Tumgik
rritsu · 5 years
Text
Dreams go up in smoke (YR/CD) [CM one shot]
"เวียร์ส"
แครอลขมวดคิ้วตอนที่ได้ยินชื่อที่เธอเกือบจะลืมไปแล้ว
"ฉันชื่อแครอลต่างหาก"
"สำหรับฉันเธอคือเวียร์สเสมอนั่นแหละ"
ครึ่งครีขมวดคิ้ว ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีเธอก็ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่ยิงโฟตอนใส่อีกฝ่าย
ยอน-ร็อกยืนพิงกรอบประตูบ้านซึ่งมีสภาพเก่าโทรม เขาถูกปลดจากตำแหน่งหลังภารกิจล้มเหลวที่ดาวซี-ห้าสิบสามเมื่อหลายปีก่อน 
"ทำไมถึงกลับมาล่ะ ฝันร้ายอีกรึไง" ครีหนุ่มว่าพลางยกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ท่าทางไม่ยี่หระกับหมัดที่เริ่มเปล่งแสงเรือง
และแน่นอนว่าทำรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อยที่อดีตหัวหน้ารู้เหตุผลที่เธอแวะมาได้ทันทีที่เธอมาถึง
เธอยังคงฝันร้ายอยู่ตลอด ถึงจะไม่บ่อยเท่าตอนที่ความทรงจำหายไปก็ตาม เหตุการณ์ในฝันเหมือนกันแทบทุกครั้ง 
ร่างของคนที่รู้จักล้มลงกระแทกพื้น แน่นิ่งไร้ลมหายใจ คนที่เธอฝันเห็นบ่อยที่สุดคือลอว์สัน  แต่หลังจากความทรงจำกลับมา ร่างที่นอนแน่นิ่งนั้นกลับกลายเป็นคนอื่นไป ทุกคนที่เธอห่วงใย มาเรีย โมนิก้า ฟิวรี่ หรือแม้แต่ทาลอส
นอกจากนั้นยังมีอีกคนที่เธอนึกไม่ถึงอยู่ด้วย
คนที่เธอนึกไม่ถึงนั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอมาตามหาอดีตหัวหน้าจนถึงที่นี่ ฮาล่าไม่ต้อนรับเธออีกต่อไป ทำให้เธอต้องใช้โฟตอนขู่ครีคนอื่นไปหลายคนเหมือนกันกว่าอีกฝ่ายจะยอมบอกว่ายอน-ร็อกถูกย้ายไปประจำที่ไหน
เสียงกระแอมไอเรียกแครอลออกจากความคิดของตัวเอง ยอน-ร็อกยังคงยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองเธอ
“ตกลงว่ามาเพราะฝันร้ายจริงๆสินะ”
"รู้ได้ยังไงกัน"
"ฉันรู้จักเธอมาหกปี เวียร์ส เธอมาหาฉันด้วยเหตุผลไม่กี่ข้อหรอก"
แครอลพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด
“ซ้อมต่อสู้ได้ไหม?”
------------------------------------------------------------------------------------------
เขาชอบซ้อมต่อสู้กับเวียร์สที่สุด เพราะเธอลุกขึ้นได้ทุกครั้งที่โดนล้ม
เธอยังคงจู่โจมอย่างดุดันและไม่ลังเลเหมือนเคย รวดเร็วและบางครั้งก็ควบคุมไม่ได้ ราวกับสัตว์ป่าที่น่ากลัวแต่ก็ยังงดงามในเวลาเดียวกัน
แต่การขาดการควบคุมนี้ก็ยังเป็นจุดอ่อนใหญ่หลวงของเธออยู่ดี
ยอน-ร็อกเหวี่ยงร่างของหญิงสาวลงกับพื้นก่อนจะก้าวถอยหลังไปอีกสองสามก้าว เป็นนิสัยติดตัวที่แก้ไม่ได้หลังจากโดนอีกฝ่ายยิงโฟตอนใส่หลายครั้ง 
"ฝันรอบนี้ใครถูกยิงล่ะ-"
เวียร์สที่ดูเหมือนกำลังรอให้เขาเผลอเตะขาขึ้นมาสูงซะจนเขาต้องเบี่ยงตัวหลบหลังจากยังพูดไม่จบประโยคดี
"ด็อคเตอร์ลอว์สัน"
ก็เหมือนทุกทีนี่
“มาเรีย”
เพื่อนสนิท
“ฟิวรี่”
เพื่อนใหม่
“แล้วก็นาย”
ฉัน?
สิ่งที่ได้ยินทำให้เขาแปลกใจ ขนาดที่ทำให้ประมาทจนถูกอีกฝ่ายเตะเข้าอย่างแรงที่สีข้าง เขามั่นใจว่าที่โดนเตะนี่ต้องเป็นรอยช้ำในวันรุ่งขึ้นแน่นอน
ครีหนุ่มที่ไม่มีสมาธิอีกต่อไปทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น หอบหายใจอยู่พักใหญ่ 
“ไม่ไหวเลย ฉันคงขาดคู่ฝึกแบบเธอไปนาน”
ดวงตาสีเหลืองทองเหลือบมองอีกฝ่ายเมื่อไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา หญิงสาวยังยืนอยู่ที่เดิม ใบหน้าแดงก่ำ เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะออกแรงเยอะจากการฝึกหรือเพราะเธอกำลังสะกดอารมณ์บางอย่างกันแน่
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ เธอน่าจะดีใจที่ฉันถูกยิงสิ”
“นั่นสิ ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ฉันไม่ค่อยเข้าใจ แต่..”
เวียร์สนั่งลงตรงข้ามกับเขา สองแขนกอดเข่าไว้แนบอก ตาเหลือบมองต่ำ เหมือนเด็กทำผิดที่ไม่กล้าสบตา
“ฉันไม่ได้อยากให้นายตายหรอก ไม่เคยเลย”
------------------------------------------------------------------------------------------
แครอลไม่รู้ว่าพวกเขานั่งเงียบๆข้างกันแบบนั้นอยู่นานเท่าไรกว่าตัวเธอเองจะสงบใจจนเริ่มพูดอีกครั้ง
“ตอนช่วงแรกๆที่แยกกันฝันร้ายของฉันคือเห็นนายเป็นคนถือปืน”
ตั้งแต่ความจำกลับมาเธอก็ฝันแบบนี้อยู่หลายสัปดาห์ จนบางครั้งก็คิดว่าถ้าไม่ได้ความจำกลับมาเลยคงดีกว่า เธอโกรธที่ต้องเห็นคนที่ไว้ใจที่สุดในช่วงหกปียิงคนที่เธอเคารพนับถือที่สุด โกรธที่เกือบทุกอย่างกลายเป็นเรื่องโกหกไปหมด แต่ที่โกรธที่สุดคือเธอก็ยังคงอยากเจอเขาหลังตื่นจากฝันร้าย
เธอยังโกรธยอน-ร็อกมาจนถึงตอนนี้ แต่ก็ไม่เคยเกลียดเขา คงเป็นเพราะเธอเชื่อว่าช่วงหกปีนั้นเขาปฏิบัติต่อเธอเหมือนเป็นเพื่อนคนนึง
ถึงแม้เขาจะดูหงุดหงิดนิดหน่อย แต่เขาก็เปิดประตูให้เธอทุกครั้งที่มาหาหลังตื่นจากฝันร้าย เขาวิ่งไปที่ยิมกับเธอ ถึงแม้ตัวเขาจะบอกว่าไม่เคยชอบวิ่งเลยก็ตาม
แครอลไม่รู้ว่าความฝันเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไร แต่หลังจากพยายามไม่ใส่ใจอยู่หลายปี สุดท้ายเธอก็มาที่นี่ เพื่อดูให้แน่ใจว่าเขาไม่เป็นไร
“น่าแปลกนะที่ฉันก็ยังโกรธนายอยู่ แต่ก็มาถึงที่นี่อยู่ดี”
“อาจจะเป็นเพราะเธออยากมายิงฉันด้วยตัวเองก็ได้”
ครีหนุ่มแค่นเสียงหัวเราะ
“เรื่องที่ฉันทำมันแย่ ฉันไม่มีอะไรจะแก้ตัวทั้งนั้น เพราะถึงจะมีคนพูดชักจูงยังไง แต่ฉันก็เป็นคนตัดสินใจทุกอย่างเอง”
ยอน-ร็อกเงียบไปพักหนึ่ง
“ถ้าจะยิงจริงๆก็ได้นะ”
แครอลหันไปมองหน้าสีหน้าจริงจังของเขาก่อนจะเลิกคิ้วสูง
“ฉันเพิ่งจะบอกไปว่าไม่อยากให้ตาย แก่จนหูตึงรึไง”
ครึ่งครีสาวเลิกคิ้วสูงขึ้นไปอีกตอนที่อีกฝ่ายหัวเราะออกมา
“ฉันล่ะคิดถึงเวลาเธอพูดจาแบบนี้จริงๆ”
ครีหนุ่มว่าพลางยันตัวลุกขึ้นยืน ก่อนจะยืนมือมาหาเธอ
“จะเช้าแล้ว ไปหาอะไรกินเถอะ”
พวกเขากำลังเดินไปตามตรอกแคบตอนที่รู้สึกว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น จู่ๆก็มีเสียงกรีดร้องหลายเสียงดังมาจากที่ไกลๆ พร้อมกับเสียงแจ้งเตือนจากเพจเจอร์
“ฟิวรี่?”
“เวียร์ส”
เสียงแผ่วเบาของยอน-ร็อกเรียกความสนใจของเธอไปจากเพจเจอร์ เธอหันไปเห็นเขาตอนกำลังล้มลงพิงกำแพงข้างทาง ใบหน้าซีดเซียว มือข้างที่คว้าจับแขนเธอไว้กำแน่นจนรู้สึกเจ็บ
“เป็นอะไรไป”
“..ไม่รู้”
ตอนนี้ยังคงมีเสียงกรีดร้องหลายเสียงดังไปทั่ว แครอลมองไปรอบๆ พยายามหาต้นตอของเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้น เธอแทบไม่ได้ยินเสียงแผ่วเบาของคนตรงหน้าตอนที่เขาพยายามเรียก
“เวียร์ส”
เธอรู้สึกเหมือนบางอย่างกระตุกวูบในอกตอนที่รู้สึกว่ามือที่กำรอบแขนเธออยู่เริ่มคลาย แต่พอหันไปมองกลับเห็นว่ามือเขาค่อยๆกลายเป็นเถ้า ลามขึ้นไปตามแขน
“ยอน-ร็อก? ยอน!”
“อย่าทำเสียงตกใจแบบนั้นสิ”
เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ดวงตาสีทองจ้องมองมาที่เธอด้วยแววตาแบบที่เธอไม่เคยเห็นจากชายคนนี้มาก่อน
เขากำลังกลัว
แครอลประคองใบหน้าเขาไว้ด้วยทั้งสองมือ นิ้วหัวแม่มือไล้ไปตามโหนกแก้ม
“ต้องทำอะไรได้บ้างสิ”
“ทำอะไรไม่ได้หรอก”
ครึหนุ่มสายหัวก่อนจะวางมืออีกข้างที่ยังอยู่บนหลังต้นคอของเธอ ดึงเธอเข้ามาใกล้จนหน้าผากพวกเขาแนบกัน
“แครอล”
สิ่งสุดท้ายที่แครอลเห็นคือรอยยิ้มเศร้าๆของเขา ในมือเต็มไปด้วยเถ้าที่กำลังถูกลมพัดหายไป
------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะ ดีใจมากที่กลับมาเขียนฟิคได้หลังหายไปเกือบสองปี ฮือ ถ้าผิดพลาดยังไงติชมได้นะคะ ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านค่าา :)
1 note · View note
rritsu · 7 years
Text
Corrosion (SeungChuchu) [Yuri!!! on ICE fan-fiction (Pacific Rim AU)]
!!! ฟิคเรื่องนี้มีสปอยล์เนื้อเรื่องบางส่วนจาก Pacific Rim ค่ะ !!!
     สำหรับคนที่ไม่เคยดู Pacific Rim อาจจะงงกับเหตุการณ์หรือคำศัพท์บางคำในเรื่องนี้  ดังนั้นจะขออธิบายก่อนเริ่มเรื่องค่ะ
     หลักๆในเรื่องจะพูดถึงไคจู (Kaiju) เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่จากต่างมิติ ลักษณะภายนอกคล้ายสัตว์หลายชนิดในตัวเดียว ไคจูเดินทางไปมาระหว่างมิติที่ตัวเองอยู่กับโลกของเราผ่านรอยแยกในมหาสมุทรแปซิฟิก
     ส่วนเยเกอร์ (Jaeger) เป็นอาวุธเคลื่อนสำหรับรับมือกับไคจู เยเกอร์เป็นอาวุธในรูปแบบของหุ่นยนต์ขนาดใหญ่ ใช้มนุษย์สองคนในการควบคุมหุ่นหนึ่งตัวผ่านระบบประสาท ผู้ควบคุมต้องเชื่อมต่อกันผ่านระบบของเยเกอร์ทำให้เห็นความคิดและความทรงจำของกันและกันค่ะ
Corrosion
Phichit
    ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดในโลก ถึงแม้จะเสียครอบครัวไปตอนยังเด็ก หรือตอนที่ต้องออกมาใช้ชีวิตในประเทศที่ไม่คุ้ยเคยเลยแม้แต่น้อยก็ตาม
    ผมชื่อพิชิต จุฬานนท์ สัญชาติไทย อายุ 24 ปี เป็นผู้ควบคุมเยเกอร์ อาวุธรบเคลื่อนที่สำหรับจัดการกับไคจู
    เยเกอร์เป็นอาวุธในรูปหุ่นยนต์ยักษ์ ควบคุมโดยการเชื่อมต่อกับระบบประสาทของผู้ควบคุม แต่เพราะขนาดที่ใหญ่นั้นทำให้ต้องมีผู้ควบคุมเยเกอร์สองคนเพื่อแชร์แรงดันประสาท ความรู้สึกนึกคิดและความทรงจำของผู้ควบคุมทั้งสองจะเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน โดยมีหุ่นยนต์ยักษ์เป็นสื่อกลาง
    ‘พิชิต’
    'คุณแม่'
    “พิชิต”
    “ครับ?”
    “ปล่อยความทรงจำผ่านไปได้แล้วครับ เดี๋ยวก็หลุดจากระบบหรอก”
    -การเชื่อมต่อประสาทสมบูรณ์ -
    “ไม่หลุดหรอกน่า”
    ผมหันกลับไปตรวจสอบความเรียบร้อยของระบบหลังจากหันไปส่งยิ้มให้นักขับคู่หน้าบู้บี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ
    “มื้อเย็นวันนี้จะมีอะไรกินบ้างนะ”
    “ช่วยสนใจไคจูที่อยู่ตรงหน้าด้วยเถอะครับ”
    “ครับๆ”
    ผมก็ยังไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโชคร้ายอยู่ดี ถึงจะต้องเป็นคนออกไปสู้กับไคจูที่โผล่มาไม่หยุดหย่อนก็เถอะ
    ตอนที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักจะโชคร้ายก็เป็นตอนที่ถาดอาหารหลุดมือจนลงไปกองกระจัดกระจายบนพื้นโรงอาหารนั่นแหละ
    อ๋า มื้อกลางวันของผม
    “พิชิต เป็นอะไรรึเปล่า”
    คัทสึกิ ยูริ ที่เพิ่งเดินเข้าโรงอาหารมาเข้ามาช่วยผมเก็บกวาดอาหารที่หล่นอยู่บนพื้น
    “ไม่เป็นไรครับ คงเหนื่อยล่ะมั้ง”
    “ซึงกิลล่ะครับ?”
    “เห็นบอกว่ายังไม่หิวแน่ะ”
    ผมเดินกลับไปตักอาหารใหม่ ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะที่พวกยูรินั่งอยู่ ระหว่างทางถาดอาหารเกือบจะลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง ถ้าไม่ได้ซึงกิลมาคว้าไว้ก่อน
    “นั่งตรงไหน”
    "โต๊ะพวกรัสเซียน่ะ"
    เขาฉวยถาดมื้อเที่ยงไปจากมือผมก่อนจะออกเดินนำหน้าไป ผมขอสายจูงเจ้าหมาที่เลี้ยงไว้มาจากเขาที่ถือถาดอาหารทั้งของผมและตัวเองเต็มสองมือ
    ไหนว่ายังไม่หิวไงครับ
    “ยังพูดว่าไม่เป็นไรได้อีกเหร���ครับ”
    ผมได้แต่นั่งนิ่งๆมองมือตัวเอง สลับกับแฟ้มเอกสารที่หล่นอยู่กับพื้น
   “��็แค่บังเอิญทำของหล่นเองนี่”
   “ใช้คำว่าบังเอิญไม่น่าจะถูกสักเท่าไรนะครับ นี่ครั้งที่ห้าในรอบครึ่งชั่วโมงนี้แล้ว สองสามเดือนที่ผ่านมานี้ก็เป็นแบบนี้บ่อยๆ ไม่คิดว่าแปลกเหรอครับ”
   ผมยังก้มมองมือตัวเอง ไม่กล้าเงยหน้าสบตาเขาสักเท่าไร เป็นจริงอย่างที่เขาว่า ตัวผมเองก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น
   “ไปให้หน่วยแพทย์ตรวจสักทีเถอะครับ”
   “ผมไม่เป็นไรหรอกน่า ซึงกิล”
   ผมไม่อยากรับรู้ถึงมันในตอนนี้ ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมคืออะไรก็ตาม ผมยังอยากทำงานนี้ ยังอยากเป็นนักขับคู่กับซึงกิล
   ผมคงคิดว่าเขาจะถอนหายใจอย่างรำคาญ หรือทำสีหน้ายุ่งยากแบบที่ทำเป็นประจำ จนกระทั่งผมเหลือบไปสบตาเขาหลังจากที่ห้องเงียบไปเกือบห้านาที คิ้วเรียวขมวดแน่น แต่ไม่เหมือนเวลาปกติ แววตาเป็นกังวลแบบที่ผมไม่ค่อยจะได้เห็นตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา
   “ขอร้องล่ะครับ”
   ผมคิดว่าน่าจะรู้สึกไปเองว่าอากาศในหน่วยแพทย์เย็นลงจนตัวหนาวสั่น  หน้าชาเหมือนเพิ่งถูกน้ำเย็นจัดสาดใส่ ผมรู้สึกเหมือนหูอื้อทั้งๆที่ไม่ควรเป็นแบบนั้น
   “กล้ามเนื้ออ่อนแรง?”
   “ใช่”
   ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าเจอกับเรื่องโชคร้ายเข้าจริงๆ
   ป่วยเหรอ ผมเนี่ยนะ
   ผมฟังสิ่งที่คริสกำลังอธิบายไม่ได้ศัพท์สักเท่าไร หูได้ยินแต่เสียงหวีดหวิว เลือดสูบฉีดเร็วจนเวียนหัว ตาพร่าไปหมด ผมตกอยู่ในภวังจนคริสเอ่ยประโยคที่ไม่ได้อยากได้ยินที่สุด
   “ฉันเสียใจนะ แต่คงต้องบอกว่าหลังจากนี้นายห้ามบังคับเยเกอร์อีก”
   ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้ายังไงตอนที่ได้ยิน แต่สีหน้าเป็นกังวลของคริสทำให้รู้ว่ามันคงแย่น่าดู มือผมสั่นไปหมด
   กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปซะแล้ว ทั้งๆที่กำลังจะมีภารกิจสำคัญแท้ๆ
    Seung-Gill
   'สวัสดีครับ ผมชื่อพิชิตนะ'
    'ซึงกิล'
   เขาส่งยิ้มตอบกลับมา สดใสเหมือนแสงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิ นั่นคือครั้งแรกที่เราพบกัน
   'ซึงกิล..'
   เขานั่งลงข้างผมเงียบๆ ทำเป็นมองไม่เห็นน้ำตาที่ไหลอาบหน้าผม เขาอยู่ตรงนั้นกับผมที่เพิ่งเสียครอบครัวไป
   'นี่ ยูริจะแต่งงานแล้วล่ะ ผมก็ดีใจกับยูรินะ แต่รู้สึกเหงายังไงก็ไม่รู้'
   ผมไม่รู้ว่าจะตอบเขาว่ายังไงดี ทำได้แค่เอื้อมมือไปลูบหัวเขาเบาๆ
    'ซึงกิล'
   เขาเอ่ยขึ้นในเช้าวันหนึ่งขณะที่เรากำลังดูข่าวไคจูที่เพิ่งล้มโดยอาวุธเยเกอร์ อาวุธที่ควบคุมโดยมนุษย์สองคน และสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่ง
    'คิดว่าเราจะเป็นแบบนั้นได้ไหมครับ'
   -การเชื่อมต่อประสาทสมบูรณ์ -
   คัทสึกิ ยูริ ไม่ได้พูดอะไรหลังจากการเชื่อมประสาทและได้เห็นความทรงจำตลอดทั้งชีวิตของผม แต่สีหน้าและสิ่งที่ผมรู้สึกได้ผ่านระบบเยเกอร์ก็บอกได้เป็นอย่างดี คัทสึกิสนิทกับพิชิต มากซะจนเหมือนเป็นพี่น้อง
   ผมควบคุมเยเกอร์คู่กับเขาเพราะพิชิตป่วยจนเชื่อมต่อประสาทไม่ได้ คัทสึกิเป็นนักขับคู่ของวิคเตอร์ นิกิฟอรอฟ ซึ่งตอนนี้ออกปฏิบัติการไม่ได้เพราะบาดเจ็บจากภารกิจเมื่อไม่กี่วันก่อน นอกจากพวกเราแล้วยังมีเยเกอร์ของพี่น้องคริสปิโน ที่มาทำหน้าที่คุ้มกันให้นิวเคลียร์ไปถึงรอยแยก
   หน้าที่เราในครั้งนี้คือจุดระเบิดนิวเคลียร์ในรอยแยก ทำลายทางที่เชื่อมต่อไม่ให้ไคจูออกมาได้อีก ถ้าทำภารกิจนี้สำเร็จมันจะเป็นภารกิจสุดท้ายของพวกเราทุกคน
   เขาจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องนี้อีก
    แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราวางแผนไว้ เยเกอร์ที่ผมกับคัทสึกิควบคุมเสียหายอย่างหนัก
   “เราจะเป็นเหยื่อล่อ”
   “ครับ แบบนั้นคงดีกว่า”
   “ขอบคุณนะครับ”
   นั่นคือประโยคสุดท้ายที่คัทสึกิพูดกับนิกิฟอรอฟ ผมคุยกับคริสตอฟฟ์หลังจากนั้น เขาทำงานอยู่ในหน่วยแพทย์ เป็นคนที่คอยดูแลพิชิต
   “พิชิตล่ะครับ”
   “เพิ่งหลับไปน่ะครับ ให้ปลุกไหม”
   “ไม่ล่ะ..ปล่อยให้นอนพักเถอะ”
   “ใจร้ายเกินไปแล้วครับ จะไม่บอกลาเลยเหรอ”
   แต่ถ้าได้ยินเสียงเขาตอนนี้ ผมต้องอยากกลับไปแน่ๆ
Christophe
   พี่น้องคริสปิโนกลับมาอย่างปลอดภัยหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ผมยังคงอยู่ในหน่วยแพทย์ในตอนที่ทุกคนโห่ร้องแสดงความยินดี ทางเชื่อมได้ถูกทำลายลงแล้ว เราไม่ต้องต่อสู้อีกต่อไปแล้ว
   ในความยินดีนั้น เราสูญเสียเสียซึงกิลและยูริไป รวมไปถึงผู้ควบคุมคนอื่นๆในภารกิจก่อนหน้านี้
   “คริส..”
   “ว่าไงหนุ่มน้อย”
   พิชิตรู้สึกตัวอีกครั้งในเช้าวันต่อมา เขาอ่อนแรงลงไปมาก กล้ามเนื้อเล็กลีบ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้
   “ภารกิจเป็นยังไงบ้าง”
   “สำเร็จแล้วล่ะ ไม่ต้องสู้แล้ว”
   “ซึงกิล?”
   ผมต้องห้ามเขาตอนที่เขาทำท่าเหมือนพยายามจะลุกขึ้นมานั่ง เขาอ่อนแรงเกินไป ตอนนี้แม้แต่จะหายใจก็ยังลำบาก ผมไม่อยากให้เขาเศร้าเสียใจตอนที่เป็นแบบนี้
   “เขาไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
   ดวงตาสีเข้มมองผมอย่างเหม่อลอยผมอยู่ครู่หนึ่ง
   “ไม่มีใครหรืออะไรทำร้ายเขาได้แล้วล่ะ ไม่ต้องห่วงแล้ว นอนพักเถอะหนุ่มน้อย”
   พิชิตเงียบไปราวกับพยายามทำความเข้าใจประโยคที่ผมเพิ่งพูด ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา
   “ดีจัง เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วใช่ไหม”
   “อืม นอนพักเถอะนะ”
   ผมนั่งลงข้างเตียงก่อนจะลูบหัวเขาเบาๆ
   “ก็ได้ ฝันดีนะคริส”
   “ฝันดีหนุ่มน้อย"
   พิชิตไม่ตื่นขึ้นอีกหลังจากนั้น เขาจากไปอย่างสงบ
สวัสดีค่ะ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ตอนแรกที่คิดไว้รายละเอียดเยอะกว่านี้(มากๆ)ค่ะ แต่พอทำเป็นฟรีเปเปอร์เลยเขียนได้ไม่มาก ถ้ามีโอกาสจะลองเขียนเป็นตอนสั้นๆหลายๆตอนที่มีรายละเอียดมากกว่านี้ออกมานะคะ ขอบคุณอีกครั้งที่แวะเข้ามาค่ะ :)
0 notes
rritsu · 7 years
Text
Kingdom Plantae : Cyanthillium
เธอชื่อว่าซินเนเรียม
ผมพบเธอในช่วงหน้าร้อนวันหนึ่ง เด็กหญิงตัวจ้อยนั่งกอดเข่ามองท้องฟ้า ดวงตามองออกไปไกลแสนไกล รอบตัวเธอมีเด็กชายหญิงหน้าตาคล้ายกันอีกหลายคน ผมยาวสีเขียวซีด ดวงตาสีเหลืองอำพัน เด็กส่วนใหญ่จับกลุ่มกันวิ่งเล่น เหยียดแขนขาออกเพื่อรับแสงอบอุ่นยามเช้า เสียงหัวเราะเล็กๆดังไปทั่วทุ่งกว้าง
ผมยังจำตอนที่เข้าไปทักเธอได้ เธอเหลือบมองผมสักพัก ก่อนน้ำตาจะไหลเอ่อออกมาจากดวงตาเล็กเรียว
'ไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่เลย' เธอกล่าวเช่นนั้น
ผมนั่งปลอบเธออยู่พักใหญ่ นั่งเล่าเรื่องการเดินทางของผมให้เธอฟังจนน้ำตาแห้งเหือดไปจากใบหน้าอ่อนเยาว์ ผมนั่งอยู่เป็นเพื่อนเธอจนแน่ใจว่าเธอไม่เป็นอะไรแล้ว จึงขอตัวเดินทางต่อไป
ผมยังได้แวะกลับมาพบเธอทุกครั้งที่มีโอกาส ทุกครั้งมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับเธอเสมอ หลังจากนั้นเพียงไม่กี่เดือนผมก็ไม่สามารถเรียกเธอว่าเด็กหญิงได้อีกต่อไป เธอเติบโตเป็นสาวสะพรั่ง เรือนผมที่เคยเป็นสีเขียวซีดบัดนี้กลายเป็นสีม่วงอมชมพู ฟูฟ่องจนคล้ายกับพู่ของเชียร์ลีดเดอร์ 
ซินเนเรียมมักจะนั่งอยู่กลางทุ่งกว้างที่เดียวกันกับที่ผมพบเธอครั้งแรก คราวนี้ก็เช่นกัน หญิงสาวเหม่อมองท้องฟ้าดังเช่นทุกครั้ง รอยยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้าต่างจากเมื่อตอนที่เธอยังเด็กมากนัก
'ถึงเวลาแล้วงั้นหรือ'
'อื้ม พร้อมแล้วล่ะ รอแค่ให้ลมพัดมา' 
เธอตอบพลางไล้มือเล็กเรียวไปตามเรือนผมที่กำลังเปลี่ยนไปเป็นสีเหลืองซีดอย่างทะนุถนอม เส้นผมแต่ละเส้นของเธอกำลังจะเกิดเป็นชีวิตใหม่ การส่งชีวิตน้อยๆออกไปสู่โลกกว้างคือหน้าที่สุดท้ายของเธอ
เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจนน่าใจหาย
'โอ๊ะ มาแล้ว'
ความแก่ชราคืบคลานไปบนร่างเล็กทันทีที่ลมปะทะ เส้นผมสีเหลืองซีดเริ่มกลายเป็นสีน้ำตาล ก่อนจะหลุดร่วงลอยไปตามกระแสลม ทีละเส้น ทีละเส้น ทุกครั้งที่เส้นผมหลุดไปดูเหมือนส่วนเล็กๆของชีวิตเธอจะหลุดลอยออกไปด้วย แต่ซินเนเรียมไม่ได้ดูเหมือนกำลังเจ็บปวดแม้แต่น้อย
'เด็กๆจากไปแบบนั้นไม่รู้สึกเหงาหรือ'
'ไม่หรอก เดี๋ยวฉันก็ไม่อยู่แล้ว คนที่เหงาน่าจะเป็นพวกเขามากกว่า' หญิงชราว่าพลางเหม่อมองไปทางทิศที่กระแสลมพาลูกๆของเธอไป ร่างกายซีดจนมองเห็นได้เพียงเลือนราง
'ผมเองก็คงเหงาอยู่เหมือนกัน'
'งั้นหรือ ขอโทษนะที่อยู่นานกว่านี้ไม่ได้ ขอบคุณที่คอยแวะมาหาฉันอยู่บ่อยๆ การรอให้คุณแวะมาเยี่ยมทำให้ฉันลืมไปเลยว่ากำลังโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นทุกวัน แล้วก็ขอบคุณที่มาส่งฉันวันนี้ด้วย ฉันดีใจจริงๆที่ได้พบคุณ'
'ผมก็เช่นกัน'
ผมยืนอยู่กับเธอจนผมเส้นสุดท้ายหลุดปลิวไปตามลม ผมไม่ได้ยินเสียงของเธออีกหลังจากนั้น
เธอจากไปด้วยรอยยิ้ม
-------------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะ ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ
ก่อนหน้านี้คิดไว้นานแล้วว่าอยากเขียนอะไรที่เกี่ยวกับพืช ช่วงนี้พอมีเวลาเลยลองเขียนดู 
พูดถึงตัวละครสักหน่อย ตัวละครในเรื่องนี้เป็นพืชและสัตว์ที่เราอยากให้มีรูปลักษณ์แบบมนุษย์ ตัวเอกนักเดินทางในเรื่องนี้คือหนูแล็บตัวขาวตาแดง ซึ่งอาจจะมีเรื่องตอนเริ่มออกเดินทางต่อไป
พืชที่ถูกพูดถึงในตอนนี้คือ Cyanthillium cinareum หรือต้นหมอน้อยค่ะ หมอน้อยเป็นไม้ล้มลุกที่อยู่ในวงศ์ทานตะวัน มีดอกสีม่วง เวลาติดผลจะได้ผลที่มีขนเล็กๆตรงปลาย พอผลแก่ขนจะบานออกคล้ายร่มชูชีพ ช่วยให้สามารถกระจายพันธุ์โดยลมได้ค่ะ
ช่วงก่อนหน้านี้เราไม่ได้เขียนอะไรมาพักใหญ่ๆเลยค่ะ อาจจะเด๋อไปบ้าง ติชมได้นะคะ ขอบคุณอีกครั้งที่เข้ามาอ่านนะคะ <3
1 note · View note
rritsu · 9 years
Text
Rearrangement 3 [TMR Short-fic]
Part 1 ll Part 2
    บรรณารักษณ์หนุ่มชาวเอเชียกำลังจะก้มลงไปคว้าลังหนังสือเข้าใหม่มาถือตอนที่มีมือคู่ผอมบางเข้ามาแทรกและแย่งกล่องไปก่อนที่เขาจะทันได้แตะ เด็กหนุ่มผมสีบลอนด์หันมายิ้มเผล่ให้เขาก่อนจะรีบสาวเท้าหนีไปห้องทำงานหลังเคาน์เตอร์ มินโฮตะโกนอย่างเหลืออด
    “โว้ยย ไอ้เด็กเปรต เลิกแย่งงานฉันสักที"
    “แก่แล้วก็นั่งเคาน์เตอร์ไปน่า"
    “ไอ้ปลว.."
    มินโฮยังไม่ทันพูดจบนิวท์ก็หายเข้าห้องทำงานไปแล้ว ชายหนุ่มสบถอย่างหงุดหงิดก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้หลังเคาน์เตอร์
    เด็กหนุ่มแวะมาที่นี่เกือบทุกอาทิตย์เป็นเวลาหลายปีแล้ว จากที่ตอนแรกแค่แวะมานั่งอ่านหนังสือเฉยๆตอนนี้กลับกลายมาเป็นผู้ช่วยบรรณารักษ์ซะเอง แถมยังทำงานดีซะจนมินโฮเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะโดนแย่งงานยังไงยังงั้น
    เจ้าภูตจิ๋วตัวจ้อยหน้าตาน่ารักตอนนี้กลายเป็นเด็กหนุ่มสูงโปร่ง ซึ่งมินโฮไม่อยากจะยอมรับเท่าไหร่ว่านิวท์สูงแซงหน้าเขาไปแล้ว และดูเหมือนว่าตอนนี้เด็กหนุ่มจะกลายเป็นมาสคอตของห้องสมุดนี้ไปแล้ว มีเด็กผู้หญิ���หลายคนที่มาห้องสมุดบ่อยๆเพราะนิวท์
    “ปลวกภูตจิ๋วกลายเป็นไอ้เด็กเปรตนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ"
    เด็กหนุ่มเดินกลับมาที่เคาน์เตอร์หลังจากตรวจตราชั้นหนังสือรอบสุดท้าย เขายิ้มออกมาบางๆตอนที่เห็นมินโฮหลับฟุบอยู่กับกองเอกสาร
    “เห็นไหมล่ะ อยู่เคาน์เตอร์นั่นแหละดีแล้ว"
    นิวท์ว่าพลางไล้มือไปบนเส้นผมสีเข้ม เขาสะดุ้งตอนที่มินโฮคว้าเข้าที่ข้อมือและบีบมันอย่างแรง
    “ทำอะไรของแก ไอ้ปลวกอ่อน"
    “เปล่านี่"
    บรรณารักษ์หรี่ตามอง เขารู้สึกมาสักพักแล้วว่าช่วงนี้เด็กหนุ่มทำตัวแปลกไป ชอบแย่งงานไปทำ แถมบางทียังทำงานล่วงเวลาด้วย ไหนจะเรื่องที่แอบมาเล่นหัวเขาตอนนอนอีก ถึงปกติเขาจะหลับต่อและไม่ได้พูดอะไรแต่ก็อดสงสัยไม่ได้
    นิวท์ดึงมือกลับ สะบัดไปมาอยู่พักหนึ่ง เด็กหนุ่มบ่นพึมพำ
    “อะไรกัน เมื่อก่อนใจดีกว่านี้แท้ๆ"
    “ฉันได้ยินนะปลวก"
    เด็กหนุ่มเบะปากก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวข้างเขา เท้าคางลงกับโต๊ะมองมินโฮนั่งกวาดข้าวของลงกระเป๋า มินโฮที่เริ่มรู้สึกอึดอัดเพราะถูกมองขมวดคิ้ว
     “แกไม่กลับบ้านรึไง"
     “ก็รอมินโฮอยู่นี่ไง ไม่ได้เอาจักรยานมาไม่ใช่เหรอ"
     “แล้วมันเกี่ยวอะไรกัน?"
    “ก็..เดี๋ยวฉันไปส่ง"
    มินโฮจ้องหน้าเขา เลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจ
    "หา นี่ต้องการอะไร ขึ้นเงินเดือนเรอะ"
    "..เปล่า"
     นิวท์ยู่หน้า ไม่ยอมพูดอะไรอีก ดูเหมือนเด็กเล็กๆที่กำลังงอน มินโฮถอนหายใจก่อนจะโบกมือไล่
     “แกจะมารอกลับพร้อมฉันทำไม ฉันไม่เข้าใจ กลับไปได้แล้ว ไป๊"
     เด็กหนุ่มจ้องเขาอยู่พักหนึ่ง ดูเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง มินโฮขมวดคิ้วตอนที่อยู่ดีๆนิวท์ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจลุกไปหยิบกระเป๋าหลังเคาน์เตอร์
     “…งั้นฉันกลับก่อนล่ะ เดินกลับดีๆแล้วกัน"
     “บอกตัวเองเถอะ"
     มินโฮถอนหายใจตอนมองนิวท์หมุนตัวเดินออกจากห้องสมุดไป บรรณารักษ์หนุ่มกลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง เขาสะพายกระเป๋าก่อนจะออกเดินตรวจตราห้องสมุดเป็นครั้งสุดท้าย บรรณารักษ์เพิ่งรู้สึกตัวว่าเดินเหม่อมาตลอดก็ตอนที่เผลอเดินไปเตะโซฟาอ่านหนังสือเข้า
     “ปลวก ทำไมมันรบกวนจิตใจขนาดนี้วะ" 
    มินโฮไม่เคยรู้สึกอยากลาออกเท่าวันนี้มาก่อน
     “อ..เอ่อ..ขอโทษนะคะ วันนี้นิวท์อยู่ไหมคะ?"
     “น่าจะเรียงหนังสืออยู่ที่หมวดศิลปะล่ะมั้งครับ"
     “ขอบคุณค่ะ!"
     “ห้ามวิ่งในห้องสมุดนะครับ!"
     มินโฮหันไปดุตอนที่เด็กสาวทำท่าเหมือนจะออกวิ่ง เธอหันกลับมาผงกหัวขอโทษก่อนจะรีบเดินหายไป บรรณารักษ์หนุ่มถอนหายใจ เขาเลิกนับไปแล้วว่าครั้งที่เท่าไหร่
     วันนี้วันวาเลนไทน์ และเพราะวันนี้ตรงกับวันอาทิตย์พอดี ดังนั้นจึงมีเด็กสาวเข้ามาถามหานิวท์ตั้งแต่เช้า มินโฮที่ต้องคอยตอบคำถามจนไม่เป็นอันทำงานกระแทกนิ้วลงกับคีย์บอร์ดอย่างหงุดหงิด
     “ทีวันแบบนี้ไม่อยู่กับเคาน์เตอร์เลยนะไอ้ปลวกอ่อน"
     บรรณารักษ์หนุ่มมัวแต่หัวฟัดหัวเหวี่ยงจนไม่ทันสังเกตอัลบี้ที่มายืนอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์สักพักแล้ว
     “มินโฮ เห้ย มินโฮ"
     “หา?"
     “แกเห็นเพียกนิวท์ไหม?” มินโฮเลิกคิ้วสูงก่อนจะพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด
     อีกแล้วเรอะ
    “อะไรเนี่ย แกก็เป็นไปกับเขาด้วยเหรอ”
     “โว้ย ใช่ที่ไหนเล่า เมื่อกี๊มีสายจากโรงพยาบาล บอกว่าพี่สาวเพียกนั่นประสบอุบัติเหตุ"
      เด็กหนุ่มนั่งอยู่กับพื้น หน้าผากพิงนาบอยู่กับชั้นหนังสือ
     “เมื่อไหร่จะหมดวันนี้สักทีเนี่ย"
     นิวท์พยายามหลบอยู่ตามชั้นหนังสือมาครึ่งวันแล้ว แต่หลบยังไงก็มีคนมาเจออยู่ดี เด็กสาวที่เจอวันนี้ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนจากที่โรงเรียนไฮสคูล นิวท์ไม่เข้าใจว่าพวกเด็กผู้หญิงมาชอบเขาได้ยังไง ในเมื่อปกติแล้วเขาแทบจะไม่ได้คุยกับใครด้วยซ้ำ
     เด็กหนุ่มเตรียมจะลุกหนีตอนที่ได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ เขาไอออกมาเบาๆตอนที่คอเสื้อโดนรั้งจากด้านหลัง
     “ปลวก นี่ฉันเอง”
     ผู้ช่วยบรรณารักษ์เลิกคิ้วก่อนจะตวัดหน้ากลับมา มินโฮหน้าซีด ดูลุกลี้ลุกลน เขาหยุดยืนสูดลมหายใจอยู่หลายครั้งก่อนจะเริ่มพูดต่อ เด็กหนุ่มตกอยู่ในภวังค์ตอนที่คำพูดหลุดออกมาจากปากมินโฮ ทุกอย่างรอบตัวดูหม่นลง รู้สึกเหมือนสมองถูกควักออกไปจากกะโหลก
     “นิ…”
     นิวท์นิ่งไป สติไม่อยู่กับตัวจนไม่ได้ยินมินโฮเรียก
     “เห้ย! นิวท์ ไปหาพี่แกสิ"
     มืออวบตบหน้าเด็กหนุ่มเบาๆ นิวท์กระพริบตาอย่างมึนงง หลังจากนั้นความกังวลที่หนักอึ้งก็ถาโถมเข้ามาจนรู้สึกแน่นหน้าอก
     “มัวรออะไรอยู่ได้ รีบไปสิโว้ย ไอ้ปลวกอ่อน"
     เด็กหนุ่มขบกรามแน่นก่อนจะเริ่มออกวิ่งไปที่ทางออก เสียงสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ดังขึ้นตามด้วยเสียงเครื่องยนต์คำรามที่ค่อยๆไกลออกไป 
    เป็นเวลาใกล้กับเวลาปิดที่มินโฮได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ บรรณารักษ์เหลียวหน้าไปมองที่ประตูพลาง��ยนช็อคโกแลตอีกกล่องลงไปกองรวมกับอันที่เจอก่อนหน้า มีช็อคโกแลตซุกอยู่ตามใต้โซฟาอ่านหนังสือเต็มไปหมด
     คงเป็นของนิวท์นั่นแหละ
    ประตูบานใหญ่ถูกผลักเปิดออก ร่างสูงโปร่งของนิวท์ผ่านเข้าประตูมา ใบหน้าดูอิดโรยจนน่าใจหาย เด็กหนุ่มเดินโซเซก่อนจะทิ้งตัวนอนลงกับโซฟาอ่านหนังสือตัวหนึ่ง
     “เป็นไงบ้าง กลับมาอีกทำไมเนี่ย"
     “หมดเวลาเยี่ยมแล้วน่ะ ฉันยังไม่อยากกลับบ้าน แต่ไม่รู้จะไปไหนดี"
     “แล้วไม่อยู่เฝ้าพี่แกรึไง"
     “โทมัสดูเป็นห่วงมากน่ะ ฉันก็เลยฝากให้เฝ้าไข้แทน"
     มินโฮแทบมองไม่เห็นหน้าเขาเพราะแขนที่พาดก่ายอยู่ จะเห็นก็แต่รอยยับย่นตรงหน้าผาก บรรณารักษ์ถอนหายใจก่อนจะนั่งลงข้างโซฟา มืออวบเอื้อมไปลูบเรือนผมสีทองอย่างเก้ๆกังๆ
     “..ไม่เป็นไรนะ"
     ความเงียบแผ่ปกคลุมยาวนาน นิวท์ขยับตัวเปลี่ยนมานอนตะแคง หันหน้าให้มินโฮก่อน คว้ามือมินโฮมาก่อนจะแนบใบหน้าลงกับฝ่ามือ ดวงตาสีเข้มสบกัน แม้จะยังคงมีความเหนื่อยล้าอยู่แต่สีหน้านิวท์ก็ดูดีกว่าตอนเดินเข้ามามาก
     “ไม่เป็นไรแล้ว"
     “ให้มันจริงเถอะ"
     บรรณารักษ์ว่าพลางใช้มือข้างที่ว่างขยี้ผมสีทองจนยุ่งฟู นิวท์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะปล่อยมือจากมือหนาของมินโฮ
     “กลับเถอะ เริ่มดึกแล้ว"
     “แล้วแก?"
     “คงอยู่นี่แหละ ขืนขี่มอเตอร์ไซค์สภาพนี้คงได้ไปนอนเป็นเพื่อนเทเรซ่าแน่"
     “แล้วตอนขามาขับมาได้ยังไงล่ะนั่น” มินโฮพึมพำพลางขมวดคิ้วยุ่ง
     “พอคิดว่าถ้ามาถึงต้องได้เจอมินโฮแน่ๆก็เลยมาถึงได้ล่ะมั้ง"
     “..."
     มินโฮไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกยังไงตอนที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ ในสถานการณ์แบบนี้เขาไม่ควรจะดีใจสิ
     ชายหนุ่มเหยียดตัวลุกขึ้นอย่างยากลำบากเพราะเหน็บกินขา นิวท์รั้งเขาไว้ก่อนจะได้ไปไหน
     “ตอนแรกคิดไว้ว่าจะให้ตอนหลังเลิกงาน แต่ดันมาเกิดเรื่องซะก่อน"
     เด็กหนุ่มว่าพลางล้วงมือไปหยิบบางอย่างจากในกระเป๋าเสื้อคลุมและวางมันอย่างเบามือบนอุ้งมือเขา มันเป็นที่ขั้นหนังสือทำจากโลหะวาววับ หน้าตามันเหมือนไม้เท้า ตรงปลายมีแผ่นเรซิ่นใส ภายในมีดอกไม้แห้งอยู่ กลีบดอกเป็นทรงระฆังคว่ำสีม่วงอมน้ำเงิน
     “ดอกบลูเบลล์น่ะ แถวๆบ้านเก่าฉันมีเยอะเลยล่ะ"
     “เอ่อ..แกให้ฉันทำไมน่ะ"
     “คิดว่าปกติแล้วทำไมเขาถึงให้ดอกไม้กันวันวาเลนไทน์ล่ะ"
     นิวท์พูดด้วยเสียงงัวเงียก่อนจะพลิกตัวหันหลังให้ บรรณารักษ์ไม่รู้ว่าตัวเองยืนอึ้งอยู่นานแค่ไหนหรือตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ รู้แค่ว่ามันนานจนกระทั่งเด็กหนุ่มเหลียวหน้ากลับมามองเขา
     “...อึ้งขนาดนั้นเลย?"
     “…เอ่อ..ไม่รู้สิ"
     มินโฮพึมพำเหมือนคนละเมอ ใช้เวลาอยู่อีกเกือบนาทีกว่าเขาจะเรียกสติตัวเองกลับมาได้ ชายหนุ่มสาวเท้าข้ามห้องสมุดไป นิวท์ถอนหายใจก่อนจะหันกลับไปนอนท่าเดิม
     กะแล้วเชียว
        ผู้ช่วยบรรณารักษ์ที่เกือบจะเคลิ้มหลับสะดุ้งตื่นตอนที่ได้ยินเสียงสะบัดผ้า พอหันกลับไปดูก็เห็นมินโฮอยู่หลังเคาน์เตอร์ ถือถึงนอนสีเข้มไว้ในมือ
     “ไม่กลับรึไง"
     “..จะให้เด็กอย่างแกอยู่คนเดียวได้ไง"
     นิวท์ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่เขารู้สึกเหมือนเห็นสีเรื่อๆพาดผ่านบนใบหน้ามินโฮ
      ใช้เวลากว่าอีกอาทิตย์กว่าเทเรซ่า พี่สาวของนิวท์จะออกจากโรงพยาบาล ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาเขาขอทำงานครึ่งวัน เด็กหนุ่มยกเวลาช่วงเย็นทั้งหมดให้กับพี่สาว ตอนนี้เธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ดังนั้นเขาจึงได้กลับมาทำงานตามปกติ
     “ไปจัดชั้นอื่นสิโว้ย จะมาแย่งฉันทำไม” มินโฮหันมาดุ มือยังถือหนังสือที่จะเก็บค้างไว้เหนือหัว
     “แก่จนเอื้อมเก็บหนังสือไม่ไหวแล้วก็ไปนั่งทำงานที่เคาน์เตอร์เถอะน่า"
     “ไอ้เด็กเปร---"
     คำพูดทั้งหมดถูกกลืนหายไปตอนที่เด็กหนุ่มนาบริมฝีปากลงบนหน้าผากของเขา บรรณารักษ์อึ้งจนเผลอปล่อยหนังสือเล่มหนาตกลงจากมือ นิวท์คว้ามันไว้ได้ก่อนที่มันจะตกลงไปฟาดหัวมินโฮ แขนเรียวเอื้อมข้ามหัวเขาไปก่อนที่ผู้ช่วยบรรณารักษ์ดันหนังสือเก็บเข้าที่ เด็กหนุ่มเหยียดยิ้มยียวน
     “เห็นไหมล่ะ บอกแล้วว่านั่งเคาน์เตอร์ไปนั่นแหละดีแล้ว"    
-------------------------------------------------------------------------------------------
NewtMin one shot & short-fiction list (x)
1 note · View note
rritsu · 9 years
Text
TMR NewtMin Short-fic&One shot
[One shot]
The name
The name (Reverse)
Beast
Fallen
Andante
Starry sky
กระต่ายมินโฮ : Pocky day
กระต่ายมินโฮ : วันเกิดนิวท์
Panorama
[Short fan-fiction]
Rearrangement
Part 1 ll Part 2 ll Part 3
----------------------------------------------------------------------------------------
14 notes · View notes
rritsu · 9 years
Text
Panorama (NewtMin) [TMR One shot]
    “นี่ นายมาจากไหนน่ะ"
     “ตะวันออกน่ะ"
     “มันเป็นยังไงกันนะ"
     “ก็ไปทางตะวันออกไง แล้วก็ข้ามทะเลด้วยนะ"
     “ทะเล?“
     “อะไรกัน ไม่รู้จักหรอกเหรอ ทะเลคือผืนน้ำกว้างสุดลูกหูลูกตาไงล่ะ”
     “ไม่เคยรู้เลยว่ามีอะไรแบบนั้นด้ว��� อยากเห็นจังเลยน้า"
     “งั้นเหรอ..งั้น เดี๋ยวฉันจะพาทะเลมาหานายเอง"
     “หา?“ 
    พ่อค้าหนุ่มผมสีเข้มเดินลัดเลาะไปตามทิวไม้ ลึกเข้าไปในป่า ตาเขามองเลิ่กลักไปทั่ว คนในหมู่บ้านบอกว่าในป่านี้ไม่ปลอดภัยนัก แต่ก็มีคนบอกว่าถ้าเข้าป่าไปจนถึงบ่อน้ำเก่าแล้วโยนเหรียญลงไปจะขอพรจากภูตต้นไม้ได้ข้อหนึ่ง โทมัสไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าความมั่นใจ ถึงแม้จะรู้ว่าภูตต้นไม้ที่คนเล่าต่อกันมาอาจจะไม่มีจริง แต่อย่างน้อยได้ขอพรก็คงทำให้เขามีความมั่นใจมากขึ้น เขาหวังไว้ว่ามันจะเป็นแบบนั้น
     เขาเดินเปะปะอยู่เกือบชั่วโมงกว่าจะเริ่มมองเห็นบ่อน้ำที่ว่า ก้อนหินสีเทาหลากหลายขนาดถูกวางเรียงล้อมรอบขอบของบ่อ แสงจากดวงอาทิตย์เล็ดลอดลงมาได้ไม่มากเพราะมีกิ่งของไม้ใหญ่หลายต้นบดบังอยู่
     โทมัสก้าวเข้าไปใกล้บ่อน้ำ มือควานหาเหรียญเงินจากในกระเป๋ากางเกง เขาสูดลมหายใจเข้าออกอยู่หลายครั้ง อธิษฐานในใจก่อนจะเงื้อแขน เขาสะดุ้งจนทำเหรียญตกเมื่อได้ยินเสียงดังมาจากด้านบน
     “อย่าบังอาจโยนเหรียญลงไปเชียวนะมนุษย์”
     เหงื่อเย็นเยียบไหลอาบใบหน้าของชายหนุ่ม เขาค่อยๆเหลือบตามองขึ้นไปด้านบน หวังว่าจะไม่เจอภูตหน้าตาน่ากลัวหรืออะไรก็ตามที่เป็นเจ้าของเสียงเมื่อครู่ ดวงตาสีเข้มไล่จากโคนต้นไม้ขึ้นไปจนถึงกิ่งไม้ใหญ่และพบร่างหนึ่งบนนั้น
     ร่างสูงโปร่งนั้นซีดจนดูไม่เหมือนมนุษย์ ภูตต้นไม้ในชุดที่คล้ายกับนักรบโบราณก้มลงมองตอบเขา ดวงตาสีเข้มดุดันมองเขากลับอย่างระแวดระวัง ผมสีสว่างปลิวละล่องตอนที่ภูตกระโดดลงมาจากต้นไม้
     “เมื่อไหร่จะเลิกมาขอพรแบบนี้กันสักทีนะ เหรียญนั่นฉันเอาไปทำอะไรไม่ได้หรอกนะ"
     “คุณเป็นภูตเหรอ?“
     “ก็แบบนั้นล่ะมั้ง”
     ภูตต้นไม้สาวเท้าเดินวนไปรอบตัวชายหนุ่ม มองเขาอย่างพินิจพิจารณา
     “อืม…ขอแต่งงานงั้นสิ?“
     “เอ๋..เอ่อ..”
     “รู้ได้ยังไงน่ะเหรอ เพราะคนที่ทำหน้าแบบนายก็มีแต่มาขอเรื่องนี้ทั้งนั้นแหละ"
     ภูตหนุ่มเหยียดยิ้ม เขากอดอกและพิงหลังลงกับต้นไม้ โทมัสขมวดคิ้ว เป็นจริงอย่างที่ภูตตนนั้นบอก เขาไม่มีความมั่นใจเลยว่าเธอจะตอบตกลงแต่งงานกับเขารึเปล่า เขาคิดว่าการมาขอพรที่นี่อาจจะช่วยอะไรได้บ้างก็ได้ เหมือนเป็นการหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
     “ฉันจะพูดเหมือนที่พูดกับทุกคน ฉันช่วยนายไม่ได้ จบนะ ลาก่อน"
     “เฮ้ย เดี๋ยวสิ” โทมัสหยุดเขาไว้ก่อนเขาจะกระโดดขึ้นต้นไม้
     “อะไรอีกเล่า ก็บอกว่าช่วยไม่ได้ไง"
     “ทำไมถึงช่วยไม่ได้ล่ะ"
     ภูตต้นไม้เงียบไป ดวงตาเหม่อลอยไม่ได้จับจ้องอยู่กับสิ่งใด
     “ลองคิดดูสิ ถ้าเกิดว่ามีอะไรก็ตามที่มีอำนาจควบคุมจิตใจคนอื่นได้ โลกคงวุ่นวายน่าดู"
     “แล้วนายทำไม่ได้เหรอ"
     “ถ้าฉันทำได้ฉันคงไม่ต้องมาเป็นภูตต้นไม้หรอก จริงไหม"
     ความขมขื่นอาบไล้ไปทั่วใบหน้าภูต
     “ให้ตายเถอะ งั้นฉันก็มาเสียเวลาเปล่าสิ"
     “ช่ายย ถ้านายไม่มัวมาตามหาบ่อน้ำแล้วไปขอผู้หญิงคนนั้นแต่งงานป่านนี้เธออาจจะตอบตกลงไปแล้วก็ได้"
     “นายจะมาเข้าใจอะไรล่ะ ยัยนั่นเป็นคนรวยน่ะ ถึงจะเป็นเพื่อนกันมาก่อนก็เถอะ แต่จะให้มาแต่งงานกับพ่อค้าอย่างฉันน่ะ จะเป็นไปได้เหรอ"
     “งั้นเหรอ แต่จากมุมมองของฉัน ฉันคิดว่านายยังมีโอกาสเยอะมากเลยล่ะ"
     ภูตเงียบเสียงลง ดวงตาสีเข้มเหม่อมองไปที่เส้นขอบฟ้า แล้วจู่ๆเขาก็เริ่มพูดอีกครั้ง
     “รู้ไหมว่ามีภูตตนนึงอาศัยอยู่กลางป่า โดดเดี่ยวและไม่เคยมีใครมาสนใจ ภูตตนนั้นนั่งฟังคำอธิษฐานของพวกมนุษย์ทุกวัน ก็ทำได้แค่ฟังนั่นแหละ พวกมนุษย์ก็มาขอพรแล้วก็ไป ไม่เคยมีอะไรมากกว่านั้น จนมีอยู่วันหนึ่งที่มีคนสังเกตเห็นภูตตนนั้น"
     โทมัสนิ่งเงียบ ไม่เข้าใจว่าภูตหนุ่มกำลังพยายามพูดถึงอะไร และไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมสีหน้าเขาถึงได้ดูหงอยเหงาขนาดนั้น
     “เห็นว่าอีกฝ่ายเกือบสอยภูตตนนั้นร่วงลงมาจากต้นไม้เพราะนึกว่าเป็นโจรป่าล่ะ ตลกชะมัด แล้วเหมือนว่าไปๆมาๆพวกนั้นก็ได้คุยกัน เห็นว่าพวกเขาได้เจอกันแทบทุกวันเลยด้วย แต่อยู่มาวันนึงมนุษย์คนนั้นก็หายไป แล้วตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยมีใครเห็นภูตนั่นอีกด้วย รู้ไหม ว่าที่จริงนายไม่ควรจะมองเห็นภูตถ้าภูตไม่เป็นฝ่ายทักนายไปก่อน ส่วนใหญ่ก็ทักเพราะความรำคาญนั่นแหละ แต่มนุษย์คนนั้นน่ะเห็นโดยที่ไม่โดนทักเลย น่าประหลาดเป็นบ้า"
     ใบหน้าบิดเบี้ยวที่เห็นทำให้โทมัสพอจะเดาได้ว่าภูตหนุ่มกำลังพูดถึงตัวเอง
     “แล้ว..ทำไมถึงไม่ออกไปตามหาล่ะ"
     “ทำไม่ได้หรอก พวกเราผูกพันกับผืนป่า ถ้าทิ้งที่นี่ไปก็จะไม่มีอะไรเติบโต"
     ภูตต้นไม้เหยียดยิ้มอย่างขมขื่นก่อนจะคว้ากิ่งไม้ใกล้ๆแล้วเหวี่ยงตัวเองกลับขึ้นไปนั่งบนต้นไม้
     “ที่ฉันจะบอกก็คือ ถ้ามีโอกาสก็ใช้ให้คุ้มเถอะ เพราะไม่รู้ว่าโอกาสนั่นมันจะหายไปเมื่อไหร่ กลับไปได้แล้วไป ฉันจะนอน"
     โทมัสมองแผ่นหลังที่ดูเดียวดายนั่นอยู่สักพัก พอได้ฟังเรื่องเล่าก็ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่ยังมีโอกาสอยู่
     “เอ่อ..ขอบคุณ" 
    เสียงระฆังวิวาห์ปลุกเขาจากนิทรา ภูตหนุ่มมองไปยังทิศที่เป็นที่ตั้งของหมู่บ้าน ริมฝีปากยิ้มออกมาบางเบา
     เห็นไหมล่ะ ไม่เห็นต้องมาขอให้ฉันช่วยสักหน่อย 
    รอยยิ้มเขาหายไปตอนที่ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา ภูตหนุ่มถอนหายใจพลางกวาดดวงตาสีเข้มมองรอบๆ เขาเกือบจะหยุดหายใจตอนที่ร่างของชายหนุ่มปรากฏขึ้นหลังพุ่มไม้
     มินโฮ?
    “นิวท์! ยังอยู่แถวนี้รึเปล่าน่ะ“
    นิวท์ ภูตต้นไม้ไม่ตอบอะไร เขารอดูว่าชายหนุ่มจะยังมองเห็นเขาอยู่รึเปล่า
     ชายหนุ่มชาวตะวันออกหยุดยืนใต้ต้นไม้ใหญ่ ไล่สายตาขึ้นไปเรื่อยๆก่อนจะหยุดอยู่ที่ภูตหนุ่ม ใบหน้าที่ระบายไปด้วยรอยยิ้มเหงาหงอยของภูตทำให้เขาขมวดคิ้ว นิวท์กระโดดลงมาจากกิ่งไม้ลงมายืนตรงหน้าชายหนุ่ม ฝ่ามือของชายหนุ่มนาบลงกับใบหน้าของเขา
     “ยังเหมือนเดิมเลยนี่”
     “..แน่ล่ะ แกนั่นแหละหายไปเลย กลับมาอีกทีก็แก่ขนาดนี้แล้ว"
     “ปลวก เพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่ปีเองน่า"
     “สิบปี"
     “หา?“
     “สิบปีตั้งแต่แกหายไป ถึงได้บอกไงว่าแกแก่น่ะ ก่อนหน้านี้ยังเป็นเด็กน้อยน่ารักแท้ๆ”
     “โว้ย อยากพูดเหมือนคนแก่สั..”
     เสียงมินโฮขาดห้วงตอนที่ถูกดึงเข้าไปในอ้อมแขนของนิวท์ ภูตหนุ่มเกยคางลงกับไหล่ของเขา มือข้างหนึ่งลูบหัวเขาเบาๆอย่างหวงแหน
     “..หายไปไหนมา"
     มินโฮที่กดใบหน้าอยู่กับแผ่นอกของภูตต้นไม้พึมพำออกมาแผ่วเบา
     “…ก็..ไปเอาทะเลมาให้แกไง"
     “หา?“
     มินโฮขมวดคิ้วก่อนจะผลักตัวเองออกจากอ้อมแขนของภูต เขาก้มลงเปิดถุงใบใหญ่ที่เอาติดตัวมาด้วย ในนั้นมีรูปวาดอยู่หลายใบ ภาพที่ถูกแต่งแต้มอยู่บนผืนผ้าเป็นภาพของท้องทะเล จากหลากหลายที่และมุมมอง สิ่งสุดท้ายที่เข้าหยิบออกมาจากถุงคือขวดใบจ้อยที่บรรจุน้ำและทรายสีสะอาดตา
     “อะไรน่ะ?”
     “ทะเลไง"
     นิวท์รับรูปวาดมาแบบมึนงงก่อนจะไล่สายตาไปตามผืนผ้า ทุกรูปดูเหมือนจะมาจากคนละที่กัน
     “ฉัน..เพิ่งกลับจากเดินทางน่ะ เพราะแกบอกว่าไม่เคยเห็นทะเล ฉันก็เลยไปขอทำงานบนเรือ..จะได้ไปวาดรูปหลายๆที่ ในขวดนั่นก็..น้ำทะเลน่ะ จากบ้านเกิดฉัน"
     ภูตต้นไม้เงียบไป ตายังคงจับจ้องไปที่ภาพวาดในมือ
     “นี่..ยังอยู่ดีรึ..โว้ยยย"
     ชายหนุ่มโวยวายเสียงดังตอนที่โดนรวบตัวเข้าไปกอดอีกรอบ คราวนี้แน่นจนเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก
     “..ขอบใจ"
     “รู้แล้วน่า…ปล่อยได้แล้ว"
     “ไม่เอาหรอก เดี๋ยวแกหายไปไหนอีก"
     มินโฮถอนหายใจอย่างยอมแพ้ เขาซบใบหน้าลงบนบ่านิวท์
     “ขอโทษ..แต่ฉันไม่ไปไหนแล้วล่ะ"
     ภูตหนุ่มหัวเราะในลำคอก่อนจะประทับจุมพิตลงบนหน้าผากมน
     “คิดว่าฉันจะให้ไปรึไง"
——————————————————————————————-
2 notes · View notes
rritsu · 9 years
Text
Firestorm (BenRey) [Star wars TFA fan-fiction]
    ดวงตาที่ดุดันคู่นั้น รวมถึงผมสีเข้มดูคุ้นตาอย่างหน้าประตา คนตรงหน้าต้องเป็นเศษเสี้ยวหนึ่งในความทรงจำที่พร่าเลือนของเขา ความทรงจำก่อนที่เขาจะไคโล เร็น
     เจ้าของดวงตาคู่นั้น เรย์ ประคองเซเบอร์ของลุคไว้ในมือ ท่าทางเธอตื่นตระหนกไม่ต่างไปจากเขา ใบหน้าเรย์ดูลังเลเล็กน้อยตอนที่นิ้วเล็กเรียวเปิดการทำงานของไลท์เซเบอร์ แสงสีน้ำเงินทะยานพาดผ่านอากาศหนาวเหน็บ แสงสีน้ำเงินอาบไล้ไปทั่วใบหน้าเด็กสาว ตอนนั้นเองที่กำแพงกักเก็บความทรงจำของเขาพังทลายลง 
    เธอนั่นเอง 
    ภาพที่ถูกลืมเลือนค่อยๆประดังเข้ามาในสมอง เขารู้จักเธอ นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เห็นหน้าเด็กสาวคนนี้ เขาไม่คิดว่าจะได้พบเธออีกด้วยซ้ำ พวกเขาไม่ควรได้พบกันอีก
     ความจริงที่เพิ่งได้รับรู้ทำให้เขาไม่มีสมาธิประดาบกับเธอสักเท่าไหร่ เขาทำได้แค่ปัดดาบที่เธอฟาดลงมาด้วยแรงโทสะ เบนเหวี่ยงดาบใส่เธออย่างไม่ตั้งใจนัก เขาทำร้ายเธอไม่ได้ 
    "เบน..ทำแบบนี้ทำไมกัน"
     เด็กหนุ่มไม่ตอบ ปากเขาเม้มสนิทจนเป็นเส้นตรง เบนปิดการทำงานของเซเบอร์ในมือซ้ายก่อนจะโยนมันส่งคืนให้เจ้าของ ลุคปล่อยให้มันตกลงกับพื้น เบนขมวดคิ้วก่อนจะโยนอีกอันที่พังในมือขวาทิ้งไป
     "ท่านต้องหนีไป ถ้าไม่รีบไปสโนคคงไม่ปล่อยให้ท่านรอดไปแน่"
     "เบน เธอทำแบบนี้ทำไม"
     ลุคถามย้ำ เจไดหนุ่มยังคงไม่ตอบ เขามองไปรอบๆ เลือดสีเข้มสะท้อนกับแสงไฟลุกโหมไหม้วิจารเจได เลือดของเหล่าเจไดฝึกหัดที่เขาฆ่าด้วยมือของตัวเอง รอยยิ้มบิดเบี้ยวและน้ำตาปรากฏบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม
     "ผมไม่มีทางเลือกอีกแล้ว"
     เด็กหนุ่มหันกลับไปช้อนตัวเด็กหญิงนอนนิ่งอยู่กับพื้นเย็นเยียบ ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอทำให้เบนรู้สึกโล่งใจ เธอยังปลอดภัยดี
     "เดี๋ยว! เธอพาเรย์ไปด้วยไม่ได้นะ"
     ลุคพยายามรั้งเขาไว้ แต่เขาบาดเจ็บเกินกว่าจะขยับไปไหนได้ไกล อาร์ทูดีทูที่เพิ่งหลุดการจากควบคุมด้วยพลังของเบนรีบวิ่งมาประคองเขา เจ้าหุ่นส่งเสียงอย่างเป็นห่วง ลุคมองแผ่นหลังของหลานชายหายไปบนยานลำเล็กลำหนึ่ง เสียงเครื่องยนต์คำรามแข่งกับเสียงพายุที่พัดโหมให้ไฟลุกโชนลามเลียไปทั่ววิหาร
     ยานค่อยๆพุ่งผ่านชั้นบรรยากาศไปจนหายลับไปท่ามกลางความมืด ลุคทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นอย่างสิ้นหวัง เขาทาบมือกลกับอาร์ทูดีทู ดรอยด์ส่งเสียงปลอบเขา ลุคถอนหายใจ
     "อาร์ทู..ติดต่อเลอาให้ฉันที"
      เด็กหญิงลืมตาตื่นตอนที่รู้สึกได้ถึงสายลมแห้งที่พัดพาเอาทรายมาด้วย เธอมองไปรอบๆอย่างตระหนก ที่นี่ไม่ใช่วิหารเจได ไม่มีอะไรเลยนอกจากผืนทรายกว้างสุดลูกหูลูกตาและท้องฟ้าใสไร้เมฆ
     "เรย์..เรย์..ใจเย็นๆ ไม่มีอะไรหรอก ปลอดภัยแล้ว"
     "เบน?"
     เด็กหญิงเบิกตากว้าง เธอพยายามดิ้นให้พ้นจากอ้อมแขนของเขา เธอเห็นทุกอย่าง เห็นเขาพาคนแปลกหน้าเข้ามา เสียงกรีดร้องของเพื่อนเด็กฝึกหัดยังก้องอยู่ในหัว เธอเห็นเขาท่ามกลางแสงจากเปลวเพลิงและกลิ่นคาวคละคลุ้งของเลือด
     เธอหลุดจากพันธนาการของเขา เบนมองแววตาหวาดกลัวของเธออย่างเจ็บปวด แต่เขาคงทำอะไรไปไม่ได้มากไปกว่านี้ เรื่องที่เขาทำผิดบาปเกินกว่าจะให้อภัยได้
     "ท..ทำไมล่ะ ทำไมถึงฆ่าทุกคน"
     "เรย์.."
     "ถอยออกไปนะ!"
     มือเขาหยุดก่อนที่จะเอื้อมไปถึงเธอ เบนนิ่วหน้า
     "เรย์ ฟังฉันนะ แค่ฟัง ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น"
     เขาหยุด รอดูท่าทีของเธอ เด็กหญิงยังดูหวาดระแวง แต่ก็ไม่ได้ขยับตัวออกห่างเขามากไปกว่านี้
     "ฆ่าทุกคนทำไม.."
     เบนลังเล และได้ข้อสรุปว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องปิดบัง
     "ฉันไม่มีทางเลือก ถ้าฉันไม่ลงมือเอง..เขาจะฆ่าทุกคน"
     "แต่นายฆ่าทุกคน..ฆ่าอาจารย์.."
     "ลุคยังไม่ตาย เรย์ ถ้าเขาหนีไปล่ะก็"
     "แล้วทำไมถึง.."
     เรย์หยุดพูดตอนที่ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆดังขึ้นหลังพวกเขา เบนขยับตัวมาขวางหน้าเธอกับอะไรก็ตามที่กำลังเดินมาทางนี้
     ร่างใหญ่ยักษ์ของชนพื้นเมืองของดาวนี่ปรากฏขึ้น รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าบ่งบอกถึงอายุของเขา เขาดูหงุดหงิดนิดหน่อยตอนที่เห็นเบน อันคาร์ พลัทท์เริ่มบทสนทนา
     "เจ้ารึเปล่าที่เรียกข้าออกมา"
     "ใช่ ข้ามีเรื่องอยากให้ท่านช่วย"
     พลัทท์หรี่ตา มองเขาอย่างไม่ค่อยเชื่อถือสักเท่าไหร่
     "ข้าอาจจะช่วยถ้ามีสิ่งแลกเปลี่ยน ไอ้หนู"
     เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว เขาหันกลับไปเผชิญหน้ากับเรย์ แววตาหวาดกลัวของเธอทำให้เขาปวดใจ เบนจ้องหน้าเธอเงียบๆ ครุ่นคิดอยู่นาน เรย์เป็นเหมือนน้องสาวของเขา เขาให้เธอเสี่ยงไม่ได้จึงพาเธอมาที่นี่ แจ็กคู เศษซากจากสงครามที่ไม่มีใครเหลียวแล ดวงดาวที่ถูกหลงลืม เธอจะปลอดภัยจากเรื่องเลวร้ายอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ เขาพูดตอบพลัทท์โดยไม่หันกลับไปมอง
     "ข้าอยากให้นางอยู่ภายใต้การดูแลของท่าน"
     "อะไรนะ!?" เรย์เผลอโวยวายเสียงดัง เบนพูดต่อ พยายามเมินใบหน้าโกรธเคืองของเด็กหญิง
     "ท่านอาจจะให้นางทำงานเป็นการแลกเปลี่ยน"
     พลัทท์ลูบนิ้วมือกับคางหนาๆของเขา แววตาเจ้าเล่ห์ของเขาบ่งบอกคำตอบได้ดีทีเดียว
     "ตกลง"
     เบนเอื้อมมือไปลูบหัวเด็กหญิง เธอปัดมือนั้นออก ใบหน้าแดงก่ำเพราะโทสะ
     "หมายความว่ายังไง! นายขายฉันเหรอ"
     "เธอจะปลอดภัยที่นี่ เรย์" เบนกระซิบ เขาไม่อยากให้พลัทท์ได้ยินบทสนทนานี้ แต่ดูเหมือนเรย์จะควบคุมอารมณ์ไม่ได้แล้ว
     "ปลอดภัยจากอะไร!? นายเหรอ"
     "..ก็เป็นได้"
     ใบหน้าเจ็บปวดของเด็กหนุ่มทำให้เรย์ชะงัก
     "เดี๋ยวนะ แล้วนายล่ะ นายจะไปไหน"
     เบนเงียบไปพักใหญ่ เนิ่นนานจนเด็กหญิงรู้สึกหวาดกลัว
     "ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้ เรย์"
     เด็กหนุ่มฝืนส่งยิ้มให้เรย์ก่อนจะแตะปลายนิ้วลงบนหน้าผากของเธอ เรย์รู้สึกได้ถึงพลังที่ค่อยๆแผ่เข้ามา เรื่องราวที่วิหารเจไดเริ่มพร่ามัว ใบหน้าของเหล่าสหาย อาจารย์หรือแม้แต่คนที่อยู่ตรงหน้า น้ำตาเธอไหลอาบแก้มตอนที่กระพริบตา
     แล้วทุกอย่างก็หายวับไป เด็กหญิงปาดน้ำตาที่ไหลออกมา เธอดูมึนงง เรย์เอียงคออย่างสงสัยเมื่อเงยหน้ามาพบกับเด็กหนุ่ม เบนคลี่ยิ้มให้เธอก่อนจะลูบหัวเบาๆ
     เรย์ตกใจตอนที่ถูกยกตัวสูงขึ้นจากพื้น มือเล็กๆเกาะปกเสื้อเปื้อนเขม่าควันของเบน เด็กหนุ่มโอบเธอไว้ในอ้อมแขนพักหนึ่ง ก่อนจะพาเธอไปหาพลัทท์ เด็กหญิงที่ยังมึนงงยังคงกำปกเสื้อเขาไว้แน่นแม้เขาจะคลายอ้อมแขนปล่อยให้เธอยืนเองแล้ว เบนมองเธออย่างลำบากใจ เขากุมมือเล็กๆของเรย์ไว้พักหนึ่งก่อนจะตัดใจลุกขึ้นและหันหลังออกเดินไป
     เรย์มองแผ่นหลังของเบนที่เริ่มทิ้งระยะห่างออกไปเรื่อยๆ เธอยังคงมึนงง แต่บางอย่างก็ร้องบอกเธอว่าเธอรู้จักเขา แม้จะนึกไม่ออกก็ตาม แขนของเด็กหญิงถูกรั้งไว้ตอนที่เธอกำลังจะก้าวเดินตามเขาออกไป พลัทท์ดึงเธอไว้
     "เธอต้องอยู่ที่นี่ แม่หนู"
     "ไม่เอานะ เดี๋ยวสิ อย่าเพิ่งไป!"
     เบนชะงักตอนที่ได้ยินเสียงเธอเรียก แต่เขาหันหลังกลับไม่ได้แล้ว เขาสาวเท้าให้เร็วขึ้นจนกระทั่งขึ้นไปถึงยาน เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงบนที่นั่งคนขับอย่างอ่อนแรง
     เบนฟาดกำปั้นลงกับแผงควบคุม สมเพชในความอ่อนแอของตัวเอง เสียงของเรย์ยังดังเข้ามาตอนที่มือสั่นเทาบังคับให้ยานลอยตัวสูงขึ้นจากพื้นทราย
     "อย่าไปเลยนะ..กลับมาเถอะ"
     เรย์พูดแบบนั้น ซ้ำไปซ้ำมา จนยานนั้นหายลับไป 
    เบนหลุดออกจากภวังค์ตอนที่เซเบอร์สีน้ำเงินตวัดผ่านใบหน้าเขา รอยแผลแสบร้อนกับกลิ่นโลหะเหม็นไหม้ทำให้เขารู้สึกวิงเวียน เรย์และเขาซวนเซตอนที่ได้ยินเสียงบางอย่างระเบิดมาจากอีกฝั่งของสตาร์คิลเลอร์ แรงสั่นสะเทือนแล่นไปตามพื้นหิมะพร้อมกับรอยแยกที่เริ่มขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆราวกับปากของสัตว์ประหลาดที่กำลังจะกลืนกินเหยื่อ
     รอยแยกพาดกั้นกลางระหว่างพวกเขา เบนทุบแผลที่สีข้างเรียกอะดรีนาลีน ร่างสูงพุ่งตัวข้ามผ่านรอยแยกก่อนจะคว้าแขนเด็กสาวที่ซวนเซจนเกือบจะตกลงไปในรอยแยก เหวี่ยงเธอออกห่างจากขอบของรอยแยก กล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานหนักเกินไปเจ็บแสบจนเขาไม่อาจจะทนต่อได้ เบนทิ้งตัวลงนอนกับพื้นหิมะอย่างอ่อนแรง
     เรย์ที่นั่งหอบหายใจอยู่มองเขาอย่างไม่วางใจ มือเธอยังคงไม่ปล่อยจากเซเบอร์ แต่พอเห็นว่าไคโล เร็นดูเหมือนว่าจะไม่พยายามลุกขึ้นมาอีกเธอจึงตัดสินใจปิดเซเบอร์ แสงสีน้ำเงินที่หายไปได้พาความอบอุ่นไปด้วย เด็กสาวพาตัวเองไปหลบลมอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ แขนบางกอดตัวเองเพื่อไม่ให้หนาวไปมากกว่านี้ เธอเหลือบตามองร่างชุ่มเลือดของชายหนุ่ม ลมหายใจแผ่วเบาจับกับอากาศหนาวจนกลายเป็นไอ หน้าเขาดูซีดลงเรื่อยๆเพราะขาดเลือด เรย์ขมวดคิ้วตอนที่พลังสัมผัสได้ถึงการมาของคนกลุ่มหนึ่ง น่าจะเจ็ดถึงแปดคนและอยู่ห่างออกไปประมาณสามไมล์
     เบนเบิกตากว้าง เขาก็รู้สึกได้ถึงคนกลุ่มนี้เหมือนกัน พวกปฐมภาคีกำลังมาที่นี่ และนอกจากปฐมภาคีแล้วเขายังจับความรู้สึกได้ที่อีกด้านของสตาร์คิลเลอร์ บางอย่างกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ บางอย่างหรือบางคนที่เขาเคยรู้จัก
     ชิวบัคคา?
    ชายหนุ่มค่อยๆพลิกตัวก่อนจะยันตัวเองให้ยืนขึ้น เขากัดฟันลากขาเดินตรงไปหาเรย์ เธอพยายามขยับตัวหนีแต่ความหนาวทำให้ร่างกายไม่ทำตามที่สมองสั่งการสักเท่าไหร่ เด็กสาวควานหาไลท์เซเบอร์ แสงสีน้ำเงินอาบไล้ใบหน้าเธออีกครั้ง
     “ถอยไป"
     “ทำไมไม่เคย..ยอมให้ฉันช่วยเธอง่ายๆเลย"
     เบนหอบหายใจ ปอดแสบร้อนเหมือนถูกเผาไหม้ ชายหนุ่มนิ่วหน้าเมื่อลมหนาวพัดมากระทบแผลบนใบหน้า
     “พูดอะไรของ.."
     เสียงเรย์ขาดห้วง เบนใช้พลังหยุดการเคลื่อนไหวของเธอ เขาโบกมือครั้งหนึ่ง เซเบอร์หลุดออกจากมือของเด็กสาว เบนโบกมืออีกครั้งหนึ่งก่อนที่ร่างของเรย์จะล้มลงเหมือนหุ่นชักที่ถูกตัดเชือกออก ชายหนุ่มใช้แรงที่มีเหลืออยู่น้อยเต็มทีช้อนตัวเธอขึ้นและวางเธอข้างร่างไร้สติของฟินน์
     “ฉัน..ให้พวกนั้นเจอเธอไม่ได้"
     เบนไล้หลังมือกับใบหน้าเด็กสาว เขาปลดผ้าคลุมสีเข้มออกคลุมให้เธอ ก่อนจะเริ่มพาร่างบาดเจ็บจวนเจียนจะเดินไม่ไหวไปให้ไกลจากที่ที่เธออยู่ที่สุด อีกครั้งที่เขาต้องหันหลังให้เธอ 
    เรย์สะดุ้งตื่นตอนที่ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของมิลเลนเนียมฟอลคอนคำราม เสียงชิวบัคคาดังขึ้นขณะที่เธอพยายามยันตัวขึ้นนั่ง เรย์ส่งเสียงตอบเพื่อให้เขารู้ว่าเธอไม่เป็นไร เด็กสาวมองไปรอบๆ ใจกระตุกวูบตอนที่หันไปเห็นร่างไร้สติของฟินน์ เธอทรุดตัวลงนั่งข้างเขา ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เขายังหายใจอยู่
     เด็กสาวล้มตัวลงกับพื้นเย็นเฉียบอีกครั้ง รู้สึกได้ถึงบางอย่างผิ��ปกติ เธอลองยกขาดูและพบว่าไม่มีอะไรแปลกไป พอลองยกแขนดูก็พบสิ่งปกติที่ว่า ผ้าคลุมสีดำคลุมไหล่เธออยู่ ผ้าคลุมของไคโล เรน เด็กสาวเลิกคิ้วสูง
     อะไรกัน นี่มันไม่มีเหตุผลเลย
    เธอสะกดความอยากจะปามันทิ้งไว้ พยายามหาเหตุผลของเรื่องที่เกิดขึ้น เสียงของเขาดังในสมองเธอ
     ‘ทำไมไม่เคย..ยอมให้ฉันช่วยเธอง่ายๆเลย'
    ไม่เคยยอมให้ช่วยง่ายๆ? แปลว่าเขาเคยช่วยเธอมาก่อนงั้นหรือ พวกเขาเคยรู้จักกันหรือ
     เด็กสาวค้นหาในความรู้สึก ความคิด และความทรงจำของเธอ เธอแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย มีบางอย่างปิดกั้นมันไว้เหมือนหมอกหนาที่บดบังจนไม่อาจจะมองเห็นอะไรได้ชัด
     เรย์สูดหายใจเข้าออกอยู่หลายครั้ง ตั้งสมาธิควบคุมพลังเหมือนตอนที่เธอหาวิธีตอบโต้ไคโล เร็น เธอหลับตาลง ค้นหาความทรงจำที่เบื้องหลังหมอกหนา เด็กสาวพยายามทำลายกำแพงที่ขวางกั้นความทรงจำของเธอ จนในที่สุดหมอกทึบนั่นก็จางหายไป
     ‘ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้ เรย์'
    น้ำตาเธอไหลออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ตาของเด็กสาวเบิกกว้าง
     “เบน?"
     ความทรงจำทุกอย่างหลั่งไหลกลับเข้ามาในคราวเดียว ยิ่งจำเรื่องในอดีตได้มากเท่าไหร่น้ำตาของเธอก็ยิ่งไหลออกมา มือเล็กสั่นเทาของเด็กสาวกำชายผ้าคลุมไว้แน่น เรย์ซุกหน้าลงกับผ้าคลุมสีเข้ม สะอื้นจนไหล่สะท้าน
     นานแค่ไหนแล้วที่ไม่มีใครเขาใจเหตุผลของสิ่งที่เขาทำไป นานแค่ไหนแล้วเขาต้องอยู่คนเดียวท่ามกลางความมืด
     เรื่องที่เขาทำเป็นเรื่องผิดใหญ่หลวงที่ไม่ควรได้รับการให้อภัยจริง แต่เธอไม่อาจรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาก่อนหน้านั้น เบนไม่เคยพูดหรือแสดงออกอะไรเลย แต่เธอสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของเขา ก่อนจะถึงวันที่เกิดการโจมตีที่วิหารเจได บางอย่างบีบบังคับเขาให้เข้าสู่ด้านมืด ใครบางคนที่เขาไม่อาจต่อต้าน
     เด็กสาวลองค้นหาเบนในกระแสพลัง เธอหาเขาจนพบ แม้จะเบาบางแต่เธอก็รู้สึกถึงเขา รู้สึกถึงเบน โซโล ไม่ใช่ไคโล เร็น
     “ทำไม..ทำไมถึงหนีไปคนเดียวอีก เบน"
-------------------------------------------------------------------------------------------
0 notes
rritsu · 9 years
Text
Mirkwood, The another story (Special chapter) [The hobbit fan-fiction]
- National hug day special -
    “ท..ท่าน..พ่อ"
     เสียงเล็กใสของเจ้าชายน้อยดังขึ้นจากข้างโต๊ะทำงานของกษัตริย์ ธรันดูอิลหยุดมือจากกองเอกสารก่อนจะเอี้ยวตัวลงมา เลโกลัสในชุดเสื้อคลุมตัวหนามองมาที่เขา แก้มขึ้นสีระเรื่อเพราะลมหนาว แขนเล็กๆของเด็กน้อยโอบอุ้มผ้าห่มขนสัตว์สีเข้มผืนหนา เลโกลัสส่งมันให้กับบิดา
     “ท่านพ่อ..หนาว"
     “เจ้าเอาผ้าห่มมาให้ข้าเหรอ"
     เลโกลัสพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ วางผ้าห่มลงบนตักของกษัตริย์เอล์ฟ ธรันดูอิลมองดูบุตรชายด้วยความเอ็นดู ถึงความเอ็นดูนั้นจะไม่แสดงออกทางสีหน้ามากก็ตาม เจ้าชายน้อยดูจะหวาดเกรงต่อใบหน้าที่ดูเฉยชาของบิดา เลโกลัสในวัยเจ็ดขวบใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับมารดา ทำให้ไม่คุ้นเคยกับสีหน้าและท่าทางที่เคร่งขรึมของบิดา
     มือของเด็กน้อยสั่นเพราะความหนาวตอนที่วางผ้าห่มลงบนตัก กษัตริย์เอล์ฟเลิกคิ้วน้อยๆก่อนจะกางผ้าห่มคลุมไหล่ มือเรียวยื่นมาหาเด็กน้อย
     “มานี่สิเลโกลัส"
     เจ้าชายน้อยขมวดคิ้วอย่างลังเล
      ท่านพ่อ..จะดุ..เหรอ
    ดวงตาสีฟ้าซีดมองบุตรชายที่ยืนขมวดคิ้วจนชนกันอย่างขบขัน กษัตริย์เอล์ฟช้อนตัวบุตรชายขึ้นนั่งบนตัก เลโกลัสเหลียวกลับไปมองบิดาอย่างมึนงง ธรันดูอิลคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะดึงผ้าที่คลุมไหล่อยู่ลงมาคลุมตัวบุตรชายด้วย เจ้าชายน้อยเอียงคอ
     “..ท่านพ่อ?"
     “อุ่นขึ้นรึเปล่า"
     เลโกลัสเอียงคอไปอีกด้าน พยายามทำความเข้าใจคำถาม ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างดีใจ
     “อุ่น..ท่านพ่อ..ใจดี"
     ธรันดูอิลเลิกคิ้ว เด็กคนนี้คิดว่าเขาดุหรืออย่างไรกัน
     เจ้าชายเอล์ฟเข้าสู่ห้วงนิทราหลังจากนั้นไม่นาน ธรันดูอิลดึงผ้าห่มคลุมร่างเล็กๆ โอบเจ้าตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน มือเรียวลูบเรือนผมสีทองอย่างทะนุถนอม ราชินีที่เพิ่งเดินผ่านประตูเข้ามายิ้มอย่างอดไม่ได้
     “นับว่าเป็นภาพที่หาดูได้ยาก ฝ่าบาท"
     “เจ้าไปพูดอะไรรึเปล่าลูกถึงคิดว่าข้าดุ"
     “ข้าคิดว่าเป็นเพราะสีหน้าของท่านมากกว่า"
     นางหัวเราะออกมาเบาๆ ตอนที่กษัตริย์เอล์ฟขมวดคิ้วเพราะปลายนิ้วเย็นเฉียบของนางที่แตะลงที่กลางหน้าผาก
     “มาเถอะ ข้าดูเลโกลัสให้เอง"
     นางรับบุตรชายมาไว้ในอ้อมแขน ราชินียกมือปรามเมื่อเห็นว่ากษัตริย์เอล์ฟลุกขึ้นและกำลังจะดึงผ้าห่มที่คลุมไหล่ออกมาคลุมให้นางแทน
     “ท่านห่มไว้เถอะ เลโกลัสตั้งใจเอามาท่านให้เชียวนะ ข้าไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็ถึงห้องอุ่นๆแล้ว"
     นางซุกใบหน้าลงกับแผ่นอกของกษัตริย์เอล์ฟที่ตอนนี้โอบนางและบุตรชายไว้ในอ้อมแขน ธรันดูอิลวางคางเกยบนเรือนบ่าผอมบางของภรรยา
     “ข้าหวังว่าวันนึงจะได้มีเวลาอยู่กับพวกเจ้าบ้าง"
     “ข้าก็หวังเช่นนั้น"
     กษัตริย์เอล์ฟกระชับอ้อมแขน กอดภรรยาและบุตรชายไว้แน่น ธรันดูอิลจุมพิตที่หน้าผากมนของภรรยา ก่อนจะก้มลงจุมพิตเรือนผมสีทองของบุตรชายตัวน้อย
     “ข้าจะพยายามเพื่อให้มีวันนั้น"
-------------------------------------------------------------------------------------------
3 notes · View notes
rritsu · 9 years
Text
Rearrangement 2 [TMR Short-fic]
Part 1
[Part 2]
    จากเหตุการณ์กลุ่มเด็กถล่มชั้นหนังสือครั้งนั้นมินโฮก็ตัดสินใจบอกเรื่องนี้ให้อัลบี้ฟัง อัลบี้อึกอักเกาหลังคอก่อนจะเริ่มพูด
     “อ๋อ เด็กพวกนั้นเหรอ หลานฉันกับเพื่อนๆที่เพิ่งมาจากต่างเมืองน่ะ ฉันยุ่งๆก็เลยไม่ได้บอกแก ส่วนใหญ่พวกนั้นจะเล่นอยู่ที่โรงเรียนถึงมืดเลย จะมาเวลาที่นี่ใกล้ปิดแหละ โทษทีที่ลืมบอก"
     “หา? อาทิตย์ก่อนแกด่าฉันตั้งกี่รอบ ทั้งๆที่มันไม่ใช่ความผิดฉันเนี่ยนะ ไอ้หน้าปลวก"
     “เดี๋ยวสิ อย่างน้อยฉันก็เป็นหัวหน้าแกนะไอ้ตี่ สุภาพหน่อย"
     บรรณารักษ์หนุ่มชาวเอเชียยังคงโต้เถียงกับหัวหน้าบรรณารักษ์อีกสักพัก จนสุดท้ายก็จบลงที่อัลบี้จะไปอบรมพวกเด็กๆให้ มินโฮถอนหายใจอย่างเอือมๆระหว่างที่กำลังเปิดลังพัสดุเพื่อตรวจดูหนังสือใหม่ที่ถูกส่งเข้ามา
     เมื่อมีหนังสือเข้ามาใหม่หน้าที่ของเขาคือลงทะเบียนหนังสือทุกเล่มเข้าระบบของห้องสมุด มินโฮเปิดหนังสือผ่านๆก่อนจะใส่ข้อมูลหนังสือลงในคอมพิวเตอร์ นานอยู่เหมือนกันกว่าที่เขาจะรู้สึกว่าโดนมองอยู่ พอหันไปก็เจอกับเด็กชายผมบลอนด์หลบอยู่หลังชั้นหนังสือใกล้ๆเคาน์เตอร์ที่เขานั่งทำงานอยู่ ดูเหมือนเด็กชายจะกำลังจ้องหนังสือใหม่ที่วางกองอยู่
     “นี่..อยากอ่านเหรอ หยิบไปอ่านก็ได้นะ กองนั้นฉันใส่ข้อมูลเสร็จแล้ว"
     เขาดูตื่นตกใจนิดหน่อยที่มินโฮหันมาพูดด้วย เด็กชายวิ่งมาหยิบหนังสือเล่มบนสุดไป มองอย่างตื่นเต้นก่อนจะวิ่งหายไปหลังชั้นหนังสือ มินโฮเลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนจะกลับไปจัดการกับกองหนังสือต่อ 
    เด็กชายปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งหลังจากผ่านไปราวๆครึ่งชั่วโมง แขนบางกอดหนังสือเล่มหนาไว้ หลบอยู่หลังชั้นหนังสือเหมือนเดิม และเหมือนครั้งที่แล้วคือจ้องหนังสือบนเคาน์เตอร์
     “เอ่อ..มานั่งอ่านหลังเคาน์เตอร์ก็ได้นะ จะได้ไม่ต้องเดินไปเดินมา"
     แววลังเลฉายบนใบหน้าเด็กชาย แต่สุดท้ายความอยากรู้อยากเห็นแบบเด็กๆก็ทำให้เด็กชายเดินมาคว้าหนังสือไปก่อนจะมุดที่กั้นเข้ามานั่งหลังเคาน์เตอร์
     “ขอบคุณฮะ"
     “เธอเป็นหลานอัลบี้เหรอ"
     “เปล่าฮะ ฟรายแพนต่างหาก"
     “แล้วเธอชื่ออะไรล่ะ"
     “..นิวท์"
     เด็กชายตอบก่อนจะก้มลงเปิดหนังสือและเริ่มอ่านอย่างตั้งใจ มินโฮเลิกคิ้วอย่างทึ่งๆ ปกติเด็กวัยนี้จะไม่ชอบอ่านหนังสือสักเท่าไหร่ ยิ่งเป็นหนังสือหนาๆแบบที่นิวท์ถืออยู่ตอนนี้แทบจะไม่เคยมีเด็กเหลียวแลด้วยซ้ำ
     นิวท์ยังหยิบหนังสืออีกหลายเล่มจากบนเคาน์เตอร์ นั่งอ่านอยู่ตรงนั้นไม่ยอมลุกไปไหน จนใกล้ถึงเวลาปิดมินโฮต้องมาไล่ให้เด็กชายกลับบ้าน
     “กลับบ้านได้แล้ว ที่นี่จะปิดแล้ว เดี๋ยวฉันต้องเก็บหนังสือขึ้นชั้นอีก"
     “..."
     มินโฮถึงกับทำอะไรไม่ถูกเมื่อเด็กชายมองอย่างเศร้าๆ นิวท์มองหน้ามินโฮ ก้มลงมองหน้าสือ ก่อนจะเงยหน้ามาสบตากับมินโฮอีกรอบ มินโฮถอนหายใจให้กับความใจอ่อนของตัวเอง
     “ก็ได้ๆ อีกสิบนาทีนะ"
     มินโฮว่าก่อนจะเริ่มยกกองหนังสือเรียงบนรถเข็น ทั้งหนังสือใหม่ หนังสือที่เพิ่งมีคนเอามาคืนถูกเรียงตามหมวดและตัวอักษรจนเต็มคันรถ เขาเข็นรถใส่หนังสือไปตามทางเดิน เสียงล้อลั่นดังเอี๊ยดอ๊าดเพราะถูกใช้มาเป็นเวลานาน ตาเรียวค่อยๆไล่ไปตามสันหนังสือบนชั้นก่อนจะใส่เล่มที่มีลำดับเรียงกันเข้าไป
     ผ่านไปได้เกือบสิบนาทีตอนที่นิวท์เดินมาที่รถเข็น มือเล็กๆหยิบหนังสือขึ้นมาสองสามเล่ม
     “หนังสือเก็บยังไงเหรอ"
     “เอ๊ะ แค่เรียงตามตัวอักษรกับตัวเลขน่ะ วางไว้นั่นแหละ กลับบ้านไป ไป๊"
     “แต่..ตอนนี้พี่สาวผมยังไม่กลับบ้านเลย"
     “โอ๊ย ก็ได้ เลิกทำหน้าแบบนั้นนะไอ้ปลวกตัวอ่อน"
     นิวท์หัวเราะอย่างดีใจก่อนจะหอบกองหนังสือไปเก็บตามชั้น มินโฮยิ้มพลางส่ายหัวให้กับท่าทางไร้เดียงสาของเด็กชายก่อนจะกลับไปทำงานของตัวเอง
      “นี่กลับเองได้ใช่ไหมน่ะ มืดแล้วนะ"
     มินโฮขมวดคิ้วมองเด็กชายที่กำลังสะพายกระเป๋าเป้
     “บ้านผมอยู่ใกล้ๆนี่เองฮะ เดินไปนิดเดียวก็ถึงแล้ว"
     “งั้นกลับดีๆล่ะ ฉันไปล่ะ"
     บรรณารักษ์หนุ่มว่าพลางเดินไปเข็นจักรยานที่จอดไว้ด้านหลังห้องสมุด ก่อนจะได้ปั่นออกไปเสียงของเด็กชายก็หยุดเขาไว้ก่อน
     “คุณชื่ออะไรฮะ"
     “..มินโฮ"
     มินโฮว่าก่อนจะเริ่มปั่นจักรยานออกไป สังหรณ์ใจแปลกๆว่าต่อไปคงมีเรื่องวุ่นไม่เว้นแต่ละวันแน่ๆ
-------------------------------------------------------------------------------------------
1 note · View note
rritsu · 9 years
Text
Dim Light [Star Wars VII fanfiction]
Tumblr media
!!! SPOIL ALERT !!!
แฟนฟิคนี้มีเนื้อหาบางส่วนเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง Star wars : The force awakens นะคะ ถ้ายังไม่ได้ดูแนะนำว่าอย่าเพิ่งอ่าน เพราะว่าฟิคนี่สปอยล์ระดับแปดล้านเลยค่ะ
.
.
.
.
.
.
.
Dim Light
    เขากลัว
    เป็นจริงอย่างที่เรย์พูด เขากลัวจะเป็นแบบตาของเขา ดาร์ธ เวเดอร์ไม่ได้ กลัวเมื่อรู้สึกว่ายังตัวเองไม่แข็งแกร่งพอ เมื่อสัมผัสได้ถึงแสงสว่างอีกครั้ง
    มือเขาสั่นเทาไปหมดตอนที่ได้พบฮาน โซโล ผู้ยื่นมือให้เขาอย่างไม่เกรงกลัวทั้งๆที่กำลังถูกไล่ล่า บิดาผู้ไม่ได้พบหน้ามาหลายปี ฮานเรียกชื่อเขา ชื่อที่ถูกหลงลืมไปนานแล้ว
    “ถอดหน้ากากเถอะ ลูกไม่จำเป็นต้องใช้มัน"
    “ท่านคิดว่าจะได้เห็นอะไรใต้หน้ากากนี่"
    “..ลูกชายของข้า"
        ไคโล เร็นปลดหน้ากากออกถือไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ความรู้สึกต่างๆนานาท่วมท้นอยู่ในอกเขาตอนที่พ่อเดินขยับเข้ามาใกล้ เขาอยากเก่งกาจให้ได้แบบที่ดาร์ธ เวเดอร์เคยเป็น ไคโลจึงละทิ้งทุกอย่าง ทั้งครอบครัว ตัวตน หันหลังให้แสงสว่างและเข้าร่วมกับปฐมภาคี แม้มันเขาแข็งแกร่งขึ้นมาก แต่นอกเหนือจากนั้นก็เป็นเพียงความว่างเปล่า เขาอ้างว้างเดียวดายอยู่ในความมืดมิด
     ไคโลอยากเชื่อที่ฮานบอกว่าเขาถูกหลอกใช้ เขาจะได้กลับบ้านไปหาครอบครัว ที่ที่เคยมีความสุข แต่สำหรับเขาเรื่องนั้นดูเหมือนฝันเกินไป ไคโลทำสิ่งเลวร้ายไว้มากเกินจะได้รับการให้อภัย ถ้าชายหนุ่มตัดสินใจกลับไปครอบครัวเขาจะเป็นภัย เขายังมีพลังไม่พอ เขาต้องการพลังมากกว่านี้ และเพื่อการนั้นก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน
     “ท่านจะช่วยให้ข้าแข็งแกร่งไหม"
    “ได้สิ พ่อจะช่วย..ทุกๆทางที่ทำได้"
     ฮานว่าพลางกระชับมือ ความอบอุ่นที่เขาโหยหาแผ่ซ่านไปทั่วแขนจนเหมือนหัวใจก็ได้รับรู้ถึงความอบอุ่นนั้น เขาคิดถึงครอบครัวเหลือเกิน
     ความมืดจากการที่ดวงอาทิตย์ดับแสงไปดึงเขากลับมา ไม่ว่ายังไงเขาต้องทำให้สโนคมั่นใจว่าเขาจะไม่ไขว้เขวต่อใครหรืออะไรทั้งนั้น แม้จะเป็นบิดาก็ตาม ไคโลดึงฮานเข้ามาใกล้ก่อนจะกดปล่อยให้ลำแสงวิ่งพาดผ่านตัวบิดา ไคโลกอดบิดาไว้แน่นเป็นครั้งสุดท้าย
     “ขอบคุณ"
    ข้าขอโทษ แต่ข้ากลับไปไม่ได้อีกแล้ว
    เรย์วิ่งตามหลังฟินอยู่ พวกเขาพากันวิ่งออกไปหลังจากเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด การตายของฮานทำให้บางอย่างในตัวเธอตื่นขึ้นอย่างช้าๆ เธอสัมผัสมันได้ตั้งแต่ถูกจับตัวไว้ เหมือนเสียงเรียกที่ดังมาจากที่ไกลๆที่ตอนนี้กลับดังชัดเจนมากขึ้น
     ทั้งสองวิ่งออกมาจนถึงป่าสน หยุดชะงักลงตอนที่ได้ยินเสียงประจุไฟฟ้าแล่น ลำแสงสีแดงพาดยาวเป็นรูปกางเขนตัดกับหิมะขาวโพลน สะเก็ดไฟเล็กๆร่วงลงมาราวกับกำลังเริงระบำ ไคโลตวัดดาบมาทางพวกเขา เขาจ้องไลท์เซเบอร์ในมือฟินอย่างกระหาย
     “ดาบนั่น มันควรเป็นของข้า!"
    ไคโลพุ่งเข้ามา เหวี่ยงเรย์ออกไปให้พ้นทาง เธอปะทะเข้ากับต้นสนก่อนจะร่วงลงมา สติเลือนลาง ความหนาวเหน็บเข้ารุมล้อม เธอเห็นสะเก็ดไฟร่วงหล่นเมื่อดาบปะกัน ได้ยินเสียงฟินกรีดร้อง ได้กลิ่นเนื้อเหม็นไหม้ลอยมาตามลม  ตามด้วยเสียงบางอย่างกระแทกลงกับพื้นหิมะ ฟินล้มลงไม่ได้สติอยู่ตรงหน้า มีแผลไหม้จากการถูกลำแสงเผาหลายแห่ง เขาหายใจแผ่วเบาจนเหมือนจะหยุดไปเมื่อไหร่ก็ได้ ตอนนั้นเองที่เธอได้ยินเสียงเรียกแผ่วเบานั่นอีกครั้ง กระตุ้นบางอย่างในตัวเธอ เธอต้องปกป้องเพื่อน
        พลังกำลังเพรียกหาเจ้า
    เธอลุกขึ้นช้าๆ กวาดตามองหาสิ่งที่ภายในกำลังเรียกขาน สายตาเธอไปหยุดที่ไลท์เซเบอร์ที่ถูกปัดตกอยู่ในหิมะ พลังและดาบกำลังเพรียกหากัน เรย์เอื้อมมือออกไปพร้อมกับเพ่งสมาธิเรียกดาบให้มาหา ไคโลก็ทำแบบเดียวกัน เซเบอร์กระตุกขยับแต่ยังคงไม่มาตามที่เรียก มันเหมือนเธอกำลังต่อสู้อยู่กับไคโล เพื่อให้ได้ดาบมาเธอต้องพยายามมากกว่านี้ เรย์จ้องไลท์เซเบอร์ ภาวนาให้มันตอบรับกับพลังของเธอ
     ไลท์เซเบอร์กระตุกจนหลุดจากพันธนาการของหิมะขาวโพลน พุ่งฝ่าอากาศเฉียดมือของไคโล เร็นไป เด็กสาวคว้ามันไว้ก่อนจะปัดความลังเลมีที่ทั้งหมดทิ้งไป นิ้วเรียวกดลงกับด้ามดาบ เสียงประจุไฟฟ้าแล่นดังขึ้นก่อนที่ลำแสงจะพุ่งออกมา แสงอบอุ่นสีน้ำเงินอาบไล้ไปทั่วใบหน้าเด็กสาว เธอเหวี่ยงดาบรับกับดาบที่ไคโลฟาดลงมา มันดุดัน เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความสับสน
     พวกเขากระดาบกันอยู่เนิ่นนาน ยืดเยื้อจนดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งนานเท่าไหร่ก็ยิ่งดูเหมือนไคโลจะเสียเปรียบ เรย์แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เธอเข้ามาในความคิดตอนที่เขารับดาบเธอ เรย์จ้องไคโลอยู่นาน ก่อนจะเริ่มพูดในที่สุด
     “เจ้าคิดถึงบ้าน เบน"
     “อย่าเรียกข้าด้วยชื่อนั้น! ออกไปจากหัวข้า!"
     เขาดันเธอออกไป ไคโลซวนเซเล็กน้อยเพราะความเจ็บแปลบจากแผลที่เอว เรย์ถอยออกไปตั้งท่ารอรับการโจมตี
     “เจ้ากลับบ้านได้ เบน หยุดทำแบบนี้เถอะ"
     “ข้าจะกลับไปได้ยังไง ข้าไม่ควรได้รับการให้อภัย ข้าเพิ่ง..ฆ่าพ่อตัวเอง ท่านแม่ไม่มีทางอภัยให้ข้า"
     “ข้าไม่คิดว่านางจะอยากเสียเจ้าไปอีกคน นางอยากให้เจ้ากลับไป ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้"
     เรย์ปิดไลท์เซเบอร์ก่อนจะยื่นมือไปหาเขา
     “ไปเถอะ เจ้าไม่ควรอยู่ที่นี่"
     “ไม่! ข้าไม่มีทางปกป้องท่านแม่ได้ ข้ายังแข็งแกร่งไม่พอ"
     “เจ้าแข็งแกร่ง เจ้าแค่กำลังหลงทาง กลับไปด้วยกันเถอะ ไปหาลุค"
     เรย์เดินเข้ามาใกล้อีก เธอจ้องเขาอย่างแน่วแน่ ไม่มีความกลัวอยู่ในแววตานั้น ไคโลดับลำแสงจากเซเบอร์ ค่อยๆยื่นมือไปหาเธออย่างลังเล ก่อนที่มือไคโลจะแตะกับมือของเรย์ก็มีเสียงบางอย่างระเบิดมาจากไกลๆ พื้นดินใต้เท้าสั่นสะเทือน เสียงบางอย่างถล่มลงแว่วมา ไคโลผลักเธอออกไปอย่างแรง ร่างของเรย์ลอยคว้างก่อนจะตกลงกับพื้นหิมะไม่ห่างจากฟินมากนัก พอเธอลุกขึ้นได้ก็เห็นรอยพื้นดินแยก กว้างจนไม่สามารถกระโดดข้ามไปได้ ไคโลอยู่ที่อีกฝั่งของรอยแยก ล้มลงอย่างอ่อนแรง เลือดของเขาไหลออกมาจนย้อมหิมะให้เป็นสีแดงสด
     “ไปซะ"
     “แต่.."
     “ไปสิ!"
     ไคโลตะคอกจนเรย์สะดุ้ง เธอมองเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะพาฟินหนีออกไป เขามองดูจนเธอลับตาก่อนจะทิ้งตัวลงนอนกับพื้นหิมะเย็นเยียบ ความหนาวและมืดมิดค่อยๆกลืนกินสติของเขา ไคโลกระซิบแผ่วเบาก่อนที่จะหมดสติไป 
    “ฝากดูแลแม่ข้าด้วย.."
-------------------------------------------------------------------------------------------
0 notes
rritsu · 9 years
Text
Rearrangement 1 [TMR Short-fic]
    “ฉันกลับได้แล้วใช่ไหม?“
     “แกละเมออยู่รึไง แกเดินกลับไปดูสามชั้นตรงมุมโน่นสิ ไปดูแล้วลองคิดว่าแกควรจะได้กลับรึยัง”
     ชายหนุ่มย่นหน้า ออกเดินสำรวจชั้นหนังสืออย่างไม่เต็มใจ หอสมุดที่เขาทำงานอยู่เป็นหอสมุดเก่าๆที่อยู่ในย่านชานเมือง ถึงจะเก่าแต่ก็ได้รับการดูแลอย่างดี เขาเผลอสบถเมื่อเห็นว่าหนังสือเกือบทั้งหมดบนชั้นถูกวางสลับที่กัน บางชั้นหนังสือก็ล้มระเนระนาด มินโฮถอนหายใจตอนหันกลับไปส่งสายตาอ้อนวอนให้หัวหน้าบรรณารักษ์
     “เถอะน่าอัลบี้ วันนี้ฉันขอกลับเร็วไม่ได้เหรอ"
     “ไม่คือไม่ มินโฮ นี่มันงานของแก ถ้างานไม่เรียบร้อยแกก็กลับไม่ได้"
     “พรุ่งนี้ฉันมาเช้ากว่าปกติก็ได้ แต่ขอฉันกลับก่อน"
     “ถ้าแกหยุดพูดแล้วหันไปจัดหนังสือพวกนั้นซะบางทีแกอาจจะได้กลับบ้านเร็วขึ้นก็ได้”
     “ก็ได้วะ ปลวก!“
     มินโฮทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นไม้อย่างหงุดหงิด รื้อหนังสือเกือบครึ่งแถวลงมาเรียงใหม่ทั้งหมด มือหนาจัดหนังสือเรียงเป็นกองตามหมวดตัวอักษร ปากก็บ่นไม่หยุด
     “ปลวกเอ๊ย อาทิตย์นี้ฉันยังไม่ได้นอนเลย หืม..”
     ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นตอนที่ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วๆ แต่พอมองไปรอบๆก็ไม่เห็นใครหรืออะไร มินโฮกลอกตาอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะหันกลับไปจัดหนังสือต่อ
     มินโฮดันหนังสือเล่มสุดท้ายเข้าที่พอดีตอนที่ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาอีกครั้ง เขาเงี่ยหูฟัง ต้นเสียงอยู่ไม่ไกลจากชั้นหนังสือแถวที่เขายืนอยู่ตอนนี้นัก มินโฮเริ่มเดินสำรวจ ไล่ไปทีละแถว เสียงฝีเท้าช้าลง แต่เมื่อยิ่งเขาเข้าใกล้ฝีเท้าก็ยิ่งเร่งเร็วขึ้น จนเสียงห่างออกไปเรื่อยๆ เสียงฝีเท้าหยุดลงตามด้วยเสียงประตูถูกปิดกระแทกดังก้องไปทั่วหอสมุดที่ตอนนี้มีเพียงแสงสลัว มินโฮย่นคิ้ว เคยมีคนที่ทำงานด้วยกันเล่าเรื่องน่ากลัวๆเกี่ยวกับห้องสมุดนี้อยู่เหมือนกัน แต่ไม่เคยคิดว่าจะมาเจอด้วยตัวเอง ถึงตัวเขาเองจะไม่ได้กลัวเท่าไหร่ก็ตาม (อย่างน้อยเขาก็พยายามปลอบใจตัวเองอย่างนั้น)
     “ฉันคงนอนน้อยไปล่ะมั้ง?“
     มินโฮบ่นพึมพำพลางเอื้อมมือไปหยิบกุญแจขึ้นมาล็อกประตูหน้าของหอสมุด เขาเลิกงานดึกแบบนี้มาหลายวันจนอัลบี้ต้องให้กุญแจเขาไว้เพื่อให้เขาเป็นคนปิดประตูหน้า เพราะเรื่องแปลกๆที่เกิดขึ้นพักนี้ ชั้นหนังสือที่เขาดูแลปกติแล้วจะดูเรียบร้อยอยู่ตลอดเวลา มันดูเป็นแบบนั้นจนกระทั่งช่วงเย็นของทุกวัน พอเขาเก็บของจะกลับบ้านทีไรก็โดนอัลบี้ไล่ให้กลับไปจัดชั้นใหม่ และทุกครั้งที่เดินกลับไปดูก็จะพบกับหนังสือที่ถูกเรียงสลับที่ บางส่วนก็ถูกดึงออกมาจากชั้น วางกองระเกะระกะไว้ตามทางเดิน ส่วนที่ไม่ถูกดึงออกมาก็ล้มลงไปทั้งแถบเพราะไม่มีหนังสือเล่มอื่นยันไว้
     ชายหนุ่มถอนหายใจยาวเหยียดตอนที่เดินผ่านประตูออกมาเจอกับลมเย็นเยียบของหน้าหนาว เขาออกเดินกลับบ้านโดยพยายามไม่สนใจเรื่องบ้าๆที่เจอมาทั้งวัน 
    จนหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปมินโฮก็ยังเจอเหตุการณ์แบบนี้ทุกวัน ชั้นหนังสือรกเละเทะ กับเสียงฝีเท้าในตอนกลางคืน เขาไม่ได้เล่าให้ใครฟังเพราะคงโดนหัวเราะใส่แน่ วันนี้เขาเลยตัดสินใจจัดชั้นหนังสือนั่นและไปหลบอยู่หลังโซฟาอ่านหนังสือใกล้ชั้นที่โดนรื้อทุกวัน คอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้า��
     ตอนนี้ใกล้เวลาปิดหอสมุดแล้ว ตามปกติจะไม่มีใครเดินมาดูหนังสือแถวนี้มากนัก มันดูเป็นปกติมากจนเขาแปลกใจว่าทำไมทุกวันหนังสือถึงได้โดนรื้อขนาดนั้น เขาจะจัดหนังสือจนเรียบร้อยทุกครั้งเมื่อใกล้ถึงเวลาปิด แล้วแค่ไม่กี่นาทีระหว่างที่เขาต้องไปจัดการงานเอกสารก็จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น วันนี้มินโฮจึงรีบจัดการงานเอกสารให้เสร็จเร็วกว่าปกติ เพื่อจะได้มานั่งซ่อนตัวรอดู แล้วคำถามของเขาก็ได้รับคำตอบ ตอนสิบนาทีก่อนหอสมุดจะปิดมีเด็กกลุ่มใหญ่ราวๆเกือบสิบคนวิ่งมาที่ชั้น ส่วนใหญ่เป็นเด็กประถมอายุไม่น่าเกินสิบสองปี
     “นี่ดูเล่มนี้สิ!”
     “ฉันอยากยืมเล่มนี้"
     “เมื่อวานฉันหยิบเล่มนี้ไปล่ะ มีใครเห็นเล่มตอนต่อของเรื่องนี้ไหม?“
     “หยิบเล่มนั้นให้หน่อยสิ…ไม่ใช่นะ ข้ามข้างๆกันต่างหากล่ะ”
     “อ๊ะ เรื่องนั้นยังอ่านไม่จบเลย"
     มินโฮที่แอบดูอยู่ได้แต่อ้าปากค้าง เด็กๆดึงหนังสือออกมาจากชั้น แบ่งกันดูแล้วโยนทิ้งไว้กับพื้น บางคนขี่หลังเพื่อนเพื่อหยิบหนังสือที่อยู่บนชั้นสูง บางคนก็หยิบหนังสือออกมาดูแล้วเสียบกลับไปมั่วๆบนชั้น พอได้หนังสือที่พอใจแล้วเด็กๆก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันไป ทิ้งกองหนังสือไว้แบบนั้น แถมยังหยิบหนังสือออกจากห้องสมุดโดยไม่ได้ลงทะเบียนยืมหนังสือ
     ชายหนุ่มมองชั้นหนังสืออย่างเหนื่อยหน่าย ในเวลาไม่ถึงห้านาทีแต่ชั้นหนังสือกลับเหมือนเพิ่งมีพายุพัดผ่านไป อัลบี้กลับบ้านไปแล้วคงต้องแจ้งเรื่องเด็กพวกนั้นในเช้าวันพรุ่งนี้ ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้นอกจากจัดหนังสือให้เข้าที่เข้าทางเหมือนเดิม
     ตอนที่เขากำลังจะลุกขึ้นไปเก็บหนังสือก็มีเสียงหนึ่งแว่วเข้ามา เสียงที่ได้ยินทุกคืน เสียงฝีเท้า มินโฮตัดสินใจซ่อนตัวต่อเพื่อรอดู เจ้าของเสียงฝีเท้าโผล่มาในที่สุด
     ภูตจิ๋ว?
    เป็นสิ่งแรกที่โผล่เข้ามาในความคิดมินโฮเมื่อเห็น เด็กชายผมในเสื้อฮู้ดสีเขียวเดินผ่านแถวชั้นหนังสือเข้ามา เด็กชายนั่งลงกับพื้นไม้เย็นเยียบ กวาดหนังสือที่กองอยู่บนพื้นให้มาอยู่ตรงหน้า ก่อนจะเริ่มแยกหนังสือตามหมวดอักษร
     เด็กชายมีดวงตาสีน้ำตาลเข้ม คงเป็นเพราะผมสีบลอนด์ทองของเขานั่นแหละที่ทำให้มินโฮรู้สึกว่าเด็กชายดูไม่ค่อยเหมือนมนุษย์สักเท่าไหร่
     มินโฮค่อยๆลุกขึ้น ก่อนจะค่อยๆเดินกลับไปที่ชั้นหนังสือ แต่พอเด็กชายได้ยินเสียงเขาก็ลุกขึ้นก่อนจะวิ่งหน้าตาตื่นออกไป ทิ้งมินโฮไว้คนเดียวกับกองหนังสือที่ยังจัดไม่เสร็จ
     “ให้ตายเถอะ ฉันแค่จะขอบคุณ"
——————————————————————————————-
2 notes · View notes
rritsu · 9 years
Text
Doppelganger [Prologue]
[Prologue]
     ในยุคที่วิทยาการก้าวไกลกว่าที่เป็นในตอนนี้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้รับการพัฒนาจนก้าวข้ามขีดจำกัดทั้งหลายที่เคยมีมา ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ก็ยังมีหัวข้อที่เป็นเรื่องต้องห้ามอยู่
     ไม่ว่าในยุคสมัยไหน ‘การโคลนนิ่งมนุษย์’ ก็ไม่เคยได้รับการยอมรับ หลายๆคนให้ความเห็นว่า การที่นักวิทยาศาสตร์สร้างชีวิตหนึ่งขึ้นมา เพื่อที่จะช่วงชิงชีวิตนั้นไปเป็นเรื่องผิดจริยธรรม แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนที่พยายามจะฝ่าฝืนกฎ และลักลอบทำโคลนนิ่งมนุษย์ขึ้นมา
     เด็กกำพร้าถูกพบโดยหญิงสาวนักวิจัย เด็กน้อยผู้ถูกทอดทิ้งร้องไห้จ้าเพราะความหนาวเหน็บในเดือนธันวาคม หญิงสาวอุ้มช้อนทารกตัวน้อยไว้แนบอก  ตอนนั้นเองที่เธอสังเกตเห็นความผิดปกติของทารก ตาข้างหนึ่งของเด็กน้อยได้รับบาดเจ็บ สาหัสจนอาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็น
     เธอกระชับอ้อมแขนเพื่อแบ่งปันความอบอุ่น เธอเฝ้าตามหาใครสักคน ใครสักคนที่จะมาทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไป และบางอย่างก็บอกเธอว่าคนคนนั้นคือเด็กตัวน้อยนี้ เธอกระซิบเบาๆอย่างปลอบประโลม
     “ไม่เป็นไรแล้วนะหนูน้อย”
     ประตูไม้ของห้องพักถูกผลักเปิดออก ผู้มาเยือนเป็นชายในเสื้อสูทสีขาวดูสะอาดตา เขามีผมสีเข้มและดวงตาฉายแววฉลาดเฉลียว แต่ก็เจือไปด้วยความเจ้าเล่ห์ เขาดูตกใจนิดหน่อยตอนที่เห็นหญิงสาวอุ้มทารกขึ้นมา
     “เธอเรียกฉันมาทำไมตอนดึกขนาดนี้ เอวา แล้วเด็กนั่น…”
     “ฉันเจอเขาในตรอกแถวชานเมือง คงมีใครจงใจทิ้งไว้นั่นแหละ..”
     “แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับฉัน”
     เธอเงียบไป ดูเหมือนกำลังตัดสินใจเรื่องที่ลังเลอยู่ เอวามองเด็กน้อยที่หลับไปอย่างเหนื่อยอ่อนในอ้อมแขน ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่
     “ฉันมีเรื่องอยากให้ช่วย แจนสัน”
     เธอเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา เธอตัดสินใจแล้ว
     “ช่วย..สร้างตาให้เด็กคนนี้ที”
-------------------------------------------------------------------------------------------
2 notes · View notes
rritsu · 9 years
Text
กระต่ายมินโฮ : วันเกิดนิวท์ (NewtMin) [TMR short-fic]
    หางกระต่ายสะบัดไปมาตอนที่มินโฮห้อยต่องแต่งอยู่ที่ขอบเคาน์เตอร์ในครัว ในมือเล็กๆมีแครอทอยู่สองสามหัว เปื้อนดินเพราะเพิ่งดึงขึ้นมาจากแปลง ฟรายแพนปิดเตาเมื่อเห็นเขา เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนขณะที่หาลังมาต่อขาให้ผู้ดูแลนักวิ่ง มินโฮขมวดคิ้ว มือยื่นหัวแครอทให้ฟรายแพน
     “จะให้ฉันทำอะไรเรอะมินโฮ"
     “ทำเค้ก"
     “จะให้ฉันทำเค้กแครอทให้เรอะ เดี๋ยวนิวท์ก็มาฆ่าฉันกันพอดี"
     “ไม่ใช่โว้ย ฉันให้แกสอนฉันต่างหาก ปลวก"
     มินโฮว่าพลางหอบหัวแครอทไปล้าง ฟรายแทนได้แต่ยืนนิ่งมึนงง แต่สุดท้ายเขาก็เดินไปหยิบผ้ากันเปื้อนผืนที่เล็กที่สุดเท่าที่จะหาได้มาให้มินโฮ ถึงจะเล็กที่สุดแต่ก็ยังใหญ่สำหรับกระต่ายอยู่ดี ชายผ้ากันเปื้อนยาวลงมาระกับเท้าจนมินโฮต้องหาเข็มกลัดมาติดขึ้นไป
     เค้กที่ฟรายแพนบอกว่าจะทำคือคัพเค้กแครอทปาดหน้าด้วยครีมชีส มินโฮนั่งจินตนาการว่าเค้กจะออกมาหน้าเป็นยังไงขณะที่นั่งขูดหัวแครอทเป็นฝอย (แน่นอนว่าแอบกินไปด้วย)
     “หัวไปกระแทกอะไรมาถึงอยากทำเค้กวะมินโฮ"
     “เรื่องของฉันน่า ไม่ได้ทำไปกินเองแล้วกัน ห้ามไปฟ้องนิวท์ด้วย"
     “หืมม"
     ถ้าไม่ได้คิดไปเอง ดูเห���ือนมินโฮจะเน้นว่าห้ามไปฟ้องนิวท์มากเป็นพิเศษ คงเป็นอะไรเกี่ยวกับนิวท์ เท่าที่นึกออกก็มีแค่อย่างเดียว ถึงจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลก็เถอะ
     “วันเกิดนิวท์สินะ"
     “ห๊ะ..แก.."
     ฟรายแพนหัวเราะให้กับมินโฮที่อ้าปากพะงาบๆ พยายามหาคำพูดขึ้นมาบ่ายเบี่ยง สุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จ
     “แกรู้วันเกิดนิวท์ด้วยเรอะมินโฮ"
     “รู้ก็บ้าแล้ว วันเกิดตัวเองฉันยังนึกไม่ออกเลย"
     “อ่าว..แล้ว?"
     “วันเข้าทุ่งวันแรกน่ะ"
     มินโฮว่าพลางขูดแครอทต่อ ทำเป็นไม่สนใจฟรายแพน ซึ่งฟรายแพนเห็นแล้วก็อดแกล้งไม่ได้จริงๆ
     “โถ ชอบเขามากเลยสินะหนุ่มน้อย"
     ฟรายแพนทำเสียงเหมือนแม่พูดกับลูกชาย และหัวเราะลั่นหลังเห็นสีหน้ามินโฮ มินโฮ(คิดว่า)โกรธซะจนหางเล็กๆสะบัดไปมา
     “ปลวก ถ้าแกไม่หยุดพูดฉันจะพังเตาอบแก"
     “งั้นก็ไม่มีอะไรไว้ทำข้าวเย็นน่ะสิ เพราะแกเลยนะเนี่ย เรื่องนี้ถึงหูนิวท์แน่"
     “ปลวก!"
     ฟรายแพนยังคงนั่งขำไม่เลิก ขำซะจนน้ำตาไหลเป็นทาง มินโฮรำคาญจนต้องเอาขนมปังก้อนมายัดปากฟรายแพน อีกมือก็คว้าแครอทที่ขูดไว้แล้วเข้าปากอย่างหงุดหงิด และหยุดมือลงเมื่อนึกออกว่าขูดแครอทเอาไว้ทำเค้ก
      เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมงตอนที่มินโฮวางแครอทที่ปั้นจากฟองดองลงบนหน้าเค้กอันสุดท้าย กระต่ายยกเอาแขนเสื้อปาดเหงื่อบนหน้าผาก ยิ้มอย่างพอใจก่อนจะเรียงคัพเค้กอันเล็กๆพวกนั้นใส่ถาด เหลืออยู่บนตะแกรงอันนึง
     “อ่าว แล้วอันนี้ล่ะ?"
     “ให้แกนั่นแหละ เป็นการขอบคุณ"
     ฟรายแพนยิ้มน้อยๆอย่างเอ็นดู ตอนที่กระตายมินโฮถือถาดใส่คัพเค้กวิ่งออกไป 
    นิวท์พรวนดินอยู่ ตอนที่มินโฮวิ่งมาหา ในมือกระต่ายมีถาดอยู่ เค้กเรียงอยู่บนนั้นเต็มถาดไปหมด อันตรงกลางมีเทียนปักอยู่สองเล่ม มินโฮยื่นถาดมาให้เขา
     “หา?"
     “จะเอารึเปล่า ถ้าไม่เอาฉันจะเอาไปให้คนอื่นกินล่ะ"
     นิวท์เลิกคิ้ว งงไปหมด
     “ฉันกำลังงงว่าแกเอาเค้กมาให้ฉันทำไม"
     “สมองแกโดนแดดเผาไปหมดแล้วรึไง เห็นเทียนรึเปล่า วันเกิดไงวันเกิด"
     “หา? วันนี้วันเกิดฉันเหรอ"
     “ไม่รู้ แต่วันนี้เป็นวันแรกที่แกเข้าทุ่ง ฉันก็เลยให้เป็นวันเกิดแกไง ปลวก"
     “แกตั้งวันเกิดให้ฉันเนี่ยนะ"
     นิวท์หัวเราะเบาๆตอนที่นั่งคุกเข่าลงให้อยู่ระดับเดียวกับมินโฮ ยื่นมือไปลูบหัวกระต่ายเบาๆ
     “ขอบใจ"
     นิวท์ว่าก่อนจะเป่าเทียนทั้งสองเล่มจนดับ คว้าเค้กอันนึงใส่ปาก
     “ฟรายแพนทำเหรอ?"
     “ฉันต่างหากล่ะ"
     “เห~"
     นิวท์ว่าพลางหยิบเค้กขึ้นมาอีกชิ้น และกินหมดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยิบอีกอัน มินโฮนั่งมอง เริ่มอยากกินเหมือนกัน มือเล็กๆเอื้อมไปจะหยิบเค้ก นิวท์ตีมือเขา
     “ห้ามกิน"
     “ฉันเป็นคนทำนะ!"
     “แกเป็นกระต่าย ลืมรึไง ห้ามกินของหวาน แล้วนี่ตอนทำแอบชิมรึเปล่า"
     “...แค่นิดเดียวเองน่า"
     “ถ้าตายไปจะทำยังไงเล่า"
     นิวท์ถอนหายใจ ก่อนจะลุกขึ้น หายไปในสวน กลับมาพร้อมแครอทหัวใหญ่ เขาส่งมันให้มินโฮ
     “กินนี่ไปแล้วกัน"
     “ปลวก"
     กระต่ายบ่นอุบ เคี้ยวแครอทจนแก้มตุ่ย
     “ว่าแต่ นี่เค้กแครอทใช่เปล่า"
     “อืม"
     “แกเอาแครอทที่ฉันปลูกมาทำเค้กวันเกิดให้ฉันเนี่ยนะ?"
     “เออ ถ้าไม่กินก็เอาคืนมา"
     “ไม่โว้ย ให้แล้วจะเอาคืนได้ไง"
     นิวท์ยกถาดหนีมินโฮ ก่อนจะไปนั่งกินใต้ต้นแอปเปิล ยิ้มน้อยๆตอนที่ส่งฟองดองรูปแครอทเข้าปาก เขาไม่รู้ว่าไม่มีคนฉลองวันเกิดให้มากี่ปีแล้ว เขาจำไม่ได้ ที่จริงแค่วันเกิดตัวเองเขายังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ
     “ขอบใจนะมินโฮ"
     “ฉันทำเพื่อให้มีแครอทกินต่อหรอกน่า.."
     “เหรอ"
     นิวท์หัวเราะตอนที่มินโฮหันหน้าหนี หางปุกปุยสะบัดไปมา เขายิ้มอีกตอนที่ส่งเค้กชิ้นสุดท้ายเข้าปาก
-------------------------------------------------------------------------------------------
อ่าา ชอบเวลาคนตัวเล็กๆถือเค้กให้คนตัวสูงกว่าเป่าเทียนมากเลยค่ะ =///=
คิดว่าทุกคนคงจำวันเกิดตัวเองไม่ได้ มินโฮก็เลยตั้งวันที่นิวท์เข้าทุ่งเป็นวันเกิดซะเลยค่ะ
ฟิคนี้ฟรายแพนเหมือนคุณแม่ที่ลูกจะไปสารภาพรักเลยค่ะ 5555555
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ อิ๊~
5 notes · View notes
rritsu · 9 years
Text
กระต่ายมินโฮ (NewtMin)[TMR Pocky day]
[11.11.15]
    นิวท์นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใกล้กล่องส่งของ รอเวลา กล่องโลหะนั่นส่งข้าวของที่จำเป็นมาทุกอาทิตย์ วันเดิม เวลาเดิน ไม่เคยพลาด หน้าเขาตื่นเต้นนิดหน่อยตอนที่กล่องขึ้นมา แขนยาวเรียวกวาดของทุกอย่างขึ้นมา เขาหาของที่ตัวเองขอกับกล่องไว้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
     “โอ๊ะ ได้มาแล้วแฮะ"
     นิวท์ยิ้มบางๆก่อนจะหอบของทุกอย่างไปเก็บในที่ที่มันควรอยู่แล้วกลับไปทำงานของตัวเอง 
    ผู้ดูแลนักวิ่งตัวจิ๋วมินโฮกับลังก้มเก็บกล่องขนมเล็กๆที่คนอื่นวางทิ้งไว้ หูกระต่ายสีดำยาวสะบัดไปมาตามจังหวะก้าวเท้า มินโฮกินขนมไม่ได้ เลยต้องเก็บกล่องเอาจากคนอื่น ซึ่งดูเหมือนจะไม่ค่อยมีใครสนใจกล่องขนมที่หมดแล้วนั่นเท่าไหร่
     “โทมัส! ขอกล่องด้วย"
     “ห๊ะ จะเอาไปทำอะไรของแก"
     “เรื่องของฉัน ถ้าไม่เอาก็ส่งมา"
     โทมัสส่งกล่องป็อกกี้ให้เขาแบบงงๆ มินโฮคว้ากล่องไปก่อนจะวิ่งไปหาคนอื่นๆที่ถือกล่องอยู่อีก 
    อีกกล่องเดียว อีกกล่องเดียว 
    มินโฮอุ้มกล่องป็อกกี้วิ่งไปทั่ว พยายามหากล่องป็อกกี้ที่ต้องการกล่องสุดท้าย แต่ก็หาไม่เจอสักที เมื่ออาทิตย์ก่อนเขาเห็นกล่องป็อกกี้เปล่าตกอยู่ ที่หลังกล่องเขียนว่าถ้าเก็บกล่องได้ตามจำนวนที่กำหนดจะเอาไปแลกของได้ และของที่เขาอยากได้ก็คือหมอน หมอนใบเก่าของมินโฮเก่าจนยุ่ยไปหมดแล้ว และมินโฮก็ไม่อยากใช้หมอนหน้าตาเหมือนของคนอื่นด้วย โทมัสชอบหยิบหมอนผิดใบไปบ่อยจนเขาอยากจะเตะโทมัสตกหน้าผาให้รู้แล้วรู้รอด เขาถามจากทุกคนหมดแล้ว ทั้งอัลบี้ โทมัส ชัคแล้วก็คนอื่นๆ เขาได้กล่องมาจากทุกคนแล้ว เหมือนจะเหลือแค่นิวท์คนเดียว
     มินโฮวิ่งเตาะแตะไปที่สวน นิวท์อยู่ที่นั่น นั่งพักพิงหลังกับต้นแอปเปิล ปากคาบป็อกกี้อยู่ มินโฮวิ่งพุ่งเข้าไปหาเขา
     “ปลวกนิวท์! ขอกล่อง"
     “เรื่องเถอะ ฉันก็เก็บอยู่"
     “ฉันเหลือแค่กล่องสุดท้ายแล้ว ปลวก ส่งมา” มินโฮว่าก่อนจะกระโดดไปแย่งกล่องจากมือนิวท์ นิวท์ลุกขึ้นถือกล่องไว้มือเดียว ยืดแขนขึ้นจนกระต่ายมินโฮกระโดดไม่ถึง
     “ปลวก! เอากล่องมา ปีที่แล้วแกก็แย่งป็อกกี้ฉันกิน"
     “ก็แกกินขนมไม่ได้ ที่ฉันเอามากินเพราะเป็นห่วงหรอกน่า"
     “เอากล่องมา ไอ้หน้าปลวก ฉันเอาไปแลกหมอน"
     “อย่างที่บอกไปแล้ว ฉันก็เก็บอยู่ ถ้าอยากได้ก็เอาอะไรมาแลกซะสิ” นิวท์เหยียดยิ้มอย่างกวนประสาท มินโฮพ่นลมหายใจยาวเหยียดก่อนจะเดินหายไปในสวน บ่นพึมพำตลอดทาง นิวท์มองกระต่ายอย่างขำๆก่อนจะส่งป็อกกี้เข้าปากอีกแท่ง ยังไม่ทันหมดมินโฮก็วิ่งกลับมาแล้ว พร้อมกับแครอทสองสามหัวในมือ ยังมีดินเกาะอยู่กับแครอทอยู่เลย
     “เอ้า เอาไป” มือเล็กๆยื่นแครอทมาให้เขา
     “..นั่นมันแครอทที่ฉันปลูก ปลวกเอ๊ย"
     นิวท์ถอนหายใจอย่างระอาแต่ก็ยังเอื้อมมือไปรับแครอทมาและส่งกล่องขนมให้มินโฮ กระต่ายยิ้มอย่างพอใจแต่ก่อนที่มินโฮจะวิ่งออกไปนิวท์ก็หยุดเขาไว้ก่อน
     “กล่องนั่นเป็นรุ่นเก่าน่ะ เอาไปแลกไม่ได้หรอกนะมินโฮ"
     “ห๊ะ แล้วแกเพิ่งมาบอกอะไรเอาตอนนี้"
     “ดูแกวิ่งไปวิ่งมาสนุกดี” นิวท์หัวเราะเบาก่อนจะเดินมาลูบหัวเขา
     “รอนี่แป๊บนึงนะ” นิวท์ว่า ร่างสูงเดินหายไปจากสวน มินโฮทิ้งตัวลงนั่งใต้ต้นแอปเปิลอย่างหงุดหงิด นี่เขาต้องใช้หมอนเปื้อนน้ำลายโทมัสต่องั้นหรือ
     “ปลวกเอ๊ย” กระต่ายมินโฮสบถขณะปัดดินออกจากแครอทก่อนจะแทะกินแก้หงุดหงิด นิวท์กลับมาตอนเขากำลังจะกินหัวที่สองพอดี มินโฮเคี้ยวแครอทจนแก้มตุ่ย นิวท์หัวเราะเบาๆ
     “หัวเราะอะไรของแก"
     “เปล่า เอ้านี่” มือเล็กๆรับของที่นิวท์โยนมาให้ก่อนที่มันจะตกลงพื้น หมอนนั่นเอง แบบเดียวกับที่เขาเก็บกล่องเพื่อไปแลก
     “เอาไปสิ ฉันเก็บครบตั้งนานแล้ว หมอนแกโดนน้ำลายทอมมี่จนเปื่อยแล้วนี่"
     มินโฮนั่งมองหมอนแบบอึ้งๆ เผลอยิ้มอย่างดีใจออก พอรู้ตัวก็รีบขมวดคิ้วกลบเกลื่อน
     “ฉันไม่ขอบใจแกหรอกนะ” กระต่ายว่าพลางวิ่งผละออกไป กอดหมอนไว้แน่น นิวท์ยิ้มอย่างเอ็นดู 
    “กระต่ายฉันนี่ ก็ต้องดูแลอยู่แล้ว"
-------------------------------------------------------------------------------------------
สั้นกว่าที่คิดไว้มากเลยค่ะ เฮือกกกกก
เรื่องนี้เขียนต่อจากโดกระต่ายมินโฮวันป็อกกี้ปีที่แล้วของเรจังจากเพจ Renata7th ค่ะ นิวท์ตอนดูแลกระต่ายน่ารักมากเลย ฮึ่มมมมม
ช่วงนี้ป่วยเล็กน้อยเลยไม่ค่อยได้เขียนช็อตฟิค อาจจะหายหน้าหายตาไปสักพักนะคะ ฮือ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ <3
4 notes · View notes
rritsu · 9 years
Text
Starry sky (NewtMin) [TMR Short-fic]
    “เห้ย นั่นมินโฮอีกแล้วนี่หว่า มาทำอะไรที่นี่ทุกวันกัน"
     “เรื่องของฉันน่า ปลวก"
     มินโฮโบกมือไล่อัลบี้ที่เอาแต่ถามอะไรไร้สาระ เขานั่งอยู่ตรงโถงทางเดินตึกเรียน หน้าห้องชมรมดนตรี ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขามานั่งรอตามคำขอของเจ้าคนน่ารำคาญซึ่งตอนนี้ซ้อมดนตรีอยู่ มินโฮถอนหายใจอีกครั้งเมื่อเห็นชื่อของเจ้าคนน่ารำคาญ��ี่ว่าบนหน้าจอโทรศัพท์ เขากดรับก่อนจะตอบเนือยๆ
     “มีอะไรอีกล่ะทีนี้"
     “เข้ามานั่งเป็นเพื่อนในห้องซ้อมหน่อยสิมินโฮ"
     “ทำไมฉันต้องทำอย่างนั้น ไอ้ปลวกนิวท์"
     “อยู่คนเดียวน่าเบื่อจะตาย มาอยู่เป็นเพื่อนที"
     “โอ๊ย นายเป็นเด็กรึไง ให้ตายเถอะ"
     เขากดตัดสายทิ้งก่อนจะคว้ากระเป๋าเปิดประตูเข้าห้องซ้อมไปอย่างหงุดหงิด นิวท์อยู่ที่นั่น ดีดเบสกีต้าร์โยกตัวไปมาตามจังหวะ และเงยหน้าขึ้นมายิ้มเผล่ให้เขา มินโฮจ้องถลึงตาใส่เขา โยนกระเป๋าไปที่มุมห้องก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งพิงกำแพง
     เขาสองคนสนิทกันตั้งแต่ยังเด็ก อยู่โรงเรียนเดียวกันตลอด สนิทกันจนเขารู้สึกรำคาญใจกับความรู้สึกบางอย่างที่เปลี่ยนไปและความรู้สึกนั้นก็ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นทุกวัน เหมือนลูกโป่งที่อยู่ในกล่องที่ตอนนี้พองจนคับกล่องไปหมดแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังเหมือนเดิมตลอดเวลาที่ผ่านมา
     นิวท์ยังซ้อมอยู่อีกหลายเพลง พอจบเพลงสุดท้ายเขาก็เก็บกีต้าร์เบสสะพายขึ้นบ่า แย่งโทรศัพท์จากมินโฮที่เล่นไม่ยอมวางสักที เขาหัวเราะให้กับท่าทางเหมือนเด็กถูกแย่งของเล่นก่อนจะเริ่มเดินนำออกไป
     “กลับได้แล้ว ไปกันเถอะ" 
    “นี่~ มินโฮ ร้องเพลงให้ฟังหน่อยสิ"
     “แกหยุดพูดสักทีได้ไหม รำคาญโว้ย"
     “อะไรกัน แค่ร้องเพลงเอง"
     นิวท์เซ้าซี้ให้มินโฮร้องเพลงตั้งแต่เดินออกจากห้องซ้อม เขาเดินกลับหอพักด้วยกันแบบนี้ทุกวัน หอพักพวกเขาอยู่ใกล้กัน แน่นอนว่ามีเรื่องที่ดูเหมือนจะไร้สาระแบบนี้เกิดขึ้นทุกวัน บ่อยซะจนมินโฮอยากจะเ��็นบ้าซะให้ได้ แต่ก็ไม่เคยขัดใจเจ้าคนน่ารำคาญได้สักที
     “ไม่ก็คือไม่ ไอ้ปลวก"
     “ทำไมกัน"
     “โอ๊ย แกจะบ้ารึไง แค่ตบมือให้เป็นจังหวะฉันยังทำไม่ได้เลย จะให้ร้องเพลงได้ยังไง” มินโฮบ่นอย่างเหลืออด มันคงน่าอายมากถ้าจะต้องมาร้องเพลงเสียงเพี้ยนๆแบบนี้ต่อหน้านิวท์ แค่คิดหน้าก็ร้อนผ่าวแล้ว
     “ก็แค่ร้องตามจังหวะแบบที่เคยฟังมาไง ง่ายจะตายไป"
     นิวท์ยักไหล่ น่าหมั่นไส้ซะจนอยากเข้าไปต่อย มินโฮถอนหายใจก่อนจะเริ่มร้องเพลง เสียงเพี้ยนและผิดคีย์จนเขาอยากจะเอาหัวโขกกำแพงให้ตายไปซะอย่างนั้น 
    When your legs don’t work like they used to before 
    เขาหันไปดูข้างหลัง คิดว่านิวท์คงหัวเราะอยู่แน่ๆ แต่ก็ไม่เป็นแบบนั้น ตอนนี้มืดจนแทบไม่เห็นอะไร แต่แสงดาวก็ทำให้เขาเห็นรางๆ นิวท์ก้มหน้า ยิ้มบางๆแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย มินโฮยังคงร้องเพลงต่อไป 
    And I’m thinking ‘bout how people fall in love in mysterious ways
    maybe just the touch of a hand
    ตอนท่อนนั้นเองที่นิวท์คว้ามือเขาไป จับมือเขาและเดินแกว่งเหมือนที่เด็กเล็กๆทำ มินโฮขมวดคิ้ว
     “แกเล่นอะไรของแก"
     “ลองทำเหมือนในเพลงไง ฉันก็สงสัยเหมือนกันว่าคนเขาตกหลุมรักกันยังไง”
     “ไม่ต้องทำเหมือนในเพลงก็ได้ ปลวก” นิวท์หัวเราะร่วน เดินแกว่งมือมินโฮไปมา มินโฮหน้าร้อนผ่าว
     “ร้องต่อสิ” มินโฮบ่นพึมพำ แต่ก็ยังร้องต่อ 
    So honey now, take me into your loving arms… 
    เพลงหยุดอยู่แค่นั้น นิวท์หันไปมอง เห็นมินโฮยืนแหงนหน้ามองท้องฟ้าอยู่
     “อ่าว ไม่ร้องต่อเหรอ"
     “ฉันกำลังดูให้แน่ใจว่าดาวมันไม่ได้มีพันดวง แกจะได้ไม่ทำอะไรแบบในเนื้อเพลง” นิวท์เลิกคิ้วสูง ก่อนจะหัวเราะเบาๆ
     “ร้องต่อเถอะน่า"
     “เออ ก็ได้" 
    Kiss me under the light of a thousand stars.. 
    นิวท์จุมพิตเขาที่หน้าผากแผ่วเบาและแช่มช้า มินโฮนิ่งเงียบเหมือนตกอยู่ในภวังค์หลายวินาที ก่อนจะเริ่มโวยวาย หน้าแดงจนถึงหู
     “ทำบ้าอะไรของแก"
     “ดาวมันก็มีเป็นพันๆดวงอยู่แล้วนี่ ถึงจะมองไม่เห็นก็เถอะ ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าตกหลุมรักเป็นยังไง” นิวท์หัวเราะแก้เขิน ร้องเพลงต่อหลังจากหันมายิ้มให้มินโฮ แบบที่คิดว่าไม่ได้ยิ้มแบบนี้ให้ใครแน่ๆ 
    And we found love right where we are
——————————————————————————————-
อ่าาา เขินจังเลยค่ะ โอยยย =////=
ฟิคเรื่องนี้ได้พล็อตมาจากเพื่อนที่เรียนด้วยกันค่ะ คือเพื่อนฝันประมาณนี้ก็เลยเอามาเขียน ตอนฟังเพื่อนเล่านี่เราเขินจนตัวแทบแตกเลยค่ะ (ฮา)
1 note · View note
rritsu · 9 years
Text
Mirkwood, The another story (ThranduilLegolas) [Chapter 6]
[Chapter 6]
    เสียงโลหะกระทบกันดังก้องในหัวของเลโกลัส กลิ่นเลือดของอมนุษย์คละคลุ้งจนเด็กน้อยรู้สึกวิงเวียน ภาพเบื้องหน้าดูบิดเบี้ยว เลโกลัสถูกบิดาสั่งให้หลบอยู่กับเอลลาดานหลังหมู่หินที่อยู่ไม่ไกลจากระยะสายตาของเขานัก ตัวธรันดูอิลเองกำลังประดาบกับออร์คร่างกำยำที่ถูกส่งมาสอดแนม ไม่ไกลกันนั้นคือเอโรเฮียร์ที่ถึงแม้จะมีอาวุธเป็นมีดสั้นแต่กลับรับมือศัตรูได้อย่างเท่าเทียม
     ทว่านอกจากออร์คแล้ว ยังมีพวกวาร์กคอยลอบกัดจากรอบด้าน ถึงแม้ทั้งสองจะมีฝีมือต่อสู้ที่เก่งกาจ แต่ในสถานการณ์ที่มีศัตรูรุมล้อมนี้พวกเขาจึงเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ซึ่งเอลลาดานไม่อาจยอมให้ทั้งสองตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่นี้ได้
     ทำยังไงดี..
    ทำยังไง..
    ...เลโกลัส
    "เลโกลัส เจ้าต้องวิ่งไปที่โพรง กลับไปริเวนเดล ตามคนมาช่วยที"
    "แต่ว่า..ท่านพ่อ.."
    "ถ้าเจ้าไม่ไปตอนนี้ สองคนนั้นอาจจะไม่อยู่รอดปลอดภัยนะ"
    เขาอยากไปขอความช่วยเหลือด้วยตัวเอง เพียงแต่ถ้าหากเขาทิ้งเลโกลัสไว้ตรงนี้ จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปไม่อาจมีใครล่วงรู้ ดังนั้นการให้เด็กน้อยเป็นคนไปขอความช่วยเหลือคงจะเป็นวิธีที่ดีกว่า อย่างน้อยในโพรงนั้นก็ปลอดภัยกว่าอยู่ในทุ่งโล่งแบบนี้
    เลโกลัสนิ่งเงียบชั่งใจอยู่พักหนึ่ง ดวงตาไหววูบไปด้วยความหวาดกลัว
     "ข้าจะพาเจ้าไปที่ปากทางเข้า เงียบๆไว้ล่ะ"
     เอลลาดานลากแขนเลโกลัสออกจากที่กำบัง วิ่งเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้จนมาได้ถึงครึ่งทาง ออร์คบางตัวรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวนั้น พวกมันตนนึงวิ่งปลีกตัวออกมาจากกลุ่ม หลุดรอดจากสายตาของกษัตริย์เอล์ฟและเอโรเฮียร์ วิ่งอย่างมุ่งร้ายตรงมายังพวกเขา เอลลาดานดันหลังกระตุ้นให้เลโกลัสเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
     ไม่ทันแน่ 
    เอลลาดานเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้นอกจากวิ่งไปให้ถึงโพรงนั่น ตอนนั้นเองที่มีบางอย่างพุ่งแหวกอากาศมา เฉี่ยวเข้ากับแขนซ้ายของเอลลาดาน ลูกธนูนั่นเอง เลือดสีแดงสดซึมออกมาตามบาดแผล เขานิ่วหน้าแต่ยังคงวิ่งต่อไป ระยะห่างระหว่างพวกเขาและออร์คน้อยลงเรื่อยๆ จู่ๆเลโกลัสก็ชะลอฝีเท้า ก่อนจะลากแขนเอลลาดานให้ไปหลบหลังหมู่หิน เอลลาดานวิ่งตามมาแบบมึนงง เลโกลัสชี้ไปที่สิ่งที่เขาสะพายติดหลังมาตลอด
    “เอลลาดาน..นั่นธนูรึเปล่า”
     “ใช่ แต่จะมาถามอะไรตอนนี้ รีบไปก่อนเถอะ ถ้าเจ้าไปอะไรไปน้องข้ากับพ่อเจ้าต้องฆ่าข้าแน่ๆ...เฮ้ เดี๋ยว ทำอะไรน่ะ"
     เลโกลัสคว้าธนูและซองลูกธนูมาจากเอลลาดาน นำลูกธนูขึ้นสาย ดวงตาเล็งไปที่อมนุษย์ มือเล็กๆสั่นเทา เด็กน้อยกลัวเหลือเกิน แต่นี่เป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้ตอนนี้ ออร์ควิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาต้องรีบแล้ว เจ้าชายเอล์ฟสูดหายใจเข้าออกหลายครั้ง รอจนมือนิ่งลง ดวงตายังคงไม่ปล่อยให้ศัตรูคลาดไป เลโกลัสผ่อนลมหายใจอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยลูกธนูจากการควบคุม
     ลูกธนูแล่นเร็วฉิวฝ่าอากาศ ปักทะลุเข้าหว่างคิ้วของอมนุษย์ มันล้มลงและตายในที่สุด ท่ามกลางความตกตะลึงของเอลลาดาน เอโรเฮียร์ ไม่เว้นแม้แต่ธรันดูอิล แต่การซุ่มสังหารครั้งนี้ถูกเห็นโดยพวกอมนุษย์ส่วนใหญ่ พวกมันบางส่วนกรูกันเข้ามาหวังจะโจมตีเจ้าชายเอล์ฟ แต่ไม่มีอมนุษย์ตนใดได้เข้าใกล้พวกเขา ทั้งหมดที่วิ่งถาโถมเข้ามาถูกปลิดชีพด้วยศรจากเลโกลัส พวกที่เหลือถูกสังหารโดยกษัตริย์เอล์ฟและเอโรเฮียร์ จนตอนนี้ออร์คทั้งหมดได้สิ้นชีพลงแล้ว
    “เผาซะ"
     กษัตริย์เอล์ฟออกคำสั่งกับฝาแฝดหลังจากช่วยกันลากซากของเหล่าออร์คมากองรวมกัน เป็นงานที่หนักสำหรับสามคน ออร์คตัวใหญ่และหนัก แถมยังมีเกราะหนาๆ พวกเขาต้องรีบจัดการกับศพพวกนี้และรีบกลับริเวนเดล ก่อนจะมีพวกมันตามมาอีก
     หลังจากเคลื่อนย้ายออร์คหมดแล้ว ธรันดูอิลวิ่งมาหาบุตรชายที่ยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน ธรันดูอิลย่อตัวลงเพื่อให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกัน มองสำรวจบาดแผลหรือความเสียหายที่บุตรชายได้รับ และโล่งใจที่เขาปลอดภัยดี จะมีก็แต่สีหน้าที่ดูจะไม่สู้ดีนัก
     “เลโกลัส?"
     มือเล็กๆที่กำอยู่รอบคันธนูนั้นสั่นเทา น้ำตารื้นขึ้นมาจากดวงตาสีฟ้า วินาทีนั้นเขาจึงนึกได้ เขาเผลอลืมไปว่าเลโกลัสนั้นอ่อนเยาว์เกินกว่าที่จะต้องมาพบเจอเหตุการณ์โหดร้ายแบบนี้ เขาไม่อาจจะจินตนาการได้ว่าเด็กน้อยคนนี้ต้องใช้ความกล้าแค่ไหนในการหยุดวิ่งหนีและหยิบธนูขึ้นมา บิดาเอื้อมมือไปลูบหัวบุตรชายเบาๆ
     “ไม่เป็นไรแล้วเลโกลัส ไม่ต้องกลัว"
     เลโกลัสยังคงนิ่งเงียบ ใบหน้าซีดเซียว ขบกรามแน่นจนขึ้นเป็นสัน นิ้วมือกำคันธนูแน่นจนข้อเป็นสีขาว มือสั่นจนควบคุมไม่ได้
     “พอแล้ว ปล่อยธนูเถอะ"
     “ท่านพ่อข้ากลัว”
     เลโกลัสพูดขึ้นในที่สุด เสียงของเด็กน้อยสั่นไปด้วยความกลัว น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาอาบแก้ม ธรันดูอิลเอื้อมมือออกไป เกลี่ยน้ำตาหยดน้อยออก
     “ข้ารู้ แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ข้าอยู่นี่ ไม่มีใครทำอะไรเจ้าได้ ปล่อยมือเถอะ"
     มือเรียวกุมมือเล็กสั่นเทาและค่อยๆปลดอาวุธออกจากการเกาะกุมของเลโกลัส ธรันดูอิลทาบฝ่ามือลงบนใบหน้าขาวซีดของบุตรชาย ความอบอุ่นจากมือทำให้เด็กน้อยรู้สึกปลอดภัย
     “ไม่เป็นไรแล้วเจ้าตัวเล็ก ไม่เป็นไรแล้ว"
      ใช้เวลาอีกหลายนาทีกว่าที่ใบหน้าซีดขาวนั้นจะกลับมามีสีสันอีกครั้ง เลโกลัสกวาดตามองรอบๆอีกครั้ง รอยเลือดสีดำสกปรกเกรอะกรังเต็มไปหมด ถัดออกไปคือซากศพของออร์คที่ถูกกองรวมกันจนเป็นเนินเตี้ยๆ เปลวไฟลุกท่วมลามเลียไปทั่วร่างไร้ชีวิต กลิ่นเหม็นไหม้ทำให้เด็กน้อยย่นจมูกและเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ธรันดูอิลดันหลังกระตุ้นให้เลโกลัสออกเดิน
     “กลับเถอะ เอลรอนด์คงตามหาพวกเจ้าไปทั่วแล้ว"
     กษัตริย์เอล์ฟจงใจเน้นที่คำว่าเอลรอนด์เป็นพิเศษ สองพี่น้องถึงกับหน้าซีดไปตามๆกัน ทั้งสี่เดินทางกลับไปถึงริเวนเดลอย่างปลอดภัย เอลรอนด์เอาแต่ขอโทษขอโพยแทนบุตรชายทั้งสอง และจบลงด้วยการกักบริเวณทั้งสองคนเป็นการลงโทษที่ทำให้เลโกลัสเกือบได้รับอันตรายและยังเป็นการก่อกวนงานวันเกิดของน้องสาว ทั้งสองได้แต่สลดไปตามๆกัน
     “เพราะเจ้านั่นแหละ"
     “เจ้านั่นแหละ เอาแต่จะออกไปเที่ยวเล่น"
     “หยุดได้แล้ว ทั้งคู่นั่นแหละ ขอโทษเลโกลัสสิ ขอโทษอาร์เวนด้วย"
     “...ขอโทษ"
     ทั้งคู่พูดขึ้นพร้อมกัน ก้มหน้ามองพื้นไม่สบตาใครทั้งนั้น อยู่ๆเอลลาดานทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนจะพูดตาเป็นประกาย
     “เลโกลัส เจ้ายิงธนูเป็นด้วยเหรอ ทำยังไงถึงแม่นแบบนั้น” เลโกลัสกลอกตาตอบ ตัวเลโกลัสเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
     “ข้าก็แค่ยิง.."
     เอลลาดานยังคงพูดไม่หยุดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้เห็นมา ประเด็นนี้ยังคงเป็นที่พูดถึงอย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่กษัตริย์เอล์ฟและเลโกลัสเดินทางกลับ ผู้คนพูดกันปากต่อปากถึงฝีมือการยิงธนูปลิดชีพออร์คหลายตนของเจ้าชายเอล์ฟแห่งเมิร์ควูด และที่น่าทึ่งคือเจ้าชายเอล์ฟที่ว่านั้นอายุยังไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ เด็กกว่านักรบที่อายุน้อยที่สุดของกองทัพซะอีก
     เอลรอนด์ยืนอยู่ที่ทางเชื่อมระหว่างริเวนเดลและทางออกไปสู่ป่า ยืนส่งสหายที่กำลังจะเดินทางกลับ
     “ขอบคุณสำหรับการต้อนรับที่ดีเยี่ยม"
     “ข้าก็ขอขอบคุณที่เจ้าอุตส่าห์เดินทางมาอวยพรให้อาร์เวน ต้องขอโทษด้วยที่ลูกชายข้าทำป่วนไปหมด"
     ”ช่างเถอะ อย่างน้อยทุกคนก็ปลอดภัย"
     “หวังว่าเจ้ามาเยี่ยมเยียนอีก"
     ธรันดูอิลพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงบอกลา ก่อนจะบังคับเจ้ากวางตัวโตให้ออกวิ่ง เดินทางกลับสู่เมิร์ควูด
-------------------------------------------------------------------------------------------
4 notes · View notes
rritsu · 9 years
Text
Andante (NewtMin) [TMR Short-fic]
    มินโฮนั่งอยู่ในร้านกาแฟใจกลางเมืองใหญ่ เขาถอนหายใจยาวเหยียดอีกครั้ง รายงานของเขายังไม่เสร็จ และยังไม่ได้เตรียมนำเสนองานด้วย ตอนแรกเขาคิดว่าการออกมานอกบ้านบ้างคงช่วยให้คิดอะไรออก แต่ดูเหมือนครั้งนี้จะไม่ช่วยเขาสักเท่าไหร่
     เสียงกีต้าร์
    เป็นเสียงเดียวที่ผ่านทะลุกำแพงความคิดของมินโฮ จังหวะไม่ช้าไม่เร็วนั้นทำให้เขาผ่อนคลาย ไหนจะเสียงร้องเพลงนั่นอีก เขาเริ่มมองหาที่มาของเสียงทันทีที่นึกขึ้นได้ และรีบเดินไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ ขายาวๆก้าวไปตามจังหวะเพลง พอรู้ตัวอีกทีเขาก็มาหยุดอยู่ที่จตุรัสกลางเมือง สถานที่ที่ศิลปินหลายคนเริ่มต้นความฝันของตัวเอง ที่นี่มีทั้งนักดนตรี จิตรกร หรือแม้แต่ตัวตลก 
    มินโฮมองไปรอบๆอีกครั้งและเงี่ยหูฟัง เสียงที่เขาตามมานั้นอยู่เบื้องหลังกลุ่มคนที่กำลังมุงดูใครคนหนึ่ง ชายหนุ่มเขย่งเท้าพยายามมองหานักดนตรี และในที่สุดเขาก็มองเห็น เด็กหนุ่มผมทอง เขาดูงดงามราวกับภาพวาด นิ้วเรียวยาวไล้ไปตามสายกีต้าร์ บรรเลงอย่างคล่องแคล่วราวกับเครื่องดนตรีนั้นเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย และเสียงของเขาก็นุ่มทุ่มชวนหลงใหล เขาดูมีความสุข รอยยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้าตลอดเวลาที่เขาร้องเพลง เขาดูมีความสุขมากจริงๆ
     เขาโค้งอย่างสุภาพและกล่าวขอบคุณเมื่อเพลงจบลง เหล่าคนดูต่างโยนเหรียญหรือธนบัตรอะไรก็ตามที่ควานหาได้โยนลงไปในกล่องกีต้าร์ เขากล่าวขอบคุณอีกครั้ง และเริ่มเล่นเพลงต่อไป
     ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไร แต่มินโฮยืนอยู่ตรงนั้น ลืมเรื่องที่เคยกังวลทุกอย่าง ปล่อยใจไปตามเสียงเพลง จนเพลงสุดท้ายสิ้นสุดลง ผู้คนต่างเริ่มแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง มินโฮก็ยังคงอยู่ตรงนั้นดูเหมือนจะยังตัดใจจากเสียงเพลงไม่ได้ เสียงของใครคนหนึ่งปลุกเขาจากภวังค์ นักดนตรีคนนั้นนั่นเอง
     “มืดแล้วนะครับ ยังไม่กลับอีกเหรอ"
     “เอ้อ.."
     มินโฮอ้ำอึ้ง เขาไม่รู้จะพูดยังไง แต่เขาอยากฟังเพลงต่อ พูดแบบนั้นคงดูแปลกๆสำหรับคนเพิ่งเคยพบกัน แต่จะว่าไปแล้วก็ดูแปลกที่เด็กอายุน้อยแบบนี้มาเล่นดนตรีกลางเมืองคนเดียว ดูแล้วคงอายุสังสิบเจ็ดหรือสิบแปด
     “ว่าแต่นายล่ะ ยังเด็กแท้ๆแต่มาเล่นดนตรีแบบนี้ พ่อแม่รู้รึเปล่าน่ะ"
     “เอ้อ..ที่จริงแล้ว..ผมอายุยี่สิบห้าแล้วน่ะครับ แล้วก็..ไม่มีพ่อแม่ด้วย"
     “ห๊ะ..เอ่อ โทษที"
     “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเลิกนึกถึงเรื่องนี้มานานแล้ว"
     ทั้งคู่นิ่งเงียบไปสองสามนาที แล้วเสียงกีต้าร์ดังแผ่วทำลายความเงียบ ชายหนุ่มนั่งอยู่กับพื้น ส่งยิ้มให้มินโฮ
     “ดูเหมือนคุณยังอยากฟังเพลงต่อ"
     “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก มั้งนะ”
     มินโฮตอบก่อนจะนั่งลงตรงที่ว่างข้างๆนักดนตรีหนุ่ม ฟังเพลงที่เขาร้อง นานจนรู้สึกเริ่มรู้สึกผิดต่อรายงานที่นอนเรียงรายอยู่ในกระเป๋า และในที่สุดเขาก็หักห้ามใจไม่ให้อยู่นานไปกว่านี้ได้
     “เอ้อ ฉันต้องรีบกลับแล้ว รายงานยังไม่เสร็จเลย"
     “รายงานของที่ทำงานสินะครับ” ชายหนุ่มพูดขณะเก็บกีต้าร์ลงกระเป๋า มินโฮขมวดคิ้วยุ่ง
     “เปล่า มหาลัยน่ะ.."
     “เอ่อ..ขอโทษที่เสียมารยาท"
     “พอเถอะ ไม่ต้องพูดสุภาพก็ได้ ฉันมินโฮ” มินโฮว่าพลางยื่นมือออกไป
     “ฉันนิวท์ ยินดีที่ได้รู้จัก"
      “งานเสร็จแล้วรึไง ถึงมานั่งทำตัวเป็นคนว่างงานแบบนี้"
     “เกือบแล้วโว้ย ให้นั่งทำงานทั้งวันก็เป็นบ้ากันพอดี"
     ผ่านไปแค่เดือนเดียวแต่คำสุภาพที่นิวท์เคยพูดหายไปหมด จนดูเหมือนกับเขาไม่เคยพูดสุภาพมาก่อนเลยด้วยซ้ำ แถมยังชอบจิกกัดด้วย แต่ก็เป็นแบบนี้แค่กับมินโฮ กับผู้ชมคนอื่นเขาก็ยังคงสุภาพเรียบร้อยดี จนมินโฮหมั่นไส้
     “คนว่างงานมันแกต่างหาก ไม่มีการมีงานทำรึไง"
     “วิ่งไล่ตามฝันไง ไม่เคยได้ยินเหรอ ว่าแต่ไม่เคยมีใครบอกเหรอว่าให้สุภาพกับคนอายุมากกว่าน่ะ"
     “เพ้อฝันมากกว่าล่ะมั้ง แล้วก็ หน้าแกอย่างกับเด็กอายุสิบเจ็ด ฉันไม่สุภาพด้วยหรอก"
     มินโฮบ่นพึมพำพลางเขียนรายงานยาวเหยียดน่าเบื่อ เขามาที่นี่ทุกเย็น ฟังเพลงไปด้วยทำงานไปด้วย นั่งตรงม้านั่งโทรมๆตัวเดิม ส่วนนิวท์นั่งอยู่บนพื้นตรงข้ามกับม้านั่ง เล่นกีต้าร์ ร้องเพลง ดูมีความสุขเหมือนครั้งแรกที่เจอ
     “น่าอิจฉาเป็นบ้า” มินโฮเผลอบ่นออกมา นักดนตรีหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย
     “อะไรน่าอิจฉา"
     “แกได้ทำอะไรที่ชอบ ส่วนฉันต้องมานั่งทำรายงานปลวกๆเนี่ย"
     “แต่อย่างน้อยแกก็ยังมีครอบครัว ใช่ไหม? ฉันน่ะพ่อแม่ตายไปนานแล้ว จนตอนนี้จำหน้าพวกท่านไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ” หน้านิวท์สลดลงเล็กน้อยเมื่อพูดถึงพ่อแม่ จังหวะเพลงกีต้าร์ก็เศร้าลง
     “อย่ามาดราม่า ฉันอยู่กับลุงโว้ย"
     “อย่างน้อยก็มีครอบครัวน่า แล้วก็ กว่าจะได้มาทำอะไรแบบนี้ฉันก็ทำงานอื่นมาก่อนน่า หนักพอๆกันนั่นแหละ” เขายังคงเกาสายกีต้าร์อยู่ จังหวะเร็วขึ้นเล็กน้อย
     “ทำไมถึงมาเล่นกีต้าร์ล่ะ"
     “เพราะชอบไง"
     “แกกวนฉันเรอะ"
     “เปล่า ก็แค่ชอบก็เลยทำไง ต้องมีเหตุผลอื่นด้วยเหรอ ว่าแต่แกล่ะ ทำไมมานั่งฟังฉันเล่นกีต้าร์ทุกวัน” เขาเลิกคิ้วดูท่าทางยียวนใส่มินโฮที่กำลังกลอกตาใส่เขา
     “เพราะชอบไง"
     “ชอบฉันน่ะเหรอ? บังเอิญจริง ฉันก็ชอบแกเหมือนกัน” นิวท์ว่าพลางหัวเราะร่วน ตอนนั้นเองที่มีปากกาลอยมา เขาหลบทันเฉียดฉิว
     “เพลงที่แกเล่นต่างหากโว้ยย”
     นิวท์หยุดเล่นกีต้าร์ เขาหยุดหัวเราะไม่ได้ มินโฮดูตลกเวลาโวยวายจนหน้าแดงถึงหูแบบนั้น
     “โทษที หน้าแกตลกน่ะ” และปากกาอีกด้ามก็ลอยมา แต่คราวนี้โดนหน้าผากเขา
     “ถ้าฉันได้ยินแกหัวเราะอีกฉันจะเอาสมุดรายงานยัดปากแก"
     “ครับๆ แต่ที่ว่าชอบน่ะฉันพูดจริงๆนะ”
     นิวท์พึมพำ เสียงเพลงก็ดังขึ้นอีกครั้ง นิวท์กลั้นขำอยู่ และมินโฮก็ยังหน้าแดงอยู่เหมือนเดิม 
    วันนี้ไอ้หน้าปลวกนั่นไม่มา?
    เป็นความคิดแรกที่โผล่ขึ้นมาเมื่อเขาเดินมาถึงจตุรัสกลางเมือง นิวท์ไม่อยู่ที่นั่น ทั้งๆที่ปกติจะมาแทบทุกวันตลอดสองปีที่ผ่านมา และถ้าวันไหนนิวท์ป่วยหรือมาไม่ได้เขาจะบอกมินโฮไว้ก่อนล่วงหน้า นอกจากนั้นวันนี้เป็นวันเกิดเขา
     'พรุ่งนี้ฉลองวันเกิดให้นายกันเถอะ'
    นิวท์พูดแบบนั้นเมื่อคืนวาน แต่ตอนนี้สองทุ่มแล้ว และยังไม่เห็นวี่แววของเขาเลย ตามปกติเขาจะมาเล่นกีต้าร์ที่นี่ตั้งแต่ช่วงเย็น เขาติดต่อนิวท์ไม่ได้เลย
     “นิวตัน ไอ้ปลวกตอแหล!"
     ตอนที่เขาหมุนตัวกลับและกำลังจะออกเดินนั่นก็มีกล่องของขวัญเล็กๆอยู่ตรงหน้าเขา พอเอี้ยวหัวไปข้างๆก็พบกับนิวท์ ใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนเดิม
     “หายหัวไปไหนมา แกรู้ไหมฉันมารอแกตั้งแต่กี่โมง ปลวก!"
     “ขอโทษๆ เลือกนานไปหน่อยน่ะ เปิดดูสิ"
     มินโฮรับกล่องของขวัญมาอย่างหงุดหงิด เขานึกว่านิวท์เป็นอะไรไประหว่างมาที่นี่ หรือไม่สบายจนรับโทรศัพท์ไม่ได้ เขายังบ่นพึมพำไม่หยุดปากจนเปิดกล่องได้ ในนั้นมีนาฬิกาข้อมืออยู่
     “น่าประหลาดที่แกซื้อของขวัญวันเกิด ปกติจะเล่นกีต้าร์นี่"
     “ก็เรือนที่แกใส่ปกติมันหายไป���ี่ แต่พูดถึงกีต้าร์ฉันก็เอามานะ” เขาว่าพลางอวดกีต้าร์ในมือ ก่อนจะนั่งลงและเริ่มไล้นิ้วไปตามสาย ร้องเพลงที่เขาแต่ง มินโฮนั่งลงข้างๆ นิวท์เหลือบไปมองมินโฮ เขามองนาฬิกาอยู่ มุมปากกระตุกแปลกๆเหมือนกลั้นยิ้มอยู่ ตลกจนอดหัวเราะไม่ได้
     “หัวเราะอะไรของแก"
     “เปล่า หน้าแกตลกดี” 
    เพลงจบลงแล้ว แต่พวกเขายังนั่งอยู่ด้วยกัน นิวท์คว้านาฬิกาจากมือมินโฮ
 ก่อนจะบรรจงใส่ให้ที่ข้อมือและจุมพิตลงที่หลังมืออย่างแผ่วเบา
     “ทำอะไรของ.."
     “สุขสันต์วันเกิด อ้อ ไม่ต้องถามเหตุผล เหตุผลมีแค่เพราะฉันชอบนาย” นิวท์ว่าก่อนจะยิ้มทะเล้นและวิ่งหนีก่อนที่มินโฮจะหาอะไรมาปาใส่เขา
1 note · View note