bodhi) ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรม หมายถึงการรู้แจ้งในสัจธรรม ความจริงอันประเสริฐ และการหลุดพ้นจากความทุกข์ คำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้ามุ่งเน้นไปที่การนำพาผู้ปฏิบัติไปสู่การตื่นรู้นี้ ในปรัชญาตะวันออกอื่นๆ:
ครูบาอาจารย์สายวิปัสสนา: ครูบาอาจารย์หลายท่านในสายการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้กล่าวถึงและเน้นย้ำความสำคัญของการ "ตื่นรู้" หรือ "สติ" ในการเจริญภาวนา เพื่อให้เห็นความเป็นจริงของสรรพสิ่งตามที่เป็น นักปรัชญาเซน: ในศาสนาพุทธนิกายเซน ก็ให้ความสำคัญกับการ "ตื่นรู้" หรือ "ซาโตริ" (Satori) ซึ่งเป็นการหยั่งรู้ฉับพลันในธรรมชาติของจิตและความเป็นจริง นักปรัชญาและกูรูทางจิตวิญญาณอื่นๆ: บุคคลสำคัญอื่นๆ ในประวัติศาสตร์ของปรัชญาตะวันออกก็ได้กล่าวถึงแนวคิดที่คล้ายคลึงกับการ "ตื่นรู้" ในบริบทของตนเอง สรุป:
คำว่า "ตื่นรู้" เป็นแนวคิดหลักที่ถูกกล่าวถึงโดยบุคคลสำคัญมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้า ในฐานะผู้ให้กำเนิดพระพุทธศาสนา และครูบาอาจารย์ต่างๆ ในสายการปฏิบัติธรรมและปรัชญาตะวันออกอื่นๆ ที่ได้ขยายความและเน้นย้ำความสำคัญของสภาวะแห่งความรู้แจ้งและความตระหนักนี้
หากคุณมีบริบทเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับ "ตื่นรู้" ที่คุณสนใจ เช่น ในแง่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือในบริบทของปรัชญาใดเป็นพิเศษ โปรดแจ้งให้ทราบได้เลยนะครับ ผมยินดีที่จะให้ข้อมูลเพิ่มเติม
คำว่า “ตื่นรู้” (Awakening หรือ Awareness) เป็นแนวคิดสำคัญที่ปรากฏในพุทธศาสนา และยังได้รับการกล่าวถึงในบริบทของจิตวิญญาณ จิตบำบัด และการพัฒนาตนเองด้วย โดยมีทั้งพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ และครูทางธรรมหลายท่านที่กล่าวถึงแนวคิดนี้อย่างชัดเจน
Tumblr media Tumblr media
ต่อไปนี้คือบุคคลสำคัญที่กล่าวถึงหรือเน้นเรื่อง “ตื่นรู้”:
🟡 1. พระพุทธเจ้า (The Buddha) พระองค์ทรงสอนเรื่อง โพธิ (Bodhi) หรือ “ความตื่นรู้” ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรม
พุทธะ (Buddha) แปลว่า “ผู้ตื่นแล้ว” หรือ “ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน”
พระองค์ทรงสอนว่าเราทุกคนมีศักยภาพที่จะ “ตื่น” จากความหลงผิด อวิชชา
🟡 2. พระอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ท่านใช้คำว่า “ตื่นจากความหลับแห่งอวิชชา” บ่อยครั้ง
ย้ำว่าการปฏิบัติธรรมไม่ใช่เรื่องงมงาย แต่คือการฝึก “ตื่นรู้” ต่อความจริงของชีวิต
“ตื่นจากความฝันที่เรียกว่าตัวกู ของกู”
🟡 3. พระอาจารย์ชา สุภัทโท เน้นความสำคัญของ การมีสติ และ รู้เท่าทันจิต
ท่านมักพูดว่า การปฏิบัติไม่ใช่เพื่อไปหาอะไรใหม่ แต่เพื่อ "ตื่นรู้" กับสิ่งที่เป็นอยู่แล้ว
🟡 4. พระไพศาล วิสาโล เป็นพระนักคิดร่วมสมัย ท่านใช้คำว่า “การมีสติ ตื่นรู้ อยู่กับปัจจุบัน” อย่างต่อเนื่อง
เน้นการฝึกจิตให้ตื่นจากอัตตา ความคิดวนซ้ำ และการเสพติดดิจิทัล
🟡 5. ท่านติช นัท ฮันห์ (Thich Nhat Hanh) พระมหาเถระสายเซนจากเวียดนาม ใช้คำว่า “mindfulness is the energy of being awake”
สอนว่าทุกลมหายใจคือโอกาสในการ “ตื่นรู้” สู่ชีวิตที่แท้จริง
สรุป: “ตื่นรู้” ไม่ใช่แค่การตื่นจากการนอน แต่คือ การตื่นจากความหลง ทั้งทางจิตใจ อารมณ์ และอัตตา ผู้ที่กล่าวถึงแนวคิดนี้มาก ได้แก่ พระพุทธเจ้า, พระอาจารย์พุทธทาส, พระอาจารย์ชา, พระไพศาล วิสาโล, และ ท่านติช นัท ฮันห์
Tumblr media
คำว่า “ตื่นรู้” หรือ “Awakening” เป็นแนวคิดสำคัญในพระพุทธศาสนา ซึ่งปรากฏในหลายพระสูตรที่พระผู้มีพระภาคตรัสสอนเกี่ยวกับการตื่นจากความหลงและการรู้เท่าทันความจริงของชีวิต ต่อไปนี้คือพระสูตรบางประการที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดนี้: Geocities
🟡 1. พาหิยสูตร (Sut. 2) พระสูตรนี้ตรัสกับพาหิยะทารุจีริยะ โดยพระผู้มีพระภาคตรัสว่า:
“ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่า ฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มี” Anakame
พระสูตรนี้เน้นการตื่นรู้ในขณะปัจจุบันและการรู้เท่าทันความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้น
🟡 2. สังขิตตสูตร (Sut. 10) พระนางมหาปชาบดีโคตมีได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า:
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาค ทรงแสดงธรรมโดยย่อแก่หม่อมฉัน ซึ่งหม่อมฉันได้ฟังแล้ว จะพึงเป็นผู้หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่เถิด” Anakame +1 Geocities +1
พระสูตรนี้เน้นการตื่นรู้และการปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อการหลุดพ้น Anakame
🟡 3. เวรัญชกสูตร (Sut. 2) พระสูตรนี้กล่าวถึงการตื่นรู้จากการหลงในอาสวะและการเข้าถึงปัญญาอันยิ่ง:
“อันไม่มีอาสวะ เพราะอาสวะสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน” Geocities
พระสูตรนี้เน้นการตื่นรู้จากความหลงและการรู้เท่าทันความจริงของชีวิต Watpadonsawan +1 Dhamma Home +1
พระสูตรเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการตื่นรู้ในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นการรู้เท่าทันความจริงของชีวิตและการปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อการหลุดพ้นจากความทุกข์ หากคุณสนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระสูตรเหล่านี้หรือการปฏิบัติธรรมเพื่อการตื่นรู้ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ครับ
คำสอนเกี่ยวกับการตรัสรู้ หรือที่เราเรียกว่า “ตื่นรู้” เป็นหนึ่งในแก่นสาระของธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงบรรลุในวันตรัสรู้ และแนวคิดนี้ปรากฏอยู่ในพระสูตรหลายเล่มในพระไตรปิฎก ซึ่งข้อสรุปโดยทั่วไปคือ การตื่นรู้หมายถึงการมองเห็นความเป็นจริงอย่างชัดแจ้งโดยปราศจากความคล้อยตามกิเลสและความเพ้อฝัน
ตัวอย่างคำอ้างอิงจากพระสูตรที่กล่าวถึงประสบการณ์แห่งการตรัสรู้ ได้แก่
ธรรมจักกัปปวัตตนสูตร (Dhammacakkappavattana Sutta) พระสูตรนี้เป็นคำสอนแรกที่พระพุทธเจ้าทรงแถลงเมื่อประทับใจและตรัสรู้ในที่นี้ ถือเป็นการเปิดล้อธรรม ที่นำเข้าสู่เส้นทางอริยมรรค ซึ่งเป็นขั้นตอนและแนวทางสู่การตื่นรู้และดับทุกข์.
มหาสนิทสูตร (Maha-saccaka Sutta) ในพระสูตรนี้ พระพุทธเจ้าทรงถ่ายทอดประสบการณ์ภายในจิตใจในช่วงเวลาสำคัญของการตรัสรู้ ที่แสดงให้เห็นถึงความลึกซึ้งของการตื่นรู้ เมื่อจิตเห็นความจริงของธรรมชาติอย่างถ่องแท้ การบรรลุธรรมและการปลดปล่อยจากทุกข์จึงเกิดขึ้น.
สติปัฏฐานสูตร (Satipatthana Sutta) แม้พระสูตรนี้จะไม่ได้ใช้คำว่า “ตื่นรู้” โดยตรง แต่หลักการฝึกสติและการรู้เห็นธรรมชาติของจิตในทุกขณะ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้ปฏิบัติสามารถเข้าถึงภาวะของการตรัสรู้ได้ การมีสติที่แจ้งชัดจึงเปรียบเสมือนการตื่นรู้ในทุกขณะของชีวิต.
ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าการตื่นรู้ในแนวทางธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ในอดีตเท่านั้น แต่ยังเป็นแนวทางที่ชัดเจนสำหรับผู้ที่ฝึกฝนภาวนาในทุกยุคทุกสมัย เพื่อให้จิตใจเห็นความเป็นจริงของชีวิตอย่างถ่องแท้
คุณมีแนวคิดหรือประสบการณ์เกี่ยวกับการฝึกสติและการตื่นรู้ที่อยากแบ่งปันหรือสอบถามเพิ่มเติมไหม?
คำอ้างอิงจากพระสูตร
แน่นอนครับ ในพระสูตรต่างๆ มีการกล่าวถึง "การตื่นรู้" (โพธิ) และสภาวะที่เกี่ยวข้องไว้อย่างมากมาย นี่คือตัวอย่างคำอ้างอิงบางส่วนจากพระสูตรที่สำคัญ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ "การตื่นรู้" ในพระพุทธศาสนา:
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (ปฐมเทศนา):
พระสูตรนี้เป็นเทศนากัณฑ์แรกของพระพุทธเจ้า ซึ่งกล่าวถึงอริยสัจสี่และความจำเป็นในการปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ เพื่อบรรลุถึงการดับทุกข์และการตื่นรู้
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสัจจ์ คือ ความจริงอันประเสริฐว่าด้วยความทุกข์ เป็นอย่างนี้ อริยสัจจ์ คือ ความจริงอันประเสริฐว่าด้วยเหตุให้เกิดทุกข์ เป็นอย่างนี้ อริยสัจจ์ คือ ความจริงอันประเสริฐว่าด้วยความดับแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ อริยสัจจ์ คือ ความจริงอันประเสริฐว่าด้วยทางดำเนินให้ถึงความดับแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้."
แม้ว่าจะไม่ได้ใช้คำว่า "ตื่นรู้" โดยตรงในส่วนนี้ แต่เนื้อหาทั้งหมดชี้ไปสู่เป้าหมายของการดับทุกข์ ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าใจความจริงอันประเสริฐ หรือการตื่นรู้ในสัจธรรม
มหาปรินิพพานสูตร:
พระสูตรนี้กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระพุทธเจ้า และมีคำสอนที่เน้นย้ำถึงการพึ่งตนเองและความไม่ประมาทในการปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุการตื่นรู้
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนท่านทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด."
ความไม่ประมาท (อัปปมาทะ) เป็นปัจจัยสำคัญในการเจริญสติและปัญญา ซึ่งนำไปสู่การตื่นรู้
สติปัฏฐานสูตร:
พระสูตรนี้กล่าวถึงหลักการเจริญสติในฐานทั้งสี่ (กาย เวทนา จิต ธรรม) ซึ่งเป็นแนวทางการปฏิบัติโดยตรงเพื่อพัฒนาความตระหนักรู้และนำไปสู่การตื่นรู้
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นทางเดียว เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อความก้าวล่วงซึ่งความโศกและความร่ำไร เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน คือ สติปัฏฐานทั้งสี่."
การปฏิบัติสติปัฏฐานอย่างต่อเนื่องจะนำไปสู่ความเข้าใจในธรรมชาติของสรรพสิ่ง และในที่สุดก็จะนำไปสู่การตื่นรู้
อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต:
ในพระสูตรนี้มีการกล่าวถึงคุณธรรม 10 ประการที่ควรเจริญ ซึ่งรวมถึงปัญญาและความเห็นชอบ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการตื่นรู้
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๑๐ ประการนี้ ควรเจริญ ควรทำให้มาก ซึ่งธรรม ๑๐ ประการ คือ… ปัญญา…"
ขุททกนิกาย ธรรมบท:
ในธรรมบทมีหลายคาถาที่กล่าวถึงความสำคัญของการตื่นตัวและความไม่ประมาท ซึ่งเป็นพื้นฐานของการตื่นรู้
"อปฺปมาโท อมตํ ปทํ ปมาโท มจฺจุโน ปทํ อปฺปมตฺตา น มียนฺติ เย ปมตฺตา ยถา มตา." "ความไม่ประมาทเป็นทางแห่งอมตะ ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย ผู้ไม่ประมาทย่อมไม่ตาย ผู้ประมาทเหมือนคนตายแล้ว."
คำว่า "อมตํ ปทํ" (ทางแห่งอมตะ) ในบริบทนี้หมายถึงสภาวะแห่งการหลุดพ้นและความตื่นรู้
โดยสรุป:
คำว่า "ตื่นรู้" (โพธิ) อาจไม่ได้ปรากฏโดยตรงในทุกพระสูตร แต่แนวคิดและหลักธรรมที่นำไปสู่การตื่นรู้นั้นถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางและเป็นหัวใจสำคัญของคำสอนในพระไตรปิฎก พระสูตรที่ยกมาเป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการปฏิบัติธรรม ก���รเจริญสติปัญญา และความไม่ประมาท เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดของการตื่นรู้และการหลุดพ้นจากความทุกข์ในที่สุด
คำอ้างอิงจากพระสูตรเกี่ยวกับการตื่นรู้มีดังนี้
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า การตื่นรู้คือการเจริญสติรู้ตัว (สติปัฏฐาน 4) ให้ระลึกรู้กาย เวทนา จิต และธรรมที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ ดับทุกข์และโทมนัส บรรลุญายธรรมและนิพพาน ซึ่งเป็นทางเดียวที่พระองค์ทรงแสดงไว้[6]
คำว่า "ตื่น" ในพระพุทธศาสนาหมายถึงการรู้ คือการหายหลับใหลจากความไม่รู้ (อวิชชา) และการหลงผิด พระพุทธเจ้าทรงตื่นรู้ความจริงของชีวิตและสังขาร จึงทรงสอนด้วยปัญญาให้ผู้ปฏิบัติรู้ความจริงเหล่านั้น[3]
ในปฏิเวธสูตรตอนที่ 10 กล่าวว่าในกายของปุถุชนมีพุทธภาวะซึ่งเป็นธรรมชาติแห่งการตื่นรู้ แต่ถูกบดบังด้วยความมืดของอวิชชา การตื่นรู้จึงเป็นการทำให้จิตใจมีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อมและหลุดพ้นจากความมืดนั้น[4]
การตื่นรู้ยังหมายถึงการมีสติรู้ลมหายใจและจิตใจจนสงบรวมเป็นสมาธิ ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งของการเห็นธรรมและตื่นรู้ในพระพุทธศาสนา[1]
พระไพศาล วิสาโล อธิบายว่า การตื่นรู้คือการมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ไม่หลงเข้าไปในความคิดหรืออารมณ์ เห็นความจริงของสรรพสิ่งว่าไม่มีตัวตนถาวร และเกิดความรักเมตตาต่อสรรพสัตว์[5]
สรุปคือ การตื่นรู้ในพระพุทธศาสนาเป็นการรู้ตัวรู้ใจอย่างลึกซึ้งด้วยสติปัฏฐาน 4 ซึ่งนำไปสู่การดับทุกข์และนิพพาน เป็นการหลุดพ้นจากความหลงและอวิชชา ตามคำสอนในพระไตรปิฎกและพระสูตรต่างๆ[3][4][6]
พระสูตรที่กล่าวถึงการตื่นรู้โดยเฉพาะ ได้แก่
ปฏิเวธสูตร ตอนที่ 10 ซึ่งกล่าวว่าในกายของปุถุชนมีพุทธภาวะที่ไม่อาจทำลายได้ เปรียบเหมือนพระอาทิตย์ที่ถูกเมฆหมอกบดบัง การตื่นรู้คือการทำให้พุทธภาวะนี้ปรากฏขึ้นมา[1]
พระนิพพานสูตร ที่กล่าวว่า ปุถุชนทุกคนมีธรรมชาติแห่งพุทธะ แต่ถูกครอบคลุมด้วยความมืดของอวิชชา การตื่นรู้คือการทำให้ตนเองและผู้อื่นตื่นตัวด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นทางไปสู่ความหลุดพ้น[1]
มหาสติปัฏฐาน 4 ในพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติสำคัญในการเจริญสติรู้ตัวทั่วพร้อมในกาย เวทนา จิต และธรรม เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์และการดับทุกข์[2][6]
นอกจากนี้ พระสูตรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการตื่นรู้ในแง่ของการมีสติและปัญญา เช่น ชาคริยสูตร ที่กล่าวถึงผู้ตื่นอยู่และความเพียรในการปฏิบัติ[4]
โดยสรุป การตื่นรู้ในพระพุทธศาสนามักอ้างอิงถึงพระสูตรที่เน้นการเจริญสติปัฏฐาน 4 และพระสูตรที่กล่าวถึงธรรมชาติแห่งพุทธะในตัวมนุษย์ เช่น ปฏิเวธสูตรและพระนิพพานสูตร ซึ่งชี้��ห้เห็นว่าการตื่นรู้คือการปลุกพุทธภาวะภายในใจให้ปรากฏขึ้นโดยการขจัดอวิชชา[1][2][6]
การตื่นรู้ในพระสูตรมีคำอธิบายว่าเป็นภาวะของการรู้ตัวรู้ใจอย่างลึกซึ้ง เป็นการตื่นจากความหลับใหลแห่งอวิชชา (ความไม่รู้) และความหลงผิดในชีวิต โดยพระพุทธเจ้าทรงตื่นรู้ความจริงของสังขารและชีวิต จึงทรงสอนให้ผู้ปฏิบัติรู้ความจริงเหล่านั้นด้วยปัญญาและสติ[2][3]
ในรายละเอียดทางปฏิบัติ การตื่นรู้หมายถึงการเจริญอานาปานสติ คือมีสติรู้ลมหายใจเข้าออกอย่างต่อเนื่อง จนจิตสงบรวมเป็นสมาธิ และสามารถละวางกายและลมหายใจได้ จิตจะรวมหดเล็กและพุ่งทะลุเข้าสู่สภาวะที่สว่างไสว[1]
พระสูตร เช่น ปฏิเวธสูตรตอนที่ 10 อธิบายว่าในกายของปุถุชนมีพุทธภาวะซึ่งเปรียบเสมือนแสงพระอาทิตย์ที่ถูกเมฆหมอกบดบัง การตื่นรู้คือการขจัดเมฆหมอกแห่งกิเลสและอวิชชาให้แสงแห่งพุทธภาวะนี้ปรากฏขึ้นมา[3]
นอกจากนี้ การตื่นรู้ยังเกี่ยวข้องกับการเจริญสติปัฏฐาน 4 ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติสำคัญในพระพุทธศาสนา ที่เน้นการรู้ตัวรู้ใจในกาย เวทนา จิต และธรรม เพื่อความบริสุทธิ์และการดับทุกข์[5]
โดยสรุป การตื่นรู้ในพระสูตรหมายถึงการรู้แจ้งความจริงของชีวิตและจิตใจด้วยสติและปัญญา เป็นการตื่นจากความหลงและอวิชชา สู่ความสงบและอิสรภาพในจิตใจ[2][3][5]
การตื่นรู้ในพระสูตรเน้นที่การเข้าใจธรรมชาติของจิตและโลกอย่างลึกซึ้ง โดยถือว่าจิตมีธรรมชาติบริสุทธิ์และเต็มไปด้วยพุทธภาวะ (ธรรมชาติแห่งความตื่นรู้) ที่ถูกบดบังด้วยอวิชชา (ความไม่รู้) และกิเลสต่างๆ เช่นขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) เมื่อขจัดอวิชชาออกได้ จิตจะเปิดเผยธรรมชาติแท้จริงที่บริสุทธิ์และสว่างไสว[2]
พระสูตร เช่น ปฏิเวธสูตรตอนที่ 10 อธิบายว่า พุทธภาวะในกายของปุถุชนเปรียบเสมือนแสงพระอาทิตย์ที่ถูกเมฆหมอกบดบัง การตื่นรู้คือการขจัดเมฆหมอกเหล่านั้นให้แสงแห่งพุทธภาวะปรากฏขึ้น ทำให้เห็นโลกและชีวิตตามความเป็นจริง ไม่ถูกความคิดและอารมณ์ครอบงำ[2]
การตื่นรู้ยังหมายถึงการรู้ตัวรู้ใจอย่างทั่วพร้อม (สติสัมปชัญญะ) ที่ทำให้จิตใจไม่หลงติดในความคิดปรุงแต่ง เห็นความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งว่าไม่มีตัวตนถาวร เป็นการรู้จักธรรมชาติแท้ของจิตและโลกอย่างไม่ลวงตา[3][5]
ในทางปฏิบัติ การตื่นรู้เกิดจากการเจริญสติ เช่น อานาปานสติ (รู้ลมหายใจ) จนจิตสงบรวมเป็นสมาธิ ทำให้สามารถเห็นธรรมชาติของจิตและโลกอย่างแจ่มชัด เป็นภาวะที่เหนือความทุกข์และความวิตกกังวล เห็นโลกด้วยใจที่บริสุทธิ์และเบิกบาน[8][5]
สรุปคือ การตื่นรู้ในพระสูตรเน้นการเข้าใจธรรมชาติของจิตและโลกว่าเป็นสภาวะที่บริสุทธิ์ ไม่มีตัวตนถาวร ถูกอวิชชาบดบัง การตื่นรู้คือการขจัดอวิชชา เปิดเผยพุทธภาวะภายใน ทำให้เห็นโลกและชีวิตตามความจริงด้วยสติรู้ตัวทั่วพร้อม นำไปสู่ความหลุดพ้นจากทุกข์และความเบิกบานในจิตใจ[2][3][5]
พระสูตรมีคำสอนเกี่ยวกับการตื่นรู้ในหลายด้าน ดังนี้
การตื่นรู้คือการรู้แจ้งและหายหลับใหลจากความไม่รู้ (อวิชชา) พระพุทธเจ้าทรงตื่นรู้ความจริงของชีวิตและสังขารต่างๆ จึงทรงสอนให้ผู้ปฏิบัติรู้ความจริงเหล่านั้นด้วยปัญญาและสติ เพื่อให้หายหลงและหลุดพ้นจากความทุกข์[1]
การตื่นรู้เป็นภาวะของสติสัมปชัญญะ (ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม) ที่ทำให้จิตไม่หลงติดในความคิดและอารมณ์ เห็นความจริงของธรรมชาติสรรพสิ่งว่าไม่มีตัวตนถาวร เป็นการรู้จักธรรมชาติแท้ของจิตและโลกอย่างไม่ลวงตา[3][5]
การเจริญสติปัฏฐาน 4 เป็นแนวทางปฏิบัติสำคัญที่นำไปสู่การตื่นรู้ โดยการรู้ตัวรู้ใจในกาย เวทนา จิต และธรรม เพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์และการดับทุกข์[5]
การขจัดกิเลสและอวิชชา เพื่อเปิดเผยพุทธภาวะภายในจิตใจ ซึ่งเปรียบเหมือนแสงพระอาทิตย์ที่ถูกเมฆหมอกบดบัง การตื่นรู้จึงเป็นการทำให้แสงแห่งพุทธภาวะสว่างไสวขึ้���[3]
การตื่นรู้เป็นการปฏิบัติที่นำไปสู่ปัญญาและอิสรภาพทางใจ คือการทำอะไรด้วยปัญญา พินิจพิจารณา และเข้าใจความจริงของชีวิต เพื่อประโยชน์สุขที่แท้จริงแก่ตนเองและส่วนรวม[1]
ใน สัทธรรมปุณฑริกสูตร ยังเน้นเรื่องการตื่นรู้ในแง่ของการเปิดประตูสู่พุทธปัญญา เพื่อความรู้แจ้งและสันติภาพในชีวิตร่วมกันของสรรพชีวิต[6]
สรุปคือ พระสูตรสอนให้ตื่นรู้ด้วยสติและปัญญา เข้าใจธรรมชาติของจิตและโลกอย่างแท้จริง ขจัดความไม่รู้และกิเลส เพื่อความบริสุทธิ์และความหลุดพ้นจากทุกข์ เป็นการตื่นรู้ที่ครอบคลุมทั้งด้านปัญญา สติ และจิตใจ[1][3][5][6]
ลักษณะของการตื่นรู้ในพระพุทธศาสนามีดังนี้
เป็นภาวะของการมีสติและสัมปชัญญะอย่างสมบูรณ์ รู้เห็นตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่หลงติดในอดีตหรืออนาคต และไม่ถูกลวงด้วยอบายมุขหรือสิ่งลวงตาง่าย[5]
เป็นการเจริญสติรู้ตัวต่อผัสสะที่เกิดขึ้นในขณะนั้นอย่างต่อเนื่องและทั่วพร้อม ตามหลักมหาสติปัฏฐาน 4 เพื่อให้จิตสามารถตามทันความเร็วของกระแสจิตที่เกิดดับอย่างรวดเร็ว[1]
เป็นการรู้แจ้งความจริงของชีวิตและจิตใจด้วยปัญญา ทำให้เกิดสมาธิและปัญญาตามหลักอริยสัจ 4 ซึ่งนำไปสู่การดับทุกข์และความหลุดพ้น[3][5]
เป็นการตื่นจากความหลับใหลแห่งอวิชชา คือความไม่รู้และความหลงผิด โดยมีความหมายว่า “รู้” หรือ “หายหลง” ซึ่งเป็นแก่นของคำว่า “พุทธะ” ที่แปลว่าผู้ตื่น[2]
เป็นภาวะที่จิตสงบรวมเป็นสมาธิ เช่น การเจริญอานาปานสติ (รู้ลมหายใจเข้าออก) จนจิตรวมหดเล็กและพุ่งทะลุเข้าสู่สภาวะที่สว่างไสว[4]
มีลักษณะเป็นสุขภาวะทางจิตวิญญาณ คือความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีปัญญาและความเมตตา ลดความเห็นแก่ตัว และเข้าใจความไม่มีตัวตน (อนัตตา)[6]
การตื่นรู้ต้องเกิดจากการตื่นรู้ด้วยตนเอง ไม่สามารถถูกตื่นรู้แทนได้ และต้องตื่นรู้ทั้งกายและใจ โดยใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด[6]
สรุปคือ การตื่นรู้ในพระพุทธศาสนาเป็นภาวะของความรู้ตัวทั่วพร้อม รู้แจ้งความจริงของชีวิตและจิตใจอย่างลึกซึ้ง มีสติและปัญญาที่นำไปสู่ความสงบและความหลุดพ้นจากทุกข์ เป็นสุขภาวะทางจิตวิญญาณที่เกิดจากการฝึกฝนเจริญสติและสมาธิอย่างต่อเนื่อง[1][2][3][4][5][6]
พระสูตรอธิบายว่าการตื่นรู้ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยตรงหรือทันทีทันใดโดยไม่มีการปฏิบัติ แต่ต้องเกิดจากการเจริญสติรู้ตัวอย่างต่อเนื่องและมีความเพียรฝึกฝน เช่น การเจริญอานาปานสติ (รู้ลมหายใจ) เพื่อให้จิตสงบรวมเป็นสมาธิ และสามารถรู้แจ้งธรรมชาติของจิตและสรรพสิ่งได้[4][5]
ในปฏิเวธสูตรตอนที่ 10 และพระนิพพานสูตรกล่าวว่า ทุกคนมีพุทธภาวะหรือธรรมชาติแห่งการตื่นรู้ในตัวเองเหมือนแสงพระอาทิตย์ที่ถูกเมฆหมอกบดบัง การตื่นรู้จึงเป็นการขจัดเมฆหมอกแห่งอวิชชาและกิเลสเพื่อให้แสงแห่งพุทธภาวะปรากฏขึ้น[2]
ดังนั้น การตื่นรู้จึงเป็นผลของการฝึกฝนเจริญสติและปัญญา ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยตรงทันทีโดยไม่มีการเตรียมตัวหรือกระบวนการภาวนา แต่เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อจิตมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมและเห็นความจริงของธรรมชาติอย่างแจ่มชัด[1][3][5]
สรุปคือ พระสูตรสอนว่าการตื่นรู้เกิดขึ้นได้จริง แต่ต้องผ่านการปฏิบัติด้วยสติและสมาธิอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีทันใดโดยไม่มีการฝึกฝน[2][5]
พระสูตรอธิบายว่าการตื่นรู้ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นโดยตรงทันทีโดยไม่มีการปฏิบัติ แต่เป็นผลของการเจริญสติและปัญญาอย่างต่อเนื่อง เช่น การเจริญอานาปานสติ (รู้ลมหายใจ) เพื่อทำให้จิตสงบรวมเป็นสมาธิ และสามารถรู้แจ้งธรรมชาติของจิตและสรรพสิ่งได้[2][4][5]
ในปฏิเวธสูตรตอนที่ 10 และพระนิพพานสูตรกล่าวว่า ทุกคนมีพุทธภาวะหรือธรรมชาติแห่งการตื่นรู้ในตัวเอง เปรียบเหมือนแสงพระอาทิตย์ที่ถูกเมฆหมอกบดบัง การตื่นรู้คือการขจัดเมฆหมอกแห่งอวิชชาและกิเลสเพื่อให้แสงแห่งพุทธภาวะปรากฏขึ้น[2]
ดังนั้น การตื่นรู้จึงเกิดขึ้นได้จริง แต่ต้องผ่านกระบวนการฝึกฝนด้วยสติและสมาธิ ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยตรงทันทีโดยไม่มีการเตรียมตัวหรือภาวนา[5]
สรุปคือ พระสูตรสอนว่าการตื่นรู้เป็นภาวะที่เกิดจากการปฏิบัติภาวนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อขจัดความไม่รู้และกิเลส เปิดเผยธรรมชาติแท้ของจิตใจ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยตรงทันทีโดยไม่มีการฝึกฝน[2][5]
อธิบายว่าการตื่นรู้
การตื่นรู้ (โพธิ - Bodhi) ในบริบททางพระพุทธศาสนา หมายถึง สภาวะแห่งปัญญาญาณอันสูงสุด การรู้แจ้งในสัจธรรม ความจริงอันประเสริฐทั้งสี่ (อริยสัจสี่) และการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ไม่ใช่เพียงแค่การตื่นจากความหลับทางกายภาพ แต่เป็นการตื่นจากความหลับใหลทางจิตใจ ความไม่รู้ (อวิชชา) และความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโลกและชีวิต
ลักษณะสำคัญของการตื่นรู้:
ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในอริยสัจสี่: การเห็นความจริงเกี่ยวกับความทุกข์ สาเหตุของความทุกข์ ความดับแห่งความทุกข์ และหนทางไปสู่ความดับแห่งความทุกข์ อย่างแจ่มแจ้งและปราศจากความสงสัย การดับสิ้นแห่งกิเลส: การกำจัดรากเหง้าของความทุกข์ เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง และทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ได้อย่างสิ้นเชิง การหลุดพ้นจากสังสารวัฏ: การไม่กลับมาเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกต่อไป เป็นอิสระจากวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ความสงบภายในอย่างแท้จริง: จิตใจที่ปราศจากกิเลสย่อมสงบ บริสุทธิ์ และเป็นอิสระจากความวุ่นวายทั้งปวง ปัญญาญาณที่ไร้ขีดจำกัด: ความรู้และความเข้าใจในธรรมชาติของสรรพสิ่งตามความเป็นจริง อย่างตรงไปตรงมาและรอบด้าน ความเมตตาและกรุณาอย่างไม่มีประมาณ: เมื่อเข้าใจถึงความทุกข์ของสรรพสัตว์อย่างแท้จริง ย่อมเกิดความปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์ด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาและกรุณา กระบวนการไปสู่การตื่นรู้:
ในพระพุทธศาสนา หนทางสู่การตื่นรู้คือ มรรคมีองค์ ๘ ซึ่งประกอบด้วย:
สัมมาทิฏฐิ (Sammā-diṭṭhi): ความเห็นชอบ เข้าใจถูกต้องในอริยสัจสี่ สัมมาสังกัปปะ (Sammā-saṅkappa): ความดำริชอบ คิดในทางกุศล ไม่พยาบาท ไม่เบียดเบียน สัมมาวาจา (Sammā-vācā): วาจาชอบ พูดแต่คำจริง คำสุภาพ คำเป็นประโยชน์ สัมมากัมมันตะ (Sammā-kammanta): การกระทำชอบ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม สัมมาอาชีวะ (Sammā-ājīva): การเลี้ยงชีพชอบ ประกอบอาชีพสุจริต ไม่เบียดเบียนผู้อื่น สัมมาวายามะ (Sammā-vāyāma): ความเพียรชอบ เพียรละอกุศล เพียรสร้างกุศล เพียรรักษากุศลที่เกิดแล้ว เพียรให้กุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิด สัมมาสติ (Sammā-sati): สติชอบ ระลึกรู้ในกาย เวทนา จิต ธรรม อย่างต่อเนื่อง สัมมาสมาธิ (Sammā-samādhi): สมาธิชอบ การมีจิตตั้งมั่น เป็นหนึ่ง การปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง จะค่อยๆ ชำระจิตใจ��ห้บริสุทธิ์ ลดละกิเลส และพัฒนาปัญญา จนในที่สุดสามารถบรรลุถึงสภาวะแห่งการตื่นรู้ได้
ความแตกต่างจากการรู้แจ้งอื่นๆ:
แม้ว่าคำว่า "รู้แจ้ง" อาจถูกใช้ในบริบทอื่นๆ ที่หมายถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ในทางพระพุทธศาสนา "การตื่นรู้" (โพธิ) มีความหมายที่จำเพาะเจาะจงถึงการรู้แจ้งในสัจธรรมอันเป็นเหตุให้หลุดพ้นจากความทุกข์และการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของการปฏิบัติธรรม
โดยสรุป การตื่นรู้คือสภาวะแห่งปัญญาญาณอันสมบูรณ์ การเข้าใจความจริงสูงสุด และการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ซึ่งเป็นผลจากการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ ๘ ในพระพุทธศาสนา
การตื่นรู้ (ภาษาอังกฤษ: Awakening หรือ Enlightenment) ในทางพุทธศาสนา หมายถึง การรู้แจ้งความจริงของชีวิต ด้วยปัญญา เห็นตามความเป็นจริงว่า สรรพสิ่งทั้งหลาย ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) จนจิตใจ หลุดพ้นจากความยึดติดและอวิชชา (ความไม่รู้) ซึ่งเป็นเหตุแห่งความทุกข์
🔎 ความหมายโดยสรุป: “ตื่นรู้ คือ การตื่นจากความหลงผิด ตื่นจากอวิชชา ตื่นจากความฝันที่คิดว่า 'ตัวกู ของกู' เป็นจริง”
🧠 องค์ประกอบของการตื่นรู้ การเห็นความจริง (ยถาภูตญาณทัสสนะ) เห็นว่าสิ่งทั้งหลาย เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป ตามเหตุปัจจัย
การมีสติรู้เท่าทันปัจจุบัน ตื่นอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ไม่หลงไปในอดีตหรืออนาคต
การไม่มีอัตตา (อนัตตา) ตระหนักว่าสิ่งที่เรียกว่า “ตัวเรา” เป็นเพียงการรวมกันของรูปธรรมและนามธรรม (ขันธ์ 5)
จิตเป็นอิสระ เมื่อรู้เท่าทันกิเลส จิตจะไม่ถูกครอบงำด้วยความโลภ โกรธ หลง
📜 ตัวอย่างคำตรัสของพระพุทธเจ้า (จากพุทธพจน์) “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา” – ธัมมปทัตถกถา
“ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” – มหาปรินิพพานสูตร
“บุคคลผู้ตื่นอยู่แต่เพียงผู้เดียวในโลกนี้ คือพระพุทธเจ้า” – พระสุตตันตปิฎก
🌱 การตื่นรู้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ไม่จำเป็นต้องบรรลุอรหันต์ในทันที
เราสามารถ “ตื่นรู้ทีละเล็กละน้อย” ผ่านการมีสติในชีวิตประจำวัน เช่น:
รู้ทันอารมณ์
เห็นความคิดก่อนพูดหรือกระทำ
สังเกตการเกิด-ดับของความรู้สึก
🧘‍♀️ สรุปสั้น ๆ: ตื่นรู้ = ตื่นจากความหลง / รู้เท่าทันชีวิต / จิตเป็นอิสระจากกิเลส
การตื่นรู้จึงไม่ใช่สิ่งลึกลับหรือเหนือธรรมชาติ แต่เป็นสภาวะจิตที่ “เปิดตา” มองเห็นความจริงของชีวิตอย่างลึกซึ้ง หากคุณต้องการแนวทางการฝึกฝนเพื่อเข้าถึงการตื่นรู้อย่างเป็นรูปธรรม ผมสามารถช่วยแนะนำได้เพิ่มเติมครับ
คำกล่าวที่ว่า “บุคคลผู้ตื่นอยู่แต่เพียงผู้เดียวในโลกนี้ คือพระพุทธเจ้า” ปรากฏในพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ซึ่งกล่าวถึงบุคคล ๔ จำพวกในโลกนี้ โดยพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ที่ตื่นรู้โดยสมบูรณ์และไม่หวั่นไหวในธรรมวินัย[2][4]
เนื้อหานี้พบในบทต่างๆ เช่น
อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ทุติยปัณณาสก์ ที่กล่าวถึงบุคคล ๔ จำพวก ได้แก่ ผู้ไม่หวั่นไหว ผู้เหมือนดอกปุณฑริก ผู้เหมือนดอกปทุม และผู้ละเอียดอ่อนในหมู่สมณะ ซึ่งพระพุทธเจ้าเป็นผู้ตื่นรู้โดยสมบูรณ์ในโลกนี้[4]
มจร. เล่ม ๒๕ พาลวรรค ที่เน้นการเที่ยวไปคนเดียวอย่างมั่นคง เพราะหาคนดีเสมอเหมือนไม่ได้ในคนพาล ซึ่งสอดคล้องกับการเป็นผู้ตื่นรู้แต่เพียงผู้เดียว[1]
ดังนั้น คำกล่าวนี้สะท้อนถึงความเป็นเอกลักษณ์ของพระพุทธเจ้าผู้ตื่นรู้โดยสมบูรณ์ในโลกนี้ ตามที่พระสุตตันตปิฎกได้บันทึกไว้ในอังคุตตรนิกายและบทต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง[2][4]
ข้อความในพระไตรปิฎกที่กล่าวถึงบุคคลที่เป็นพระพุทธเจ้า ปรากฏอยู่ในหลายเล่ม โดยเฉพาะใน
พระสุตตันตปิฎก (พระสูตร) ซึ่งรวบรวมพระธรรมเทศนาและเรื่องราวของพระพุทธเจ้าและพระสาวกสำคัญต่างๆ
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ มหาปรินิพพานสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรในพระสุตตันตปิฎก เล่ม 10 ที่บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมและปลงพระชนม์ชีพ
นอกจากนี้ พระไตรปิฎกยังกล่าวถึงลักษณะมหาบุรุษของพระพุทธเจ้าในบทต่างๆ เช่น พระโลมชาติ พระอุณาโลม และลักษณะอื่นๆ ที่แสดงถึงความเป็นพระพุทธเจ้า
โดยสรุป พระไตรปิฎกโดยเฉพาะในส่วนพระสุตตันตปิฎก เล่ม 10 (มหาปรินิพพานสูตร) และเล่มอื่นๆ มีเนื้อหาที่กล่าวถึงพระพุทธเจ้าอย่างละเอียด ทั้งด้านคำสอน ประวัติ และลักษณะมหาบุรุษ[2][4][7]
Tumblr media
0 notes
dhamdople · 2 months ago
Text
หลวงปู่สาคร ธัมมาวุโธ สอนเรื่องหิริโอตัปปะ ซึ่งหมายถึงความละอายใจและความเกรงกลัวต่อบาป เป็นพื้นฐานสำคัญของการดำเนินชีวิตที่ดีงาม ท่านเน้นให้พยายามทบทวนถึงความดีที่มีอยู่ในหัวใจ และประคองใจให้อยู่กับความสงบผ่านการภาวนา เพื่อสร้างปฏิปทาที่ถูกต้องและเจริญรอยตามครูบาอาจารย์สายปฏิบัติธรรม
โดยหิริโอตัปปะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เรามีความรู้สึกละอายต่อการกระทำที่ผิด และกลัวต่อผลของกรรมชั่ว จึงเป็นแรงจูงใจให้รักษาศีลและประพฤติดี ซึ่งหลวงปู่สาครได้ย้ำถึงความสำคัญของการมีหิริโอตัปปะควบคู่กับการเจริญสมาธิภาวนา เพื่อให้ใจสงบและเกิดปัญญาเห็นความจริงในธรรม
หิริโอตัปปะ เป็นธรรมะคู่กันที่ช่วยควบคุมจิตใจและป้องกันการทำความชั่ว. หิริ หมายถึง ความละอายต่อบาป (ความไม่ดี) ไม่ว่าจะมีใครเห็นหรือไม่ก็ตาม. โอตตัปปะ หมายถึง ความเกรงกลัวต่อบาป กลัวผลกรรมที่จะตามมาหากทำความชั่ว. รายละเอียดเพิ่มเติม: หิริ (ความละอายต่อบาป): เกิดจากการที่รู้ว่าการกระทำชั่วเป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ว่าจะมีใครเห็นหรือไม่ก็ตาม ก็เกิดความละอายใจ. เช่น ไม่กล้าทำความชั่ว เพราะรู้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องและจะทำให้เกิดความทุกข์แก่ตนเองและผู้อื่น. โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อบาป): เกิดจากการที่รู้ว่าการกระทำชั่วจะก่อให้เกิดผลกรรมที่ไม่ดี ซึ่งอาจนำมาซึ่งความทุกข์. เช่น กลัวว่าหากทำความชั่วแล้ว จะได้รับผลกรรมที่เลวร้าย เช่น ถูกตำหนิ ถูกลงโทษ หรือเกิดความทุกข์ทรมาน. ประโยชน์ของหิริโอตัปปะ: ช่วยป้องกันไม่ให้ทำความชั่ว, ช่วยให้มีคุณธรรม, ช่วยให้จิตใจตั้งมั่นในความดี, ช่วยให้มีศีลธรรม, ช่วยให้โลกสงบสุุข
Tumblr media
0 notes
dhamdople · 2 months ago
Text
Tumblr media
Detailed Quote (คำสอนสำคัญ) "การที่เราจะไปนิพพาน มันต้องชำระสิ่งที่มันติดพะรุงพะรังอยู่ในจิตนั้นออกหมดก่อน" (หากเราจะบรรลุนิพพานได้ ต้องขจัดกิเลสที่เกาะกุมจิตออกให้หมดสิ้น) คำอธิบาย: คำสอนนี้เน้นว่า การหลุดพ้นไม่ใช่แค่การนั่งสมาธิหรือท่องมนต์ แต่ต้อง "ชำระจิต" ให้บริสุทธิ์จากกิเลส ทุกชนิด ทั้งความโลภ โกรธ หลง และความยึดมั่นในร่างกาย (สักกายทิฐิ) วิธีปฏิบัติ: ธัมมาวุโธวาท
พิจารณากาย (กายานุปัสสนา) – ฝึกมองร่างกายเป็นเพียงธาตุ 4 (ดิน น้ำ ลม ไฟ) -
ทำลายสังโยชน์ - ละทิฐิ มานะ และอาสวกิเลส
ฝึกสติตลอดเวลา - ไม่ใช่แค่เวลานั่งสมาธิ แต่ต้องมีสติในทุกอิริยาบถ เป้าหมาย: จิตที่หลุดพ้น ไม่ถูกกิเลสครอบง่า เห็นความจริงของสังขาร ว่าเป็นเพียงเครื่องมือชั่วคราว
0 notes
dhamdople · 2 months ago
Text
Tumblr media
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 270 ชราวรรคที่ ๖
๑. ชราสูตร
[๑๕๘] เทวดาทูลถามว่า อะไรหนอ ยังประโยชน์ให้สำเร็จจน กระทั่งชรา อะไรหนอ ตั้งมั่นแล้วยัง ประโยชน์ให้สำเร็จ อะไรหนอ เป็นรัตนะ ของคนทั้งหลาย อะไรหนอ โจรลักไปไม่ ได้. [๑๕๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ศีลยังประโยชน์ให้สำเร็จจนกระทั่ง ศรัทธาตั้งมั่นแล้วยังประโยชน์ให้ ชรา สำเร็จ ปัญญาเป็นรัตนะของคนทั้งหลาย บุญอันโจรลักไปไม่ได้.
ความหมายจาก "ชราสูตร" (พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค)‌
#ศีลยังประโยชน์จนชรา‌ ความหมาย:‌ ศีล (ความประพฤติดีทางกายวาจา) เป็นพื้นฐานสำคัญที่ส่งผลดี ‌ตลอดชีวิต‌ แม้ในวัยชรา ข้อคิด:‌ การรักษาศีลช่วยป้องกันความเดือดร้อน สร้างความน่าเชื่อถือ และเป็นรากฐานของกุศลกรรม
#ศรัทธาตั้งมั่นสำเร็จประโยชน์‌ ความหมาย:‌ ศรัทธา (ความเชื่อมั่นในความดี) ที่มั่นคง ‌นำไปสู่การลงมือทำ‌ จนบรรลุเป้าหมาย ข้อคิด:‌ ศรัทธาต้องควบคู่กับปัญญา ไม่ใช่เชื่ออย่างงมงาย
#ปัญญารัตนะของมนุษย์‌ ความหมาย:‌ ปัญญา (ความเข้าใจถูกต้อง) เป็น ‌สมบัติสูงสุด‌ ของมนุษย์ เพราะช่วยแยกแยะดี-ชั่ว และแก้ปัญหาชีวิต ข้อคิด:‌ ปัญญาเกิดจากการศึกษา ฝึกคิดวิเคราะห์ และปฏิบัติธรรม
#บุญโจรลักไม่ได้‌ ความหมาย:‌ บุญ (ผลแห่งกรรมดี) เป็นสิ่ง ‌ไม่มีใครขโมยไปได้‌ แม้ทรัพย์สินจะถูกโจรกรรม แต่บุญยังติดตัวผู้สร้างไว้ ข้อคิด:‌ การทำบุญคือการลงทุนที่มั่นคงที่สุด
"ชีวิตที่ดีเริ่มจากศีล ศรัทธา ปัญญา และบุญ สิ่งเหล่านี้คือเกราะป้องกันทุกวัย"
เหมาะสำหรับผู้สนใจ ‌#ธรรมะชีวิตประจำวัน‌ และ ‌#หลักธรรมพัฒนาตนเอง‌
ต่อไปนี้เป็นคำแปลภาษาไทยฉบับสมบูรณ์และคำอธิบายเนื้อหาของ "ชราสูตร" (พระสูตรเรื่องความชรา) ตามที่บันทึกไว้ในภาษาบาลีพระไตรปิฏก:
"ชราสูตร" ๑. พบกับ ๑ สูตรในพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑ (สังยุตตนิกายสคาถวรรค) งาน๒๗๐ พระสูตรนี้ใช้รูปแบบบทเทศน์เทวดาทูลถาม-พระพุทธเจ้าตอบ‌ การเผชิญปัญหา ๒. ลักษณะโครงสร้าง จัดอยู่ใน ‌ขุททกนิกาย・สุตตนิบาต‌ แบบคาถาภาษิต มีรูปแบบห้องโถงประเภท:
" เทวดาทูลถาม → พระพุทธองค์ทรงตอบ" (แบบอย่างที่ดีในการแสดงธรรมต่อเทวดา)
๓. ประเด็นธรรมสำคัญ เสนอ ๔ วิธี นอกเหนือจากหลักเกณฑ์ชรา: ๑. ‌ศีล‌ (ความชีดี) ๒. ๓. ‌ปัญญา‌ (ความรู้แจ้ง) ๔. ‌บุญ‌ (ผลแห่งกรรมดี) เน้นที่: "บุญอันโจรลักไปไม่ได้"‌ (ตอกย้ำกฎแห่งกรรมว่าบุญไม่อาจขโมยได้) หมายเหตุ: ข้อมูลปัจจุบันยังไม่แสดงจำนวนพระสูตรทั้งหมดในพระไตรปิฏกที่เกเลียข้องกับหัวข้อนี้ แนะนำให้ปรึกษาพระไตรปิฏกฉบับสมบูรณ์หรือเอกสารการวิจัยวรรณกรรมพุทธศาสนาเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง
แปลข้อความจากพระสูตร (การเปรียบเทียบต้นฉบับ): ข้อความ คัดลอกรหัส [ เทวดาทูลถาม] อะไรยังมีประโยชน์ให้สำเร็จชชรา? อะไรตั้งมั่นแล้วยังมีประโยชน์ให้สำเร็จ? อะไรเป็นรัตนะของทั้งหมด? โจรลักไปไม่ได้อะไร?
[ ทำตามที่ตอบ] ศีลยังมีประโยชน์ให้สำเร็จชชรา ศรัทธาตั้งมั่นแล้วยังมีประโยชน์ให้สำเร็จ ปัญญาเป็นรัตนะของทุกคน บุญอันโจรลักไปไม่ได้
0 notes
dhamdople · 2 months ago
Text
ข้อคิดดีๆ ในการใช้ชีวิต‌
📌 ‌"รู้ทุกข์แล้วนะ อย่ากลัวทุกข์ แต่อย่าหาทุกข์ใส่ตัว"‌
ชีวิตคนเรามีทั้งสุขและทุกข์เป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่สำคัญคือ ‌"อย่าสร้างปัญหาให้ตัวเอง"‌ โดยเฉพาะการทำสิ่งที่ไม่ดี เช่น
❌ ‌เล่นการพนัน (คาสิโน)‌ – ไม่ใช่แค่เสียเงิน แต่ยังทำลายครอบครัว และอาจทำให้คนรอบข้างเป็นเหยื่อ ❌ ‌เห็นแก่ตัว‌ – การเอาเปรียบผู้อื่น ไม่สนใจความรู้สึกคนอื่น สุดท้ายก็กลับมาทำร้ายตัวเอง ❌ ‌มองคนอื่นเป็นเหยื่อ‌ – การใช้ประโยชน์จากความเดือดร้อนของคนอื่น เป็นบาปกรรมที่หนักหนา
🔹 ‌ทางออกที่ดี:‌ ✔️ ใช้ชีวิตอย่างมีสติ รู้จักพอดี ✔️ หมั่นทำความดี สร้างกรรมดีให้ตัวเองและสังคม ✔️ อย่าเห็นความทุกข์ของผู้อื่นเป็นโอกาส แต่จงช่วยเหลือกัน
‌ชีวิตจะดีขึ้นได้ ถ้าเราไม่สร้างปัญหาให้ตัวเองและผู้อื่น‌ 🙏
ข้อคิดชีวิต #อย่าหาทุกข์ใส่ตัว #ใช้ชีวิตอย่างมีสติ
งั้นรู้ทุกข์แล้วนะ อย่ากลัวทุกข์ แต่อย่าหาทุกข์ใส่ตัว หาทุกข์ใส่ตัว เช่น อยู่ดีไม่ว่าดี อยากไปเล่นคาซิโน นี่อุบาตมากเลยนะ อุบาตมากเลย เห็นแก่ตัว เห็นคนอื่นเป็นเหยื่อนะ เห็นคนอื่นเป็นเหยื่อ บาปกรรมหนักหนาเลย
‌"รู้ทุกข์…อย่ากลัว แต่ก็อย่าไปหา"‌ (เข้าใจความทุกข์ แต่อย่าหามันมาใส่ตัว)
‌"知苦不惧苦,但莫自寻苦"‌ (Zhī kǔ bù jù kǔ, dàn mò zì xún kǔ)
‌"Know suffering, don't fear it… but don't invite it."‌
‌ความหมาย:‌
เรียนรู้และเข้าใจความทุกข์ แต่ไม่ต้องกลัวมัน อย่าสร้างปัญหาให้ตัวเอง เช่น เล่นพนัน/เห็นแก่ตัว การทำร้ายคนอื่น สุดท้ายย้อนกลับมาทำร้ายเรา
0 notes
dhamdople · 2 months ago
Text
Tumblr media
วิธีการที่ดีที่สุดสำหรับผู้ปฏิบัติ (ในการรอดพ้นจากภัยพิบัติ) คือการข้ามวัฏฏะ คือการข้ามสังสารวัฏ การปิดอบายภูมิ ๔ ไม่ท่องเที่ยวในอบายภูมิทั้ง ๔ ได้ เป็นการดีที่สุด 30-03-2568 ที่มันจะเกิดภัยพิบัติก็เพราะความโลภ ความโกรธ ความหลง แค่นั้นมันถึงทาให้เกิดภัยพิบัติ หลวงปู่สาคร ธัมมาวุโธ
หลวงปู่สาคร ธัมมาวุโธ เป็นพระสงฆ์สายวิปัสสนากรรมฐานที่มีชื่อเสียง ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดเวฬุวัน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี และยังเป็นประธานสงฆ์วัดป่ามณีกาญจน์ จังหวัดนนทบุรี.
โอวาทของหลวงปู่สาครมักเน้นเรื่องการปฏิบัติธรรมเพื่อหลุดพ้นจากวัฏสงสาร ท่านได้รับการฝึกฝนจากครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และได้ออกเดินธุดงค์เพื่อศึกษาธรรมกับพระอาจารย์หลายรูป.
คำสอนของท่านเกี่ยวกับภัยพิบัติที่เกิดจากกิเลส เช่น ความโลภ ความโกรธ และความหลง สะท้อนหลักธรรมที่ว่าการละกิเลสเป็นหนทางสู่ความสงบและปลอดภัยจากทุกข์ทั้งปวง
0 notes
dhamdople · 3 months ago
Text
Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media
[๗] การบำรุงบิดามารดา การสงเคราะห์บุตรภรรยา และการงานทั้งหลายไม่อากูล นี้ก็เป็นมงคลอุดม การให้ทาน การประพฤติธรรม การสงเคราะห์ญาติ และการงานทั้งหลายที่ไม่มีโทษ นี้ก็เป็นมงคลอุดม. การงดจากบาป การสำรวมจากการดื่มน้ำเมา และความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย นี้ก็เป็นมงคลอุดม.
[๘] ความเคารพ ความถ่อมตน ความสันโดษ ความกตัญญู และการฟังธรรมตามกาล นี้ก็เป็นมงคลอุดม ความอดทน ความว่าง่าย การได้เห็นสมณะ และการสนทนาธรรมตามกาล นี้ก็เป็นมงคลอุดม.
[๙] ความเพียร ความประพฤติพรหมจรรย์ การเห็นอริยสัจ และการทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน นี้ก็เป็นมงคลอุดม จิตของผู้ใดอันโลกธรรมทั้งหลายถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว ไม่เศร้าโศก ปราศจากธุลี และเกษม นี้ก็เป็นมงคลอุดม.
[๑๐] เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทำมงคลทั้งหลายเช่นนั้นแล้ว เป็นผู้ไม่ปราชัยในที่ทั้งปวง ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทุกเมื่อ.
0 notes
dhamdople · 3 months ago
Text
Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media Tumblr media
0 notes
dhamdople · 3 months ago
Text
Tumblr media
สติจ่ออยู่ มันจะคิดเรื่องอะไร ถ้าเราไม่เผลอสติมันก็คิดไม่ได้ ความคิดความปรุง มันเป็นตัวขโมยเป็นตัวผู้ร้าย เราเผลอเมื่อไรมันฉกขโมยปั๊บ คิดแล้วๆ เราก็ไม่รู้ว่าเราคิดเรื่องอะไร แต่ความจริงนั้นคือ “ สติเราไม่มี ” มันคิดได้ทั่วโลกรอบโลกนั่นแหละ โอวาทธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
0 notes
dhamdople · 3 months ago
Text
Tumblr media
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ หน้าที่ 607 แก้อรรถ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พนธนา ความว่า เปลื้องปล่อยซึ่งเทวดา และมนุษย์จากเครื่องผูกมีกามราคสังโยชน์เป็นต้น, บทว่า มคคามคุคุณจ อาจิกขิ ความว่า ทรงบอกปุถุชนที่เหลือว่า ทางนี้คือมัชฌิมาปฏิปทาเว้นจาก อุจเฉททิฏฐิและสัสสตทิฏฐิ เป็นทางเพื่อบรรลุอมตธรรม การทำตัวให้ลำบาก เปล่าเป็นต้นนี้มิใช่ทาง. บทว่า อาโลก์ ทสุสยิตวาน ได้แก่ ทรงแสดง แสงสว่าง คือมรรคญาณ และแสงสว่างคือวิปัสสนาญาณ. บทว่า ลกขณญจ กุสุมต์ ความว่า พระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า บานแล้ว ประดับแล้ว ด้วยพระลักษณะอันวิจิตรเป็นต้น. คำที่เหลือในคาถาทั้งหลายทุกแห่ง ง่ายทั้ง นั้นแล. จบพรรณนาวงศ์พระวิปัสสีพุทธเจ้า
#พระไตรปิฎก#พระสุตตันตปิฎก#พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล#พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ หน้าที่ 607#บทว่า พนธนา ความว่า เปลื้องปล่อยซึ่งเทวดา#มนุษย์จากเครื่องผูกมีกามราคะ#สังโยชน์#บทว่า มคคามคุคุณจ#อาจิกขิ ความว่า ทรงบอกปุถุชนที่เหลือว่า ทางนี้คือมัชฌิมาปฏิปทาเว้นจาก#อุจเฉททิฏฐิ#สัสสตทิฏฐิ#เป็นทางเพื่อบรรลุอมตธรรม#การทำตัวให้ลำบาก เปล่าเป็นต้นนี้มิใช่ทาง.#บทว่า อาโลก์ ทสุสยิตวาน#จบพรรณนาวงศ์พระวิปัสสีพุทธเจ้า#ความว่า พระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยพระลักษณะอันวิจิตร#ลกขณญจ กุสุมต์#แสงสว่างคือวิปัสสนาญาณ#แสงสว่าง คือมรรคญาณ
0 notes
dhamdople · 4 months ago
Text
Tumblr media
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 270 ชราวรรคที่ ๖ ๑. ชราสูตร [๑๕๘] เทวดาทูลถามว่า อะไรหนอ ยังประโยชน์ให้สำเร็จจน กระทั่งชรา อะไรหนอ ตั้งมั่นแล้วยัง ประโยชน์ให้สำเร็จ อะไรหนอ เป็นรัตนะ ของคนทั้งหลาย อะไรหนอ โจรลักไปไม่ ได้. [๑๕๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ศีลยังประโยชน์ให้สำเร็จจนกระทั่ง ชรา ศรัทธาตั้งมั่นแล้วยังประโยชน์ให้ สำเร็จ ปัญญาเป็นรัตนะของคนทั้งหลาย บุญอันโจรลักไปไม่ได้.
1 note · View note
dhamdople · 4 months ago
Text
Tumblr media
อะกะตัง ทุกกะฏัง เสยโย อกตํ ทุกฺกฏํ เสยฺโย “ความชั่ว ไม่ทำเสียเลยดีกว่า” พุทธศาสนสุภาษิต อกตํ ทุกฺกฏํ เสยฺโย.
[คำอ่าน : อะ-กะ-ตัง, ทุก-กะ-ตัง, ไส-โย]
“ความชั่ว ไม่ทำเสียเลยดีกว่า”
(สํ.ส. 15/68, ขุ.ธ. 25/56)
ความชั่ว คือสิ่งที่ทำแล้วสร้างทุกข์สร้างโทษ ทำลายประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมให้ฉิบหายย่อยยับ
ความชั่ว เปรียบเหมือนสิ่งปฏิกูลโสโครก เพราะเมื่อทำไปแล้วย่อมแปดเปื้อน สิ่งปฏิกูลโสโครกนั้นเมื่อแปดเปื้อนเราแล้วยังสามารถล้างออกให้สะอาดได้ แต่ความชั่วเมื่อทำไปแล้ว จะแปดเปื้อนเราไปอีกนาน ต้องชดใช้ผลของมันให้หมดเท่านั้นจึงจะหาย
ไม่มีใครเลยในโลกใบนี้ ที่ทำความชั่วแล้วจะไม่ได้รับผลของความชั่วนั้น ทุกคนย่อมได้รับผลของกรรมที่ตนทำไว้ทั้งหมด อาจจะเร็วบ้างช้าบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับว่า กรรมนั้นมีกำลังรุนแรงแค่ไหน ถ้ากรรมนั้นมีกำลังไม่รุนแรง ก็จะให้ผลช้า แต่ถ้ามีกำลังรุนแรง ก็จะให้ผลเร็ว แต่ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว กรรมนั้นจะให้ผลอย่างแน่นอน
เมื่อรู้ดังนี้แล้ว พึงพิจารณาเห็นว่า ความชั่วจะสร้างความฉิบหายย่อยยับให้เรา ไม่มีคุณประโยชน์อันใดเลย แล้วอย่าทำมันเลยตลอดชีวิต.
Tumblr media
1 note · View note
dhamdople · 4 months ago
Text
Tumblr media Tumblr media Tumblr media
0 notes
dhamdople · 4 months ago
Text
Tumblr media Tumblr media Tumblr media
พระโสดาบัน
1 note · View note