tar-almighty-blog
tar-almighty-blog
Chaichon-Almighty
5 posts
Don't wanna be here? Send us removal request.
tar-almighty-blog · 8 years ago
Photo
Tumblr media
#2
Blade Runner (1982)
Sci-fi/Thriller
   เรื่องนี้ผมมีความสนใจอยากดูอย่างมาก เพราะเป็นหนังแนว Sci-fi และ Harrison Ford แสดงนำ แถมชื่อผู้กำกับก็คุ้นหู อย่าง Ridley Scott
    เล่าเรื่องผ่าน Rick Deckard อดีต Blade Runner(หน่วยตำรวจสร้างขึ้นเพื่อที่จะใช้กำจัด Replicant หรือมนุษย์เทียม) ที่ถูกเรียกตัวกลับเนื่องจาก มีมนุษย์เทียมหลุดหนีมาบนโลก 4 ตัว จึงได้ไปสืบสวนหาตัวมนุษย์เทียมที่หน้าตาเหมือนมนุษย์เสียทุกอย่าง
   Roy Batty หัวหน้ากลุ่มมนุษย์เทียม ต้องการต่ออายุ นั่นคือเป้าหมายหลักในการหลบหนีมาบนโลก แล้วพวกเค้าวางแผนเพื่อเข้าไปบริษัทที่ผลิตมนุษย์เทียม หลังจาก Deckard สืบสวนหามนุษย์เทียม เค้าก็ไปหลงรัก มนุษย์เทียมอย่าง Rachael แต่ก็ต้องตามกำจัดมนุษย์เทียมด้วย เนื่องจากห้ามมีมนุษย์เทียมอยู่บนพื้นโลก ให้ Blade Runner ฆ่าได้ทันที
   Deckard ไล่ฆ่ามนุษย์เทียมทั้งหมดจนมาถึง Batty ทั้งสองสู้กัน Deckard กำลังจะพ่ายแพ้ แต่ Batty ไว้ชีวิต แล้ว Batty ก็หมดอายึขัยของมนุษย์เทียม และ Deckard ก็พา Rachael หนีเพราะตำรวจไม่ต้องการให้มีมนุษย์เทียมอยู่อีก จบ
เรื่องย่อ นี้อาจจะย่อไปหน่อย แต่เราจะมาดูประเด็นของหนังกัน
   หนังเรื่องนี้ ค่อนข้างมีความเป็น Film-noir พอสมควร หนังเล้าเรื่องในปี 2019 มนุษย์สร้างมนุษย์เทียมไว้เหมือนเป็นทาส พอมนุษย์เทียมมีความคิดแข็งข้อ มนุษย์ก็สร้างให้มีอายุขัยแค่ 4 ปี และก่อตั้งหน่วย Blade Runner ขึ้นมา
    หนังน่าจะตั้งคำถามว่า เราเอาอะไรมาตัดสินความเป็นมนุษย์ ผ่านการแสดงของมนุษย์เทียมที่
ปกป้องกันและกัน แต่มนุษย์พอเห็นมนุษย์เทียมก็เอาแต่จะฆ่า พอมนุษย์เทียมตัวหนึ่งตาย พวกที่เหลือก็เศร้าเสียใจ เหมือนพวกนี้เป็นมนุษย์ซะเองมากกว่า
   หรือการสร้างมนุษย์เทียม ชีวิต ขึ้นมาแล้วเรามองว่าเป็นเจ้าของชีวิต จะทำอะไรก็ได้ไม่สนว่ามีความรู้สึก นึกคิดใดๆ และในตอนท้ายที่ Batty ไว้ชีวิต Deckard ก็เหมือนกับว่ามนุษย์เทียมเห็นค่าชีวิตมากกว่า Deckard ที่ไล่ล่ามนุษย์เทียม จนทำให้ Deckard ตั้งคำถามกับตนเองในตอนท้าย แล้วพา Rachael หลบหนี
Function
-Deckard มีบทบาทในการขับเคลื่อนเรื่องราว ที่ต้องตามล่ามนุษย์เทียมตามหน้าที่ และรักมนุษย์เทียมจากจิตใจ เป็นคนที่แสดงออกมาแบบว่า เบื่อโลก ทำให้หนังดูมีความหม่นๆ ในโลกอนาคตแบบดาร์คๆ
-Batty หัวหน้ามนุษย์เทียมที่แสดงความห่วงใยพวกพ้อง ต้องการให้พวกพ้องต่อชีวิต เสี่ยงกลับมายังโลก โดน Blade Runner ไล่ล่า ส่งผลกระทบให้ทั้งเรื่อง เป็นตัวละครที่มีบทบาทสำคัญมาก
การทำซ้ำ
   ในเรื่องมีการแทรกภาพดวงตาเข้ามาบ่อยๆ ตั้งแต่ตอนแรก แล้วก็ตอนที่เกี่ยวกับการทดสอบมนุษย์เทียม อาจสื่อได้ว่า ถึงจะเป็นเทคโนโลยี มนุษย์ มนุษย์เทียม ดวงตาสามารถบอกได้ ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ
ความแตกต่าง
   ตอนที่ Batty ไว้ชีวิต Deckard ทั้งที่เค้าก็ฆ่ามนุษย์มาแล้ว อาจจะบอกว่าใกล้หมดอายุขัยเค้าแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว อยากให้ได้รู้ว่าความกลัวตายของ มนุษย์เทียมถ้า Deckard รู้สึกจะเป็นยังไง ตอนที่ Deckard เกือบตกตึก
การพัฒนาเรื่อง
-เปิดเรื่อง โดยการอธิบาย และภาพของมนุษย์เทียมว่ามีอันตรายแค่ไหน
-ความขัดแย้ง มาจากการส่งพระเอกออกไปจัดการมนุษย์เทียม และสร้างภาพที่ดีของมนุษย์เทียมผ่าน Rachael ที่พระเอกไปหลงรัก
-จุดส��ดยอด มาจากการที่พระเอกไล่ล่ามนุษย์เทียมจนเหลือตัวสุดท้ายและทั้งสองสู้กัน ก่อนที่ Deckard จะแพ้แต่ Batty ช่วยไว้ก่อนที่ Batty จะหมดอายุขัย จากฉากนี้ทำให้รู้ว่ามนุษย์เทียมนั้นต้องการแค่ให้มนุษย์รู้ว่ามนุษย์เทียมก็มีความกลัวตายเหมือนมนุษย์ ทำไปทั้งหมดต่อสู้มามากมายเพื่อต่อชีวิต ใช้อายุขัยเดินทางผ่านดาวต่างๆ ไม่เหมือนมนุษย์ที่ยังทำอะไรเหมือนเดิม สรุปประเด็นเรื่องได้ดี
-การคลี่คลาย พระเอกได้กลับไปพา Rachael หนีทั้งที่ตำรวจกำลังตามหามนุษย์เทียมอยู่
ความเป็นเอกภาพ
   เรื่องนี้มีความเป็นเอกภาพ จะมีสิ่งที่ย้ำถึงประเด็นหนังอยู่หลายอย่าง เช่น ตอนที่มนุษย์เทียมเสียใจ จากการสูญเสียเพื่อน การไว้ชีวิต Deckard หลายๆอย่างงในเรื่องก็ทำออกมาสมกับเป็นโลกอนาคต
Cinemtography
   เรื่องขนาดภาพ เรื่องนี้ใข้ Long Shot ค่อนข้างเยอะ ผสมกับมุม Bird’s Eye View ที่ต้องการให้เห็นตึกราบ้านช่อง ในโลกอนาคต ที่ทีมงานสร้างสรรค์ออกมาค่อนข้างสวยงาม สวยมากเลยแหละ ถ้ามาเห็นแบบนี้ก็ไม่คิดว่าเป็นหนังยุค 80s Setting ในเรื่องล้ำมาก
   มีการใช้ Low Angle shots และ High Angle shots ที่ทำออกมาได้รู้สึกตามภาพว่าใครเหนือกว่าใครในฉากที่ Deckard กำลังจะตกตึก
   และที่ใช้เยอะคือ Close-Up กับ Extreme Close-Up ที่ใช้ให้เห็นถึงอารมณ์ตัวละครที่มีทั้งมนุษย์ และมนุษย์เทียม มีการ ECU ที่ตาบ่อยครั้งให้เห็นถึงอารมณ์ผ่านดวงตา
ปล.ชอบ Prodcution เรื่องนี้มากครับ ดูรอบแรกคาดหวังเนื้อเรื่องไปอีกทาง และดำเนินเรื่องช้าเลยเฉยๆ แต่สิ่งที่ชอบในเรื่องนี้คือ ทีมงานสร้างโลกอนาคตได้สุดยอดดดดดดด และเรื่องดนตรีประกอบ โคตรไฮเทคเลย ตอนดนตรีคลอกับ ภาพเมืองมุมสูงนี่ เอาใจไปเลย
ชัยชน ใจมอย
1580321956 เลขที่ 94
2 notes · View notes
tar-almighty-blog · 8 years ago
Photo
Tumblr media
#5
Raging Bull (1980)
Biography/Drama/Sport
   เรื่องนี้เป็นหนังชีวประวัติของ Jake LaMotta นักมวยอดีตแชมป์มิดเดิลเวท ฉายาไอ้กระทิงดุตามชื่อเรื่อง เล่าเรื่องแบบ Non-linear โดยเปิดเรื่องมาเริ่มตอนที่ LaMotta เลิกต่อยมวยแล้ว ำด้มากจากที่อาจารย์แนะนำมา http://www.tasteofcinema.com/2017/the-10-best-edited-movies-of-all-time/2/
   เนื้อเรื่องไปในทางชีวประวัติ เล่าแบบปีต่อปี ปีนี้ LaMotta ชกกับใครมีเหตุการในชีวิตแบบใด โดยเริ่มจากการชกในสมัยแรกๆ ที่เค้าชกมวย และเล่าไปที่เลิกกับภรรยาคนแรก ด้วยการที่ LaMotta เป็นคนอารมณ์ร้อน เค้ามีน้องชายเป็นผู้จัดการส่วนตัวที่มีสังคมเป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพลในวงการมวย จนวันหนึ่ง LaMotta ได้พบกับ Vickie เค้าได้หลงไหลในตัวเธอ จนทั้ง 2 แต่งงานกัน LaMotta เป็นนักชกที่มีฝีมือ เค้าเป็นคู่ชกที่ดังที่สุดในยุคนั้นกับนักมวยผิวสีชื่อดังอย่าง Sugar Ray Robinson และมีแมทช์นึงที่เค้าต่อยแล้วเกิดการล้มมวย เป็นที่ตราหน้าในวงการมวย ชีวิตเค้าเริ่มมีปัญหามากมาย จากการที่เค้าหลงไหลในตัวภรรยาของเค้ามาก หึงหวง จนเกิดปัญหากับน้องชาย ต่อมาเค้าเลิกต่อยมวยไปเปิดคลับและเป็นตลก
แล้วก็ปัญหาโดยการอนุญาตให้เด็กอายุต่ำกว่า 21 ปีเข้าคลับ จนต้องติดคุก แล้วก็ออกมาเป็นตลกเหมือนเดิม
ประเด็นในเรื่อง
    ด้วยความที่เป็นหนังชีวประวัติ ประเด็นหลักๆคือ ตีแผ่ชีวิตของ LaMotta ผู้กำกับอาจต้องการสื่อ ความที่เริ่มมีชื่อเสียง หลงไหลในตัวภรรยาจนเกินไป ทำให้ชีวิตต้องเจอกับเรื่องร้ายๆ และในฉากการจูนหาคลื่นทีวี LaMotta นั่งคุยอยู่กับน้องชาย และถามเรื่องการชกต่อยของน้อง ลามไปจนถึงเรื่องถามว่าน้องมีอะไรกับเมียตัวเองมั้ย ซึ่งทีวีก็จูนไม่ติด เหมือนกับว่าเค้าไม่สามารถจูนเข้ากับใครได้เลย
การตัดต่อ
   เรื่องนี้มีการตัดต่อที่ไหลลื่น แต่ละการกระทำ การถ่ายทำคำนวนไว้อย่างดีไม่ว่าจะเป็นฉากต่อยมวย หรือฉากนอกสนามมวย ทุกอย่างมีความต่อเนื่องมาก (Continuity Editing)
    มีการทำเป็นขาวดำสื่อให้เห็นว่าชีวิตของ LaMotta นั้นเลวร้าย จะมีตอนที่มีภาพเค้าแต่งงานที่จะเป็นภาพฟิลม์แบบเก่ามีสีอยู่บ้าง สื่อให้เห็นว่าชีวิตช่วงนั้นของเค้ามีความสุขที่สุด มีตัดส���ับภาพนิ่งในฉากต่อยมวย ที่ต้องการเร่งจังหวะของเรื่อง เป็นธรรมชาติดี
   มีฉากที่ LaMotta ต่อยกับ Robinson ครั้งสุดท้าย ที่ Robinson ต่อยรัวใส่ LaMotta มีการ Jump Cut และมีการ Insert Shot เข้าไปตอนที่ต่อยแต่ละหมัด มีการเลือดกระเด็น การเอาแขนพาดเชือก ฯลฯ มี L-Cut และ J-Cut บ่อยครั้ง
   แต่ที่เด่นๆ และเป็นเรื่องเกี่ยวกับการต่อยมวย คือ Cutting On Action การที่ต่อยแล้วตัดภาพมาที่ตัวละครโดนต่อย มีการ Cut Away ตอนที่ต่อย มีแสงแฟลช ถ่ายรูปแทรกเข้ามา
ชัยชน ใจมอย
1580321956 เลขที่ 94
0 notes
tar-almighty-blog · 8 years ago
Photo
Tumblr media
#4
Whiplash (2014)
Drama/Music
      เรื่องนี้โดยส่วนตัว ผมเป็นคนตีกลอง เลยอยากหยิบยกเรื่องนี้มาวิเคราะห์ และเรื่องนี้ได้รางวัลออสการ์ในสาขา Best Sound เลยอยากมาวิเคราะห์ในสัปดาห์ของเรื่องเสียงในภาพยนตร์ เป็นเรื่องที่อาจารย์แนะนำและน่าสนใจ http://www.imdb.com/list/ls071279134/
   เรื่องเล่าผ่าน แอนดรูว นีแมน เด็กใหม่อายุยังน้อยของมหาวิทยาลัยดนตรีชื่อดังแห่งหนึ่ง นีแมน เป็นคนที่ไคว่คว้าความสำเร็จ เค้าต้องการเป็นมือกลองตัวจริงของวง และต้องการการยอมรับด้านฝีมือจาก เฟลตเชอร์ ผู้คุมวงสุดโหด นีแมน เริ่มมีความสุขจากตอนแรกของเรื่องที่ เค้าได้รับเลือกเข้าวง จีบหญิงก็ติด แต่ต่อมาท่าทีของ เฟลตเชอร์ จากตอนแรกที่ชวน นีแมน เข้าวง เค้าเหมือนคนใจดี แต่พอถึงเวลาจริงจัง เฟลตเชอร์ ก็จริงจังมาก ด่า เวลาคนในวงมีข้อผิดพลาด จน นีแมน เริ่มมีความเครียด อยากเป็นที่ยอมรับในสายตา เฟลตเชอร์ เค้าบอกเลิกแฟน เพราะเค้าจะเอาเวลาไปซ้อมดนตรี ทุ่มเทมากขนาด เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ แต่เค้ายังไปแข่งต่อ แล้วตีพลาด แล้วก็ระเบิดความโมโหใส่ เฟลตเชอร์ จนถูกไล่ออก แต่เค้าก็มีเรื่องที่สามารถเอาความ เฟลตเชอร์ ได้จากกรณีนักเรียนคนเก่าของ เฟลตเชอร์ ฆ่าตัวตายเพราะความเครียดที่เกิดจากการเรียนกับ เฟลตเชอร์ ทำให้เฟลตเชอร์ก็ถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย และทั้งสองเจอกันอีกครั้ง แล้ว
เฟลตเชอร์ก็ชวนนีแมนมาเข้าวงอีกครั้ง เข้าประกวดงานใหญ่ แต่พอถึงวันงานเฟลตเชอร์ก็แก้แค้นนีแมนโดยบอกเพลงที่���ล่นคนละเพลงกับที่นีแมนซ้อม ทำให้นีแมนไม่สามารถตีได้ แต่นีแมนกลับพิสูจร์ให้
เฟลตเชอร์เห็นว่าเค้าไม่ยอมแพ้และแสดงการตีกลองที่สุดยอดออกมา(ยาวไปนิด)
Mise-en-scene
   สถานที่ส่วนใหญ่ในเรื่องจะถ่ายในห้องซ้อมดนตรี สิ่งของประกอบฉากต่างๆ ก็จะเป็นเครื่องดนตรี เครื่องดนตรีทั้งหมดจะเป็นเครื่องดนตรีที่ใช้ในการเล่นเพลงแจ๊ซ เพื่อให้เห็นว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับดนตรีแจ๊ซ เบสก็จะเป็นดับเบิลเบส ไม่ใช่เบสไฟฟ้า แล้วก็เครื่องเป่าจะเป็นเครื่องเป่าทองเหลือง ไม่มีพวกฟลุท หรือคลาริเนทที่จะใช้ในวงออเคสตรา
   เครื่องแต่งกาย และการใช้สี มีทฤษฎีหนึ่งที่คนดูหนังเรื่องนี้เขียนไว้ คือสีเครื่องแต่งกายของตัวละคร คนที่เก่ง มีความมั่นใจ จะใส่เสื้อโทนสีเข้ม สังเกตุจากเฟลตเชอร์ จะใส่สีดำทั้งเรื่อง นีแมน ตอนฉากแรกที่ซ้อมดนตรีอยู่จะใส่สีขาว พอฝึกขึ้นเรื่อยๆ เสื้อจะสีเข้มขึ้น อย่างตอนสุดท้ายจะใส่สีดำทั้งตัว และมีตอนที่เลือกมือกลองตัวหลัก นีแมนที่ถูกเลือกจะใส่เสื้อเข้มสุด แทนเนอร์รองลงมา และไรอันจะใส่สีแดง ซึ่งเค้าก็พึ่งได้เข้าวงมา แสดงว่าเค้ามีความสามารถน้อยสุด
   แสง เรื่องนี้ส่วนใหญ่มีการใช้แสง low-key ทำให้เรื่องดูมีความดาร์ค ตอนที่แสดงฉากสุดท้ายที่นีแมนตีพลาด ไฟจะค่อนข้างมืด ไฟส่องจากด้านหน้าและถ่ายข้างหลังของตัวเอก ทำให้ดูเหมือนพ่ายแพ้
Sound
   มาถึงเรื่องเด่นของหนังเรื่องนี้
   เนื่องจากเป็นหนังเกี่ยวกับดนตรี เพลงประกอบในแต่ละฉากจึงเป็นส่วนประกอบสำคัญ Non-Diegetic sound จึงมีเยอะ เช่น ตอนที่ต้องการสร้างอารมณ์เสียงดนตรีก็จะค่อยๆดังขึ้นและตัดไป ตอนเปลี่ยนฉาก และตอนที่พระเอกมีความสุข ตอนที่พระเอกเครียด จะมี Music score ที่เป็นเพลงแจ๊ซคลอไปตามอารมณ์ตัวละคร
   ส่วน Diegetic sound ก็เด่นผ่านการตีกลองของพระเอก เสียงเครื่องดนตรีต่างๆ เรื่อง Synchronous sound หรือเสียงตรงกับฉากก็ทำได้ตามการเล่นเครื่องดนตรีต่าง ทำให้เสียงกับภาพออกมาไหลลื่น มีเสียง Off screen บ่อยครั้ง ใช้เทคนิคตัดต่อ L-cut,J-cut ให้เสียงมาก่อนภาพและค้างไว้ก็บ่อย และมีฉากสุดท้ายที่ตัวเอกตีกลองและเสียงค่อยๆเบาลงจนเงียบ แล้วก็ค่อยๆดังขึ้น เหมือนว่าตัวละครมีสมาธิขึ้น ตั้งมั่นกับการตีครั้งนี้มาก พอหลังจากที่ดนตรีค่อยๆดังขึ้น จะเห็นพ่อของตัวเอก เฟลตเชอร์ ต่างทึ่งในความสามารถของ
นีแมน เหมือนว่าเค้าข้ามขีดจำกัดของตัวเองแล้ว
ปล.ผมตีกลอง แต่ขอบอกเลย แบบในเรื่องยากไป
ชัยชน ใจมอย
1580321956 เลขที่ 94
0 notes
tar-almighty-blog · 8 years ago
Photo
Tumblr media
#3
The Fall (2006)
Adventure/Comedy/Drama
   เรื่องนี้เป็นหนังที่อาจารย์แนะนำมา https://mubi.com/lists/best-surreal-films Best Surreal Film ซึ่งผมเคยได้ดูมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ไม่ค่อยจะเข้าใจเรื่องนี้สักเท่าไร
   การเรียงลำดับเรื่องถ้าผมเข้าใจไม่ผิด จะเป็นแบบ Parallelism Narrative จะมีเหตุการณ์หลักของเรื่องที่อยู่ที่โรงพยาบาลและเรื่องที่ตัวเอกเล่าควบคู่ไปอีกเรื่องราวหนึ่ง
   The Fall เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคนที่ตกจากที่สูง (คหสต) เนื่องจากตัวเอกของเรา รอย เป็นนักแสดง สตั๊นแมน ที่เกิดอุบัติเหตุจากการโดดจากรถไฟ เพื่อลงไปบนหลังม้า ที่ให้ถ่ายทำในภาพยนตร์ ทำให้ม้าตายร่างกายท่อนล่างอัมพาต จนเสียทุกอย่างไป ทั้งงาน ร่างกาย และแฟนสาว จนเกิดคิดอยากจะฆ่าตัวตาย
   เค้าจึงได้สร้างเรื่องเล่าให้ อเล็กซานเดรีย เด็กสาวผู้บริสุทธิ์ ไปนำยามอร์ฟีน มาให้กับเค้า เล่าเรื่องราวเป็นมหากาพย์ใหญ่โต หลอกเด็กคนหนึ่งให้โขมยของ(ยา) มาให้เค้าฆ่าตัวตาย
   ซึ่งเรื่องที่รอยเล่า นำตัวละครมาจากชีวิตจริงของทั้งเค้า และอเล็กซานเดรีย เป็นเรื่องราวการแก้แค้น
ของบุรุษทั้ง 5 แก่ ข้าหลวงโอดิอุส ที่สร้างความแค้นให้แก่บุรุษทั้ง 5 ในแบบที่ เจ็บแสบ บางคนก็ฮา
   ในตอนท้ายของเรื่องอเล็กซานเดรีย เด็กน้อยที่อยากจะฟังเรื่องราวให้จบ ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ รอยเล่าออกมา จนเกิดอุบัติเหตุ รอยสำนึกผิดและอเล็กซานเดรียทำให้ รอย เลิกคิดที่จะฆ่าตัวตาย
   จะบอกได้ว่าในเรื่องมีการแบ่งโลกครึ่งต่อครึ่ง คือโลกความจริง และโลกที่ รอย สร้างขึ้นมา โดยบางทีโลกที่รอยสร้างขึ้นมาอาจปรากฎในเรื่องมากกว่าโลกจริงเสียอีก
   จากการได้ดูเรื่องนี้ครั้งแรก ผมเกิดสงสัยว่า 5 ตัวละครที่ รอย สร้างขึ้นมานั้นมีความหมายอะไร หรือไม่ ส้ม ที่ปรากฏบ่อยครั้งในเรื่อง แต่จากการที่ผมเป็นคนดูหนังแล้วดูไม่ลงลึกเท่าไร แต่ชอบหาความหมาย research หนังเรื่องที่ผมสงสัย เลยได้ความว่า
Function ตัวละคร
   รอย ตัวเอกที่หมดหวังในชีวิต ทั้งเรื่องการงาน เรื่องผู้หญิง และเรื่องสุขภาพจนอยากฆ่าตัวตาย รอย เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องทั้งในโลงความจริงและโลกจินตนาการ เค้ามีด้านมือและด้านสว่างในจิตใจตัวละครทั้ง 5 ที่เค้าสร้างเรื่องมาหลอก อเล็กซานเดรีย ก็คือด้านต่างๆของ รอย
   -จอมโจรหน้ากาก คือ ตัวละครที่ รอย อยากจะเป็น
   -คนอินเดีย คือ รอย เสียหญิงสาวที่เป็นรักเดียว เป็นจิตใจที่บอบช้ำของ รอย
   -ลุยจิ ผู้เชี่ยวเรื่องระเบิด คือ ความต้องการฆ่าตัวตายของรอย
   -อ็อทต้า เบ็งกา คือ รอยที่ต้องการหลุดพ้นจากร่างกายที่พิการจากอุบัติเหตุ เหมือนอ็อทต้า เบงกา ที่ต้องการหลุดจากการเป็นทาส
   -ชาลส์ ดาร์วิน คือ รอย ในด้านดี มีเหตุผล รักสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เหตุที่ รอย เล่าเรื่องตอนจบให้ ดาร์วิน ตายคนแรก เพราะ รอยตั้งใจแน่วแน่ว่าจะฆ่าตัวตาย เลยจะตัดจิตใจด้านที่มีเหตุผลทิ้งไป ไม่ต้องการเหตุผลความถูกต้องทั้งสิ้น ฉนั้น ดาร์วิน คือ รอย ด้านที่ยังรักชีวิตตัวเองอยู่
       อเล็กซานเดรีย เด็กสาวที่อยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็ก และด้วยความอยากรู้ เธอจึงยอมทำทุกอย่างเพื่อได้รู้ตอนจบเรื่องเล่าของรอย จนความอยากรู้นั้นทำให้ประสบอุบัติเหตุ เปลี่ยนความคิดรอย เป็นตัวที่มีส่วนมากกับเรื่องนี้
การทำซ้ำ
   เรื่องนี้มีสิ่งที่เห็นได้บ่อยๆในเรื่องนั่นคือ ส้ม และจากการที่ผมหาข้อมูลว่า ส้ม มีความหมายสำคัญอย่างไรในเรื่องนี้ มีท่านหนึ่งเขียนได้น่าสนใจว่า ส้ม หมายถึง การเยียวยา รักษา ในเรื่องจะมีส้มถูกส่งมาโรงพยาบาลมากมาย และคนไข้ต่างๆ ก็กินส้มกัน แต่รอยไม่กิน หมายถึงเค้าไม่ต้องการการรักษา และอีกอย่างที่มีการทำซ้ำบ่อยๆ คือ ความอยากรู้อยากเห็นของ อเล็กซานเดรีย ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมใหญ่ในเรื่อง เกิดเหตุการณ์ต่างๆ มากมายหลังจากที่อเล็กซานเดรียได้ฟังเรื่องราวของ รอย
ความแตกต่าง
   การที่ อเล็กซานเดรีย เกิดอุบัติเหตุ ทำให้เธอต้องอยู่บนเตียงแล้ว รอย ก็เป็นฝ่ายมานั่งข้างๆเธอแทน เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ในเรื่องของ รอย มี อล็กซานเดรีย เข้ามามีส่วนแต่งเติมมากขึ้น หลังจากที่ก่อน รอย จะหลับในรอบแรก อเล็กซานเดรียได้ช่วยจอมโจรทั้ง 5 ไว้รอบหนึ่งแล้ว
การพัฒนาเรื่องราว
   -เปิดเรื่อง โดยการแสดงภาพการเกิดอุบัติเหตุของรอยในแบบขาวดำ และมีการแสดงกิจวัตรประจำวันของ อเล็กซานเดรีย และเธอก็ได้พบกับ รอย และก็ได้ฟังเรื่องราวมหากาพย์ในตอนแรก เพื่อหาเรื่องพูดคุยกัน และรอยได้เล่าข้างไว้ ทำให้คนดูอยากติดตามตอนต่อไป
   -ความขัดแย้ง เริ่มจากการที่เรื่องเริ่มให้เห็นว่า รอย มีการใช้เรื่องราวนี้หลอกให้ อเล็กซานเดรีย ไปหายามาให้เขาใช้ฆ่าตัวตาย หลายครั้ง จนครั้งหนึ่งรอยได้หลับไป และตื่นมาเพราะอเล็กซานเดรียมาปลุก และรู้ว่าเค้าไม่ตาย ทำให้เค้าโกรธมาก และระเบิดอารมณ์
   -ขั้นวิกฤต คือตอนที่อเล็กซานเดรียอยากฟังตอนจบมากตามที่รอยสัญญาไว้ และไปเอายาจนเกิดอุบัติเหตุ จนทำให้ รอย เผยออกมาว่าเค้าแต่งเรื่องหลอกเธอ เค้าหมดหวังในชีวิต และฆ่าตัวละครในเรื่อง��องเค้าไปทีละตัว ทำให้เข้าใจสิ่งที่รอย หลอกอเล็กซานเดรียมาทั้งหมด
   -การคลี่คลาย อเล็กซานเดรีย ได้ทำให้ รอย เปลี่ยนใจไม่คิดฆ่าตัวตายได้ เธออยากให้เค้าอย��่ด้วย ทำให้ รอย เห็นคุณค่าชีวิตตัวเองขึ้นมา
ความเป็นเอกภาพและความไม่เป็นเอกภาพ
   เรื่องนี้มีความเป็นเอกภาพ จากองค์ประกอบต่างๆ ตัวละครที่พระเอกสร้างขึ้นมา ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อหลอก อเล็กซานเดรีย แต่งมาเล่นๆเฉยๆ เรื่องมีการใส่จิตใจต่างๆของ รอย เข้าไปในแต่ละตัวละคร 5 จอมโจร มีการเรียงเรื่องราวที่ดี
   เรื่องนี้อาจฟังเป็นเรื่องหดหู่ เกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย แต่เรื่องนี้มีความตลก มีมุก อยู่เรื่อยๆ พร้อมกับตัวเอกที่น่ารักอย่าง อเล็กซานเดรีย ที่เป็นผู้รับฟัง รอย ที่ดี มีจิตใจดี จนตอนท้ายนำตัวเองเข้าไปอยู่ในเรื่องที่รอยเล่า และหยุดความคิดฆ่าตัวตายของรอยได้
       ปล. เค้าบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีการใช้ CG ถ่ายทำใน 28 ประเทศ เท่ากับว่าทุกสถานที่มีจริงหมด สวยงามจริงๆ
ชัยชน ใจมอย
1580321956 เลขที่ 94
0 notes
tar-almighty-blog · 8 years ago
Photo
Tumblr media
#1
It’s Kind of a Funny Story (2010)
Comedy/Drama/Romance
   เครก เด็กวัยรุ่นที่คิดว่าตัวเองมีปัญหาส่วนตัวที่มากมาย เช่น เรื่องที่โรงเรียน, ร่างกายของตัวเอง, ครอบครัว และเรื่องผู้หญิง จนคิดจะฆ่าตัวตาย
   จนในวันหนึ่ง เค้าตัดสินใจไปที่โรงพยาบาลและขอเข้ารับการรักษาด้านจิตเวช แต่หมอวินิจฉัยว่าเค้าเป็นปกติดี แต่เครกก็พูดจน หมอให้เค้าอยู่รักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลา 1 สัปดาห์
   แต่การที่เค้าได้เข้ามารักษาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ทำให้เค้าได้พบว่าคนที่นี่ มีปัญหาจริงๆ เค้าได้พบกับ
บ็อบบี่ที่เป็นพวกไร้บ้านมีลูกแต่ดูแลไม่ได้ ที่ต่อมากลายมาเป็นเพื่อนต่างวัยกัน ทำเรื่องราวต่างๆด้วยกัน ให้คำปรึกษาจนบ็อบบี่ และเครกได้เรียนรู้การใช้ชีวิตในอนาคต และเครกได้พบรักใหม่ในโรงพยาบาล และการเข้ามาโรงพยาบาลครั้งนี้ตั้งแต่วันแรกถึงวันสุดท้าย เค้าได้รู้ว่าปัญหาของเค้ามันเล็กน้อย เค้ามีคุณค่าในตัวเอง ข้างนอกเค้าอาจเป็นคนไม่ได้เรื่อง แต่พอมารักษาอยู่ในโรงพยาบาล มาทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น เค้าเป็นคนที่เก่ง เครกได้รู้ความหมายของชีวิตมากขึ้น และอยากใช้ชีวิต มากกว่าการจบชีวิต
   เรื่องนี้มีการเล่าแบบ non-linear คือ เรื่องหลักจะเล่าตามเวลาตั้งแต่วันแรกที่เข้าโรงพยาบาลจนถึงวันสุดท้าย แต่จะมีเหตุการณ์ ภาพในอดีตที่พระเอกพูดขึ้นมาแทรกในหลายๆ จังหวะในเรื่อง
ชัยชน ใจมอย
1580321956 เลขที่ 94
0 notes