Tumgik
#thehobbitfanfic
haremofhetepheres · 6 years
Photo
Tumblr media
My Gold of All Gold [Fíli Durin Fanfiction] (on Wattpad) 
As a forgotten sheildmaiden and companion, Selene must overcome her unspoken love for the Durin Prince and remake her own history. Though, all changes once the same Durin Prince, she had fallen in love with and wished to marry, asks her to make an important decision that will change the course of her life. A decision that not only will she regret each passing day but all of Erebor will oppose, including the King Under the Mountain. Meticulous in detail, this Series depict a dramatic story of passion, heartbreak, love, political conflicts and betrayal.
12 notes · View notes
draconizuka · 7 years
Photo
Tumblr media
Scribbling with Nanjing. Kili from the fanfic "The King's Bride". #thehobbitfanart #thehobbitfanfic #kili #femininekili #modernau #universealternative #dress #reddress #nanjing #scribble #draw #drawstyle #draconizuka
7 notes · View notes
rritsu · 9 years
Text
Mirkwood, The another story (The hobbit fanfiction) [Chapter4]
[Chapter 4]
     “ท่านพ่อ นั่นต้นโอ๊คเหรอ?"
    “ใช่ เหมือนต้นบนหน้าผาไงล่ะ"
    “แล้วนั่น ต้นบีชเหรอ แล้วต้นนั้นล่ะท่านพ่อ"
    “….เลโกลัส ป่าเมิร์ควูดมีแต่ต้นโอ๊คกับต้นบีชนะ"
    “งั้นนั่นดอกอะไรเหรอ ท่านพ่อ"
    “ทริลเลี่ยมไงล่ะ.."
    เลโกลัส เจ้าชายเอล์ฟตัวน้อยมองป่ารอบตัวอย่างสนอกสนใจ ถามชื่อต้นไม้ใบหญ้าทุกอย่างที่ผ่าน แต่กษัตริย์เอล์ฟก็ไม่มีท่าทีว่าจะเบื่อการตอบคำถามจากเจ้าตัวน้อย ทั้งสองนั่งอยู่บนหลังกวางเอล์คตัวใหญ่เพื่อเดินทางสู่ริเวนเดล เหล่าองครักษ์มองภาพนั้นอย่างเอ็นดู  
    การเดินทางครั้งนี้มีจุดหมายปลายทางคือริเวนเดล กษัตริย์เอล์ฟได้รับเชิญจากเอลรอนด์เพื่อเข้าร่วมงานฉลองวันเกิดอาร์เวน ปกติเหล่าเอล์ฟส่วนใหญ่จะจัดงานเลี้ยงฉลองไม่บ่อยนัก เรียกว่าแทบจะไม่เคยเลยก็ได้ แต่ดูเหมือนริเวนเดลจะเป็นส่วนน้อย
    เสียงเล็กๆของเลโกลัสยังคงถามโน่นนี่ตลอดทาง แถมบางครั้งยังแทบจะปีนลงจากกวางไปวิ่งไล่ผีเสื้อข้างทาง จนกษัตริย์เอล์ฟนึกอยากจะจับเลโกลัสใส่ลงลังขนเสบียง เขาไม่เคยคิดว่าเจ้าตัวเล็กจะซน แต่ตอนนี้คงต้องคิดใหม่
    “ท่านพ่อ ข้าลงไปเดินไม่ได้เหรอ” ตากลมโตมองมาอย่างมีหวัง
    “ไม่ได้ เด็ดขาด”
    เจ้าชายเอล์ฟย่นหน้าเมื่อได้ยินประโยคเน้นหนักแน่นของบิดา ก่อนจะมองไปรอบๆอีกครั้ง บรรยากาศบริเวณนี้ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย แลดูเงียบกว่าทางที่ผ่านมา แต่ยิ่งเดินทางลึกเข้าไปก็ยิ่งเงียบงัน
    การเดินทางตลอดสองวันที่ผ่านมาเป็นไปอย่างราบรื่น ป่าเงียบสงบอย่างที่ไม่ค่อยได้พบเห็นนัก ซึ่งนั่นไม่น��าไว้ใจ อาจจะมีแมงมุมหรือออร์คโผล่ออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ สาเหตุที่ธรันดูอิลให้เลโกลัสนั่งบนหลังกวางมาด้วยกันนั้น เพราะเขาไม่ไว้ใจให้ใครดูแลเจ้าตัวน้อยหากเกิดเหตุอะไรขึ้น
    “นี่มันเงียบเกินไป"
    ทหารบางคนเริ่มกระซิบกระซาบ รู้สึกได้ถึงความผิดปกติใบป่า แม้ในยามปกติป่าเมิร์ควูดจะเงียบงัน แต่เวลานี้กลับไร้ซึ่งสัญญาณของสิ่งมีชีวิต ไม่มีเสียงฝีเท้าของกวาง หรือแม้แต่เสียงนก องครักษ์เริ่มกระจายตัวไปรอบๆเพื่อคุ้มกันกษัตริย์ 
    พลันบรรยากาศรอบๆก็เปลี่ยนไป ต้นไม้รอบๆพากันขยับกิ่งไปมาราวกับเป็นการเตือนภัย เอล์ฟตัวน้อยขมวดคิ้วยุ่งให้กับเสียงที่ไม่คุ้นเคย ส่วนกษัตริย์เอล์ฟนิ่งงันไป แววตาดุดันปรากฏบนใบหน้า
    "ท่านพ่อ..นั่นเสียงอะไร"
    "...ออร์ค"
    “ออร์ค?"
    “นั่นคือสาเหตุที่ข้าไม่อยากให้เจ้ามาด้วย ลูกข้า"
    กษัตริย์เอล์ฟหันไปสั่งการให้ทหารออกตามล่าและสังหารออร์ค ทั้งหมดรับคำสั่งก่อนจะกระจายตัวออกไปทุกทิศทาง ก่อนที่กษัตริย์เอล์ฟและทหารที่เหลือบางส่วนจะเริ่มบังคับม้าให้ออกวิ่งให้เร็วขึ้นเพื่อให้พ้นเขตป่า ระหว่างทางยังคงมองเห็นเงามืดของคืบคลานเข้ามา มีพวกออร์คอยู่ทั่วไปหมด เจ้าชายเอล์ฟตัวน้อยมองรอบข้างอย่างหวาดกลัว เขายังไม่เคยเห็นออร์คมาก่อน แต่เพียงแค่สัมผัสได้ถึงเงามืดที่ย่างกรายเข้ามา ความกลัวก็เกาะกุมหัวใจของเด็กน้อย
    “ท่านพ่อ..."
    “ข้าอยู่นี่ เลโกลัส"
    ยิ่งเดินหน้าไปก็ยิ่งเห็นว่ามีศัตรูห้อมล้อมมากมายขนาดไหน เสี้ยววินาทีที่กษัตริย์เอล์ฟมองเห็นบางสิ่งที่หางตา สิ่งนั้นพุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว กษัตริย์เอล์ฟดึงรั้งตัวบุตรชาย ก่อนที่ลูกธนูจะเฉียดใบหน้าของเด็กน้อยไปเพียงเล็กน้อย ดูเหมือนพวกออร์คจะเล็งมาที่เลโกลัส ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในคณะเดินทาง ตอนนั้นเองที่โทสะเข้าครอบครองจิตใจของกษัตริย์เอล์ฟ
    กล้าดียังไง..
    “เฟเรน!"
    กษัตริย์เอล์ฟตะโกนกร้าว องครักษ์หนุ่มควบม้าตามมาก่อนจะส่งคันศรให้องค์กษัตริย์ กษัตริย์เอล์ฟเล็งยิงอย่างไม่ลังเล ลูกธนูปักทะลุอกของอสูรตนที่มุ่งจะเอาชีวิตเลโกลัสอย่างแม่นยำ
    “เลโกลัส เจ้าบาดเจ็บรึเปล่า?"
    “ท่านพ่อ!"
    จู่ๆออร์คที่หลบซ่อนตัวอยู่ก็วิ่งพุ่งชนกวางเอล์คอย่างแรง แรงจนกระทั่งกษัตริย์เอล์ฟและบุตรชายพลัดตกลงจากหลังกวาง เจ้าชายน้อยสะบัดหัวไปมาไล่ความงุนงง ก่อนที่จะได้เห็นสิ่งที่เรียกว่าออร์คชัดๆเป็นครั้งแรก อมนุษย์ร่างสูงใหญ่ หน้าตาบิดเบี้ยว ในมือมีดาบเล่มใหญ่เปื้อนไปด้วยเลือดจนเป็นสีเข้ม ดวงตาสีประหลาดแฝงไปด้วยความเหี้ยมโหดแต่ไร้ซึ่งความมีชีวิต สิ่งซึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสังหาร
    ร่างเล็กตื่นตระหนกจนไม่อาจขยับไปไหน แต่ก่อนที่อมนุษย์จะได้เงื้อดาบ ดาบสีเงินเล่มยาวก็แทงทะลุจากด้านหลัง ออร์คใบหน้าบิดเบี้ยว ร่างนั้นดิ้นทุรนทุรายจนกระทั่งแน่นิ่งไป เบื้องหลังร่างนั้นคือกษัตริย์เอล์ฟซึ่งตอนนี้สีหน้าเรียบนิ่งเย็นชา มือเรียวชักดาบออก ก่อนจะออกแรงสะบัดดาบเพื่อให้คราบเลือดสกปรกหลุดออก
    “เลโกลัส มานี่"
    เด็กน้อยลุกขึ้นวิ่งไปหาบิดา มือสั่นเทาเกาะชายผ้าคลุมยาว ธรันดูอิลอุ้มบุตรชายขึ้นก่อนจะส่งตัวให้องครักษ์หนุ่ม
    “ท่านพ่อ?"
    เด็กน้อยจ้องมองมา แววตายังคงตื่นตระหนก ธรันดูอิลจ้องมองหน้าของบุตรชายอย่างอาวรณ์ เขาไม่สามารถต่อสู้ได้อย่างเต็มที่หากเลโกลัสยังอยู่ที่นี่ ซึ่งนั่นอาจทำให้เด็กน้อยเป็นอันตรายไปด้วย
    “เฟเรน พาเลโกลัสไปก่อน ข้าจะตามไปทีหลัง”
    “แต่..ฝ่าบาท"
    “ไป เดี๋ยวนี้"
    ด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจทำให้เฟเรนไม่อาจขัดได้ องครักษ์หนุ่มออกควบม้าไปอีกครั้ง เลโกลัสตะโกนลั่น พยายามคว้าแขนของบิดา แต่ก็คว้าได้เพียงความว่างเปล่า ม้าวิ่งออกไปเร็วขึ้น เร็วขึ้น แผ่นหลังของบิดาก็ยิ่งห่างไกลออกไป พร้อมๆกันนั้นก็มีออร์คโผล่ออกมาทั่วไปหมด แม้จะมีทหารและองครักษ์จำนวนหนึ่งอยู่ด้วย แต่ฝ่ายออร์คก็ยังมีจำนวนมากกว่า
    “เฟเรน กลับไปช่วยท่านพ่อ"
    “ข้าขัดคำสั่งกษัตริย์ไม่ได้ เจ้าชาย"
    เลโกลัสยังคงโวยวายตลอดทางจนพ้นเขตป่ามา ทั้งคู่หยุดแถวบริเวณแม่น้ำเพื่อให้ม้าได้พัก เฟเรนกำลังชั่งใจว่าควรจะเดินทางต่อหรือ��อคณะเดินทางต่อไป เพราะเวลานี้ก็ใกล้มืดเต็มทีแล้ว เขาอาจจะต้องกลับไปบริเวณชายป่าเพื่อรอคณะเดินทาง
    “เฟเรน ท่านพ่อจะไม่เป็นไรจริงๆเหรอ” เจ้าชายเอล์ฟเอ่ยถาม ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
    “ในความคิดข้า ข้าว่าในเมิร์ควูดองค์กษัตริย์เป็นนักรบที่เก่งกาจที่สุดแล้วขอรับ ถ้าฝ่าบาทบอกว่าจะตามมาทีหลังก็ต้องมาแน่นอน"
    ร่างสูงสะบัดดาบเชือดคอออร์คตัวสุดท้าย เลือดสีเข้มกระเซ็นเปรอะเปื้อนไปทั่วเสื้อคลุมสีเทา ธรันดูอิลนิ่วหน้า ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วแขนซ้าย เขาไม่ได้สวมเสื้อเกราะมาเพราะไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกับกลุ่มออร์คจำนวนมากขนาดนี้ และไม่คิดว่าจะพลาดท่าเสียทีจนได้รับบาดเจ็บ นี่เป็นเพราะเขากังวลมากเกินไป กษัตริย์เอล์ฟคว้าบังเหียนก่อนจะเหวี่ยงตัวขึ้นบนหลังกวางตัวใหญ่
    “ฝ่าบาท แขนท่าน.."     “ช่างเถอะ ข้าไม่เป็นไร รีบเดินทางต่อ"
    เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงกว่ากษัตริย์เอล์ฟจะพาคณะเดินทางมาถึงชายป่า ดวงตาสีฟ้าซีดกวาดหาบุตรชายตัวน้อย จนกระทั่งสายตาไปหยุดที่กองไฟที่อยู่ไม่ไกลนัก แสงไฟสะท้อนใบหน้าของเด็กน้อยที่กำลังหลับใหล
    “ฝ่าบาท!"
    องค์รักษ์หนุ่มอุทานเสียงดังเมื่อเห็นบาดแผลที่แขนซ้ายของกษัตริย์เอล์ฟ กษัตริย์เอล์ฟยกมือขึ้นปราม
    “ข้าไม่เป็นไร คืนนี้พักที่นี่ก่อน เจ้าไปบอกคนอื่นๆด้วย"
    ธรันดูอิลออกคำสั่ง ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆบุตรชาย มองดูใบหน้ายามหลับของบุตรชาย มือเรียวลูบเรือนผมสีทองแผ่วเบา ร่างเล็กครางอย่างงัวเงีย
    “ท่านพ่อ..” เลโกลัสกระพริบตาไล่ความง่วง แต่เมื่อเห็นบาดแผลบนแขนบิดา ความง่วงงุนก็หายไป
    “ท่านพ่อ ท่านบาดเจ็บ!"
    “แค่แผลเล็กน้อย เลโกลัส” แผลนั้นดีขึ้นมากแล้วเมื่อเทียบกับตอนที่อยู่ในป่า
    “ข้าไม่เป็นไร อีกสักพักก็หายแล้ว พักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ต้องเดินทางต่อ"
    เด็กน้อยยังคงจ้องมองบาดแผลที่ยังคงมีเลือดซึมแม้จะเห็นร่องรอยการฟื้นตัว แต่เห็นได้ชัดว่าแผลนั้นสาหัสมาก เด็กน้อยผุดลุกขึ้น วิ่งเตาะแตะไปหยิบบางสิ่งในกระเป๋า และกลับมาพร้อมม้วนผ้าพันแผลสีขาวสะอาดตา เลโกลัสชั่งใจก่อนมือเล็กจะยื่นม้วนผ้าพันแผลให้บิดา
    “ข้าทำแผลไม่เป็น ข้าขอโทษ ท่านพ่อ”
    เด็กน้อยก้มหน้า รู้สึกไร้ประโยชน์ กษัตริย์เอล์ฟมองดูบุตรชายอย่างเอ็นดู มือยื่นไปรับม้วนผ้าพันแผลก่อนจะลูบหัวเจ้าตัว��้อย
    “ขอบใจมาก ลูกข้า"
    “มีเรื่องนึงที่ข้าไม่เคยบอกเจ้า” เด็กน้อยเอียงคอตอบประโยคของบิดา
    “ตาซ้ายข้ามองไม่เห็น เลโกลัส เพราะไฟมังกร"
    เลโกลัสเบิกตากว้าง เพราะแบบนี้บิดาถึงมองไม่เห็นการโจมตีจากด้านซ้ายจนได้รับบาดเจ็บ เจ้าชายน้อยขมวดคิ้วยุ่ง
    “ตาท่าน...ยังเจ็บอยู่รึเปล่า ท่านพ่อ"
    “ไม่แล้ว เรื่องมันผ่านมานานมากแล้วลูกข้า ตั้งแต่เจ้ายังไม่เกิด” แววตาสีฟ้าซีดไหววูบไปพักหนึ่ง เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้น สาเหตุที่ทำให้เขาสูญเสียดวงตาข้างซ้ายไป เรื่องนั้นผ่านมานานมากแล้ว นานจนกระทั่งกษัตริย์เอล์ฟคุ้นชินกับการมองเห็นจากตาขวาเพียงข้างเดียว แม้จะเป็นเวลารบก็ตาม แต่ดูเหมือนสิ่งที่ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บครั้งนี้จะเป็นเพราะความกังวลใจมากกว่าการที่ตาซ้ายมองไม่เห็น
    “เอาล่ะ ถึงเวลานอนแล้ว เจ้าตัวเล็ก”
    กษัตริย์เอล์ฟเอ่ยขึ้นหลังจากทำแผลเสร็จ มือเรียวคว้าผ้าคลุมสีเข้มคลุมให้บุตรชาย เด็กน้อยล้มตัวลงนอนอย่างง่วงงุน
    “ท่านพ่อ เมื่อไหร่ข้าจะได้ฝึกต่อสู้"
    กษัตริย์เอล์ฟเลิกคิ้วให้ประโยคที่ดูเหมือนละเมอมากกว่าเป็นการถามของบุตรชาย เลโกลัสยังเด็กมากนัก การฝึกต่อสู้ตอนนี้ยังเร็วเกินไป ดวงตาสีฟ้าใสจ้องมองดวงตาสีฟ้าซีดของบิดา แววตาบ่งบอกให้รู้ว่าง่วงเต็มที่
    “ข้าไม่อยากให้ท่านบาดเจ็บอีก..”
    เจ้าชายน้อยพูดก่อนจะผล็อยหลับไป กษัตริย์เอล์ฟจ้องมองบุตรชาย
    “ข้ายอมบาดเจ็บ ดีกว่าต้องเห็นเจ้าบาดเจ็บ ลูกข้า"
    เขาไม่อยากหวนนึกถึงความรู้สึกอันเจ็บปวดที่ไม่สามารถช่วยผู้เป็นที่รักไว้ได้ รู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์ รู้สึกว่าเป็นความผิดเขาที่ทำให้นางจากไป ดังนั้นถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะปกป้องเด็กคนนี้ตลอดไป มิให้ความตายมาพราก มิเช่นนั้นชีวิตของเขาหลังจากนั้นก็คงเหมือนการต้องอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางความมืดมิด
    “อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว เด็กน้อย"
    กษัตริย์เอล์ฟยังคงนั่งอยู่เคียงข้างบุตรชายเช่นนั้น จนกระทั่งรุ่งอรุณมาถึง
-------------------------------------------------------------------------------------------
4 notes · View notes
nobledurins-blog1 · 9 years
Text
Falling For a Dwarf King
Fandom: The Hobbit Pairing: Bilbo Baggins x Thorin Oakenshield Words: 2,233 Chapters: 10/? Authors Note/Chapter Summary: Okay, I held this chapter off for a sUPER LONG TIME. I just finished my exams, so I should be getting on tumblr and be posting chapters regularly now that I'm a freE PERSON. Anyways, this one includes fluff and some stories :DD woop! Enjoy! Read it on AO3!
9 notes · View notes
rritsu · 9 years
Text
Mirkwood, The another story [Extra chapter]
    “แย่แล้ว...."
    เฟเรนหน้าซีดเผือดเมื่อรู้ว่า เลโกลัส เจ้าชายเอล์ฟตัวน้อยหายตัวไปจากห้อง หลังจากกลับมาจากการศึกใหญ่ เขาได้รับหน้าที่จากองค์กษัตริย์ให้เป็นผู้ดูแลเจ้าชายเอล์ฟ เอล์ฟหนุ่มลูบต้นคออย่างว้าวุ่น ราวกับว่าอีกไม่นานหัวกับคอจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน เฟเรนเดินวนไปมารอบห้องหลายครั้ง ถามทหารทุกคนที่เดินผ่าน จนตอนนี้ก็ยังหาเลโกลัสไม่พบ
    “เจ้าชาย ทำไมทำกับข้าแบบนี้ล่ะ” องครักษ์หนุ่มโอดครวญ เขารู้ว่าเลโกลัสยังเป็นเพียงเด็กน้อย แต่การที่เลโกลัส เจ้าชายแห่งเมิร์ควูด หายตัวออกไปจากห้องโดยไม่มีผู้ติดตามอาจทำหัวเขาหลุดออกจากบ่าได้ กษัตริย์เอล์ฟรักบุตรชายมาก แม้จะไม่ได้แสดงออกก็ตาม
    เพิ่งผ่านไปเพียงสามปีหลังจากการศึกครั้งใหญ่ เลโกลัสยังคงซึมเศร้าจากการสูญเสียมารดา ตลอดสามปีที่ผ่านมาเด็กน้อยแทบจะไม่เคยออกจากห้องไปไหน เอาแต่เก็บตัวเงียบจนเหล่าผู้คนรอบข้างพลอยเป็นห่วง
    เฟเรนถอนหายใจยาว ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องทำงานของกษัตริย์ แม้จะรักชีวิตตัวเองแค่ไหน แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องแจ้งเรื่องนี้ให้องค์กษัตริย์ทราบ
    “เข้ามา” เสียงทุ่มต่ำของกษัตริย์เอล์ฟดังออกมาจากด้านในห้องหลังจากเสียงเคาะประตู
    “ฝ่าบาท..."
    กษัตริย์เอล์ฟยกมือห้ามก่อนเฟเรนจะได้พูดอะไรต่อ
    “เบาหน่อย”
    องครักษ์หนุ่มเลิกคิ้ว ก่อนจะเข้าจะเรื่องทั้งหมดเมื่อกวาดสายตาไปพบกับดวงตาสีฟ้าซีดที่มองลงที่ตักของตน ร่างเล็กๆของเจ้าชายเอล์ฟกำลังหลับใหลอยู่ในอ้อมแขนของบิดา
    “มีเรื่องอะไร?"
    “ตอนนี้ไม่มีแล้วขอรับ” กษัตริย์เอล์ฟเลิกคิ้วน้อยๆขณะที่เฟเรนถอนหายใจอย่างโล่งอก หัวกับคอเขายังอยู่ด้วยกันดี
     “ขออภัยที่รบกวน ข้าขอตัวก่อนขอรับ"
     องครักษ์หนุ่มโค้งก่อนจะหมุนตัวออกจากห้องไป ธรันดูอิลเองก็พอจะเดาได้บ้างว่าทำไมหัวหน้าองครักษ์ถึงได้ทำหน้าแตกตื่นเข้ามา เมื่อตอนเช้าที่ก้าวขาเข้ามาในห้องทำงานก็ได้ยินเสียงสะอื้นเล็กๆดังมาจากหลังเก้าอี้ไม้��ลัก ร่างเล็กๆของบุตรชายตัวน้อยนอนกอดเข่าขดตัวอยู่บนพรมสีเข้ม
     “เลโกลัส?"
    ร่างเล็กขยับตัวเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้ากลมโตกระพริบไล่ความง่วงงุน ก่อนจะเหลือบมาหาที่มาของเสียง เมื่อเห็นผู้เป็นบิดา น้ำตาของเด็กน้อยก็เอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง
    “ท่าน..พ่อ” เลโกลัสร้องไห้โฮเสียงดัง สร้างความลำบากใจให้กษัตริย์เอล์ฟผู้ยิ่งใหญ่ บิดายืนเก้ๆกังๆทำตัวไม่ถูก หันไปหาความช่วยเหลือรอบตัว และพบว่าในห้องนี้มีเพียงเขา ถึงจะเคยปลอบเด็กน้อยคนนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ใช่ว่านั่นจะทำให้เขาคุ้นชินกับการปลอบเด็กตัวน้อยที่ยังให้พูดเป็นประโยคไม่ค่อยได้ด้วยซ้ำ กษัตริย์เอล์ฟมองบุตรชายของตนอย่างจนปัญญา ก่อนจะย่อตัวลงให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกัน
    “เป็นอะไรไป..เล...เจ้าตัวเล็ก"
    ภรรยาบอกเสมอเขาเงียบขรึมเกินไปจนเลโกลัสคิดว่าเขาดุและเข้มงวด ทั้งวิธีการพูด และการวางตัว ซึ่งที่จริงแล้วเขาแค่ทำตัวไม่ถูก เขาไม่รู้จะพูดคุยหรือหยอกล้อเด็กน้อยอย่างไร ดูเหมือนว่าจากนี้ไปเขาคงต้องเปลี่ยนจุดนี้บ้าง ไม่เช่นนั้นเขาคงทำได้แค่เพียงนั่งมองบุตรชายร้องไห้หรือต้องเรียกให้คนอื่นมาปลอบ และนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการ เลโกลัสเป็นบุตรชายคนเดียวของเขาเอง ดังนั้นเขาจะดูแลบุตรชายคนนี้ด้วยตัวเอง
    “เลโกลัส..ฝัน"
    “ฝันร้ายรึ เจ้าตัวเล็ก” บิดายื่นมือไปลูบหัวบุตรชายแผ่วเบาอย่างเก้ๆกังๆ ราวกลับกลัวว่านิ้วยาวจะไปพันเข้ากับผมสีทองสลวย
    “ท่านแม่..ท.ท่านแม่"
    กษัตริย์เอล์ฟนิ่วหน้า ทำไมเขาถึงเพิ่งนึกออกว่าการที่เขายังทำใจกับเรื่องนี้ไม่ได้ แล้วเด็กน้อยผู้ไม่เคยพบเจอการสูญเสียจะลืมเลือนผู้เป็นมารดาไปโดยง่ายได้อย่างไร กษัตริย์เอล์ฟค่อยๆยื่นมือไปช้อนตัวบุตรชายขึ้นมาในอ้อมแขน ตบหลังเบาๆเป็นการปลอบโยน
    “ชู่ว หยุดร้องนะเจ้าตัวเล็ก แม่เจ้าคงโกรธข้าถ้าเจ้ายังร้องไห้แบบนี้"
    “...ท่านแม่เหรอ?"
    “ใช่ ถึงแม่เจ้าจะจากไปแล้วแต่นางคงอยากให้เจ้ายิ้มมากกว่า เลโกลัส"
    “ยิ้มเหรอ...” เด็กน้อยช้อนตาขึ้นมอง ก่อนจะขมวดคิ้วจนยุ่ง เอื้อมสองมือนาบบนใบหน้าบิดาเหนื่อยล้าหม่นหมองของบิดา
    “ท่านพ่อ..ยิ้ม"
    เหมือนจะเป็นอีกครั้งที่ดูเหมือนเขาจะเป็นผู้ถูกปลอบใจแทนที่จะเป็นคนปลอบใจ กษัตริย์เอล์ฟคลี่ยิ้มบาง จรดหน้าผากของตนบนหน้าผากของบุตรชายตัวน้อย เขาเหนื่อยกับการทำเป็นไม่รู้สึกอะไร เหนื่อยกับการต้องหาอะไรทำแทนที่จะต้องนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น การได้อยู่กับบุตรชายทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่จำเป็นต้องปิดบังความรู้สึกของตัวเอง หรือแสดงออกว่าเข้มแข็ง ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะไม่ได้พบกับบุตรชายบ่อยนัก เพราะเลโกลัสเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง แต่เมื่อเขาหวนนึกถึงเรื่องราวอันเจ็บปวด หรือเมื่อยามที่ใจเหนื่อยล้า เขามักจะแวะเข้าไปหาเจ้าตัวน้อย เฝ้าดูเลโกลัสในยามหลับใหล เฝ้าดูครอบครัวที่เหลือเพียงหนึ่ง เด็กตัวน้อยที่เขาจะปกป้องด้วยชีวิต หลังจากสูญเสียผู้เป็นที่รัก ทั้งบิดาและภรรยา เลโกลัสก็เป็นเพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้เขายังอยากมีชีวิตอยู่
    “ท่านพ่อ?” เอล์ฟตัวน้อยเอียงคอ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่น้ำตาเหือดหายไป
    “ข้าแค่เหนื่อย เด็กน้อย”
    บิดาลูบหัวบุตรชายอย่างเอ็นดู ก่อนจะลุกขึ้นโดยที่ยังอุ้มบุตรชายไว้ในอ้อมแขน
    “อยากไปเดินเล่นรึเปล่า เลโกลัส"
     “เดินเล่น...ท่านพ่อ..ไปด้วย” กษัตริย์เอล์ฟยิ้มรับ ร่างสูงสง่าของกษัตริย์เอล์ฟและเจ้าชายปรากฏให้เห็นแก่ชาวเมิร์ควูด เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกในรอบสามปีที่ได้เห็นพ่อลูกทั้งสอง เรียกรอยยิ้มจากเอล์ฟชาวเมิร์ควูดทุกคนที่เห็น และก็เป็นเช่นนั้นตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา เจ้าชายน้อยมักจะอยู่กับองค์กษัตริย์เสมอ 
    “...เลโกลัส?"
    “ท่านพ่อ อรุณสวัสดิ์”    
-------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนพิเศษค่ะ ><
โมเม้นคุณพ่อกับเด็กขี้แยนี่น่ารักมากเลย ฮือออออ
จะลงตอนที่ 4 เร็วนี้นะคะ <3
4 notes · View notes
rritsu · 9 years
Text
Mirkwood, The another story (The Hobbit fanfiction) [Chapter 3]
[Chapter 3]
    ดวงตากลมโตจับจ้องอยู่ที่เป้าธนูอย่างลังเล มือเล็กสั่นเทาเล็กน้อยจากแรงดึงกลับของสายธนู
    "นิ่งไว้ก่อน...เอาล่ะ ยิง"
    ลูกธนูเรียวยาวดีดออกจากคันศร ปลายสะบัดเล็กน้อย ก่อนจะแล่นเข้าปักกับเป้ายิง ห่างจากจุดกึ่งกลางไปไม่ถึงคืบ เจ้าชายเอล์ฟถอนหายใจด้วยความเสียดาย กษัตริย์เอล์ฟลูบหัวบุตรชาย
    "ทำได้ดีแล้วลูกข้า ทำได้ดีกว่าทหารบางคนด้วยซ้ำ"
    "จริงหรือท่านพ่อ"
    ธรันดูอิลยิ้มบางๆตอบกลับรอยยิ้มสดใสของบุตรชาย หลายวันมาแล้วที่กษัตริย์เอล์ฟออกมาฝึกธนูให้บุตรชาย เลโกลัสเรียนรู้รวดเร็วจนธรันดูอิลแปลกใจ บางทีอาวุธนี้อาจเหมาะกับเลโกลัสมากก็เป็นได้ เลโกลัสคุ้นเคยกับธนูเร็วมาก มากกว่าทหารหลายคนจริงๆ
    กษัตริย์เอล์ฟชำเลืองไปรอบๆ ดวงตาสีซีดส่งสายตาให้เหล่าทหารฝึกหัดที่กำลังมองดูความก้าวหน้าของเจ้าชายให้หันกลับไปจริงจังกับการฝึกของตัวเอง ถึงอย่างนั้นก็ยังมีบางส่วนที่หันกลับมาแอบดูอย่างสนใจ เจ้าชายของพวกเขา ผู้ยังเป็นเพียงเด็กน้อยอายุไม่ถึงร้อยปี
    ธรันดูอิลลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเลิกสนใจเหล่าทหาร
    “ลองใหม่สิ"
    การฝึกยังดำเนินไป เนิ่นนาน จนไม่อาจรู้ได้ว่าล่วงเลยไปนานเท่าไร เจ้าชายเอล์ฟยังคงฝึก และฝึกต่อไป ไม่ท้อถอยแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่น้าวสายธนูยาวทุกสายตาที่จ้องมองมาต่างตกอยู่ในภวังค์ ราวกับกาลเวลาหยุดไปชั่วขณะ เบื้องหลังคันธนูคือดวงตาแน่วแน่จับจ้องไปที่เป้าหมาย เจ้าชายตัวน้อยผู้ถูกจ้องมองสูดหายใจแผ่วเบา ก่อนมือที่เริ่มคุ้นเคยกับอาวุธจะป���่อยลูกธนูออกจากการควบคุม
    ลูกศรเพรียวพุ่งแหวกอากาศไปอย่างรวดเร็วและแน่วแน่เฉกเช่นเดียวกับดวงตาสีฟ้าใส มันยังคงพุ่งไปข้างหน้าโดยไม่ไหวติง ราวกับเจ้าชายเอล์ฟใช้จิตใจแน่วแน่นั่นควบคุมลูกธนู และแล้วลูกธนูก็ปักเข้าตรงทึ่จุดกึ่งกลางเป้ายิงอย่างพอดิบพอดี สร้างความตื่นตะลึงให้กับเหล่าทหารรอบข้าง แน่นอนว่ากษัตริย์เอล์ฟก็เช่นกัน
    “เฟเรน ท่านพ่อ เห็นรึเปล่า ข้ายิงได้แล้ว!”
    เฟเรนได้แต่ยืนอึ้ง เขาไม่เคยเห็นใครเรียนรู้เร็วขนาดนี้ เลโกลัสเพิ่งเริ่มหัดยิงธนูในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ ตามปกติแล้วแค่ยิงให้ถูกเป้ายิงก็เป็นเรื่องยากแล้ว แต่เลโกลัสกลับยิงได้แม่นยำขนาดนี้ สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องน่าประหลาดใจมาก
    “ลองดูอีกสิ อาจจะบังเอิญก็ได้"
    เลโกลัสย่นคิ้วให้กับคำพูดที่ดูเหมือนละเมอของบิดา มือเล็กหยิบลูกธนูขึ้นมาอีก ก่อนจะน้าวสายธนูและยิง
    ลูกแล้ว ลูกเล่า...
    ...เกือบทั้งหมดเกาะกลุ่มกันอยู่ใกล้จุดกึ่งกลางของเป้ายิง
    “…."
    ธรันดูอิลยังคงอึ้งอยู่ อึ้งมากเกินกว่าจะพูดอะไรออกมาตอนนี้ แม้จะไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า
    “ท่านพ่อ?"
    บุตรชายกระตุกแขนเสื้อเบาๆ เรียกความสนใจของเขากลับมา
    “...อะไรหรือ"
    “ข้าทำได้ดีรึเปล่า” ดวงตาสีฟ้าจ้องมองอย่างมีความหวัง กษัตริย์เอล์ฟยังคงนิ่งงัน
    ทำได้ดีหรือ... คำว่า 'ทำได้ดี' ยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำ
    "เก่งมาก เจ้าตัวเล็ก"     เลโกลัสยิ้มกว้าง ก่อนจะหันกลับไปยิงธนูอีก แน่นอนว่ายังคงแม่นยำอย่างน่าอัศจรรย์ใจจนเหล่าทหารเอาแต่มองดูจนไม่เป็นอันฝึก และเมื่อวางใจแล้วว่าเจ้าตัวเล็กจะมีอะไรให้ทำนอกจากอยู่แต่ในห้อง กษัตริย์เอล์ฟจึงผละออกไปสะสางงานต่อ แม้จะไม่เต็มใจนักก็ตาม
    "ท่านพ่อๆ ในนั้นไม่มีธนูของข้าเหรอ"
     "เจ้ายังไม่จำเป็นต้องพกอาวุธ เลโกลัส"
     กษัตริย์เอล์ฟตอบเสียงเรียบขณะที่เหล่าองครักษ์พากันขนลังใส่อาวุธสำหรับใช้ในยามมีเหตุสุดวิสัย เลโกลัสวิ่งไปมาเพื่อสำรวจอาวุธในลัง ส่วนใหญ่เป็นดาบเล่มยาวสีเงินปราณีตโดยช่างฝีมือชาวเอล์ฟ นอกจากลังบรรจุดาบแล้วยังมีกล่องไม้สลักที่งดงามผิดแผกไปจากใบอื่นๆ เมื่อมือเล็กๆเปิดดูภายในก็พบกับธนูคันยาวเรียวดูแข็งแรง ลายสลักชดช้อยพาดเรียงยาวไปตลอดคันธนูสีเข้ม ดวงตาสีฟ้าใสตวัดขึ้นมององครักษ์หนุ่มอย่างสงสัย เฟเรนยิ้มให้กับท่าทางไร้เดียงสาของเจ้าชายน้อย
     “ธนูคันนั้นเป็นของฝ่าบาทขอรับ"
     “...ข้าก็อยากมีธนูของตัวเองบ้าง"
     “อย่างที่ข้าบอกนั่นแหละ เจ้ายังไม่จำเป็นต้องพกอาวุธ เลโกลัส"
     เสียงเข้มงวดของบิดาดังขึ้น เจ้าชายเอล์ฟเบ้ปากอย่างอดไม่ได้ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ตากลมโตก็เหลือบไปเห็นเจ้ากวางเอล์คก้าวย่างมาอย่างองอาจ กวางตัวใหญ่รูปร่างสูงเพรียว ขนเป็นสีน้ำตาลมันเงา ดวงตาสีเข้มเปล่งประกาย เขากวางสีนวลสง่างามสมกับการเป็นพาหนะของกษัตริย์เอล์ฟ
     “เอาล่ะ ออกเดินทางเถอะ"
-------------------------------------------------------------------------------------------
4 notes · View notes
rritsu · 9 years
Text
Mirkwood, The another story (The Hobbit fanfiction) [Chapter 2]
[Chapter 2]
     นับจากการสูญเสียราชินีผู้เป็นที่รักแห่งเมิร์ควูด กาลเวลาผ่านไปหลายสิบปี ความเจ็บปวดในหัวใจของผู้คนก็เริ่มลืมเลือน จะมีก็แต่เจ้าชายน้อยและองค์กษัตริย์ที่ยังคงอาลัยต่อการจากไปของนาง
     ธรันดูอิล กษัตริย์เอล์ฟแห่งเมิร์ควูด เลือกที่จะไม่พูดถึงภรรยาของเขาอีก เขาเจ็บปวดเกินกว่าต้านทานไหว แน่นอนว่าไม่มีใครอื่นกล้าพูดถึงเรื่องนี้เช่นกัน
     ร่างสูงสง่านั่งอิงกายบนเก้าอี้ไม้สลัก ดวงหน้าคมเข้มรับกับผมสีทองราวกับแสงตะวันยามรุ่งสาง ธรันดูอิลเบื่อหน่ายกับงานตรงหน้าเต็มที ดวงตาสีฟ้าซีดกวาดตาอ่านเอกสารในมืออย่างเสียมิได้
     กษัตริย์เอล์ฟยังคงมีงานมากมายเช่นเดิม  ทุกๆวันเวลาของเขาหมดไปกับการอ่านเอกสาร ฟังรายงาน และฟังข่าวสารจากนอกอาณาจักร แต่ผิดกับก่อนหน้านี้ที่เขามักจะนั่งทำงานเงียบๆคนเดียวในห้องกว้างใหญ่ หลังจากการสูญเสียครั้งนั้น บุตรชายมักจะอยู่กับเขา แทบจะเรียกได้ว่าตลอดเวลา ส่วนใหญ่เด็กน้อยจะนั่งหลบอยู่หลังเก้าอี้ทำงานขององค์กษัตริย์ คอยจ้องมองบิดาผู้ง่วนอยู่กับกองเอกสาร
     เลโกลัสมัดผมยาวสีทองหลวมๆไว้ที่ต้นคอ ดวงตากลมโตกวาดมองหาหนังสือจากชั้นด้านหลังโต๊ะทำงาน เด็กน้อยเอื้อมไปหยิบหนังสือบันทึกจากชั้นที่อยู่ไม่สูงมากนัก บันทึกนั้นเก่าแก่ ปกถูกหุ้มด้วยแผ่นหนังสีน้ำตาล นิ้วเล็กค่อยๆเปิดไล่หาหน้าล่าสุดที่เพิ่งอ่านไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
    เจ้าชายเอล์ฟนั่งพิงหลังเก้าอี้ของกษัตริย์ ดวงตาสีฟ้าใสจับจ้องอยู่กับเอกสารบันทึกเหตุการณ์ภายในเมิร์ควูด แววตาแฝงไปด้วยความใคร่รู้ จนถึงตอนนี้เขาก็อ่านบันทึกไปมากกว่าครึ่งแล้ว
    “เลโกลัส..เจ้าควรจะออกไปข้างนอกบ้าง"
    “ท่านพ่อ รำคาญข้าเหรอ” เด็กน้อยเงยหน้าจากบันทึก เอียงคอแบบที่ทำเป็นประจำเวลาสงสัย
    “เปล่าเลย ลูกข้า เจ้าอยู่แต่ในห้องไม่เบื่อรึไง” บิดาขมวดคิ้ว บุตรชายของเขาแม้จะอายุหลายสิบปีแล้ว แต่ภายนอกนั้นเหมือนเด็กน้อยที่อายุราวๆเจ็ดถึงแปดปี เลโกลัสมักจะอยู่กับเขาเสมอ แทบจะไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นที่ไหน
    “ข้าไม่มีที่ไหนที่อยากไปหรอกท่านพ่อ” นอกจากอยู่ข้างบิดาของเขา ครอบครัวที่เหลือเพียงหนึ่ง เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นหลายสิบปีก่อนทำให้เขากลัวการจากลา การสูญเสีย เขาไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีก
    ธรันดูอิลก็รู้สึกเช่นนั้น แต่เขาไม่สามารถกักขังให้เด็กน้อยอยู่แต่ในวัง เด็กน้อยควรได้ออกไปเที่ยวเล่น มีเพื่อนเล่น อย่างที่เ��็กทั่วไปควรจะเป็น
    “เช่นนั้นข้าควรจะหาอะไรให้เจ้าทำสินะ” กษัตริย์เอล์ฟเอ่ยอย่างอ่อนใจ ถึงจะไม่ยอมออกไปไหน แต่นอกจากนั่งอ่านหนังสือ เจ้าชายน้อยควรจะได้ทำอย่างอื่นบ้าง
    “มีอะไรที่เจ้าอยากทำรึเปล่า ลูกข้า"
    เด็กน้อยครุ่นคิด เขาอยากขี่ม้า แต่ตอนนี้เขาตัวเล็กเกินกว่าที่จะขี่ม้าได้ นอกจากขี่ม้าแล้วเขาก็คิดไม่ออกว่าอยากทำอะไร นอกจาก..
    “ยิงธนู!” เอล์ฟตัวน้อยเป็นประกาย
    “ธนูรึ...” เขายิงธนูเป็น แต่ธนูไม่ใช่อาวุธที่เขาถนัดสักเท่าไหร่
    “ก็ได้ ข้าจะสอนเจ้าเอง"
    “จริงเหรอท่านพ่อ” เด็กน้อยดีใจ ยิ้มกว้างจนตาหาย จนผู้เป็นบิดาอดไม่ได้ที่จะลูบหัวบุตรชายอย่างเอ็นดู กษัตริย์เอล์ฟหลุดยิ้มออกมาให้กับท่าทางไร้เดียงสาของบุตรชายขณะที่หันกลับไปอ่านเอกสารในมือ เขาไม่ได้เห็นเด็กคนนี้ยิ้มแบบนี้มานานแล้ว ตัวเขาเองก็เช่นกัน หลังจากผ่านเรื่องเลวร้ายทั้งหลายมา เหตุผลที่ยังทำให้เขายิ้มได้บ้างก็คงเป็นเพราะเด็กคนนี้
    “ฝ่าบาท สาส์นจากริเวนเดลขอรับ” เสียงของเฟเรน องครักษ์ของกษัตริย์ดังขึ้น เรียกดวงตาสีฟ้าซีดขึ้นจากเอกสาร
    “เข้ามา"
        “งานเลี้ยงรึ?"
    “ขอรับ งานเลี้ยงวันเกิดครบรอบหนึ่งร้อยปีของเลดี้อาร์เวน"
     “ร้อยปีแล้วรึ” กษัตริย์เอล์ฟเลิกคิ้ว เวลาช่างผ่านไปรวดเร็ว ไม่รู้กี่ปีแล้วหลังจากที่กษัตริย์เอล์ฟไปเยือนริเวนเดลครั้งล่าสุด ตอนนั้นอาร์เวนยังเป็นเพียงทารก ยังพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ
     “ตอบจดหมายกลับไปว่าข้าจะไปร่วมงาน"
     “ขอรับ” เฟเรนรับคำสั่งก่อนจะเดินออกจากห้องไป ดวงตาของกษัตริย์เอล์ฟกลับไปจดจ่อกับเอกสารในมืออีกครั้ง ก่อนที่เขาจะสัมผัสได้ถึงดวงตาอีกคู่ที่จ้องมา
     “มีอะไรรึ” บิดาถาม ตายังคงจ้องเอกสารในมือ
     “ข้าไปด้วยได้ใช่รึเปล่า..ท่านพ่อ"
     “เจ้ายังเด็กเกินไปที่จะเดินทาง เลโกลัส"
     “แต่..."
     “ไม่มีแต่” น้ำเสียงเข้มงวดทำให้บทสนทนาจบเพียงแค่นั้น เจ้าชายน้อยไม่ได้พูดอะไรอีก ได้แต่นั่งย่นหน้าใส่หนังสือตรงหน้า ปกติแล้วถ้าผู้เป็นบิดามีกิจธุระนอกเมือง เด็กน้อยมักจะไม่งอแงขอตามไป แต่เพราะครั้งนี้เป็นงานเลี้ยง โอกาสที่จะได้เห็นโลกภายนอกอันหาได้ยากสำหรับเจ้าชายเอล์ฟตัวน้อยผู้ไม่เคยออกนอกเขตป่าเมิร์ควูด และแน่นอนเพราะครั้งนี้ไม่ใช่กิจธุระของกษัตริย์เด็กน้อยย่อมอยากติดตามบิดาไปด้วย
     “ข้าจะรีบกลับมา ข้าไปแค่ไม่กี่วัน...”
     กษัตริย์เงยหน้าขึ้นมาในที่สุด เมื่อรู้สึกได้ว่าบุตรชายผู้ดื้อรั้นเงียบผิดปกติ
     "เลโกลัส?”
     “......ข้าขอตัว ราตรีสวัสดิ์ ท่านพ่อ"
    จบประโยคนั้นเจ้าชายเอล์ฟก็วิ่งหายออกไปจากห้องทำงานขององค์กษัตริย์
      การหายไปของเจ้าชายเอล์ฟทำให้บรรดาทหารและองครักษ์วิ่งวุ่นไปทั่วราชวัง จนตอนนี้ก็ยังไม่มีใครหาตัวเจ้าชายเจอ สองชั่วโมงแล้วนับจากตอนที่เลโกลัสวิ่งหายออกไปจากห้อง
     ร่างสง่างามของกษัตริย์เอล์ฟบนบัลลังก์กวาดตามองความวุ่นวายเบื้องหน้า รู้สึกเหนื่อยหน่ายที่จะต้องฟังคำรายงานเดิมๆจากทหารยาม
     “ยังหาไม่เจอรึ?” กษัตริย์เอล์ฟถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ร่างสูงนั่งนิ่งบนบัลลังก์ ปรายตามองทหารยามทุกคนอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ เหล่าทหารก้มหน้าหลบสารตาของกษัตริย์ ธรันดูอิลกำลังโกรธ...และร้อนใจ
     “ไปหาต่อ ไปซะ”
     ตัวเขาเองก็เดินหาทุกๆที่ที่คิดว่าเด็กน้อยควรจะอยู่ สวน ห้องนอน ห้องสมุด หรือแม้แต่ทางออกไปสู่ป่า แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของเลโกลัสเลย
     ใบหน้าคมคายซบลงกับฝ่ามือ เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไรลงไป แต่การที่เด็กน้อยที่อยู่กับเขาตลอดหนีหายไปคงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเป็นแน่ กษัตริย์เอล์ฟถอนหายใจพลางเงยหน้ามองดวงดาวสุกสกาวเหนือห้องท้องพระโรง ท้องพระโรงที่มองเห็นดวงดาวได้ในทุกค่ำคืนนี้สร้างขึ้นเพื่อเหล่าเอล์ฟ เผ่าพันธุ์ที่หลงใหลในแสงดาว
     สำหรับกษัตริย์เอล์ฟแสงดาวทำให้สงบใจได้เสมอ แต่คงไม่ใช่ในค่ำคืนนี้ ดูเหมือนเขาจะอยู่กับบุตรชายตลอดเวลา แต่บางทีเขาคงไม่ค่อยจะรู้จักเด็กคนนี้สักเท่าไหร่ เพียงแต่...
     …...ดวงดาวทำให้สงบใจได้เสมอ 
    ร่างเล็กของเจ้าชายน้อยนั่งอยู่บนกิ่งแข็งแรงของต้นโอ๊คใหญ่ ดวงตาจ้องมองไปยังหมู่ดาว เขารู้ว่าถ้าก่อนหน้านี้ยังนั่งอยู่เขาคงร้องไห้ต่อหน้าบิดาเป็นแน่ เขาคงรู้สึกแย่มากถ้าทำให้บิดารู้สึกว่าเขาเป็นบุตรชายที่อ่อนแอ การหนีออกมานั่งเงียบๆคงเป็นเรื่องดีกว่า
     ต้นโอ๊คใหญ่นี้อยู่ในบริเวณด้านบนเนินเขา ซึ่งด้านใต้เนินเขานี้ก็คือโถงท้องพระโรงของกษัตริย์ซึ่งถูกสร้างให้ลึกลงไปถึงใต้ดิน ไม่ไกลจากต้นโอ๊คคือโพรงขนาดใหญ่สำหรับมองดูดวงดาวจากท้องพระโรงเบื้องล่าง และจากที่นี่ยังสามารถมองเห็นผืนป่ากว้างใหญ่ของเมิร์ควูดได้ บางครั้งเจ้าชายน้อยจะแอบออกมานั่งเล่นใต้ต้นโอ๊คนี้
     ดวงตากลมโตเหม่อมองท้องฟ้า หวนนึกถึงอดีตที่เหมือนเพิ่งจะผ่านไปได้ไม่นาน ความเจ็บปวดยังคงอยู่ในใจเด็กน้อยไม่เคยเลือนหาย
     ‘ข้าจะรีบกลับมา'
    หลังจากได้ยินประโยคนี้เมื่อหลายสิบปีก่อนเขาไม่ได้พบมารดาอีก และวันนี้เขาได้ฟังประโยคนี้จากผู้เป็นบิดา สำหรับเด็กน้อยแล้วการคิดว่าอาจจะต้องสูญเสียบิดาไปอีกเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวเกินไป
    เลโกลัสนั่งอยู่แบบนั้น นานมากจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้ว และเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีผู้อื่นอยู่ด้วย เด็กน้อยสะดุ้งจนเกือบตกต้นไม้ เมื่อเสียงทรงอำนาจดังขึ้น
    “เจ้าคิดว่าการหนีออกมาข้างนอกแล้วปล่อยให้ทุกคนตามหาเป็นเรื่องที่สมควรทำงั้นรึ” น้ำเสียงเข้มงวดดังขึ้นโคนต้นโอ๊ค กษัตริย์เอล์ฟหลังพิงต้นไม้ใหญ่ ดวงตาเหม่อมองไปบนท้องฟ้าเช่นกัน เวลาผ่านไปสักพักกว่าผู้เป็นบิดาจะเอ่ยขึ้น
    “เป็นอะไรไป เจ้าตัวเล็ก” น้ำเสียงมิได้เย็นชาแต่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใย
     เด็กน้อยย่นหน้า
     “ท่านหาข้าเจอได้ยังไง"
     “ข้าแค่คิดบางทีเจ้าอ��จจะชอบดูดาวเหมือนข้า"
      เจ้าชายน้อยชะงักไป ก่อนจะเริ่มพูดอีกครั้ง
     “…ท่านบอกว่าจะรีบกลับมา”
     ธรันดูอิลเลิกคิ้วพลางนวดขมับไปด้วย บางทีเขาก็ไม่เข้าใจเด็กคนนี้เลย
     “นั่นไม่ใช่เรื่องดีรึ?”
    “ท่านแม่เคยพูดแบบนั้น แล้ว...ท่านแม่ก็ไม่กลับมาอีก” เด็กน้อยพยายามกลั้นเสียงสะอื้น กษัตริย์เลิกคิ้วสูง     
    ....เพราะเรื่องนี้รึ?
    “รู้มั้ย เลโกลัส ข้าคิดว่าชีวิตนี้ยังไงเจ้าก็คงไม่ได้เป็นกษัตริย์หรอก ลูกข้า"
    “เพราะข้าอ่อนแอ ทำให้ท่านผิดหวังเหรอ” เด็กน้อยละสายตาจากแสงดาวในที่สุด ตากลมโตสบกับดวง���าสีฟ้าซีด
    “เปล่าเลย ผิดแล้วเด็กน้อย เจ้าคิดว่าข้าที่รอดมาจากไฟมังกรจะยอมตายง่ายๆ แล้วให้เจ้าขึ้นเป็นกษัตริย์รึ ข้าไม่อ่อนแอขนาดที่จะโดนแมงมุมกัดตายระหว่างเดินทางไปริเวนเดลหรอก เลโกลัส” ธรันดูอิลลุกขึ้นเดิน ก่อนจะมาหยุดยืนใต้กิ่งไม้ใหญ่ที่บุตรชายนั่งอยู่
    “ลงมาได้แล้ว"
    เจ้าชายน้อยมองมือที่ยื่นมาของบิดาอย่างชั่งใจ ร่างเล็กค่อยๆปีนลงมาจากกิ่งไม้ใหญ่ สองมือเรียวรับตัวบุตรชายลงมาจากต้นไม้ กษัตริย์เอล์ฟอุ้มเจ้าชายน้อยไว้ในอ้อมแขน
    “ข้าจะไม่ทิ้งลูกชายคนเดียวไปไหนหรอก” บิดาเอ่ยพลางลูบเรือนผมสีทองอย่างปลอบโยน มือเล็กกำชายแขนเสื้อของบิดาแน่น
    “ท่านพ่อ ให้ข้าไปกับท่านได้มั้ย”
    กษัตริย์เอล์ฟถอนหายใจยาว เขาใจอ่อนจนได้
    “ก็ได้ แต่เจ้าจะไม่ได้ขี่ม้าเองหรอกนะ” 
    เลโกลัสยิ้มร่าตอบ ก่อนจะหาวหวอดใหญ่ เลยเวลานอนของเด็กน้อยมานานแล้ว
    ภายในห้องนอนของเจ้าชายน้อยซึ่งอยู่ในเขตราชวังชั้นในสุด มือเรียวดึงผ้าห่มขึ้นคลุมให้บุตรชาย
    “ท่านพ่อ"
    “มีอะไรรึ เจ้าตัวเล็ก"
    “ท่านพ่อ ร้องเพลง..ให้เลโกลัสฟัง” เสียงเล็กพูดอย่างงัวเงีย
    กษัตริย์เอล์ฟขมวดคิ้ว ตลอดชีวิตที่ผ่านมายาวนานเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าร้องเพลงครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังพอจำเนื้อเพลงได้บ้าง ร่างสูงนั่งลงริมขอบเตียง ก่อนที่เสียงเสียงทุ่มต่ำจะขับขานบทเพลงอันเก่าแก่ เล่าขานถึงดินแดนซึ่งอยู่ไกลแสนไกล
    บทเพลงยังคงขับขาน จนเจ้าชายน้อยเข้าสู่นิทรา ใบหน้าเล็กนั้นเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มบางๆ บิดาลูบเรือนผมสีทองอย่างเอ็นดู ก่อนจะจุมพิตที่หน้าผากเล็กของเด็กน้อย
    “ราตรีสวัสดิ์ เลโกลัส"
-------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะ~
ตอนแรกเราคิดว่าจะอัพเดือนละ 2 ตอนค่ะ แต่ก็อดไม่ได้ อยากอัพมาก ถถถถ
(ช่วงนี้ขยันอาจจะอัพอาทิตย์ละครั้งค่ะ แต่หลังจากนี้คงเดือนละสองตอนอย่างที่ตั้งใจไว้ค่ะ แง่มๆ)
ช่วงนี้ก็เป็นช่วงยุ่งๆเนอะ แต่จะพยายามอัพอย่างต่อเนื่องนะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^^
3 notes · View notes
rritsu · 9 years
Text
Mirkwood, The another story (The Hobbit fanfiction) [Chapter 1]
[Chapter1]
      เด็กน้อยเฝ้ารอ เนิ่นนานหลายวัน จนล่วงเลยเป็นหลายสัปดาห์ เลโกลัสมักจะนั่งเฝ้ามองอยู่ที่ระเบียงเสมอ ระเบียงที่สามารถมองเห็นได้ทั้งอาณาจักร ไกลไปจนถึงผืนป่าภายนอก เด็กน้อยผู้เผชิญการลาจากเป็นครั้งแรก แม้จะผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ แต่สำหรับเจ้าชายน้อยช่างดูเนิ่นนานเหมือนชั่วนิรันดร์
      “เจ้าไม่ออกไปวิ่งเล่นบ้างรึ เลโกลัส” เอลรอนด์ผู้เป็นสหายของบิดาเอ่ยถาม เอล์ฟลอร์ดแห่งริเวนเดลรับหน้าที่ดูแลเจ้าชายน้อยตามคำขอของกษัตริย์เอล์ฟ
      “ท่านแม่….ท่านพ่อ” เลโกลัสตอบพร้อมสีหน้าหงอยเหงา เขาห่างจากครอบครัวนานเกินไป
      “อีกไม่กี่วันพ่อแม่เจ้าก็กลับมาแล้วเด็กน้อย”
      แต่เอลรอนด์รู้ดีว่าอาจไม่เป็นเช่นนั้น แม้ทุกคนจะบอกเลโกลัสว่าบิดามารดาของเขาเดินทางไปต่างเมือง แต่แท้ที่จริง องค์กษัตริย์และราชินีได้นำทัพไปสู่สงครามใหญ่ ซึ่งไม่อาจบอกได้ว่าทั้งสองจะกลับมาได้อย่างปลอดภัย
      เอลรอนด์ถอนหายใจพลางลูบหัวเอล์ฟตัวน้อยอย่างปลอบประโลม
      “เจ้าอยู่แต่ในห้องมาหลายวันแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปเดินเล่นในป่า ตกลงมั้ย?“
      “ป่า?” เด็กน้อยเอียงคออย่างสงสัย
      “ข้างนอกประตูไงล่ะ เจ้าไม่เคยออกไปใช่มั้ย ข้าจะพาเจ้าไปเอง”
       เอลรอนด์รู้ดีว่าการออกนอกประตูเมืองไปไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก ชายป่าได้รับการปกป้องอย่างดีจากหน่วยลาดตระเวร แต่ภายในป่าลึกมืดมิดก็ยังมีอันตรายแฝงเร้นอยู่ แต่เมื่อเทียบกับการที่ต้องปล่อยให้เด็กน้อยผู้ห่างไกลจากครอบครัวต้องอยู่คนเดียวในห้อง การออกไปข้างนอกคงจะดีกว่า แม้ว่าป่าภายนอกจะอันตราย แต่ก็งดงามนัก คงจะไม่เป็นไรหากเขาพาเลโกลัสออกไปพร้อมกับทหารอีกสองสามคน
      เด็กน้อยคว้ามือเอลรอนด์ ราวกับว่าการออกไปข้างนอกจะร่นเวลาให้เขาได้เจอกับพ่อแม่เร็วขึ้น เอลรอนด์ยิ้มตอบ
      “เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
      เจ้าชายเอล์ฟผู้ไม่เคยออกนอกเขตกำแพงกำชายเสื้อของเอลรอนด์แน่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ออกมาสู่โลกภายนอก เด็กน้อยประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะตื่นเต้นดีใจหรือหวาดกลัวกันแน่
      "ไม่ต้องกลัวนะเลโกลัส ป่าแถบนี้ไม่อันตรายหรอก"
      เอลรอนด์ไม่ได้โกหก ชายป่าส่วนที่ใกล้กับเขตอาณาจักรได้รับการพิทักษ์จากหน่วยลาดตระเวณอย่างแข็งขัน
      “เจ้าเห็นหรือได้ยินอะไรบ้างล่ะ?” เอล์ฟลอร์ดลองถาม ถึงแม้จะเป็นเด็ก แต่เอล์ฟมีความสามารถในการมองเห็นและได้ยินมากกว่ามนุษย์มากนัก
      “เลโกลัส..ได้ยิน..นก..ต้นไม้” เด็กน้อยมองไปรอบๆอย่างตื่นเต้น
      แม้ผืนป่าตอนนี้จะถูกปกคลุมไปด้วยเงามืด แต่ก็ยังคงเห็นร่องรอยความงดงามในกาลก่อน ก่อนที่ กรีนวูด จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเมิร์ควูด ในยุคที่ผืนป่าอุดมสมบูรณ์และเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ต้นไม้น้อยใหญ่ผลิใบสะพรั่ง และชื่อของเจ้าชายน้อยก็มีที่มาจากผืนป่าแห่งนี้ ‘เลโกลัส ใบไม้สีเขียว’ ธรันดูอิล กษัตริย์เอล์ฟ ตั้งชื่อให้บุตรชายนี้ด้วยความหวังที่ว่า เจ้าชายน้อยจะนำพาความสุขสงบและผืนป่าอันงดงามกลับคืนมาสู่เมิร์ควูด
      แน่นอนว่าเจ้าตัวเด็กเกินไปที่จะรู้ที่มาของชื่อนี่ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบิดาเป็นคนตั้งชื่อให้เขาเอง เจ้าชายตัวน้อยแทบจะไม่ได้พูดคุยกับบิดา จะเห็นก็เพียงแผ่นหลังของผู้เป็นกษัตริย์และกองเอกสาร กับเหล่าทหารที่ผลัดกันเข้ามารายงานผลหรือส่งข่าวสาร เด็กน้อยมักจะแอบอยู่ที่หลังเก้าอี้ที่ก���ัตริย์นั่งทำงาน น้อยครั้งที่บิดาจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเด็กน้อย เลโกลัสจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับมารดา เด็กน้อยคิดว่ามารดารักเขามากกว่าบิดาที่จมอยู่แต่กับกองเอกสาร
      และแน่นอนว่าเรื่องนี้นี้ติดอยู่ในใจของเด็กน้อยตลอด
      "เอลรอนด์…ท่านพ่อ รัก…กระดาษ?“
      "หืม?” หลังจากเลิกคิ้วให้กับคำถามของเด็กน้อย เขาก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
      "ทำไมคิดแบบนั้นล่ะ เลโกลัส"
      “ท่านพ่อ เล่นกับกระดาษ….ไม่เล่น..กับเลโกลัส"
      เอลรอนด์หัวเราะให้กับความไร้เดียงสาของเจ้าชายน้อย ก่อนจะลูบหัวอย่างเอ็นดู
      "ถึงพ่อเจ้าจะไม่มีเวลาเล่นกับเจ้า แต่พ่อเจ้าก็รักเจ้ามากนะเด็กน้อย สักวันเจ้าจะได้รู้เอง"
      เอลรอนด์รู้ดี เพราะเขาเองก็อยู่ด้วยวันที่เลโกลัสเกิด กษัตริย์ผู้มีสีหน้าเฉยชากลับยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับเด็กน้อยในอ้อมแขน ด้วยแววตาและสีหน้าที่หาได้ยากจากสหายคนนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขารักบุตรชายแค่ไหน
      กษัตริย์เอล์ฟโหมทำงานเพื่อให้ตนมีเวลาว่างให้บุตรชายบ้าง แต่งานของกษัตริย์นั้นมากมายนัก แม้จะโหมงานหนักเขาก็ยังไม่มีเวลาว่างให้เลโกลัส องค์กษัตริย์ทำได้เพียงไปหาบุตรชายเป็นครั้งคราว ซึ่งทุกครั้งเจ้าชายน้อยก็ผลอยหลับไปแล้ว
      “ท่านพ่อ..รัก..เลโกลัสเหรอ" เด็กน้อยถามตาเป็นประกาย
      "ใช่แล้วเด็กน้อย มากกว่าใครเลยล่ะ….“ เอล์ฟลอร์ดชะงักไป
      "เอลรอนด์….เสียง?” แม้แต่เด็กน้อยก็ได้ยิน เสียงเหมือนกองทัพใกล้เข้ามา กองทัพแห่งเมิร์ควูดเดินทางกลับมาแล้ว
      เอลรอนด์รู้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงจากกองทัพ ทว่าเสียงเหล่านั้นกลับฟังดูเหนื่อยล้าและสิ้นหวังนัก
      “เอลรอนด์?” เลโกลัสกระตุกแขนเสื้อเขาเบาๆ ปลุกเอลรอนด์จากความคิดฟุ้งซ่าน เขาได้แต่หวังว่าจะไม่ได้ยินข่าวร้ายจากการศึกครั้งนี้
      “ขอโทษเด็กน้อย ข้า…เหม่อไปหน่อย ไปเถอะ ออกไปรับพ่อแม่เจ้ากัน” ได้ยินดังนั้น เด็กน้อยก็ยิ้มกว้างออกมาโดยไม่รู้ตัว
      “ท่านแม่…กับ…ท่านพ่อ..“
      “ใช่แล้ว พ่อแม่เจ้ากลับมาแล้วเลโกลัส” เอลรอนด์ยิ้มให้เด็กน้อย
      เร็วกว่าความคิดใดๆ เจ้าชายน้อยก็ออกวิ่งนำไปพร้อมกันรอยยิ้มที่ไม่ได้ผู้ใดได้เห็นมาหลายสัปดาห์
      แต่ฉับพลัน ลูกธนูพุ่งมาอย่างรวดเร็ว เฉียดขาเจ้าชายเอล์ฟไปเพียงเล็กน้อย
      “หยุดยิงเดี๋ยวนี้!…นี่เจ้าชายเลโกลัส” เอลรอนด์วิ่งเข้าไปขวางระหว่างเหล่าทหารกับเลโกลัส เด็กน้อยวิ่งไปหลบหลังเอล์ฟลอร์ด
      เกิดอะไรขึ้น ทำไมเหล่าทหารที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีจึงลนลานยิงธนูอย่างไม่ยั้งคิดจนเกือบโดนเลโกลัสเข้า
      “ข..ขออภัย ข้าคิดว่าเป็นแมงมุม ก็เลยยิงออกไป” เสียงของทหารผู้นั้นสั่นเครือ ดวงตาแดงก่ำจากการไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันหลุบลงอย่างกลัวความผิด เขาอยู่ในสงครามมานับเดือน ต้องอยู่ในเงามืดอันน่าหวาดกลัว ต่อสู้กับศัตรูจำนวนมาก เห็นเพื่อนพ้องตายไปต่อหน้า ไม่แปลกนักที่เหล่าทหารเอล์ฟหวาดระแวงเช่นนี้
      “เกิดอะไรขึ้น?” เสียงทรงอำนาจดังขึ้นเบื้องหลัง
       ธรันดูอิล กษัตริย์เอล์ฟแห่งเมิร์ควูดก้าวเข้ามา กษัตริย์เอล์ฟสวมชุดเกราะสีเงินซึ่งตอนนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีเข้ม เรือนผมสีทองยุ่งเหยิงจากการขี่ม้าเป็นระยะทางไกล ดวงหน้าเย็นชาแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ดวงตาสีฟ้าซีดกวาดไปรอบๆเพื่อหาคำตอบ
      “ฝ่าบาท…ข้าได้ยินเสียงจากเงามืด ข้าไม่ได้ตั้งใจ..” ทหารเอล์ฟอธิบายด้วยเสียงสั่นเครือ
      “ไม่ได้ตั้งใจ?”
      ก่อนที่กษัตริย์เอล์ฟจะได้ถามอะไรต่อ สายตาสีฟ้าซีดก็เหลือบไปเห็นลูกธนูที่ตกอยู่เบื้องหน้าเอล์ฟลอร์ดและบุตรชายของเขาเองที่หลบอยู่ด้านหลัง สีหน้าเด็กน้อยดูตื่นกลัว เลโกลัสกำชายเสื้อของเอลรอนด์แน่น เห็นดังนั้นกษัตริย์เอล์ฟก็เข้าใจเรื่องทุกอย่าง
      “บอกเหตุผลที่จะทำให้ข้าไม่ต้องลงโทษเจ้าที่เกือบจะสังหารเจ้าชายองค์เดียวของอาณาจักรมา”
      นั้นเสียงนั้นเย็นชา ทว่าแฝงไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและเจือไปด้วยความเจ็บปวด มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
      “ท่านพ่อ!” เสียงเล็กดังขึ้นขัดจังหวะ พร้อมกับร่างเล็กที่วิ่งออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ  เด็กน้อยวิ่งมาเกาะชายผ้าคลุมของบิดา
      “เลโกลัส…ไม่เป็นอะไร…” เจ้าชายน้อยว่าพลางเงยหน้ามองบิดาผู้ซึ่งตอนนี้สีหน้าหม่นหมอง
      ดวงตานั้นทำให้กษัตริย์เอล์ฟหวนนึกถึงดวงตาสีฟ้าใสอีกคู่หนึ่ง ดวงตาอ่อนโยนที่เขาจะไม่มีวันได้เห็นอีกแล้ว เพียงแค่นึกถึงนางผู้เป็นที่รัก ความเจ็บปวดที่เก็บซ่อนเอาไว้ก็ค่อยๆเอ่อล้นออกมา เขาไม่อาจปิดบังเรื่องนี้กับบุตรชายได้ เรื่องที่มารดาของเขาตายในสนามรบ
      กษัตริย์เอล์ฟจ้องหน้าบุตรชายพักใหญ่ ก่อนจะสั่งให้ทหารทั้งหมดเดินทางกลับเข้าตัวเมือง จนเหลือเพียงตัวเขา เอลรอนด์ และเลโกลัส
       เอลรอนด์มองธรันดูอิลเงียบๆ เขาได้คำตอบที่สงสัยทุกอย่าง จากทั้งเหล่าทหารที่แลดูเสียขวัญจากสงคราม และจากสหายของเขา ซึ่งตอนนี้ไม่มีภรรยาอยู่เคียงข้าง กษัตริย์เอล์ฟในเวลานี้ช่างดูเหนื่อยล้าและเปราะบาง
      ร่างสูงนั่งลงเพื่อให้อยู่ในระยะสายตาเดียวกับบุตรชาย
      “เลโกลัส…ข้าขอโทษ”
      “ขอโทษ?” เด็กน้อยเอียงคออย่างงุนงง
      “ข้ามีเรื่องต้องบอกเจ้า…”
      กษัตริย์เอล์ฟนิ่งเงียบไป เขาไม่อาจพูดออกไปได้ มันเจ็บปวดเกินไป ทั้งสำหรับตัวเขาเองและบุตรชายตัวน้อย
      “ท่านพ่อ..เจ็บ?” เจ้าชายน้อยตบเบาๆที่แขน เดินไปมาเพื่อสำรวจว่ามีบาดแผลที่ไหนบ้าง
      “ข้าไม่เป็นไร เด็กน้อย” บิดาตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่เศร้าสร้อย
      จู่ๆเจ้าชายน้อยก็ผละออกไปหลังจากได้เห็นสีหน้าของผู้เป็นบิดา ร่างเล็กหายไปหลังต้นไม้ใหญ่ และกลับมาพร้อมกับดอกไม้สีขาวเล็กๆในมือ
      “ท่านพ่อ” เลโกลัสยื่นดอกไม้ให้กษัตริย์เอล์ฟ ดอกไม้สีขาวที่ภรรยาของเขามักจะเก็บมาฝากเมื่อออกไปลาดตระเวร นางมักจะกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มและดอกไม้สีขาวนี้เสมอ
      ทว่า…นางได้จากไปแล้ว
      เขาไม่สามารถเก็บความรู้สึกนี้ได้อีกต่อไป น้ำตาไหลรินเป็นสายจากดวงตาสีฟ้าซีด มือกุมมือคู่เล็กของบุตรชายและดอกไม้สีขาว ไหล่กว้างสั่นสะท้าน
      นางจากไปแล้ว…
      “ท่านพ่อ…ไม่ชอบดอกไม้?” เด็กน้อยเบ้หน้า เจ้าชายน้อยก็กำลังจะร้องไห้เหมือนกัน
      “เปล่าเลย ลูกข้า ข้ารักดอกไม้นี่มาก”
      ธรันดูอิลลูบหัวบุตรชายอย่างปลอบโยน เขาไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้า เขาแทบจะไม่เคยอุ้มเลโกลัสด้วยซ้ำ เขาไม่รู้ว่าต้องปลอบลูกอย่างไร
      เจ้าชายน้อยขมวดคิ้วยุ่ง จ้องดวงตาที่พราวไปด้วยน้ำตาของบิดา เขาไม่เคยเห็นผู้เป็นบิดาร้องไห้มาก่อน เด็กน้อยหวนนึกถึงคำพูดของมารดา
      “ท่านพ่อ…เข้มแข็ง เลโกลัส..อยู่กับ ท่านพ่อ” เด็กน้อยใช้มือทั้งสองแตะเบาๆที่ใบหน้าของบิดา ราวกับเป็นการปลอบโยน
      “ท่านแม่ ก็..อยู่กับ..ท่านพ่อ"
      ธรันดูอิลหลุบตาลง คงถึงเวลาแล้ว ที่เขาจะต้องบอกความจริงกับบุตรชาย
      “เลโกลัส..” กษัตริย์เอล์ฟสูดหายใจก่อนจะเอ่ย
      “แม่เจ้าตายแล้ว"
      “ตาย?” เด็กน้อยเอียงคอ เขาไม่เข้าใจความหมายของคำๆนี้ เขาเคยเห็นคนมากมายเศร้าเสียใจเมื่อได้ยินว่ามีใครสักคนตาย แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
      “แม่เจ้าจากไปแล้ว เลโกลัส…ไปสู่ที่ๆจะไม่สามารถกลับมาหาเจ้าได้อีก” ธรันดูอิลเอ่ย น้ำตายังคงไหลริน
      “ไปแล้ว?…แต่ ท่านแม่บอกว่า…จะกลับมา”
      “แม่เจ้ากลับมาหาเจ้าไม่ได้อีกแล้ว ลูกข้า”
      กษัตริย์เอล์ฟกัดฟันแน่นข่มความเจ็บปวด นางจากไปแล้ว นางผู้เป็นที่รักซึ่งเขาไม่สามารถปกป้องเอาไว้ได้
      “ท่านแม่…..” น้ำตาเอ่อล้นจากดวงตาสีฟ้าใส เด็กน้อยสะอื้นจนตัวสั่นระริก
      เสียงร่ำไห้ของบุตรชายกรีดลึกในโสตของกษัตริย์เอล์ฟ เขาปกป้องนางผู้เป็นที่รักไว้ไม่ได้ ทำให้บุตรชายผู้ยังคงอ่อนเยาว์เจ็บปวดจากการสูญเสียผู้เป็นมารดา คงไม่มีเรื่องใดทำให้เขาเสียใจได้มากเท่าเรื่องนี้อีกแล้ว
      “ท่านพ่อ…ท..ท่านแม่”
      กษัตริย์เอล์ฟโอบบุตรชายตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน
       “ข้าขอโทษ เลโกลัส"
      “ท..ท่านแม่…“
      เขาไม่สามารถพูดอะไรได้มากกว่านี้ บรรยากาศรอบๆเงียบงัน ได้ยินเพียงเสียงสะอื้นไห้ของเจ้าชายน้อย
      “ท..ท่านพ่อ…อย่าทิ้ง..เลโกลัส…เลโกลัสจะเป็นเด็กดี…”
      เด็กน้อยเกาะแขนบิดาแน่น ราวกับหากปล่อย��ปบิดาจะจากเขาไปเช่นมารดา
      “ข้าไม่ไปไหนหรอกเด็กน้อย..”
      เขาจะไม่ยอมเสียใครไปอีก ไม่ใช่เด็กคนนี้
      ธรันดูอิลกระชับอ้อมแขนแน่น ลูบหัวเด็กน้อยอย่างปลอบโยน
      เสียงสะอื้นไห้ยังคงดังต่อเนื่อง จนผ่านไปหลายชั่วโมง เลโกลัสร้องไห้จนหลับไปในอ้อมแขนของบิดา ใบหน้ายามหลับยังคงเต็มไปด้วยร่องรอยของความโศกเศร้า เสียงเล็กยังคงละเมอเรียกหามารดา
      “ข้าขอโทษ ลูกข้า” น้ำตาเอ่อขึ้นมาอีกครั้งจากดวงตาสีซีด
      “เจ้าควรจะ..เลิกโทษตัวเอง ธรันดูอิล เจ้าไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้นางตาย” เอลรอนด์พูดขึ้นหลังจากยืนเงียบมานาน
      “ข้าเข้าไปช่วยนางไม่ทัน ข้าควรจะอยู่ข้างนาง ข้า…ทำอะไรไม่ได้เลย ดูเลโกลัสสิ เพราะข้าปกป้องนางไม่ได้เขาถึงร้องไห้หนักขนาดนี้ ข้าปลอบให้เขาหยุดร้องไม่ได้ด้วยซ้ำ” คำพูดพรั่งพรูออกมาพร้อมน้ำตา
      “ถึงเจ้าจะโทษตัวเอง เจ้าก็กลับไปแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ เจ้าควรจะ..ใช้ชีวิตต่อไป ถึงนางจะจากไปแล้วก็ตาม เจ้าจะโทษตัวเองไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอก ถ้าเจ้ามัวแต่จมอยู่กับความทุกข์ใครจะอยู่กับเลโกลัสล่ะ ลูกเจ้าก็เศร้าโศกไม่ต่างไปจากเจ้า เพื่อนข้า และนางคงไม่ปรารถนาให้พวกเจ้าใช้ชีวิตที่เหลืออย่างเศร้าโศก เรามิใช่มนุษย์ ยังต้องอยู่ไปอีกหลายร้อยหลายพันปี ดังนั้น จงเข้มแข็งเถิด ธรันดูอิล"
      แม้ผู้เป็นสหายจะกล่าวเช่นนั้น แต่กษัตริย์เอล์ฟก็ยังคงนั่งอยู่เช่นนั้น เนิ่นนานจนกระทั่งน้ำตาแห้งเหือด เขาก้มลงมองบุตรชายผู้นิทราอยู่ในอ้อมแขน นิ้วเรียวปาดน้ำตาจากใบหน้าของเด็กน้อย
      “กลับกันเถอะ ลูกข้า” กษัตริย์เอล์ฟยืนขึ้น ละทิ้งความโศกเศร้าไว้เบื้องหลัง
      “จากนี้ไปข้าจะปกป้องเจ้าเอง"
-------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะ~
เริ่มตอนที่ 1 แล้วเนอะ ที่จริงแล้วตอนที่เริ่มเขียนเรื่องนี้เพราะมานั่งคิดหลังจากดูฮอบบิทว่า เลโกลัสตอนเด็กกับเตี่ยนี่เป็นยังไงกันนะ? ก็เลยลองเขียนออกมาค่ะ (เขิน)
ที่จริงอยากให้มีโมเม้นของคุณแม่มากกว่านี้ค่ะ แต่เพราะว่าแทบจะหาข้อมูลของคุณแม่ไม่ได้เลย เราจึงทำการสร้าง(มโน)คุณแม่ขึ้นมาค่ะ
เนื้อเรื่องจะมีอิงจากในหนังและนิยายเป็นบางส่วนค่ะ ส่วนที่เหลือมาจากการจิ้นของเราล้วนๆ 5555555
จะพยายามเขียนออกมาให้ดีที่สุดค่ะ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ~ <3
4 notes · View notes
rritsu · 9 years
Text
Mirkwood, The another story (The Hobbit Fanfiction) [Prologue]
[PROLOGUE]
    “เลโกลัส"
     เอล์ฟตัวน้อยเจ้าของชื่อเหลือบมองตอบผู้เป็นมารดาด้วยดวงตาสีฟ้าใสไร้เดียงสา
     “ท่านแม่?"
     “ลูกข้า ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ข้าและพ่อของเจ้าจะออกไปนอกเมืองสักพัก ระหว่างนี้เจ้าอาจจะต้องเหงาบ้าง แต่ข้าจะรีบกลับมา"
     เจ้าชายเอล์ฟขมวดคิ้วจนยุ่ง ตั้งแต่จำความได้เด็กน้อยก็อยู่กับมารดาของเขาตลอด แต่เพราะบิดาและมารดาของเขาเป็นผู้ปกครองเมือง เจ้าชายเอล์ฟจึงเอาแต่ใจไม่ได้
      “ท่านแม่…รีบกลับ...มาหาเลโกลัส"
     ราชินีหัวเราะเบาๆให้กับคำพูดกระท่อนกระแท่นของเด็กน้อย แม้จะอายุ 8 ปีแล้ว แต่เด็กชาวเอล์ฟเติบโตช้ากว่าลูกของมนุษย์มากนัก
     “พ่อของเจ้าก็จะรีบกลับมาหาเจ้าเช่นกัน” ราชินียิ้มให้เด็กน้อย
     “ท่านพ่อ...ดุ”
     “เจ้ากลัวพ่อของเจ้าเองรึ เจ้าชายน้อย” มารดาลูบหัวของบุตรชาย  หากมองจากภายนอก ธรันดูอิล กษัตริย์เอล์ฟแลเหมือนเข้มงวดกับบุตรชายอยู่เสมอ หากแต่แท้จริงแล้วกลับรักบุตรชายยิ่งกว่าใคร
     “พ่อเจ้า อยากให้เจ้าเป็นเจ้าชายที่เข้มแข็ง ลูกข้า ข้าก็เช่นกัน ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ จงเข้มแข็ง เลโกลัส"
     “เลโกลัส..เข้มแข็ง” เจ้าชายน้อยกำมือชูขึ้น
     “เก่งมาก เจ้าชายน้อยของข้า เอาล่��� ตอนนี้ดึกแล้ว รีบนอนเถอะ"
     ราชินีว่าพลางดึงผ้าห่มคลุมให้บุตรชาย จุมพิตที่หน้าผากแผ่วเบา ก่อนที่เสียงอันไพเราะจะขับกล่อมเพลงกล่อมจนเจ้าชายน้อยหลับไป
     “หากข้าไม่อยู่ จงเข้มแข็ง..ลูกข้า"
-------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะ~ ริทสึค่ะ
เอิ่มม ยังไงดี เขินจัง เราเพิ่งเคยเขียนแฟนฟิคครั้งแรกค่ะ ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะคะ >w<
/โค้งงามๆ
3 notes · View notes
nobledurins-blog1 · 9 years
Text
Falling For A Dwarf King
Fandom: The Hobbit Pairing: Bilbo Baggins x Thorin Oakenshield Words: 3,829 Chapter: 8/? Summary/Authors Note: So, I took a small break from FFADK but now I’m back with chapter 8 :DD This chapter is kind of boring because I just basically go over the whole Gollum, Ring thing. But, at the end, there’s a small bagginshield moment <3 I hope you enjoy! Read the story on ao3!
12 notes · View notes
nobledurins-blog1 · 9 years
Text
Falling For a Dwarf King
Fandom: The Hobbit Pairing: Bilbo Baggins x Thorin Oakenshield Words: 3,175 Chapters: 7/? Summary/Author’s Note: - I'm having to change a few things in this chapter because for the sake of it being a bit more original. This chapter drags along a bit, because it has some important things that kinda matter for later on in the story (Bilbo finding the ring). I'm not super 100% happy with the chapter because it seems a bit boring and kind of rushed at the end ;-; The next chapter will probably still be a bit draggy, but I promise in the next NEXT chapter, things will be back up to speed - As The Company leaves the warmth of Rivendell without Gandalf the Grey, who has other matters to attend to, they start on their way across The Misty Mountains. However, they are surprised with rather unwelcome visitors. Read the story on ao3!
2 notes · View notes
nobledurins-blog1 · 9 years
Text
Falling For a Dwarf King
Fandom: The Hobbit Pairing: Bilbo Baggins x Thorin Oakenshield Words: 2,533 Chapter: 6/? Summary/Authors Note: Kinda steamy in this one, haha. WARNING if you don’t like intimate shirtless wound-cleaning stuff. So, kinda nsfw? Ori’s gone missing and The Company, along with the help of the elves, search the grounds for the young dwarf. Mr.Bilbo gets himself another wound, and to Bilbo’s surprise (and delight), it’s Thorin who helps him clean it up. Read the story on ao3!
9 notes · View notes
nobledurins-blog1 · 10 years
Text
Falling For a Dwarf King
Fandom: The Hobbit Pairing: Bilbo Baggins x Thorin Oakenshield Words: 2,325 Chapter: 5/? Notes: After arriving at Rivendell, The Company are given a few days to rest and relax before they continue on their dangerous path. Read the story on ao3!
10 notes · View notes
nobledurins-blog1 · 10 years
Text
Falling For a Dwarf King
Fandom: The Hobbit Pairing: Bilbo Baggins x Thorin Oakenshield Words: 2,979 Chapter: 4/? Summary/Note from Author: Took me a while to get the forth chapter up, but here it is c: Read the story on ao3!
5 notes · View notes
nobledurins-blog1 · 10 years
Text
Falling for A Dwarf King
Fandom: The Hobbit Pairing: Bilbo Baggins x Thorin Oakenshield Words: 2,350 Chapter: 3/? Chapter Summary: “As the days go by slowly, they are beginning to pick up their pace with the knowledge of an orc pack on their tails. What happens to Bilbo one night, is not something that anyone saw coming.” Read the story on AO3!
3 notes · View notes
nobledurins-blog1 · 10 years
Text
Falling for A Dwarf King
Fandom: The Hobbit Pairing: Bilbo Baggins x Thorin Oakenshield Words: 2,461 Chapter: 2/? Summary/Authors Note: Got the second chapter up, yEY! :DD “Their journey begins with a slow start, bringing restless nights and lack of hygiene for our hobbit” Read the story on AO3!
3 notes · View notes