Tumgik
#อำเภอชาติตระการ
bakeriddim · 6 years
Photo
Tumblr media
๐ ตดป้าด ๆ อยู่ชาติตระการ ; ๐ 17 ก.พ.61 ; วันที่ 3 ของการปฏิบัติภารกิจ ร่วมเป็นวิทยากร ระดับจังหวัด ของจังหวัดพิษณุโลก ถ่ายทอดนโยบายและกรอบแนวทางการปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ ให้กับทีมงานระดับอำเภอ ระดับตำบล ของจังหวัดพิษณุโลก กลุ่ม #อำเภอชาติตระการ #อำเภอวัดโบสถ์ #อำเภอนครไทย ตามโครงการไทยนิยม ยั่งยืน ณ ศูนย์ประสานแผนพัฒนาท้องถิ่นประจำอำเภอชาติตระการ (at Chat Trakan District)
0 notes
bnwts · 4 years
Text
บันทึกการเดินทางเล็กๆ ของคนขาไม่ค่อยเล็ก
ชื่อเรื่องเพื่ออะไร (เอาฮาไง) 555555 อยากจะลองเขียนเรื่องราวการเดินทางของตัวเองดูบ้าง เพราะตอนนี้ว่างเหลือเกิน จะย้อนท้าวความไปตอนปีหนึ่งดีกว่า ไม่ต้องย้อนไปไกลกว่านั้นมันจะไกลเกิน
การเดินอุทยานแห่งชาติครั้งแรก (อุทยาทแห่งชาติรามคำแหง (เขาหลวง) จังหวัดสุโขทัย) 2557
อุทยานแห่งชาติในประเทศไทยที่เราไปเดินครั้งแรกคือ อุทยานแห่งชาติรามคำแหง จังหวัดสุโขทัย ที่รู้จักกันในชื่อ เขาหลวงสุโขทัย ตอนนั้นไม่รู้จักการเดินป่า หรือการเที่ยวอุทยานอะไรแบบนี้เลย แต่ไปเพราะเป็นกิจกรรมของคณะที่ปีหนึ่งทุกคนต้องไปเดินขึ้นเขาหลวง เพื่ออะไรก็ไม่รู้ แต่คิดว่าน่าจะเพื่อนความสามัคคีและความแข็งแรง เรื่องมันก็ผ่านมานานหลายปีแล้วแหละแต่จะพยายามนึกและเขียนไว้เพราะมันมีเรื่องราวที่ประทับใจสุดๆ และจุดประกายการเที่ยวอุทยานแห่งชาติในประเทศไทยด้วย (เขียนก็จะวนๆหน่อยมือใหม่หัดเขียนกำลังพยายามเรียบเรียงจัดการ) เริ่มเลยละกัน เราเข้าเรียนในรหัส 56 คณะวิทยาศาสตร์ มอดังย่านหนองอ้อ จังหวัดพิษณุโลก วันหนึ่งในเดือนมกราคม 2557 คณะมีกิจกรรมเดินขึ้นเขาหลวงเพื่อไปปลูกต้นไม้ประจำรุ่น ซึ่งกิจกรรมนี้มีมานานแล้วก็สืบทอดต่อๆกันมาหลายรุ่น ทางคณะได้เตรียมรถคอกหมู (เค้าเรียกกันแบบนั้นอ่ะ เป็นรถโดยสารขนาดใหญ่ที่สามารถจุได้คันละสาขาวิชา สาขาวิชาประมาณ 40-50 คน) พยายามจะไปหารูปแล้วไม่เจอจริงๆเพราะค่อนข้างนาน จำอะไรไม่ค่อยได้อ่ะ จำได้ว่าพี่ๆทำอาหารเพื่อน้องๆปีหนึ่งไม่ค่อยพอ เพราะต้องแบกขึ้นไปเองเลยแบกไปไม่เยอะ อดมื้อกินมื้อ แต่เราพกมาม่าไปไงก็เลยดีไป เต๊นท์ก็ไม่เพียงพอ 1 เต๊นท์ต่อ 8 คน อัดกันไป กิจกรรมยามเช้าต่อมาคือดูพระอาทิตย์ขึ้น เป็นการดูพระอาทิตย์ขึ้นฟินที่สุดในชีวิตละ ระหว่างทางเดินกลับที่พักหลังจากดูพระอาทิตย์ขึ้นเสร็จ จะมีทางหลงเขาเป็นเนินยาว เรากำลังเดินลงอย่าระมัดระวัง มีผู้ชายคนหนึ่งเดินนำเราลงไปก่อนแล้วอยู่ดีๆก็หันกลับพร้อมยืนมือมาให้เรา ตอนนั้นคือเขินมาก เลยยืนข้อมือไปให้เค้า เค้าก็ค่อยๆจูงเราลงเขา คนนั้นคือคนที่เราแอบชอบไงงงงงง มันเลยเขินเป็นพิเศษและเสียดายมาจนถึงปัจจุบันว่า ทำไมไม่ยื่นมือ ยื่นข้อมือทำไมมมมม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จำมาตลอดและไม่มีทางลืมแน่นอน….
การเดินเขาหลวงที่เป็นกิจกรรมในครั้งนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้อยากเดินอีกเขาอีกหลายๆลูก การไปพร้อมกับเพื่อนๆรุ่นเดียวกันในครั้งนั้นทำให้เราเจอเรื่องราวดีๆระหว่างทาง เช่น พี่แบกน้องลงเขา น้องๆช่วยกันขนข้าวขนน้ำขึ้นเขา เป็นต้น (เล่าทุกเรื่องไม่ได้เพราะจำได้แค่นี้) เราได้เห็นน้ำใจของเพื่อนๆพี่ๆในรุ่นนั้น ถือว่าเป็นกิจกรรมที่ดี และได้เที่ยวด้วย เปิดประสบการณ์ใหม่เปิดโลกของเราสุดๆ
สุดท้ายของทริปนี้ขอแนบรูปหลักฐานว่าไปเยือนเขาหลวงมาแล้วนะ ขอตั้งชื่อภาพนี้ว่า
“เราเค้าและเขาหลวง”
การเดินอุทยานแห่งชาติครั้งที่สอง (อุทยานแห่งชาติภูเรือ จังหวัดเลย) 2558
การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและจบลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเราไปงานบวชที่อำเภอภูเรือ ซึ่งวัดที่จัดงานอยู่ใกล้กับอุทยานแห่งนี้เราจึงได้ขึ้นไปแบบกะทันหัน การเดินทางขึ้นยอดภูเรือสามารถขึ้นไปได้ 2 แบบ คือ การเดินขึ้นไป และ การนั่งรถโดยสารของทางอุทยานปีที่เราไป ราคาคนละ 10 บาท (แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าราคาขึ้นแล้วหรือยัง) แต่เราเลือกที่จะเดิน เส้นทางเดินเป็นทางเดินผ่านป่าไป ระยะทางไม่ไกลเท่าไหร่ สนุกสาน ถึงมันจะเกิดขึ้นอย่างเร็ว เราก็จะถือว่ามันเป็นการเดินทางเล็กๆที่ประทับใจได้เหมือนกัน เพราะบรรยากาศมันเป็นเป็นกันเอง ซึ่งเป็นกันเองด้วยภาษาถิ่นที่คุ้นเคย(พ่อเราเป็นคนภูเรือ) และความเป็นกันเองของผู้คน
ภาพนี้เป็นภาพที่ถ่ายมาจากการเดินทางครั้งนี้ ตอนนั้นอากาศหนาวแต่ท้องฟ้าแจ่มใจ ลมหนาวเย็นชื่นใจ หน้าแห้งเบาๆ แก้มแดงระเรื่อเนื่องจากความแห้งของอากาศ (พูดง่ายๆคือหน้าแตก) สีฟ้าเป็นสีนี้จริงๆนะ no filter พูดแล้วก็คิดถึง “เลย”
การเดินอุทยานแห่งชาติครั้งที่สาม (อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จังหวัดเลย) 2558
ทริปนี้เป็นการนัดเพื่อนแล้วไปเลยไม่มีการวางแผนใดๆล่วงหน้า เพราะถ้าวางแผนนานมันจะพังไม่เป็นท่า ไปครั้งนี้ไปกันผู้หญิงสองคน วันที่ 24-25 ธันวาคม 2558 เราเป็นคนจังหวัดเพชรบูรณ์ซึ่งใกล้กับจังหวัดเลย เช้ามืดเราให้แม่ไปส่งที่ขนส่งในอำเภอหล่มสัก จากนั้นเดินทางต่อด้วยรถทัวร์ กรุงเทพ-ภูเรือ จากที่ดูรีวิวไปเราดูจากคนที่เดินทางคนละทางกับเราเลยงงนิดหน่อยเพราะผิดแผน และไม่มีแผนสำรอง เราสองคนเลยถามป้าแถวๆนั้น พบว่าเราต้องไปขึ้นรถที่บขส.ในตัวเมืองเลย จากนั้นต่อด้วยรถ เมืองเลย ภูกระดึง ขอนแก่น ระหว่างทางพบคนที่มีเป้าหมายเดียวกันคือยอดภูกระดึง คือเหมือนเราพบเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่มีเป้าหมายหรือปลายทางเหมือนกัน มันเลยทำให้เรารู้สึกฮึดมาก รู้สึกมีพลัง มีแรงที่จะเดิน (แต่เราก็ไม่ได้คุยกับเพื่อนร่วมทางหรอกแค่รู้สึกสัมผัสพลังงานบางอย่างได้) เมื่อถึงอุทยานแล้วเราก็ซื้อตั๋ว เตรียมตัวขึ้นภู เย้!
ตอนนั้นที่ซื้อตั๋วแล้วได้ราคา 20 บาท คิดว่าพี่เจ้าหน้าที่มองว่าเราหน้าเด็กเลยลดให้ราคาเด็ก แต่พึ่งมานึกออกนี่แหละว่าเรานอนแค่คืนเดียว (แม่อนุญาตให้ชะนีน้อยสองตัวนอนป่าแค่คืนเดียว) เราเดินไปร้องเพลงไปหยุดพักทุกซำ เพราะเหนื่อยมาก ตอนนั้นเพลง การเดินทาง ของพี่ชาติ สุชาติกำลังดัง ร้องเพลงนี้ตลอดทางที่เดินขึ้นยอดภู ตลอดการเดินทางขึ้นจะมีคนที่กำลังเดินลงคอยบอกตลอดทางว่า สู้ๆ อีกนิดเดียวก็จะถึงยอดภูแล้ว เราว่ามันดีมากๆเลยมิตรภาพระหว่างทาง ส่งหัวใจไป ปิ้วๆ ในที่สุดเราก็ถึงหลังแป
เราก็พึ่งมานึกถึงการแต่งตัวของเราในตอนนั้น เสื้อสีแดง กระเป๋าสีเหลือง กางเกงยีนส์ และรองเท้าสีม่วง แต่งไปได้ไงวะ ตัดกันทุกเฉดสีไม่มีความแมทใดๆทั้งสิ้น เนื่องจากการเดินทางครั้งนี้เป็นทริปรีบเร่งวันที่สองของการเดินทางเราไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันที่ผานกแอ่น จากนั้นก็เกิดเรื่องลึกลับขึ้น เราได้พกไอพอดไปไว้ถ่ายภาพ และมีโทรศัพท์มือถือโซนี่เก่าๆติดตัวไปเพราะตอนนั้นไม่มีกล้อง ไอพอดเราชาร์จไว้ทั้งคืนเพื่อเอาไว้ถ่ายรูปในตอนเช้าและตลอดทั้งวัน หลังจากดูพระอาทิตย์เสร็จแล้วเดินกลับแคมป์ ไอพอดดับสนิท เอาไปชาร์จ หรือกดเปิดขนาดไหนไม่มีท่าทีว่าจะติดเลยสักนิดเดียว ไม่มีวี่แววใดๆจากไอพอดน้องรัก (ที่ถ่ายรูปจากโซนี่ได้ไม่เยอะเพราะไม่มีเมมโมรี่การ์ดและเก็บแบตเตอร์รี่ไว้ติดต่อกัน) เราได้แต่เดินชมธรรมชาติอย่างแท้จริง ผ่านเลนส์ตาอย่างแท้ทรู ได้รูปรวมกันทั้งหมดไม่ถึง 50 รูป ตอนแรกก็เสียดายที่ไม่ค่อยมีภาพ แต่กลับมาคิดถึงข้อดีในจุดนี้ คือ เราไม่ได้ไปจดจ่อกับการถ่ายรูปมากจนเกินไป เราใช้เวลาสัมผัสกับธรรมชาติอย่างแท้จริง บันทึกทุกอย่างผ่านเลนส์ตากับเมมโมรี่ไว้ในหัวใจ (แหวะ)
เนื่องจากเรามีเวลาจำกัดเพราะต้องลงมาขึ้นรถทัวร์ให้ทันก่อนพระอาทิตย์ตก วันที่สองเราจึงเดินไปไม่ถึงผาหล่มสัก เราเดินจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ไปถึงผาเหยียบเมฆ แล้วก็เดินมาหลังแปเพื่อลงจากภู
เครดิตภาพแผนที่
ถึงเวลาลงจากเขา… เราสองคนนั้นวิ่งลง จากตอนเดินขึ้นใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง เราใช้เวลาลงภายใน 2 ชั่วโมง เพราะเรากลัวจะไม่ทันรถทัวร์กลับบ้าน ตอนขึ้นรถกลับเกิดเรื่องเล็กน้อยแต่เราไม่รู้จะอธิบายยังไง ให้เข้าใจ (นี่หมายถึงอธิบายให้ตัวเองฟังด้วย) เราแยกกับเพื่อนที่ร้านค้าสวัสดิการก่อนขึ้นภูเพื่อขึ้นรถกลับบ้านคนละคัน แต่เมื่อถึงบขส.เมืองเลย พบว่าเรานั้นขึ้นคันเดียวกันมาตลอด งงอ่ะดิ งง.. เราก็งง ฮ่าๆ สุดท้ายแล้วทริปนี้สนุกมาก แต่ไปไม่ถึงผาหล่มสัก เพราะมันเป็นสัญญาว่าเราจะไปภูกระดึงอีกครั้งแน่นอน….
เขียนเองก็งงเอง ตอนนี้อาจจะเขียนงงๆหน่อยแต่เราว่าเราพัฒนาได้ (มั่นหน้าเนาะ) 55555555
ส่งท้ายภูกระดึงด้วยภาพจาก Sony Xperia NeoL ที่ไม่มีเมมโมรี่การ์ดและถ่ายได้แค่ไม่กี่ภาพขอตั้งชื่อภาพนี้ว่า
“ตีนดำๆกั��น้ำใสๆ และใบเมเปิ้ลสีแดง”
การเดินอุทยานแห่งชาติครั้งที่สี่(อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่) 2560
การเดินทางไปที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ครั้งนี้ เราไปตอนที่กำลังฝึกงานที่เชียงใหม่ เราได้เจอกับเพื่อนๆที่ฝึกงานด้วยกัน เพื่อนมาจากอุดรธานี (ถือว่าไกลมากนะกับเชียงใหม่) เพื่อนที่ฝึกงานมีพี่เลี้ยงคนเดียวกันได้ทำงานด้วยกันทุกวันจนสนิทกันมากขึ้น เพื่อนๆที่อุดรมีอุดมการณ์ในการมาฝึกงานที่เชียงใหม่คือต้องเที่ยวให้คุ้มก่อนจะกลับเราเลยเหมารถแดงไปกัน และชวนเพื่อนๆจากมหาลัยอื่นๆที่ฝึกงานที่เดียวกันไปด้วยกัน (ใช้คำฟุ้มเฟือยนะเนี่ยแต่ไม่รู้จะเขียนไงดี) ซึ่งเราฝึกงานที่สวนพฤกษศาสตร์ อำเภอแม่ริม อยู่คนละฟากกับดอยอินทนนท์เลย เรื่องเที่ยวขอให้บอกเราตื่นแต่เช้าและออกเดินทางกันแต่เช้า ช่วงนั้นเป็นช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ อากาศยังเย็นๆอยู่ แต่แค่ได้เข้าเขตอุทยานก็รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก ลมเย็นๆที่ผ่านหน้า การพูดคุยกับเพื่อนๆ พูดคำเดียวเลยว่าสนุกมากกกกก
มาถึงจุดแรกที่เราแวะกันคือ เส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน เขียวชะอุ่ม เย็นสดชื่นจริงๆนะ มันบรรยายความรู้สึกไม่ถูกอะ ต้องลองไปสัมผัสด้วยตัวเองจริงๆ แต่เราเดินไม่ครบรอบของกิ่วแม่ปาน เพราะมีเพื่อนที่ไม่ค่อยได้เดินป่าเป็นปกติรู้สึกหายใจขัดๆ เพราะขึ้นที่สูงและอากาศเย็นด้วยแหละ สารภาพตามตรงนะตอนนั้นแอบเคืองเพื่อนเล็กน้อย เพราะนานๆได้มาทีก็อยากให้มันคุ้มอะ อีกอย่างไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้มาอีกทีเมื่อไหร่ ก็ถามเพื่อนอีกกลุ่มว่าเราเดินต่อไปไม่ได้หรอ ให้เพื่อนของเพื่อนพาเพื่อนกลับย้อนไปทางเดิม (ก็แอบเห็นแก่ตัวเล็กน้อย) แต่เพื่อนที่เราถามก็บอกว่ามาด้วยกันก็ไปด้วยกันสิ สรุปก็คือคนที่มาด้วยกันทั้งหมดต้องเดินย้อนกลับไปด้วยกันทั้งหมด มองย้อนกลับไปก็เข้าใจเพื่อนนะ สภาพร่างกายเพื่อนไม่ไหวจริงๆ แต่ก็แอบเคืองอีกว่าทำไมเพื่อนไม่ปล่อยให้เราเดินไปให้สุดล่ะ (แอบเจ็บเพราะเธอที่ใจร้ายยยยย, แอบเจ็บ.เวอร์ชั่นลูกหว้า พิจิกา) ยังไงก็ผ่านมาละ สองปีได้แล้วมั้ง มันคงเป็นสัญญาณแหละว่าเราต้องกลับไปอีก อารมณ์เดียวกับภูกระดึง
“เมฆจางๆกับฟ้าครามๆ และการแต่งสีซีด”
มีอีกภาพหนึ่งที่เราถ่ายมาก เราชอบความเขียวและความเบลอของภาพ เรื่องราวของภาพนี้เกิดจากเราพยายามถ่ายมอสที่อยู่บนต้นไม้แ��้วเพื่อนเรียกให้รีบไป ส่วนโฟกัสของภาพอยู่ที่ไหน ขอตอบว่า ไม่มีจ้า
“ความเบลอนี้ท่านได้แต่ใดมา”
ต่อมาเราได้เดินทางยังจุดสูงสุดของประเทศ ยอดดอยอินทนนท์ ฮรืออออ อย่างน้อยเราก็ถึงยอดแหละ ฮ่าๆ ถ้าไม่มีรูปก็เหมือนมาไม่ถึง เกรงใจเพื่อนๆอะถ้าจะเปิดหน้าทุกๆคน และหน้าผากของเราคือคนสองนับจากเพื่อนที่ชูสองนิ้ว 5555555
“ถึงแล้วจ้า”
เนื่องด้วยเวลาเรามีจำกัดเราต้องเที่ยวภายในหนึ่งวัน และเผื่อเวลากลับอำเภอแม่ริม ไม่ให้ค่ำจนเกินไป เราก็ไปต่อกันที่ ฟาร์มแกะดอยผาตั้ง พระมหาธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ และน้ำตกวชิรธาร เหมือนกับว่าการเดินทางเที่ยวอุทยานแห่งชาติของเรามันจะมีเหตุให้เรากลับไปซ้ำอีกทุกครั้ง และมันจะเป็นเช่นนั้นแล… สัญญากับตัวเอง
การเดินอุทยานแห่งชาติครั้งที่ห้า (อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว จังหวัดอุตรดิตถ์) 2560
การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางไปกับที่ทำงาน (งานแรกหลังจากเรียนจบ) โดยการเดินทางครั้งนี้พิเศษมากๆ เพราะฟรีทั้งทริป (จริงๆก็มีหักจากเบี้ยเลี้ยงนิดหน่อย เรียกว่าฟรีได้หรอ) และที่พิเศษสุด เราได้เดินทางไปกับทีมงานบรรณาธิการหนังสือ อสท. และผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสุโขทัย โดยสำนักงานของเรามีผู้ร่วมเดินทาง 3 คน มี หัวหน้า พี่ที่ทำงานอีกคนหนึ่ง  เรา และอีกอย่างที่พิเศษคือเจ้าหน้าที่อุทยานแจ้งว่าปีนี้ดอกหงอนนาคบานเยอะที่สุดในรอบสิบปี (ส่วนหลังจากปีนั้นมาเราไม่รู้นะ ) 555555 ว่าแล้วก็ไปกันเลยจ้า
เริ่มออกเดินทางจากสุโขทัย ไปพิษณุโลก จุดแรกที่เราแวะคือ น้ำตกชาติตระการ อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก จริงๆอยากเดินดูให้ทั่วมากกว่านี้แต่ด้วยเรามาถึงที่นี่ค่ำ เลยได้เดินแค่บริเวณด้านล่างของน้ำตก มันสดชื่นมากจริงๆนะ ลมเย็นๆ และไอน้ำกระทบหน้า แต่ติดอยู่อย่างเดียวน้ำค่อนข้างขุ่น เพราะเป็นช่วงปลายฝน และคืนนี้เรานอนกันที่นี้
เช้ามาเราก็ออกเดินทางจากจังหวัดพิษณุโลก ไปจังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อไปภูสอยดาววววววว ทางคดเคี้ยวมากยอมรับเลยว่าเมารถ ดีนะตอนนั้นยังไม่ได้กินข้าวเช้า ถ้ากินคงออกมาทางเดิมหมด ตอนเราเดินทางเราได้นั่งรถไปกับพี่เจ้าหน้าที่อุทยานชาติตระการ พี่เค้าเล่าถึงเรื่องคอมมิวนิสต์ในสมัยก่อน การแบ่งที่ดินทำกินหลังจากสงครามจบ (จำได้คร่าวๆแค่นี้เพราะผ่านมาสองปีแล้ว คิคิ) แต่พอเราได้เดินทางกับคนพื้นที่มันทำให้เรารู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ในพื้นที่นั้นๆ สนุกดี
พอมาถึงภูสอยดาวเราก็พักกินข้าว และจัดของเตรียมตัวเดินขึ้นภู ความพิเศษอีกหนึ่งอย่างคือ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ได้มาภูสอยดาวได้มาร่วมพูดคุยก่อนเดินเท้าขึ้นภู
เห็นไม่ชัดหรอกเพราะเราอยู่ในมุมมืด 555555
โดยการจะขึ้นไปลานสนเพื่อกางเต๊นท์จะต้องผ่านเนินต่างๆ เนินแรก คือ เนินส่งญาติ เนินปราบเซียน เนินป่าก่อ เนินเสือโคร่ง และเนินมรณะ เนินต่างๆก็เหมือนอุปสรรคที่เราต้องข้ามไป (แหวะอะไรจะดึงดราม่าหรอ) พูดได้คำเดียวว่าสนุกมาก สนุกมากจริงๆ ยิ่งสูงเรายิ่งเห็นอะไรกว้างขึ้น เปิดใจและเดินต่อไปให้ถึง 5555 แต่ครั้งนั้้นเราเดินทางไปกับผู้ใหญ่หลากหลายสายอาชีพ ทำให้เราได้มุมมองอะไรใหม่ๆด้วยนะ ได้ฟังเรื่องราวของแต่ละคนว่าเค้าผ่านอะไรก็มาบ้างก่อนที่เค้าจะมาถึงจุดนั้น ครั้งหน้าถ้าได้ไปกับเพื่อนคงจะสนุกกว่านี้แน่นอน (คิดว่างั้นนะ) ไม่รู้จะเขียนอะไรแล้วเพราะนี่คือมาเขียนตอนสองปีให้หลัง งั้นจบด้วยการแนบรูปเลยล่ะกัน
และรูปสุดท้ายคือน้องเหมียวที่อยู่สำนักงานก่อนถึงทางเดินเท้าขึ้นภู
นี่ไม่ได้เป็นการรีวิว แต่เป็นการบันทึกการเดินทางของเราในแต่ละครั้งการเดินทางมันจะเจออะไรต่างกันออกไป มันมีคำถามที่เราได้ยินบ่อยๆเวลาดูรายการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวคือ “การเดินทางให้อะไรกับคุณ” เราก็ไม่รู้จะตอบยังไงนะ มันไม่ได้มีคำคมหรือคำอะไรดีๆอยู่ในหัวเยอะแยะขนาดนั้น เรารู้แค่ว่าเราชอบเวลาเราเดินทาง บางทีคำตอบมันอาจจะเป็นการมีเวลาอยู่กับตัวเอง ทบทวนตัวเอง อะไรประมาณนั้นมั้ง ชอบเดินทางนะแต่ก็ไม่ได้มีเวลาไปได้ทุกปี ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เกิดขึ้นในปีนั้นๆด้วย แต่ต่อจากนี้เราจะไปทุกครั้งที่มีโอกาสให้ได้ ไปเที่ยวกันนนนน จบ.
July 16, 2019
โยกย้ายมาใส่นี่เพราะอยากลบ word press
0 notes