thereporterasiastuff-blog
thereporterasiastuff-blog
TheReporter.Asia
2K posts
We reporting all of Technology News in Asia
Don't wanna be here? Send us removal request.
thereporterasiastuff-blog · 6 years ago
Text
ลัมโบร์กินี แต่งตั้ง Lamborghini Club Thailand
Tumblr media
Lamborghini Club ร่วมฉลองความภาคภูมิใจในการสร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่ ที่ได้รับการแต่งตั้ง Lamborghini Club Thailand อย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทย และเป็นครั้งแรกของโลก พร้อมเอกสิทธิ์ขั้นสูงสุดสำหรับสมาชิกคลับ และการสนับสนุนดูแลแบบเอ็กซ์คลูซีฟ นายภานุเมศ จงกลรัตนาภรณ์ ประธาน Lamborghini Club Thailand กล่าวถึงงานฉลองการแต่งตั้ง คลับอย่างเป็นทางการครั้งแรกในไทยว่า ผู้ใช้รถลัมโบร์กินีในประเทศไทยได้มีการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน พบปะสังสรรค์แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกันอย่างแน่นแฟ้น โดยในวันนี้ ทาง Automobili Lamborghini ประเทศอิตาลี ได้มีการแต่งตั้ง Lamborghini Club Thailand อย่างเป็นทางการ เป็นครั้งแรกในประเทศไทย และเป็นครั้งแรกของโลก ด้วยการผลักดันจาก เรนาสโซ มอเตอร์ ถือเป็นประวัติศาสตร์ของการเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความยิ่งใหญ่ของ Lamborghini Club ที่ถูกจัดตั้งทั่วโลก และเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งของคนใช้รถลัมโบร์กินีทั่วโลก ที่เปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกัน ซึ่งทาง Automobili Lamborghini ประเทศอิตาลี พร้อมมอบสิทธิพิเศษมากมาย โดยยกระดับความเป็นมาตรฐานระดับโลก เช่นเดียวกันกับสมาชิก Lamborghini Club ในแต่ละประเทศทั่วโลก ทั้งนี้การแต่งตั้ง Lamborghini Club อย่างเป็นทางการทั่วโลกจะมีเพียงหนึ่งคลับต่อหนึ่งประเทศเท่านั้น โดยสมาชิกในคลับทุกท่านจะต้องเป็นเจ้าของรถลัมโบร์กินี ซึ่งคลับทุกคลับจะมีการเซ็นต์รัฐบัญญัติ เพื่อปฏิบัติตามแนวทางมาตรฐานระดับโลกของลัมโบร์กินี นอกจากนี้สมาชิก Lamborghini Club Thailand จำนวน 108 คน ยังได้รับการสนับสนุนดูแลจาก เรนาสโซ มอเตอร์ แบบเอ็กซ์คลูซีฟ
Tumblr media
ซึ่งทิศทางการดำเนินงานของคลับจะมีการจัดกิจกรรมร่วมกันตลอดทั้งปี อาทิเช่น กิจกรรมท่องเที่ยวโดยเน้นการขับขี่ปลอดภัยร่วมกันและปฏิบัติตามกฎระเบียบบนท้องถนน การรวมตัวพบปะสังสรรค์ในกิจกรรมทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้ท่านสมาชิกคลับได้แบ่งปันประสบการณ์ และสร้างสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน และร่วมสร้างประโยชน์ แบ่งปันความสุขให้แก่สังคม สำหรับบรรยากาศภายในงานฉลองการแต่งตั้ง Lamborghini Club Thailand อย่างเป็นทางการครั้งแรกในไทย เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสนุกสนาน ด้วยไฮไลท์การแสดงคอนเสิร์ตสุดเอนเตอร์เทนจากคุณเบน ชลาทิศ และการแสดงเปิดแผ่นสุดมันส์จาก ดีเจโดม-ปกรณ์ ลัม นอกจากนี้ ยังมีพันธมิตรมาร่วมสร้างสีสันให้ค่ำคืนแห่งการฉลองเต็มไปด้วยความพิเศษ ทั้ง Autozkin, BDMS Wellness Clinic, Deck9, Garmin, Hilker, iRobot, Malton Private Residence, Prestige Thailand, SEVENFRIDAY, Sharp Thailand, Silver Voyage, YU Kiroro โดยงานนี้ได้รับเกียรติจากแฟนพันธุ์แท้ลัมโบร์กินีที่มาร่วมงาน ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง Lamborghini Thailand Read the full article
0 notes
thereporterasiastuff-blog · 6 years ago
Text
HUAWEI P30 Series ราคาใหม่เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น
Tumblr media
หัวเว่ยมอบ HUAWEI P30 Series ในราคาพิเศษ เพื่อให้ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น ได้แก่ P30 Pro ราคา 27,990 บาท (ปกติ 31,990 บาท) P30 ราคา 17,990 บาท (ปกติ 21,990 บาท) P30 Lite ราคา 9,990 บาท (ปกติ 10,900 บาท) ลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลและหาซื้อได้ ณ หัวเว่ยแบรนด์ช้อป และร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ นอกจากนี้ ระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน 2562 ถึงวันที่ 31 สิงหาคมนี้ HUAWEI P30 Series ยังรวมในโปรโมชั่น HUAWEI Grand Sales 2019 ซึ่งสามารถใช้หมายเลข IMEI1 ของสมาร์ทโฟนที่ซื้อ ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ลุ้นรางวัลใหญ่ เป็นเจ้าของสุดยอดยนตรกรรมระดับเรือธงที่ใครๆ ต่างใฝ่ฝัน อย่าง “BMW 520d M sport” รถยนต์คันหรู รุ่นใหม่ล่าสุด มูลค่ากว่า 3.5 ล้านบาทอีกด้วย HUAWEI P30 Series สมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงจากหัวเว่ยที่พิสูจน์ความสำเร็จด้วยยอดขายกว่า 10 ล้านเครื่องภายในเวลาเพียงสามเดือนหลังเปิดตัว พร้อมทั้งยังได้รับการยอมรับจากสื่อมวลชนทั่วโลกโดยคว้ารางวัลสุดยอดสมาร์ทโฟนจากหลายเวที ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง หัวเว่ย ประเทศไทย Read the full article
0 notes
thereporterasiastuff-blog · 6 years ago
Text
ถอดบทเรียน NEA CLMVT+ สู่ ASEAN Branding
Tumblr media
ความท้าทายของการค้ายุคใหม่ ไม่ใช่เพียงแค่การสร้างโอกาสทางการค้าและเสริมสร้างศักยภาพทางการแข่งขันเท่านั้น แต่การรวมกลุ่มและพัฒนาพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจร่วมกัน เป็นแนวคิดของ สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการค้ายุคใหม่ (NEA) กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ในการพัฒนาโปรแกรมการฝึกอบรมผู้นำธุรกิจและผู้นำองค์กรรัฐระหว่างประเทศ ภายใต้โปรแกรม CLMVT Plus Executive Program TheReporter.Asia ได้มีโอกาสเจอ คุณวิทยากร มณีเนตร รองอธิบดี กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และสอบถามถึงความท้าทายในการผนึกกำลังผู้นำทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศอาเซียน ภายใต้โปรแกรมแบบเอ็กซ์คลูซีฟดังกล่าว โดยระบุว่า CLMVT Plus Executive Program เป็นโครงการที่ทำมาต่อเนื่องเป็นปีที่3 แล้วแล้ว แต่ในปีนี้ขยายไปสู่ประเทศรอบข้างมากขึ้น จนกลายเป็น CLMVT+ ซึ่งรวมประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ โดยเราได้ดึงผู้มีชื่อเสียงระดับโลกเข้าร่วมเป็นวิทยากรด้านการสร้างแบรนด์โดยเฉพาะ ภายใต้แนวคิด ASEAN Branding ด้วยการฝึกอบรมแบบเข้มข้น ภายใต้ชื่อโครงการว่า CLMVT Plus Executive Program on New Economy 2019 เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันแก่นักธุรกิจไทยและกลุ่มประเทศอาเซียน และยังเป็นการผนึกกำลังความร่วมมือในการแข่งขันบนเวทีการค้าโลกอีกด้วย เนื่องจากที่ผ่านมากลุ่มประเทศของเรา มีการผลิตสินค้าแบบรับจ้างผลิต ทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางการค้า เนื่องจากแบรนด์สินค้าที่ขายไม่ใช่ของตนเอง ไม่เกิดการสร้างชื่อ และท้ายที่สุดเมื่อเกิดการย้ายการผลิตไปยังประเทศอื่นๆที่มีต้นทุนต่ำกว่า ทำให้เกิดผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แนวคิดของการสร้างแบรนด์และผนึกกำลังขอ��ผู้นำทั้งภาครัฐและเอกชนของกลุ่มประเทศเรา เพื่อสร้างแบรนด์ของอาเซียนให้ดังในระดับโลกต่อไป ด้วยการแข่งขันและเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วและต่อเนื่อง นับเป็นสิ่งที่นักธุรกิจไทยและกลุ่มประเทศ CLMV ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ และถือเป็นภารกิจสำคัญที่จะเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันแก่นักธุรกิจไทยและกลุ่มประเทศอาเซียน ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายทางธุรกิจภายในภูมิภาคนี้ จึงจัดให้มีโครงการ CLMVT Plus Executive Program on New Economy 2019 ขึ้น ด้วยแนวคิด ASEAN Branding และหากย้อนไปในการสัมมนา 2 ปีที่ผ่านมา โครงการได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างนักธุรกิจระดับผู้นำและผู้นำองค์กรรัฐที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโปรแกรมเป็นอย่างดี ซึ่งนอกจากจะสร้างเสริมเศรษฐกิจ���ห้เติบโตอย่างยั่งยืนแล้ว ยังเกิดความร่วมมือระหว่างประเทศขึ้นมากมาย อีกทั้งผู้นำที่เข้าร่วมโปรแกรมที่ผ่านมาก็เติบโตเป็นข้าราชการระดับสูงของแต่ละประเทศ และผู้นำธุรกิจก็สามารถนำพาองค์กรให้เติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก ทำให้เกิดโอกาสของการผนึกกำลังสร้างเสริมเศรษฐกิจระดับภูมิภาคอย่างที่ประเมินค่าไม่ได้ ปีนี้จึงมีการขยายกลุ่มประเทศจากเดิมที่มีแค่ ประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม และไทย (CLMVT) ขยายไปสู่ประเทศใกล้เคียงซึ่งมีความสนใจเข้าร่วมมาก อย่างประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ (CLMVT+) โดยผู้นำที่เข้าร่วมจะถูกคัดเลือกจากคุณสมบัติที่เหมาะสม และเชิญให้เข้าร่วมโปรแกรมฝึกอบรมแบบเฉพาะบุคคล ซึ่งจะมีทั้งผู้บริหารทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ รวมถึงเป็นโอกาสสร้างเครือข่ายธุรกิจระหว่างกัน เพื่อผนึกกำลังความร่วมมือและเสริมสร้างพลังในการแข่งขันบนเวทีการค้าโลก โดยในปีนี้ CLMVT Plus Executive Program on New Economy 2019 เน้นที่การสร้างศักยภาพทางการแข่งขันการค้าโลกด้วย ASEAN Branding ซึ่งได้ศาสตราจารย์ M.S.Krishnan จากมหาวิทยาลัย Michigan Ross ผู้เขียนหนังสือ "The New Age of Innovation: Driving Co-Created Value with Global Networks" ที่นิตยสาร The Economist และ BusinessWeek ยกย่องให้เป็นหนังสือนวัตกรรมที่ดีที่สุดในปี 2008 ซึ่งจะมาช่วยฝึกอบรมในหัวข้อ "Driving International Growth" และยังมีศาสตราจารย์ Len Middleton จากมหาวิทยาลัย Michigan Ross ซึ่งเชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์การลงทุนของภาคเอกชน ตลอดจนการพัฒนาและการระดมทุนของบริษัทสตาร์ทอัพที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง โดยจะเข้ามาสอนในหัวข้อ "Building the ASEAN Brand" เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นและเปิดโลกการสื่อสารด้านการสร้างแบรนด์ให้กับกลุ่มประเทศอาเซียน ตลอดจนการสร้างพันธมิตรด้านนวัตกรรม รองรับการเติบโตในยุคดิจิทัล นอกจากนี้ยังมีผู้เชี่ยวชาญระดับโลกอีกหลายสาขา ที่จะเข้าร่วมให้ความรู้ในหัวข้อต่างๆ ทั้งการสร้างพันธมิตรเพื่อการเติบโต การเรียนรู้แนวความคิดดิจิทัล ตลอดจนการออกแบบแนวทางการแข่งขันแบบก้าวกระโดด ด้วยการเรียนรู้จากบทเรียนของบริษัทชั้นนำระดับโลก ตลอดจนการเรียนรู้เพื่อทะลายกำแพงการค้าระหว่างประเทศยุคเก่า สู่โอกาสของการค้าอีคอมเมิร์ซในยุคดิจิทัล ทั้งนี้โครงการ CLMVT Plus Executive Program on New Economy 2019 ได้คัดเลือกผู้นำทั้งภาครัฐและเอกชนที่จะเข้าร่วม ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการกลั่นกรองมาเป็นอย่างดี โดยจะจัดการฝึกอบรมระหว่างวันที่ 3-7 สิงหาคม 2562 นี้ ณ โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน กรุงเทพ ประเทศไทย ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการค้ายุคใหม่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ Read the full article
0 notes
thereporterasiastuff-blog · 6 years ago
Text
AIS Academy ต่อจุดภารกิจ 'คิดเผื่อ' ปรับสปีดธุรกิจไทย
Tumblr media
AIS Academy นำทัพวิทยากรจากองค์กรชั้นนำของไทยและนานาชาติ ทั้ง Google Cloud, IBM, Amazon, ไทยคม และ The Standard ร่วมเปิด “ภารกิจคิดเผื่อ” สุดยิ่งใหญ่ กับงาน AIS ACADEMY for THAIs: to the Region องค์ความรู้ สู่ภูมิภาค ครั้งแรกของภูมิภาค ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเตรียมความพร้อมปรับในการเปลี่ยนธุรกิจ (Business Transformation) และถ่ายทอดเคล็ดลับนอกตำราเรียนจากประสบการณ์ตรงในการนำ Big Data มาช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจให้เติบโต โดยตลอดการจัดงาน ได้รับความสนใจจากเหล่าผู้ประกอบการ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนนักศึกษา และประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่และพื้นที่ใกล้เคียง เข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง ณ โรงแรมแชงกรี-ลา จ.เชียงใหม่
Tumblr media
นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล เอไอเอส นางสาวกานติมา เลอเลิศยุติธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล เอไอเอส กล่าวถึงภารกิจคิดเผื่อ ครั้งที่ 3 ในงาน ACADEMY for THAIs: to the Region จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งนี้ว่า “ภารกิจนี้ ได้รับการต้อนรับจากพี่น้องชาวเชียงใหม่อย่างล้นหลาม โดยองค์ความรู้ที่เรานำมาถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดยเหล่าวิทยากรชั้นนำในครั้งนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมให้แก่ภาคธุรกิจในภูมิภาคได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น ประสบการณ์จากการทำ Business Transformation ที่เรานำมาแลกเปลี่ยนพูดคุยกัน จะเป็นส่วนช่วยเสริมทางเลือกในการต่อยอดภาคธุรกิจให้แข็งแกร่ง และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยได้อย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้น เพราะอย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่า จังหวัดเชียงใหม่ มีเศรษฐกิจที่เติบโตและมีศักยภาพสูง ด้วยองค์ประกอบที่เชื่อมโยงกันหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมทางโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การศึกษา ความพร้อมทางสภาพสังคม การท่องเที่ยว การคมนาคมขนส่ง และระบบสาธารณสุข ที่ได้มาตรฐานยอมรับในระดับสากล ซึ่งเชียงใหม่มีความพร้อมเป็นอีกเมืองหลักอันดับต้นๆ ของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ” สำหรับงาน AIS ACADEMY for THAIs: to the Region องค์ความรู้ สู่ภูมิภาค ภารกิจคิดเผื่อเพื่อคนไทย ในครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่เอไอเอส เชิญเหล่าวิทยากรชั้นนำของภาคธุรกิจไทยและระดับโลกไปพบกับชาวเชียงใหม่ถึงที่ เพื่อร่วมไขคำตอบของการเรียนรู้และลงมือทำ จนได้เป็นสูตร Business Transformation เพื่อให้ผู้ประกอบการในพื้นที่พร้อมรับมือกับความท้าทายของโลกยุคดิจิทัลและเห็นความสำคัญของการใช้ Data ในการต่อยอดธุรกิจ นำโดย Mr.Yuval Dvir, Global Head of Scaled Partnership, Google Cloud /
Tumblr media
กิตติพงษ์ อัศวพิชยนต์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจคลาวด์และซอฟท์แวร์โซลูชั่น บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด คุณกิตติพงษ์ อัศวพิชยนต์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจคลาวด์และซอฟท์แวร์โซลูชั่น บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด / คุณอนันต์ แก้วร่วมวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยคม / คุณสาโรจน์ ปุญญพัฒนกุล Solution Architect Manager, Amazon Web Services / คุณนครินทร์ วนกิจไพบูลย์ บรรณาธิการบริหารสำนักข่าว The Standard และ ดร.กวิณพงศ์ ฉัตรานนท์ หัวหน้าแผนกงานบริหารข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล Big Data เอไอเอส ซึ่งผู้สนใจสามารถลงทะเบียนร่วมงานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น “เราเชื่อโดยตลอดว่า การเติบโตแต่เพียงผู้เดียว หาใช่การเติบโตที่ยั่งยืน ในการจะพัฒนาทักษะ เสริมขีดความสามารถของบุคลากรให้มีคุณภาพนั้น จะต้องประกอบด้วยความรู้ของศาสตร์ในโลกยุคใหม่หลายๆ ด้าน เอไอเอส ในฐานะภาคเอกชน นอกจากทำหน้าที่ Operator อย่างดีที่สุดแล้ว เราจึงตั้งใจมุ่งมั่นในการเดินหน้า “ภารกิจคิดเผื่อ” เชื่อมโยงกับเครือข่ายที่มีอุดมการณ์เพื่อสังคมไทยด้วยกัน มาร่วมออกแบบองค์ความรู้ผ่านการจัดสัมมนา AIS Academy for Thais และพร้อมจะเป็นหน่วยเล็กๆ ที่จะร่วมเคลื่อนสังคมไทยอย่างสุดความสามารถเพื่อเร่งสร้างความพร้อมของสังคมให้มีแรงขับเคลื่อนพัฒนาประเทศไปด้วยกัน” นางกานติมา กล่าวทิ้งท้าย ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง AIS Academy for Thais Read the full article
0 notes
thereporterasiastuff-blog · 6 years ago
Text
APO to help Vietnam Develop Productivity Master Plan
Tumblr media
Asian Productivity Organization (APO) Secretary-General Dr. Santhi Kanoktanaporn, Vietnamese Minister of Science and Technology Chu Ngoc Anh, and Korea Development Institute (KDI) Executive Director Dr. Youngsun Koh attended a preliminary meeting in Hanoi, 26 July 2019, to discuss how to develop a National Productivity Master Plan for Vietnam. Others present included representatives of the International Cooperation Department, Department of Planning and Finance, Vietnam Academy of Science and Technology Innovation; Directorate for Standards, Metrology and Quality (STAMEQ); and Vietnam National Productivity Institute (VNPI). Secretary-General Dr. Santhi explained how the national productivity master plans had been developed for Bangladesh, Cambodia, and Fiji and the rationale for APO assistance to member countries in drafting those plans. He also reported on the APO Centers of Excellence (COE) in the ROC, India, and Singapore, stating that he was well aware that Vietnam hoped to establish a COE on Innovation in the future. The Secretary-General briefly introduced the KDI, which is ranked among the six most influential think tanks worldwide outside the USA and highly regarded among major Asian economies. Executive Director Dr. Koh described how the KDI expected to work with STAMEQ, the VNPI, Ministry of Science and Technology (MOST), and other major stakeholders to create an effective national master plan for Vietnam. Minister Chu thanked Dr. Santhi for the support of the APO, particularly for his direct personal support. He stated that, “The Government of Vietnam cares deeply about productivity and innovation, since they are two key factors in its socioeconomic development plan for 2020–2030. After setting up the Vietnam Academy for Science and Technology Innovation, conditions are favorable for the establishment of a COE on Innovation. STAMEQ, the VNPI, and the academy will cooperate closely to achieve that target.” Dr. Santhi emphasized that drafting a master plan accounted for only 15% of success, while implementing it effectively accounted for 85%. Minister Chu agreed with that statement, pointing out that all the stakeholders must collaborate for the plan to achieve the intended outcomes. The APO Secretary-General thanked STAMEQ Deputy Director General Dr. Ha Minh Hiep and VNPI Deputy Director Nguyen Thu Hien for arranging the meeting and hoped that they would continue working closely with MOST, the KDI, and APO on the development and eventual implementation of the master plan. Related link The Asian Productivity Organization (APO) Read the full article
0 notes
thereporterasiastuff-blog · 6 years ago
Text
เนคเทค เนรมิตรนวนครสู่นิคมอัจฉริยะ
Tumblr media
เนคเทค จัดทราฟฟี่ฟองดู เนรมิตรนิคมอุตสาหกรรม​นวนคร สู่การจัดการแบบอัจฉริยะ​ ด้วยแพลตฟอร์ม ทราฟฟี่ ผ่านแอปพลิเคชั่น ทราฟฟี่ฟองดู (Traffy fondue) ระบบแจ้งเรื่องผ่านแอปพลิเคชั่นพร้อมระบบไลน์แชตบอท ช่วยโต้ตอบ ส่งเรื่อง และสอบถามแบบอัตโนมัติ ลดคนดูแลและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการนิคมจากใช้เวลามากกว่าวันสู่รายชั่วโมง นายสุทธิ​พร จันทวานิช กรรมการผู้จัดการและรักษาการตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการด้านสาธารณูปโภค บริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน)​ เปิดเผยว่า เราพยายามพัฒนาระบบสาธารณูปโภค​ภายในนิคมอยู่แล้ว และก็ตั้งเป้าว่าจะสร้างให้เป็นนวนคร สมาร์ทซิตี้้ ให้ได้ในอนาคต และเนื่องจากเราเป็นนิคมอุตสาหกรรม​เก่าแก่ เราอยู่ร่วมกับชุมชนมานาน ซึ่งการดูแลซึ่งกันและกันทำให้เราอยู่ร่วมกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ เดิมทีเรามีการสร้างกลุ่มไลน์เพื่อดูแลและแจ้งเรื่องทั้งกลุ่มโรงงานและกลุ่มชุมชน แต่กระนั้นก็ยังยุ่งยากในการจัดการอยู่พอสมควรซึ่งต้องใช้้เวลาอีกกว่า 1 วันในการแก้ไขปัญหา
Tumblr media
นายสุทธิ​พร จันทวานิช กรรมการผู้จัดการและรักษาการตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการด้านสาธารณูปโภค บริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน)​ โดยเมื่อ เนคเทค เข้ามาติดต่อและแนะนำให้เราทำแอปพลิเคชันทราฟฟี่ฟองดู ทำให้เราสนใจในการสร้างระบบการรับเรื่องเพื่อปรับปรุงสาธารณูปโภค​ให้ดียิ่งขึ้น ผ่านการแจ้งเรื่องและจัดการด้วยแพลตฟอร์มทราฟฟี่ นอกจากนั้นเรายังมีการปรับปรุงระบบการสื่อสาร โดยเรามีการวางระบบไฟเบอร์ออพติกแล้วเสร็จในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งเฟสแรกเราจะเปลี่ยนผ่านให้โรงงานมาใช้ระบบไฟเบอร์ หลังจากนั้นจะเริ่มให้ชุมชนปรับเปลี่ยน แล้วนำสายสื่อสารเก่าลงจากเสาเพื่อให้ภูมิทัศน์สวยงามมากขึ้น เบื้องต้นมีการทดลองใช้ระบบแจ้งซ่อมของ ทราฟฟี่ ฟองดูมานานกว่า 2เดือนแล้วประทับใจ ทำให้เราทำงานได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น สามารถติดตามเรื่องแจ้งซ่อมและจัดการได้อย่างสะดวกภายในไม่กี่ชั่วโมง อีกทั้งยังมีระบบแชตบอทที่ช่วยตอบคำถามได้ทันที ไม่ต้องสิ้นเปลืองแรงงานนั่งตอบหรือรับเรื่องแจ้งซ่อมอีกต่อไป ด้านพนิตา พงษ์​ไพบูลย์​ รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์​แห่งชาติ (เนคเทค)​ กล่าวว่า หลังจากที���เราทดลองระบบในเทศบาลเมืองภูเก็ตแล้วได้รับผลตอบรับดีมาก ทำให้เราอยากต่อยอดมาสู่สถานที่อื่นๆเพื่อให้เกิดระบบบริหารจัดการเมืองที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นิคมอุตสาหกรรม​นวนคร ก็เป็นอีกหนึ่งแห่งที่มีความร่วมมือและพัฒนาระบบร่วมกับเนคเทค และนับเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในการใช้งาน ทราฟฟี่ฟองดู โดยเป็น 1 ใน 5 หน่วยงานที่จะได้รับคัดเลือกให้จัดแสดงผลงานในงาน Thailand​ Tech Show 2019 ที่จะจัดแสดงตัวอย่างโซลูชั่นสมาร์ทซิตี้และแพลตฟอร์มตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 5-6 กันยายน 2562 ณ เซ็นทรัลเวิร์ด​ กรุงเทพฯ ด้าน ดร.วสันต์​ ภัทรอธิคม นักวิจัยอาวุโสทีมวิจัยระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ​ เนคเทค กล่าวว่า ทราฟฟี่ฟองดู มีจุดเริ่มต้นมาจากการพัฒนาระบบการแจ้งขยะที่ได้ทดลองใช้ในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นระบบแพลตฟอร์มที่ให้ประชาชนเป็นผู้แจ้ง  จนเมื่อเกิดการแจ้งแล้ว ก็เริ่มมีเสียงตอบรับที่ดีมากและมีการเสนอแนะให้แจ้งอย่างอื่นเพิ่มได้ด้วย ทำให้เราพัฒนามาสู่การแจ้งเตือนการทำงานในส่วนต่างๆของเมืองมากขึ้น และพัฒนามาเป็นระบบแจ้งซ่อมและบริหารจัดการ ซึ่งช่วยให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้ง่ายขึ้นและประชาชนสามารถแจ้งเรื่องได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น
Tumblr media
ดร.วสันต์​ ภัทรอธิคม นักวิจัยอาวุโสทีมวิจัยระบบขนส่งและจราจรอัจฉริยะ​ เนคเทค อีกทั้งในด้านของข้อมูล ยังมีการจัดเก็บเพื่อประเมินประสิทธิภาพของการเกิดปัญหาในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้เกิดการเข้าใจและวางแผนการจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ภายใต้การประเมินของเอไอที่มีประสิทธิภาพ โดยปัจจุบันแอปพลิเคชั่น ทราฟฟี่ฟองดู มีความพร้อมในระบบแอนดรอยด์ ไอโอเอส และไลน์แชตบอท สามารถรองรับการใช้งานได้ทั้งระบบการจัดการสาธารณูปโภค ทั้งรูปแบบอบต เทศบาล นิคมอุตสาหกรรม​หรือแม้กระทั่งหมู่บ้านและคอนโด โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ด้านนายวรภพ จารุศร ผู้อำนวยการฝ่าย​พัฒนา​ธุรกิจ​บริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน)​ กล่าวว่า ระบบนี้ช่วยทำให้ผู้แจ้งซ่อมสามารถส่งเริ่องตรงเข้าระบบการรับเรื่องได้ทันที ทำให้ประหยัดค่าใข้จ่ายและเรื่องการทำเอกสารได้เยอะมาก อีกทั้งจากเดิมต้องใช้เวลามากกว่า 1 วันในการรับเรื่องซ่อมและดำเนินงาน ทำให้เราสามารถจัดการได้ในทันทีภายในไม่กี่ชั่วโมง ขณะที่จุดเด่นอีกอย่างคือการใข้ไลน์บอท ซึ่งมีบทบาทเข้ามาช่วยการตอบข้อซักถามและทักทาย ตลอดจนสอบถามปัญหาเบื้องต้นอย่างอัตโนมัติ ทำให้เราไม่เกิดปัญหานักเลงคีย์บอร์ด​แบบไลน์กลุ่มเดิม หรือแม้กระทั่งต้องใช้คนเข้ามาประจำเพื่อตอบไลน์กลุ่ม ไลน์บอทจะเข้ามาช่วยทำจุดนี้แบบอัตโนมัติ​ในทันที และยังส่งข้อมูลเข้าไปในส่วนที่เกี่ยวข้องทันที เพื่อให้เราสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันที ช่วยลดต้นทุนทั้งเงินและเวลาได้เป็นอย่างมาก โดยปัจจุบันนิคมเรามีสมาชิกจากโรงงานกว่า 426 คน ราว 200 กว่าโรงงาน การจัดการผ่านทราฟฟี่ฟองดูทำให้เกิดความสะดวกมากยิ่งขึ้น และตอบสนองการซ่อมแซมได้ทันที
Tumblr media
นายวรภพ จารุศร ผู้อำนวยการฝ่าย​พัฒนา​ธุรกิจ​บริษัท นวนคร จำกัด (มหาชน) โดยระบบจะแสดงขั้นตอนการดำเนินงาน ว่าถึงกระบวนการไหนแล้ว ผู้แจ้งสามารถตรวจสอบขั้นตอนได้ นอกจากนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถ​เข้าตรวจสอบและดำเนินการได้ทันทีจากเรื่องที่แจ้งเข้ามา ทำให้เราสามารถจัดการได้อย่างเป็นระบบและรวดเร็วยิ่งขึ้น ขณะที่การจัดการหลังบ้าน ยังมีการจัดการระบบระดับการเข้าถึงของการทำงานตามส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้สามารถเข้าถึงได้เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้นจริงๆ ซึ่งปลอดภัยจากนักเลงคีย์บอร์ด​ อีกทั้งยังมีการรายงานภาพรวมให้ผู้บริการได้รับทราบแบบรายวัน รายเดือนและรายปีอีกด้วย ด้าน ดร.วสันต์ ​กล่าวเสริมว่า ในอนาคตจะมีการพัฒนาเรื่องภาษาให้เหมาะสมกับแต่ละประเทศมากขึ้น เพื่อขยายบริการออกไปสู่ต่างประเทศ อีกทั้งยังจะมีระบบการให้คะแนนเพื่อสร้างกำลังใจและสนับสนุนการทำงาน หรือวัดผลการดำเนินงานของทีมแก้ปัญหา อีกทั้งในอนาคตจะมีการรายงานปัญหาในภาพรวมและแนะนำแนวทางการแก้ปัญหาด้วยเอไออีกด้วย ทั้งนี้ นวนคร ร่วมมือในการพัฒนาแอปพลิเคชั่นเป็นระยะเวลาราว 3เดือน ในการสร้างแอปที่ตรงความต้องการนิคมมากที่สุด และเริ่มใช้งานมาแล้วราว 2 เดือน จนทำให้เกิดการเพิ่มไลน์แชตบอทในระบบเพื่อจัดการส่งเรื่องและสอบถามเบื้องต้นด้วนเอไอแทนการใช้มนุษย์ และเมื่อสร้างระบบเสร็จ ก็ยังสามารถใช้งานได้ด้วยการอบรมเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น หน่วยงานที่สนใจจะใช้แอปพลิเคชั่น ทั้งนิติบุคคล อบต. องค์กรท้องถิ่นที่ต้องการระบบจัดการสาธารณูปโภค เข้าช่วยจัดการภายในสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นทราฟฟี่ฟองดูได้ฟรี หรือหากต้องการคำแนะนำ สามารถติดต่อไปได้ที่้เนคเทค เพื่อยกระดับการจัดการชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ลิงค์ที่​เกี่ยวข้อง ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์​แห่งชาติ (Nectec) Read the full article
0 notes
thereporterasiastuff-blog · 6 years ago
Text
Ripple Expands Blockchain Program to Japan
Tumblr media
Ripple is announcing the University Blockchain Research Initiative (UBRI) has expanded its global presence to Japan, bringing on new partners including Kyoto University and the University of Tokyo. This global initiative now supports 33 university partners to further accelerate academic research, technical development and innovation in blockchain, crypto assets and digital payments. Ripple has already seen cross-departmental collaboration and academic activity among faculty, post-doctoral, graduate and undergraduate students from its new partners. For example, Kyoto University’s Graduate School of Advanced Integrated Studies in Human Survivability is hosting workshops and funding research projects based on interdisciplinary approach including engineering, business and public policy in order to address global issues. Currently, several graduate students are researching the application of blockchain technology to remittance by migrant workers, digital identity management for refugees and supply chain management for Kyoto's traditional industry. The University of Tokyo’s Department of Economics is arranging open seminars related to blockchain and settlement for the public. In addition, professors within the department are conducting research projects on related topics such as the evolving financial system and frameworks on regulation and supervision of the financial industry’s utilization of crypto assets and blockchains. As part of its commitment to nurturing the future generation of innovators, the University of Tokyo will also award scholarships to students involved in the research. “University partners will continue to increase positive awareness of the transformative impact that blockchain technology will have across various industries. As the industry matures, the academic community plays a pivotal role in paving the road for innovative companies and entrepreneurs leveraging blockchain technologies and digital assets,” said Eric van Miltenburg, SVP of Global Operations at Ripple. “Expanding the UBRI network across the globe to a wide range of university partners will only continue to promote and accelerate the development of blockchain technology and use cases.” These programs, driven by the university partners, are poised to prepare the next generation of engineers, business leaders, entrepreneurs and other professionals to apply these technologies in practice. As globalization increases, so does the demand for technological solutions and talent to solve the world’s hardest financial problems, especially in core focus regions like Japan. “Japan is quickly becoming a leading force in crypto assets and blockchain. The region has always been forward thinking and exploring ways to improve the current financial system,” said Emi Yoshikawa, Senior Director of Global Operations at Ripple. “We have seen high levels of interest from the academic community on topics around blockchain and crypto. Ripple is committed to engaging and inspiring students to become part of the workforce of the future, across areas such as blockchain, distributed computing, banking and fintech.” UBRI has partnered with the world’s top universities to support on research, curricula development, conferences and events, and scholarships. Each university partner determines its own research topics and areas of focus. In addition to providing financial resources, Ripple is committed to collaborating with universities by providing subject matter expertise and technical resources as needed. Related Link Ripple Read the full article
0 notes
thereporterasiastuff-blog · 6 years ago
Text
เร้ดแฮท เผย Open Innovation Labs ช่วยองค์กรสำเร็จเร็วขึ้น
Tumblr media
เร้ดแฮท อิงค์ ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชั่นโอเพ่นซอร์ส เปิดเผยข้อมูลว่าองค์กรในเอเชียแปซิฟิกหันมาใช้นวัตกรรมรูปแบบเปิดมากขึ้น เพื่อเร่งให้เกิดผลลัพธ์ต่างๆ ในการดำเนินธุรกิจได้เร็วขึ้น เห็นได้จากการที่ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ เช่น ออสเตรเลีย ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และ สิงคโปร์ เข้าร่วมโปรแกรม Red Hat Open Innovation Labs นายจอห์น อัลเลซโซ, รองประธานอาวุโส และ ผู้จัดการทั่วไปของการบริการทั่วโลก, Red Hat กล่าวว่า องค์กรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต่างเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการนำนวัตกรรมมาปรับใช้ให้เข้ากับ DNA ขององค์กร ซึ่งจะช่วยให้องค์กรเหล่านี้สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว พร้อมต่อกรกับความท้าทายในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่สามารถช่วยให้องค์กรต่างๆ นำแนวท���งการทำงานระบบเปิดของเรา ไปใช้สร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพสูงและบริหารจัดการงานต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยให้องค์กรธุรกิจจัดการกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้อย่างคล่องตัวและคว้าโอกาสใหม่ๆ ที่มีเข้ามาได้อย่างทันท่วงที Red Hat Open Innovation Labs เปิดตัวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเมื่อปี 2560 เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อมอบสภาพแวดล้อมในลักษณะที่มีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเสมือนนั่งทำงานอยู่ด้วยกันกับผู้เชี่ยวชาญและนักพัฒนาท่านอื่นๆ และมีประสบการณ์ร่วมกัน ซึ่งสภาพแวดล้อมลักษณะนี้จะช่วยให้เกิดการพัฒนา และการสร้างสรรค์นวัตกรรมได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างองค์กรที่เข้าร่วมโปรแกรมนี้ประกอบด้วย Heritage Bank (ออสเตรเลีย) The University of Adelaide (ออสเตรเลีย) National Stock Exchange of India (NSE) (อินเดีย) Fukuoka Financial Group (ญี่ปุ่น) ST Engineering (สิงคโปร์) สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ส่งผลให้องค์กรต่างต้องเร่งพัฒนาเพื่อตอบสนองต่อการขยายตัวของธุรกิจที่ผันผวนอย่างต่อเนื่อง และเพื่อไม่ให้ล้าหลังในอุตสาหกรรมของตน Red Hat Open Innovation Labs ช่วยให้องค์กรสามารถทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญของ Red Hat เพื่อแก้ไขปัญหา และตอบโจทย์ความท้าทายทางธุรกิจในรูปแบบเร่งรัดด้วยเทคโนโลยีโอเพ่นซอร์ส ภายในระยะเวลาตั้งแต่ 1-3 เดือน ผู้เข้าร่วมโครงการจะสามารถดำเนินงานได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบภายในสถานที่จริงของ Red Hat labs แบบผ่านทาง Pop-up lab หรือแม้แต่ในสำนักงานของลูกค้าเอง นายเวนย์ มาร์ชานท์, ซีไอโอ, Heritage Bank กล่าวว่า ลักษณะการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดใน Red Hat Open Innovation Labs เป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้ธุรกิจของเราเปลี่ยนแปลง โดยช่วยให้เราได้เข้าไปร่วมอยู่ในวัฒนธรรมการทำงานที่เป็นนวัตกรรม การใช้เครื่องมือด้านโอเพ่นซอร์ส มาเสริมสมรรถนะให้ทีมต่างๆ ทำงานร่วมกันเพื่อเป้าหมายเดียวกันได้ ช่วยให้เราคงความสามารถด้านนวัตกรรม และความสามารถในการนำเสนอบริการใหม่ต่างๆ ซึ่งสามารถเพิ่มประสบการณ์ที่ดี ให้กับลูกค้าได้ดีขึ้น ประสบการณ์ระหว่างการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดนี้เอง ที่จะทำให้ลูกค้าทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์ตรงในเรื่องของการเลือกใช้แนวทางในการพัฒนาด้านต่างๆ ได้อย่างคล่องตัว และรู้ถึงวัฒนธรรมการทำงานร่วมกันของนักพัฒนาโปรแกรม และคนที่นำโปรแกรมไปใช้งาน (DevOps) ในการแก้ปัญหาเดิมๆ ที่มีมานาน หรือจัดการความท้าทายใหม่ๆ เช่น การพัฒนาแอปพลิเคชั่นแบบคลาวด์-เนทีฟ ด้านนายโคจิ โยโกตะ, ผู้อำนวยการและเจ้าหน้าที่บริหาร, Fukuoka Financial Group, Inc เปิดเผยว่า กระบวนการพัฒนาแอปพลิเคชั่นแบบดั้งเดิมและการขาดทักษะของพนักงานในองค์กร เป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งเราให้ไม่สามารถคิดค้นนวัตกรรมให้ได้เร็วพอที่จะทันหรือล้ำหน้าคู่แข่ง และไม่ทันต่อความต้องการต่างๆ ของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เมื่อเราเข้าร่วมโปรแกรม Red Hat Open Innovation Labs เราได้เข้าไปอยู่ในวัฒนธรรมการทำงาน ที่เป็นนวัตกรรมแบบเปิด และการพัฒนาที่ทำได้อย่างคล่องตัว ซึ่งช่วยให้เราสามารถ เพิ่มมูลค่าทางธุรกิจและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็วอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งชาติของอินเดียเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ไม่เพียงแค่ปรับปรุงแอปพลิเคชั่นสำหรับ IPO แบบอิเล็กทรอนิกส์ให้ทันสมัยขึ้นได้ในระหว่างการเข้าร่วมโปรแกรมเท่านั้น แต่ยังสามารถปรับใช้กลยุทธ์ DevOps ที่ช่วยให้สามารถนำเสนอบริการรูปแบบใหม่ๆ ออกสู่ตลาดได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ Fukuoka Financial Group ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ได้นำ Red Hat Innovation Labs มาปรับใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันทางธุรกิจ ด้วยการเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นต่อการต่อยอดและพัฒนานวัตกรรมให้แก่พนักงานขององค์กร ลูกค้าทุกรายยังจะได้รู้เห็นและยอมรับด้วยตนเองว่า หลักการและวัฒนธรรมแบบเปิดต่างๆ ช่วยเร่งให้เกิดนวัตกรรมได้อย่างไร ผ่าน Red Hat Open Innovation Labs เช่น กรณีของ Heritage Bank ทีมงานของธนาคารได้เรียนรู้การนำหลักการของโอเพ่นซอร์สไปใช้ผสานการทำงานร่วมกับทีมต่างๆ ที่มีความรับผิดชอบแตกต่างกัน ได้เรียนรู้เทคโนโลยีและกระบวนการต่างๆ ระหว่างที่ทำงานร่วมกัน ปัจจุบันธนาคารจึงสามารถสนองตอบต่อความต้องการทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้อย่างรวดเร็ว และมอบประสบการณ์ที่ดีมากขึ้นให้ลูกค้า ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง เร้ดแฮท อิงค์ Read the full article
0 notes
thereporterasiastuff-blog · 6 years ago
Text
จาร์ตัน รุกตลาดบ้านอัจฉริยะเจาะกลุ่มผู้ใช้ยุคดิจิทัล
Tumblr media
จาร์ตัน ผู้ผลิตติดตั้งและส่งออกระบบบ้านดำเนินธุรกิจมาแล้วกว่า 40 ปี จนถึงรุ่นที่ 2 ของตระกูล ได้ปรับเข้าสู่ยุคดิสทรัปชันและนำเสนอผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม SMART HOME SOLUTION เพื่อตอบโจทย์บ้านยุคใหม่ โดยได้ทำตลาดมาแล้วระยะหนึ่งกับโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมระดับหรู จนล่าสุดพร้อมที่จะเจาะตลาดกลุ่มผู้ใช้ตามบ้านด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และสามารถตอบโจทย์ผู้ใช้งานยุคดิจิทัลได้เป็นอย่างดีตั้งเป้าการเติบโตในผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ไว้ที่ 25-30% จาร์ตัน กรุ๊ป เปิดดำเนินการมาแล้วกว่า 40 ปี ประกอบด้วยธุรกิจ 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ ระบบอุปกรณ์และการติดตั้งประตูหน้าต่างอลูมิเนียม, ระบบอุปกรณ์ห้องน้ำและอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้สูงอายุ, ระบบอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ประตูหน้าต่าง และนวัตกรรมระบบบ้านและอาคารอัจฉริยะ โดยปีที่ผ่านมาประสบความสำเร็จจากการรับงานก่อสร้างทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในโครการใหญ่ ๆ รวมไปถึงงานปรับปรุงอาคารเก่าให้กลายเป็นอาคารอัจฉริยะ "การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในระยะแรกสำหรับผู้บริโภคทั่วไปจะจัดจำหน่ายทางช่องทางออนไลน์ก่อนที่ JARTON.co.th, Lazada, Shopee และ JD Central ซึ่งจะเริ่มในเดือนสิงหาคมนี้ หลังจากนั้นจะเริ่มเปิดตัวที่ห้าง Moderntrade ทั่วประเทศต่อไป นอกจากนี้จะทำการเปิดตัวแอปพลิเคชัน JARTON Home อย่างเป็นทางการพร้อมกัน ซึ่งแอปดังกล่าวจะช่วยให้สามารถควบคุมอุปกรณ์ที่ใช้ระบบ Wi-Fi ได้เบ็ดเสร็จในแอปเดียว
Tumblr media
นายธีธัช จึงกานต์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท จาร์ตัน กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตติดตั้งและส่งออกระบบบ้านและอาคารครบวงจร (JARTON) กล่าวว่า สำหรับการรุกตลาดครึ่งปีหลัง จาร์ตันฯ จะมุ่งเน้นเจาะตลาด “ระบบบ้านและอาคารอัจฉริยะ” กับกลุ่มลูกค้าใช้งานในบ้านและคอนโดส่วนตัวที่ต้องการระบบ Wi-Fi Smart Home ที่ให้ความเสถียรสูงกว่าระบบทั่วไป ชนิดไม่ต้องซื้ออุปกรณ์ Gateway เพิ่มเติม ซึ่งในส่วนของตลาดเดิมที่เคยบุกไปแล้วจะยังคงให้ความสำคัญอยู่ โดยเฉพาะกลุ่ม Developer เจ้าของโครงการ และกลุ่ม Contractor ผู้รับเหมาก่อสร้างที่สนใจนำระบบบ้านและอาคารอัจฉริยะไปใช้อย่างจริงจัง JARTON Home ที่ใช้ระบบ Wi-Fi Smart Home แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มสินค้า ประกอบด้วย 1.กลุ่มรักษาความปลอดภัย อาทิ กุญแจดิจิตอล กล้องวงจรปิด สัญญาณกันขโมย ฯลฯ 2.กลุ่มอำนวยความสะดวก อาทิ สวิตช์ไฟอัจฉริยะ กล่องควบคุมรีโมท ฯลฯ 3.กลุ่มสุขภาพ อาทิ เครื่องฟอกอากาศ หุ่นยนต์ดูดฝุ่น ฯลฯ และ 4.กลุ่มไลฟ์สไตล์ อาทิ เครื่องอโรมาพร้อมลำโพง กระจกอัจฉริยะ ฯลฯ โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มรักษาความปลอดภัยจะเป็นใบเบิกทางในการทำตลาดให้กับลูกค้าเอ็นยูสเซอร์ "สำหรับจุดเด่นของแอปพลิเคชัน JARTON Home คือลูกค้าสามารถติดตั้งและใช้งานได้ง่ายๆ ด้วยตนเอง เพียงแค่เชื่อมต่อกับ Wi-Fi Router 2.4GHz ที่มีอยู่แล้ว จากนั้นดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน JARTON Home มาใช้งาน ซึ่งใช้ได้ทั้งบนระบบปฏิบัติการ IOS และ Android เพียงเท่านี้ก็ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ในบ้านผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือได้ทันที โดยบริษัทฯ พัฒนาแอปนี้มาได้ประมาณ 2 ปีแล้ว ใช้มาตรฐานของยุโรปในเรื่องความปลอดภัยส่วนบุคคล ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย และเข้ากับอเมซอนอเล็กซ่าได้ กูเกิลได้ เป็นโอเพ่นแพลตฟอร์ม"
Tumblr media
นายธีธัช กล่าวว่า ที่ผ่านมาสินค้าทุกกลุ่มภายใต้แบรนด์ของจาร์ตัน กรุ๊ป ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี อีกปัจจัยที่สำคัญคือการใส่ใจพัฒนาแอปลิเคชันเพื่อผู้ใช้งานอย่างต่อเนื่องและให้ความสำคัญกับทีม After service support แก่ลูกค้าของจาร์ตันทุกคนเสมอ ทั้งนี้ผู้สนใจรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ จาร์ตัน สามารถชมและทดลองสัมผัสสินค้าและนวัตกรรมอัจฉริยะได้อย่างใกล้ชิดในงาน “บ้านและสวนแฟร์ mid year 2019” ที่ศูนย์แสดงสินค้าไบเทค บางนา ระหว่างวันที่ 3 - 11 สิงหาคม 2562 นี้ บูธหมายเลข P57-57,P80-81 โดยจะได้พบกับผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ ต่างๆ ได้แก่ ระบบอุปกรณ์และการติดตั้งประตูหน้าต่างอลูมิเนียม ได้แก่ ตัวอย่างอุปกรณ์ติดตั้งประตู,หน้าต่างอลูมิเนียม สำหรับบ้านหรือโครงการต่างๆ, ระบบอุปกรณ์ห้องน้ำและอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้สูงอายุ ได้แก่ อุปกรณ์ราวจับ ราวพยุง ผู้สูงอายุ และอุปกรณ์สำหรับห้องน้ำ เช่น สายชำระ ก๊อกน้ำ ฝักบัว, ระบบอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ประตูหน้าต่าง ได้แก่ อุปกรณ์ประตู หน้าต่าง เช่น ลูกบิด บานพับ กุญแจล็อค, ระบบบ้านและอาคารอัจฉริยะ ได้แก่ JARTON Home อุปกรณ์ Wi-Fi Smart Home สำหรับบ้านและคอนโด และ JARTON Lock กุญแจดิจิตอลควบคุมรหัสผ่านมือถือได้จากทุกที่ทั่วโลกโดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เป็นต้น ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง บริษัท จาร์ตัน กรุ๊ป จำกัด Read the full article
0 notes
thereporterasiastuff-blog · 6 years ago
Text
AIS Knowledge Station รับ พระราชทานเกียรติบัตร
Tumblr media
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา พระราชทานเกียรติบัตร ห้องสมุดเฉพาะดีเด่น ภาคเอกชน ให้แก่ Knowledge Station ของ AIS ในโครงการประกวดห้องสมุดดีเด่น ประจำปี 2561 จัดโดย สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สำหรับรางวัลนี้ ได้พิจารณาคัดเลือกโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คัดเลือกห้องสมุดที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับจากหน่วยงาน ผู้บริหาร ผู้ใช้บริการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholder) ที่เกี่ยวข้อง ว่ามีความโดดเด่นและประสบความสำเร็จในด้านการบริหารจัดการ การบริการ ด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และการพัฒนาสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับห้องสมุดอื่นๆ ด้าน ดร.ปรง ธาระวานิช หัวหน้าสถาบันพัฒนาทรัพยากรบุคคล เอไอเอส (AIS Academy) กล่าวว่า นอกจากความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์บริการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าทุกกลุ่มแล้ว เอไอเอสยังให้ความสำคัญในด้านการพัฒนาบุคลากรด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาทักษะ ความรู้ใหม่ๆ ที่ผ่านมา เราจึงได้ออกแบบพื้นที่บริเวณชั้น 12 อาคาร AIS 1 ให้เป็น Knowledge Station เพื่อเป็นแหล่งค้นคว้าหาความรู้สำหรับชาวเอไอเอสทุกๆ คน โดยมีการอัปเดตหนังสือ นิตยสาร ฉบับภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ในลักษณะตัวเล่มหนังสือและแบบออนไลน์อยู่เป็นประจำ รวมทั้งยังได้จัดสภาพแวดล้อมให้เกิดบรรยากาศการเรียนรู้แบบสมัยใหม่ สามารถใช้เสียง หรือมีจุดบริการเครื่องดื่มและสามารถใช้ห้อง Meeting Room สำหรับการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิด สรรค์สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ หรือวางแผนการทำงานได้อย่างสะดวก เอไอเอสได้พัฒนา Digital Learning Platform ใช้ชื่อว่า " AIS LearnDi" ขึ้น สำหรับใช้เป็นช่องทางเรียนรู้บนโลกออนไลน์ ที่เปิดโอกาสให้พนักงานทุกระดับชั้นได้เลือกค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆ ซึ่งเป็นการทลายข้อจำกัดเรื่องเวลาและสถานที่ลงไปได้อย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้ยังมี Platform ที่ชื่อว่า AIS Read Di ที่ทำหน้าที่เสมือนห้องสมุดออนไลน์ อำนวยความสะดวกให้พนักงานเอไอเอสที่อยู่ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ได้เข้าถึงองค์ความรู้ผ่านช่องทางออนไลน์บนโทรศัพท์มือถือได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น นอกจากนี้ภายในแอปฯ ยังสามารถเลือกดูหนังสือที่น่าสนใจ และสามารถเลือกใช้บริการจอง / ยืมหนังสือจาก Knowledge Station ได้อีกด้วย “รางวัลที่เราได้รับในครั้งนี้ ถือเป็นกำลังใจให้เรามุ่งมั่นพัฒนา Knowledge Station ให้มีประสิทธิภาพ และเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือให้พนักงานของเอไอเอส มีความคิดสร้างสรรค์ มีแรงบันดาลใจ มีทักษะใหม่ๆ มากขึ้น เพื่อพัฒนาตัวเอง เพิ่มขีดความสามารถ ให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงบนโลกยุคดิจิทัลนี้ได้ต่อไป” ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง เอไอเอส Read the full article
0 notes
thereporterasiastuff-blog · 6 years ago
Text
โชคดี มีรถขับ กับทรูมูฟเอช ชวนลุ้นรับรถกระบะรวมกว่า 2 ล้าน
Tumblr media
ทรูมูฟเอช ร่วมกับ 4 พันธมิตร ได้แก่ บริษัท สมาร์ท เทเลบิช จำกัด, บริษัท ซัมวัน จำกัด, บริษัท เอ็นเค มัลติมีเดีย จำกัด และ บริษัท เซเวนตี้ คาแรคเตอร์ส จำกัด ชวนลูกค้าทรูมูฟ เอช ลุ้นรับรถยนต์ Toyota Hilux Revo Smart-Cab รุ่น Prerunner 2X4 2.4J Plus จำนวน 4 คัน มูลค่ารวมกว่า 2 ล้านบาท กับแคมเปญ “โชคดี มีรถขับ กับทรูมูฟ เอช” เพียงสมัครบริการเสริมดูดวงรายวันผ่านทาง SMS ร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 – 31 ธันวาคม 2562 ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง ทรูมูฟ เอช Read the full article
0 notes
thereporterasiastuff-blog · 6 years ago
Text
IHG รณรงค์ลดใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กเล็กในห้องน้ำ
Tumblr media
กลุ่มอินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ล กรุ๊ป (IHG) ผู้นำด้านธุรกิจการโรงแรมระดับโลก ล่าสุดประกาศว่า ห้องพักจำนวนกว่า 843,000 ห้องจากโรงแรมทั้งหมดในเครือ จะมีการเปลี่ยนของใช้และอุปกรณ์ในห้องน้ำทั้งหมดจากขนาดเล็กเป็นขนาดใหญ่ โดยตั้งเป้าให้สำเร็จภายในปี 2021 ทั้งนี้เพื่อยึดแนวทางความยั่งยืนในการรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการลดปริมาณของพลาสติก ซึ่งถือเป็นธุรกิจโรงแรมระดับโลกที่แรกที่ปฎิญานไว้ว่า โรงแรมทั้งหมดในเครือจะลดปริมาณของใช้และอุปกรณ์ขนาดเล็กในห้องน้ำ เป็นของใช้และอุปกรณ์ขนาดใหญ่ คีธ บาร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ กลุ่มอินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ล กรุ๊ป กล่าวว่า “การที่บริษัทในเครือกระตุ้นและท้าทายตัวเองด้วยการรับผิดชอบในการดำเนินธุรกิจนับเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งเรามีความเข้าใจอย่างดีถึงสิ่งที่คาดหวังของแต่ละกลุ่ม อาทิ แขกผู้เข้าพัก เจ้าของธุรกิจ พนักงานบริษัท นักลงทุน และซัพพลายเออร์ เป็นต้น การที่โรงแรมมากกว่า 5,600 แห่งจากทั่วโลกมีเป้าหมายเดียวกันที่จะเปลี่ยนไปใช้ของใช้และอุปกรณ์ขนาดใหญ่ขึ้นในห้องน้ำ ถือเป็นก้าวสำคัญครั้งยิ่งใหญ่ที่จะช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกและรักษาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน” “นับเป็นการเปลี่ยนแปลงอันดับ 3 ที่พวกเราได้ก้าวข้ามผ่านจุดสำคัญครั้งยิ่งใหญ่ และพวกเรามีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นผู้นำด้านธุรกิจการโรงแรม โดยตั้งเป้าให้เป็นมาตรฐานของทุกโรงแรมในเครือ IHG นอกจากพวกเราจะมีความหลงใหลในเรื่องของความยั่งยืนแล้ว พวกเรายังคงสานต่อด้วยการมองหาความแตกต่างในเชิงบวก ทั้งนี้เพื่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่นต่างๆ” ปัจจุบันโรงแรมในเครืออินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ล กรุ๊ป มีการใช้ของใช้และอุปกรณ์ขนาดเล็กในห้องน้ำโดยเฉลี่ย 200 ล้านชิ้นต่อปี โดยมาตรฐานใหม่นี้ได้เริ่มดำเนินการแล้วและตั้งเป้าให้สำเร็จภายในปี 2021 ซึ่งบริษัทคาดหวังที่จะได้เห็นปริมาณขยะพลาสติกที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้พันธสัญญาดังกล่าวเป็นการสานต่อจากเป้าหมายที่ IHG ตั้งเป้าไว้โดยให้โรงแรมในเครือหยุดการใช้หลอดพลาสติกภายในสิ้นปี 2019 และขณะนี้การลดปริมาณขยะพลาสติกอยู่ในระดับที่น่าพอใจ กลุ่มอินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ล กรุ๊ป ยังคงเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนระดับโลก FTSE4Good Index และล่าสุดได้เข้าร่วมโครงการนวัตกรรม Circular Economy 100 ของมูลนิธิ Ellen MacArthur Foundation เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับโลกโดยร่วมกับองค์กรอุตสาหกรรมด้านอื่นๆ
Tumblr media
โจ เมอร์ฟี่ ประธานโครงการนวัตกรรม Circular Economy 100 ของมูลนิธิ Ellen MacArthur Foundation กล่าวว่า “พวกเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ กลุ่มอินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ล กรุ๊ป มีความมุ่งมั่นลดปริมาณขยะพลาสติกโดยยึดหลักตามพันธสัญญาใหม่นี้ และการทำให้โครงการนวัตกรรม Circular Economy 100 ประสบความสำเร็จได้นั้น ถือเป็นการเด��นทางที่ท้าทาย แต่เราเชื่อมั่นว่า หากพวกเราร่วมมือกันเราจะสามารถหาแนวทางแก้ไขเพื่อลดปริมาณขยะ การนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นมาใหม่” รับประกันคุณภาพประสบการณ์การเข้าพักของลูกค้า สำหรับการเปลี่ยนไปใช้ของใช้และอุปกรณ์ขนาดใหญ่ในห้องน้ำ ทางกลุ่มได้มีการทดลองและทดสอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเข้าพักแบบมาทำงานหรือแบบพักผ่อน แขกที่มาเข้าพักในโรงแรมล้วนใส่ใจด้านความยั่งยืนมากขึ้น โดยไม่กระทบต่อคุณภาพประสบการณ์ที่แขกจะได้รับ ซึ่งโรงแรมหลายโรงแรมในเครือ ประสบความสำเร็จและได้รับผลตอบรับที่ดีจากแขกที่เข้าพัก ทั้งด้านคุณภาพของของใช้และอุปกรณ์ในห้องน้ำ รวมถึงข้อเสนอที่เพิ่มขึ้น: ซิกเซนส์ โฮเต็ล รีสอร์ท สปา มอบคุณภาพของใช้และอุปกรณ์ในห้องน้ำ โดยเลือกสรรผู้จำหน่ายอุปกรณ์เซรามิคที่สามารถเติมรีฟิลได้และมีคุณภาพ เหมาะกับอสังหาฯที่มีความหรูหรา ในขณะที่ คิมป์ตัน โฮเต็ล แอนด์ เรสเตอรองส์ ได้เริ่มเปลี่ยนไปใช้ของใช้และอุปกรณ์ขนาดใหญ่ในห้องน้ำแล้ว ส่วนโรงแรมโวโค่™, อีเว้น® โฮเต็ล และโรงแรมเอวิด™ มีการใช้ของใช้และอุปกรณ์ขนาดใหญ่ในห้องน้ำแล้วเช่นกันตั้งแต่เปิดตัว ด้วยการทำงานอย่างใกล้ชิดกับซัพพลายเออร์เพื่อมอบคุณภาพอุปกรณ์ของใช้ที่สามารถเติมรีฟิลได้ ฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส® มากกว่า 1,000 แห่งในสหรัฐอเมริกา ได้มีการดำเนินการเปลี่ยนแปลงแล้วเช่นกัน ซึ่งรวมไปถึงโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท® และโรงแรมแคนเดิลวูด สวีท® ในภูมิภาคดังกล่าว ร่วมรณรงค์ลดการใช้พลาสติก เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2018 กลุ่มอินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ล กรุ๊ป ประกาศให้ทุกโรงแรมในเครือเลิกใช้หลอดพลาสติกภายในปี 2019 เนื่องจากในแต่ละปีปริมาณขยะจากหลอดพลาสติกมากกว่า 50 ล้านหลอด จากโรงแรมในเครือ ซึ่งถือเป็นปริมาณขยะที่เยอะมากเทียบเท่ากับระยะทางจากนิวยอร์กถึงโตเกียว โรงแรมโวโค่ ในเครือ IHG ร่วมรณรงค์ลดการใช้พลาสติก โดยเปลี่ยนมาใช้ผ้านวมและหมอนที่ทำจากวัสดุรีไซเคิล 100% ซึ่งจะสามารถช่วยลดปริมาณขยะจากขวดพลาสติกได้ถึง 150 ขวด จากห้องพักโรงแรมหนึ่งห้องที่จะถูกนำไปกำจัดโดยการฝังกลบดิน
Tumblr media
ร่วมมือกันสร้างความแตกต่างให้กับชุมชนท้องถิ่น ด้วยความร่วมมือระหว่างสมาคมผู้ถือหุ้น กลุ่มอินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ล กรุ๊ป ในการเปิดตัว The Renovation Donation Initiatives ทำให้โรงแรมในเครือ IHG ในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา สามารถช่วยให้การจัดการพวกเฟอร์นิเจอร์ เครื่องติดตั้ง รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ของโรงแรมนั้นมีความง่ายยิ่งขึ้นขณะปรับปรุง โดยบริจาคให้กับองค์กรไม่แสวงผลกำไร เช่น United Way Worldwide และ Good360 ลดปริมาณขยะเพื่อความยั่งยืนในอนาคต โปรแกรม IHG Green Engage เป็นโปรแกรมออนไลน์เพื่อสร้างความยั่งยืนโดยการแนะแนวโรงแรมในเครือกลุ่มอินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ล กรุ๊ป ทั่วโลก ให้มีวิธีการบริหารจัดการขยะได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นวิธีการการจัดเก็บ การจัดการ การรีไซเคิลและการทิ้งขยะทั้งภายในและภายนอกโรงแรม เพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและลดค่าใช้จ่ายของโรงแรมให้มากที่สุด โรงแรมต่างๆ ในเครือจะร่วมมือกับบริษัท Winnow ซึ่งเป็นบริษัทที่ชนะรางวัล The Guardian Sustainable Business ที่มีเป้าหมายในการเอาชนะขยะอาหารด้วยเทคโนโลยี โดยโรงแรมในเครือกลุ่มอินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ล กรุ๊ป จะนำเทคโนโลยีนี้มาใช้เพื่อตรวจสอบวัดปริมาณ เพื่อลดปริมาณขยะอาหาร สร้างความยั่งยืน และประสิทธิภาพในการบริหารจัดการร้านอาหารและบาร์ในโรงแรม โดยเทคโนโลยีของ Winnow นี้ จะสามารถช่วยลดประมาณขยะอาหารได้ถึง 30% ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง กลุ่มอินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ล กรุ๊ป Read the full article
0 notes
thereporterasiastuff-blog · 6 years ago
Text
ดีอี เตรียมตั้ง ศูนย์เฟคนิวส์เซ็นเตอร์ เร่งกวาดล้างข่าวลวง
Tumblr media
กระทรวงดิจิทัลฯ บูรณาการกว่า 15 หน่วยงาน เดินหน้านโยบายเร่งด่วนด้านดิจิทัลเพื่อความมั่นคง หาแนวทางในการจัดตั้ง ศูนย์เฟคนิวส์เซ็นเตอร์ (Fake News Center) ภายใน 3 เดือน เน้นสื่อสารข่าวการเตือนภัยพิบัติและข่าวลวงที่กระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และลดความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งปรากฏเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่า การประชุมหารือเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาข่าวปลอม (Fake News) ว่าเป็นการเร่งรัดนโยบายด้านการส่งเสริมความมั่นคงทางด้านดิจิทัล มุ่งเน้นด้านการเผยแพร่ข่าวสารที่ถูกต้อง โดยจะตั้งหน่วยงาน ศูนย์เฟคนิวส์เซ็นเตอร์ (Fake News Center) เน้นสื่อสารข่าวการเตือนภัยพิบัติและข่าวลวงที่กระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ การหลอกลวงให้ลงทุน การขายสินค้าอันตรายและผิดกฎหมาย เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และลดความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งปรากฏเป็นข่าวตามสื่อต่าง ๆ รวมถึงเร่งรัดหามาตรการในการจัดการกับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านต่าง ๆ กับภารกิจด้านการรักษาความปลอดภัยในโลกดิจิทัลและอาชญากรรมออนไลน์ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 กับกรณีศึกษาการใช้ Social Media ในบริบทของประเทศไทย เนื่องจากในปัจจุบันมีผู้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยโทรศัพท์มือถือสูงถึง 180% ของประชากร และมีการใช้สื่อ Social Media สูงมาก โดยมีผู้ใช้งาน Facebook สูงสุดถึง 54 ล้านคน Line 42 ล้านคน Twitter 12 ล้านคน ซึ่งการใช้สื่อ Social Media ของประชาชนดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความท้าทายต่อสภาพเศรษฐกิจ สังคม ศีลธรรม วัฒนธรรมและประเพณี และมีความขัดแย้งต่อกฎหมายและกฎระเบียบของประเทศไทยในหลายกรณี ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กฎหมายอาญาว่าด้วยการหมิ่นประมาท กฎหมายด้านการจัดเก็บภาษี กฎหมายด้านทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น
Tumblr media
“ผมจะมุ่งเน้นการขับเคลื่อนงานจัดตั้งศูนย์เฟคนิวส์เซนเตอร์ (Fake news Center) จะต้องหามาตรการและแนวทางในการจัดการกับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านต่างๆ ในครั้งนี้ โดยจะได้หารือร่วมกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ต่าง ๆ กว่า 15 หน่วยงาน อาทิ กรมสรรพากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สํานักข่าวกรองแห่งชาติ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กระทรวงกลาโหม กองทัพบก ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ และ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นการหาทางร่วมมือกันทำงาน ทุกหน่วยงานจะมาร่วมสะท้อนแนวคิดการขับเคลื่อนของประเทศไทย เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาการใช้สื่อ Social Media ที่มีคุณภาพและมีความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อให้ผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ได้เข้าใจบริบทของสังคมไทย และร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการกระทำความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย โดยในบริบทของประเทศไทย ควรมีแนวทางในการสร้างความร่วมมือและการมีส่วนร่วมในการดูแลสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ตลอดจนความมั่นคงของประเทศไทย โดยเฉพาะการปฏิบัติตามกฎหมายไทย เพื่อเป็นการปกป้องเด็กและเยาวชน ผู้ด้อยโอกาส ประชาชนทั่วไป และเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และความมั่นคงของประเทศโดยรวม” นายพุทธิพงษ์ กล่าว “ด้วยปัจจุบันพฤติกรรมการบริโภคข่าวสารของพี่น้องประชาชนเปลี่ยนแปลงจากยุคก่อนสมัยก่อนมาก ประชาชนใช้เวลาในการเข้าถึงข่าวสารได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว จากสื่อออนไลน์ช่องทางต่างๆ กระทรวงดิจิทัลฯ ตั้งใจบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจะตั้งคณะกรรมการโดยมีตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อทำงานและศึกษาถึงกรอบแนวทางการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับ พรบ. กฎหมายต่างๆทึ่แต่ละหน่วยงานถืออยู่ เพื่อผลักดันให้เกิดศูนย์เฟคนิวส์เซ็นเตอร์ (Fake News Center) อย่างเป็นรูปธรรมภายใน 3 เดือนหลังจากนี้ ซึ่งผมเชื่อว่าศูนย์ฯดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เพราะปัจจุบันมีความเข้าใจผิด กระแสข่าวลวงเกิดขึ้นต่อเนื่องทุกวัน ส่งผลกระทบต่อประชาชนมาโดยตลอด” นายพุทธิพงษ์ กล่าว กระทรวงดิจิทัลฯ สรุปประเด็นต่าง ๆ ที่พบการกระทำความผิดบนสื่อสังคมออนไลน์ ที่มีผู้เสียหายแจ้งความต่อทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประกอบด้วย เรื่องที่ 1 การใช้ Social Media เป็นองค์ประกอบการกระทำความผิดตามกฎหมายไทย / กฎหมายนานาชาติ (เชื่อมโยงการใช้งาน/ปรากฏเนื้อหา ข้อความ ภาพเคลื่อนไหว หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านทาง Social Media) ได้แก่ (1) การก่อการร้ายสากล / ปัญหาชายแดนภาคใต้ (2) ความรุนแรงสุดโต่ง (3) ยาเสพติด (4) การลามกอนาจาร / เด็กและเยาวชน (5) อาหาร ยา วัตถุอันตราย เครื่องสำอาง (6) การจัดเก็บภาษี (7) ทรัพย์สินทางปัญญา (8) สินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายอื่น (9) ความมั่นคงของประเทศ (10) ความสงบเรียบร้อยของสังคม / ขัดศีลธรรมอันดี
Tumblr media
เรื่องที่ 2 การหามาตรการในการจัดการกับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านต่างๆ ได้แก่ (1) พฤติกรรมที่รุนแรงและเกี่ยวกับอาชญากรรม ความรุนแรงและการยุยง บุคคลและองค์กรที่เป็นอันตราย การส่งเสริมหรือการเผยแพร่อาชญากรรม การร่วมมือกันทำอันตราย สินค้าควบคุม (2) ความปลอดภัย อาทิ การฆ่าตัวตายและการทำร้ายตัวเอง ภาพโป๊เปลือยของเด็ก และการแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็ก การแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากผู้ใหญ่ การข่มเหง รังแกและการก่อกวน การละเมิดความเป็นส่วนตัวและสิทธิความเป็นส่วนตัวของรูปภาพ เรื่องล่อหลอกให้ถูกโจรกรรมทรัพย์สิน (3) เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม อาทิ คำพูดที่แสดงความเกลียดชัง เนื้อหารุนแรงและโจ่งแจ้ง เนื้อหาที่เข้าข่ายหมิ่นประมาทบุคคลอื่น ภาพโป๊เปลือยของผู้ใหญ่และกิจกรรมทางเพศ การชักชวนทางเพศ ความรุนแรงและการทำร้ายจิตใจ (4) การหลอกลวง และ Fake News อาทิ สแปม การบิดเบือนความจริง ข่าวปลอม การล่อหลอก Fake Account (5) การเคารพทรัพย์สินทางปัญญา (6) คำขอที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา อาทิ คำขอจากผู้ใช้ มาตรการป้องกันเพิ่มเติมสำหรับผู้เยาว์ และ (7) ความสงบเรียบร้อยของสังคม อาทิ สถาบันหลักของประเทศ และการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นต้น นายพุทธิพงษ์ กล่าวถึงกระบวนการทำงานของ ศูนย์เฟคนิวส์เซ็นเตอร์ จะต้องมีการดำเนินการให้มีความรวดเร็ว ตรวจสอบให้ได้รับรู้ถึงความถูกต้องและมีวิธีการบริหารจัดการข่าวปลอมให้ได้เร็วที่สุด โดยจะมีทีมงานติดตามและคัดกรองข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ มีคณะทำงานตรวจสอบข้อมูลข่าวสารที่มีแนวโน้มเป็นข่าวปลอม ทีมงานดำเนินขั้นตอนการตอบโต้ข่าวสารปลอม และเผยแพร่ข่าวสารที่ถูกต้อง ตลอดจนคณะทำงานประสานตรวจสอบข้อมูลและจัดทำข้อมูลที่ถูกต้อง ท้ายนี้กระทรวงดิจิทัลฯ ในฐานะหน่วยงานหลักที่มีหน้าที่รับผิดชอบภารกิจด้านการรักษาความปลอดภัย ในโลกดิจิทัลและอาชญากรรมออนไลน์ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ภารกิจตามนโยบายรัฐบาลดิจิทัล ภารกิจด้านการส่งเสริมและพัฒนาการใช้เทคโนโลยี รวมถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างสร้างสรรค์ จะต้องกลั่นกรอง สกัด เร่งรัดหามาตรการในการจัดการกับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านต่างๆ สิ่งที่มีผลกระทบในวงกว้าง ต่อความมั่นคงของประเทศ และสำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะต่อประชาชนนั้น ผมจะเร่งดำเนินการให้ออกมาเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด นายพุทธิพงษ์ ฯ กล่าว ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม Read the full article
0 notes
thereporterasiastuff-blog · 6 years ago
Text
ดีอี เตรียมตั้ง ศูนย์เฟคนิวส์เซ็นเตอร์ เร่งกวาดล้างข่าวลวง
Tumblr media
กระทรวงดิจิทัลฯ บูรณาการกว่า 15 หน่วยงาน เดินหน้านโยบายเร่งด่วนด้านดิจิทัลเพื่อความมั่นคง หาแนวทางในการจัดตั้ง ศูนย์เฟคนิวส์เซ็นเตอร์ (Fake News Center) ภายใน 3 เดือน เน้นสื่อสารข่าวการเตือนภัยพิบัติและข่าวลวงที่กระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และลดความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งปรากฏเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่า การประชุมหารือเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาข่าวปลอม (Fake News) ว่าเป็นการเร่งรัดนโยบายด้านการส่งเสริมความมั่นคงทางด้านดิจิทัล มุ่งเน้นด้านการเผยแพร่ข่าวสารที่ถูกต้อง โดยจะตั้งหน่วยงาน ศูนย์เฟคนิวส์เซ็นเตอร์ (Fake News Center) เน้นสื่อสารข่าวการเตือนภัยพิบัติและข่าวลวงที่กระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ การหลอกลวงให้ลงทุน การขายสินค้าอันตรายและผิดกฎหมาย เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และลดความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งปรากฏเป็นข่าวตามสื่อต่าง ๆ รวมถึงเร่งรัดหามาตรการในการจัดการกับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านต่าง ๆ กับภารกิจด้านการรักษาความปลอดภัยในโลกดิจิทัลและอาชญากรรมออนไลน์ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และ���ี่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 กับกรณีศึกษาการใช้ Social Media ในบริบทของประเทศไทย เนื่องจากในปัจจุบันมีผู้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยโทรศัพท์มือถือสูงถึง 180% ของประชากร และมีการใช้สื่อ Social Media สูงมาก โดยมีผู้ใช้งาน Facebook สูงสุดถึง 54 ล้านคน Line 42 ล้านคน Twitter 12 ล้านคน ซึ่งการใช้สื่อ Social Media ของประชาชนดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความท้าทายต่อสภาพเศรษฐกิจ สังคม ศีลธรรม วัฒนธรรมและประเพณี และมีความขัดแย้งต่อกฎหมายและกฎระเบียบของประเทศไทยในหลายกรณี ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กฎหมายอาญาว่าด้วยการหมิ่นประมาท กฎหมายด้านการจัดเก็บภาษี กฎหมายด้านทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น
Tumblr media
“ผมจะมุ่งเน้นการขับเคลื่อนงานจัดตั้งศูนย์เฟคนิวส์เซนเตอร์ (Fake news Center) จะต้องหามาตรการและแนวทางในการจัดการกับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านต่างๆ ในครั้งนี้ โดยจะได้หารือร่วมกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ต่าง ๆ กว่า 15 หน่วยงาน อาทิ กรมสรรพากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สํานักข่าวกรองแห่งชาติ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กระทรวงกลาโหม กองทัพบก ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ และ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นการหาทางร่วมมือกันทำงาน ทุกหน่วยงานจะมาร่วมสะท้อนแนวคิดการขับเคลื่อนของประเทศไทย เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาการใช้สื่อ Social Media ที่มีคุณภาพและมีความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อให้ผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ได้เข้าใจบริบทของสังคมไทย และร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการกระทำความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย โดยในบริบทของประเทศไทย ควรมีแนวทางในการสร้างความร่วมมือและการมีส่วนร่วมในการดูแลสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ตลอดจนความมั่นคงของประเทศไทย โดยเฉพาะการปฏิบัติตามกฎหมายไทย เพื่อเป็นการปกป้องเด็กและเยาวชน ผู้ด้อยโอกาส ประชาชนทั่วไป และเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และความมั่นคงของประเทศโดยรวม” นายพุทธิพงษ์ กล่าว “ด้วยปัจจุบันพฤติกรรมการบริโภคข่าวสารของพี่น้องประชาชนเปลี่ยนแปลงจากยุคก่อนสมัยก่อนมาก ประชาชนใช้เวลาในการเข้าถึงข่าวสารได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว จากสื่อออนไลน์ช่องทางต่างๆ กระทรวงดิจิทัลฯ ตั้งใจบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจะตั้งคณะกรรมการโดยมีตัวแทนจากหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อทำงานและศึกษาถึงกรอบแนวทางการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับ พรบ. กฎหมายต่างๆทึ่แต่ละหน่วยงานถืออยู่ เพื่อผลักดันให้เกิดศูนย์เฟคนิวส์เซ็นเตอร์ (Fake News Center) อย่างเป็นรูปธรรมภายใน 3 เดือนหลังจากนี้ ซึ่งผมเชื่อว่าศูนย์ฯดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เพราะปัจจุบันมีความเข้าใจผิด กระแสข่าวลวงเกิดขึ้นต่อเนื่องทุกวัน ส่งผลกระทบต่อประชาชนมาโดยตลอด” นายพุทธิพงษ์ กล่าว กระทรวงดิจิทัลฯ สรุปประเด็นต่าง ๆ ที่พบการกระทำความผิดบนสื่อสังคมออนไลน์ ที่มีผู้เสียหายแจ้งความต่อทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประกอบด้วย เรื่องที่ 1 การใช้ Social Media เป็นองค์ประกอบการกระทำความผิดตามกฎหมายไทย / กฎหมายนานาชาติ (เชื่อมโยงการใช้งาน/ปรากฏเนื้อหา ข้อความ ภาพเคลื่อนไหว หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านทาง Social Media) ได้แก่ (1) การก่อการร้ายสากล / ปัญหาชายแดนภาคใต้ (2) ความรุนแรงสุดโต่ง (3) ยาเสพติด (4) การลามกอนาจาร / เด็กและเยาวชน (5) อาหาร ยา วัตถุอันตราย เครื่องสำอาง (6) การจัดเก็บภาษี (7) ทรัพย์สินทางปัญญา (8) สินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายอื่น (9) ความมั่นคงของประเทศ (10) ความสงบเรียบร้อยของสังคม / ขัดศีลธรรมอันดี
Tumblr media
เรื่องที่ 2 การหามาตรการในการจัดการกับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านต่างๆ ได้แก่ (1) พฤติกรรมที่รุนแรงและเกี่ยวกับอาชญากรรม ความรุนแรงและการยุยง บุคคลและองค์กรที่เป็นอันตราย การส่งเสริมหรือการเผยแพร่อาชญากรรม การร่วมมือกันทำอันตราย สินค้าควบคุม (2) ความปลอดภัย อาทิ การฆ่าตัวตายและการทำร้ายตัวเอง ภาพโป๊เปลือยของเด็ก และการแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเด็ก การแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากผู้ใหญ่ การข่มเหง รังแกและการก่อกวน การละเมิดความเป็นส่วนตัวและสิทธิความเป็นส่วนตัวของรูปภาพ เรื่องล่อหลอกให้ถูกโจรกรรมทรัพย์สิน (3) เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม อาทิ คำพูดที่แสดงความเกลียดชัง เนื้อหารุนแรงและโจ่งแจ้ง เนื้อหาที่เข้าข่ายหมิ่นประมาทบุคคลอื่น ภาพโป๊เปลือยของผู้ใหญ่และกิจกรรมทางเพศ การชักชวนทางเพศ ความรุนแรงและการทำร้ายจิตใจ (4) การหลอกลวง และ Fake News อาทิ สแปม การบิดเบือนความจริง ข่าวปลอม การล่อหลอก Fake Account (5) การเคารพทรัพย์สินทางปัญญา (6) คำขอที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา อาทิ คำขอจากผู้ใช้ มาตรการป้องกันเพิ่มเติมสำหรับผู้เยาว์ และ (7) ความสงบเรียบร้อยของสังคม อาทิ สถาบันหลักของประเทศ และการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นต้น นายพุทธิพงษ์ กล่าวถึงก��ะบวนการทำงานของ ศูนย์เฟคนิวส์เซ็นเตอร์ จะต้องมีการดำเนินการให้มีความรวดเร็ว ตรวจสอบให้ได้รับรู้ถึงความถูกต้องและมีวิธีการบริหารจัดการข่าวปลอมให้ได้เร็วที่สุด โดยจะมีทีมงานติดตามและคัดกรองข้อมูลข่าวสารที่เผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ มีคณะทำงานตรวจสอบข้อมูลข่าวสารที่มีแนวโน้มเป็นข่าวปลอม ทีมงานดำเนินขั้นตอนการตอบโต้ข่าวสารปลอม และเผยแพร่ข่าวสารที่ถูกต้อง ตลอดจนคณะทำงานประสานตรวจสอบข้อมูลและจัดทำข้อมูลที่ถูกต้อง ท้ายนี้กระทรวงดิจิทัลฯ ในฐานะหน่วยงานหลักที่มีหน้าที่รับผิดชอบภารกิจด้านการรักษาความปลอดภัย ในโลกดิจิทัลและอาชญากรรมออนไลน์ตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ภารกิจตามนโยบายรัฐบาลดิจิทัล ภารกิจด้านการส่งเสริมและพัฒนาการใช้เทคโนโลยี รวมถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างสร้างสรรค์ จะต้องกลั่นกรอง สกัด เร่งรัดหามาตรการในการจัดการกับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมในด้านต่างๆ สิ่งที่มีผลกระทบในวงกว้าง ต่อความมั่นคงของประเทศ และสำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะต่อประชาชนนั้น ผมจะเร่งดำเนินการให้ออกมาเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด นายพุทธิพงษ์ ฯ กล่าว ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม Read the full article
0 notes
thereporterasiastuff-blog · 6 years ago
Text
หัวเว่ย ประกาศรายได้ครึ่งปีแรก 62 โตขึ้น 23.2% จากปีก่อน
Tumblr media
หัวเว่ย ประกาศผลประกอบการธุรกิจในช่วงครึ่งแรก ปี 2562 ด้วยตัวเลขรายได้ 4.013 แสนล้านหยวน เพิ่มขึ้น 23.2% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และมีกำไรสุทธิ 8.7% นายเหลียง หัว ประธานกรรมการบริหารของ หัวเว่ย เผยว่า การปฏิบัติงานยังคงราบรื่นและองค์กรก็ยังคงดำเนินไปตามปกติดังเช่นเคย ด้วยการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพและผลประกอบการที่ดีเยี่ยมในทุกตัวชี้วัดทางด้านการเงินทั้งหมด ธุรกิจของหัวเว่ยยังคงแข็งแกร่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 กลุ่มธุรกิจเครือข่ายโทรคมนาคมของหัวเว่ย รายได้จากการขายในครึ่งแรกของปีสูงถึง 1.465 แสนล้านหยวน โดยมีการเติบโตที่มั่นคงในด้านการผลิตและจัดส่งอุปกรณ์สำหรับเครือข่ายไร้สาย การส่งสัญญาณผ่านสายออพติค การสื่อสารดาต้า ไอที และผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบัน หัวเว่ยมีสัญญา 5G เชิงพาณิชย์แล้ว 50 ฉบับ และได้จัดส่งสถานีฐานไปทั่วโลกแล้วกว่า 150,000 ชุด สำหรับกลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ของหัวเว่ย มีรายได้จากยอดขายในช่วงครึ่งแรกของปีอยู่ที่ 3.16 หมื่นล้านหยวน โดยหัวเว่ยยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์ ICT ของบริษัทในหลาย ๆ ด้าน อาทิ คลาวด์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) แคมปัสเน็ตเวิร์ค ดาต้าเซ็นเตอร์ อินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ (Internet of Things) และการประมวลผลอัจฉริยะ หัวเว่ยยังคงเป็นซัพพลายเออร์ที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าภาครัฐและผู้วางระบบสาธารณูปโภค รวมไปถึงลูกค้าในภาคการค้า เช่น การเงิน ขนส่ง พลังงาน และยานยนต์ ส่วนกลุ่มธุรกิจคอนซูเมอร์ของหัวเว่ย รายได้จากการขายในครึ่งปีแรกพุ่งสูงถึง 2.208 แสนล้านหยวน โดยหัวเว่ยได้จัดส่งสมาร์ทโฟน (รวมถึงสมาร์ทโฟนออนเนอร์) รวม 118 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 24% บริษัทยังมียอดการจัดส่งแท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ wearable ที่เติบโตอย่างรวดเร็วอีกด้วย หัวเว่ยกำลังเริ่มขยายระบบนิเวศด้านอุปกรณ์ดีไวซ์ของตัวเองเพื่อส่งมอบประสบการณ์การใช้งานแบบไร้รอยต่อในส่วนที่เป็นการใช้งานหลักๆ ปัจจุบันระบบนิเวศของ Huawei Mobile Services มีผู้พัฒนาลงทะเบียนแล้วกว่า 800,000 คน และมีผู้ใช้ 500 ล้านคนทั่วโลก “รายได้ของหัวเว่ยเติบโตอย่างรวดเร็วจนถึงเดือนพฤษภาคม” มร. เหลียง กล่าว “จากรากฐานที่วางไว้ในครึ่งแรกของปี ถึงแม้หัวเว่ยว่าจะถูกเพิ่มชื่อเข้าไปใน Entity List แต่เราก็ยังคงเห็นการเติบโตด้านรายได้ ทั้งนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่เจอความยากลำบากที่รออยู่เบื้องหน้า ซึ่งแน่นอนว่าต้องมี และก็อาจจะส่งผลกระทบต่อเส้นทางการเติบโตของเราในระยะสั้น” เขากล่าวเสริมว่า “แต่เราก็จะยังอยู่ในตลาด เราเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ถึงสิ่งที่รอเราอยู่ในอนาคต และจะยังลงทุนต่อไปตามที่ได้วางแผนไว้ รวมถึงจะใช้งบราว 1.2 แสนล้านหยวนเพื่อการวิจัยและพัฒนาในปีนี้ด้วย เราจะผ่านพ้นความท้าทายเหล่านี้ และมั่นใจว่าหัวเว่ยจะก้าวสู่การเติบโตในอีกระดับหลังจากสิ่งเลวร้ายที่สุดได้ผ่านพ้นไปแล้ว” ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง หัวเว่ย ประเทศไทย Read the full article
0 notes
thereporterasiastuff-blog · 6 years ago
Text
เอชพี ชี้เลี้ยงลูกผสานดิจิทัลและสิ่งพิมพ์ได้ประโยชน์สูงสุด
Tumblr media
เอชพี จัดเสวนา “HP New Asian Learning Experience เปิดประสบการณ์การเรียนรู้ของครอบครัวยุคใหม่” ชี้การเรียนรู้บนสิ่งพิมพ์กับแพลตฟอร์มดิจิทัลให้ประโยชน์ที่แตกต่างกัน สื่อการเรียนการสอนจากสิ่งพิมพ์ยังส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็กในเชิงบวกมากกว่าการเรียนรู้กับสื่อดิจิทัลเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตามครอบครัวในเอเชียยังต้องการการเรียนรู้แบบผสมผสาน ปวิณ วรพฤกษ์ กรรมการผู้จัดการ เอชพี อิงค์ ประเทศไทย กล่าวว่า ในฐานะพ่อแม่การให้การศึกษากับลูกหลานอย่างรอบด้านเป็นสิ่งสำคัญ เอชพีตระหนักในข้อกังวลนี้จึงพัฒนาเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่มารองรับสื่อดิจิทัลและสิ่งพิมพ์ที่จะช่วยให้สนับสนุนการเรียนรู้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้แน่ใจว่าลูกหลาน ได้รับการพัฒนาทักษะที่จำเป็นในแต่ละช่วงวัย ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนบทบาทของพ่อแม่ผู้ปกครองต่อการเรียนรู้ของเด็ก และนำเทคโนโลยีมาผสมผสานในการเรียนรู้ เอชพี ได้แสดงผลวิจัยโครงการ New Asian Learning Experience ซึ่งเป็นการสำรวจทัศนคติและบุคลิกลักษณะของ พ่อแม่ยุคใหม่ที่มีผลต่อการเรียนรู้ของเด็กๆ โดยใช้กระบวนการวิเคราะห์ปัจจัยรอบด้านของผู้ปกครองกลุ่มมิลเลนเนียล จำนวน 3,177 คน จาก 7 ประเทศในเอเชีย ได้แก่ สิงคโปร์ อินเดีย จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย พบว่าความเชื่อและความคาดหวังที่แตกต่างกันไปนั้น ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ปกครองในการกำหนดการเรียนรู้ของลูก การเข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยเด็กเรียนรู้ ตลอดจนการเสียสละต่างๆ เพื่ออนาคตของลูก ผลสำรวจชี้ให้เห็นถึงความมุ่งหวังของผู้ปกครองในการเตรียมลูกหลานสู่อนาคต ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดจากผลของเทคโนโลยี ผู้ปกครองกังวลว่าลูกๆ จะไม่สามารถ ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงและไม่พร้อมสำหรับการแข่งขันในอนาคตได้ ซึ่งการสำรวจพบข้อมูลเชิงลึกดังนี้: อนาคตที่มั่นคงของเด็กคือความกังวลสูงสุดของผู้ปกครอง ผลสำรวจโดยรวมชี้ให้เห็นว่า อนาคตที่มั่นคงของเด็ก คือความกังวลสูงสุดของผู้ปกครองทุกคน 66% กังวลเรื่องค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น 42% กังวลเรื่องความมั่นคงในการทำงาน 54% กังวลเรื่องทักษะที่ถูกต้องต่อบทบาทชีวิตในอนาคต สำหรับผู้ปกครองยุคใหม่ของประเทศไทย 65% กังวลเรื่องค่าครองชีพมากที่สุด และรองลงมา 54% เป็นห่วงเรื่องการสร้างทักษะที่ถูกต้องให้กับเด็กในอนาคต ผู้ปกครองเอเชียยุคใหม่ ต้องการให้ลูกหลานพัฒนาทักษะทางสังคมควบคู่กับการมีความสุข ผู้ปกครองชาวเอเชียยุคใหม่ต้องการให้ลูกหลานพัฒนาทักษะทางสังคมควบคู่กับการมีความสุข โดย 83% ผู้ปกครองต้องการให้ลูกหลานมีความสุขเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ในขณะที่ผู้ปกครองไทย 68% ต้องการให้ลูก สามารถทำได้ดีที่สุดในสิ่งที่พวกเขาทำ และ 66% ของผู้ปกครองไทย ระบุความมั่นคงของงานเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งสูงกว่าประเทศอื่นๆ ครอบครัวไทย 61% ยังเน้นเรื่องการพัฒนาทักษะและรูปแบบการเรียนการสอนที่รองรับการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเรียนรู้ของลูกเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต และ 57% ของผู้ปกครองไทยยุคใหม่ต้องการพัฒนาลูกให้ด้านสติปัญญาซึ่งถือว่าเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุด
Tumblr media
ปวิณ วรพฤกษ์ กรรมการผู้จัดการ เอชพี อิงค์ ประเทศไทย เด็กๆ ต้องถูกเตรียมให้พร้อม สำหรับการเรียนรู้ยุคดิจิทัล การเรียนรู้แบบผสมผสานระหว่างสิ่งพิมพ์และดิจิทัลนั้นมีผลเชิงบวกมากกว่าการเรียนรู้บนสิ่งพิมพ์และบนดิจิทัลเพียงเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง การเรียนรู้บนสิ่งพิมพ์กับบนดิจิทัลให้ประโยชน์ที่แตกต่างกัน และผู้ปกครองเชื่อว่าสิ่งพิมพ์ให้ผลที่ดีกว่าสำหรับการอ่านเพื่อความเข้าใจ การใช้เวลาในการอ่าน การเรีย��คำศัพท์และการจดจำ ในขณะที่แพลตฟอร์มดิจิทัลช่วยเรื่องการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และการสร้างวิจารณญาณ ผู้ปกครองไทย 57% ใช้การเรียนรู้แบบผสมผสานสำหรับการเรียนรู้ด้านศิลปะ รองลงมาคือการเรียนรู้ด้านภาษา 56% และทักษะดนตรี 41% ผู้ปกครองช่วยลูกในการเรียนรู้เพราะเป็นโอกาสสร้างความผูกพัน จากผลสำรวจพบว่า ผู้ปกครองชอบใช้เวลาเรียนรู้กับลูกเพราะเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความผูกพันและพัฒนาทักษะด้านปฏิสัมพันธ์ การสำรวจยังพบว่า ประเทศไทยมีสัดส่วนผู้ปกครองสูงสุดถึง 89% ที่ระบุว่า เหตุผลที่ผู้ปกครองเข้าไปมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของเด็ก คือต้องการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และเพิ่มประสบการณ์ใหม่ๆ ผู้ปกครองเห็นว่าการใช้เวลาเรียนรู้ร่วมกับเด็กเป็นการพัฒนาทักษะในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ผู้ปกครองยอมเสียสละเพื่อการศึกษาของเด็กๆ โดยการส่งเสริมให้ลูกเรียนพิเศษ ผู้ปกครองชาวเอเชีย 60% ยอมใช้จ่ายไปกับค่าเรียนพิเศษ นอกเหนือจากการเรียนในเวลาปกติ ผู้ปกครองไทย 64% ใช้จ่ายไปกับค่าเรียนพิเศษและสถาบันกวดวิชา 35% ยอมย้ายบ้านเพื่อให้ลูกได้เรียนในโรงเรียนที่ดี และ 45% ยอมกู้เงินเพื่อการศึกษาของลูก ผู้ปกครองมีความคาดหวังกับสิ่งที่ปฏิบัติจริงไม่ตรงกัน ในขณะที่ผู้ปกครองมองเห็นคุณค่าของการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ การท่องเที่ยวและการเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เรียนรู้เทคโนโลยีสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ แต่พวกเขายังคงให้ลูกๆ เรียนรู้ในกิจกรรมแบบเดิม ผู้ปกครองเชื่อว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการเผชิญกับโลกแห่งความจริง ที่เสริมการพัฒนาความสามารถเชิงสร้างสรรค์และวิจารณญาณ ในขณะที่การเรียนรู้แบบท่องจำนั้นเหมาะสำหรับความรู้ที่อาศัยความจริง อันเป็นฐานในการต่อยอดการพัฒนาทักษะอื่นที่สูงขึ้น ผู้ปกครองไทย 88% ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้จากประสบการณ์ มากกว่าการเรียนรู้แบบท่องจำที่ 73% เชื่อว่าการเรียนรู้ทั้งสองประเภทจะมีอิทธิพลต่อ��วามสามารถของเด็กในการเลือกทักษะที่จำเป็นเมื่อเข้าสู่วัยทำงาน ผลของการสำรวจสรุปกระบวนความคิดของผู้ปกครองในภูมิภาคเอเชียแบ่งออกเป็น 5 ลักษณะ ได้แก่ The Concerned, The Realist, The Typical, The Overachiever และ The Detached ซึ่งสะท้อนลักษณะวิธีการที่ผู้ปกครองให้ความหมายต่อการเรียนรู้ การให้คุณค่าของการเรียนรู้จากประสบการณ์ของพวกเขา บทบาทการมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือเด็กในการเรียนรู้ รวมถึงความห่วงใยต่ออนาคตของลูก กระบวนความคิดแบบกังวล (The Concerned) - ผู้ปกครองกลุ่มนี้สนใจและกังวลอย่างมากเกี่ยวกับอุปกรณ์ดิจิทัลต่อการศึกษาของบุตรหลาน พวกเขากังวลไม่เฉพาะที่ลูกๆ ต้องเผชิญกับความหลากหลายของเทคโนโลยี แต่รวมถึงผลกระทบที่เทคโนโลยีมีอต่อการเรียนรู้และ ต่อการพัฒนาทักษะในด้านสังคมและการเข้าสังคม ผู้ปกครองกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับวิธีการศึกษาแบบดั้งเดิม มากกว่ากลุ่มอื่นๆ โดยเชื่อว่าเด็กๆ จะเสียสมาธิได้ง่าย เมื่อต้องอ่านบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเด็กน่าจะได้เรียนรู้มากขึ้นจากสิ่งพิมพ์หรือตำรา
Tumblr media
กระบวนความคิดแบบสัจนิยม (The Realist) - ผู้ปกครองในกลุ่มนี้ให้คุณค่ากับการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ การเล่น และการเรียนรู้สิ่งใหม่ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย พวกเขาพร้อมที่จะเปิดรับ เน้นเรื่องการปฏิบัติ ต้องการให้ลูกได้สัมผัสโลกแห่งความเป็นจริง พวกเขาอยากให้ลูกๆ พัฒนาทักษะที่สามารถนำไปปรับใช้นอกเหนือจากในห้องเรียนและจะช่วยให้พวกเขาเป็นเลิศ กลุ่มพ่อแม่ลักษณะนี้จะชื่นชอบอุปกรณ์ดิจิทัล เนื่องจากสามารถช่วยให้ลูกๆ ได้เรียนรู้ไอเดียใหม่ๆ กระบวนความคิดตามขนบ (The Typical) - ผู้ปกครองในกลุ่มนี้ให้คุณค่ากับการพัฒนาทักษะที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงและการเรียนรู้จากประสบการณ์ ผู้ปกครองลักษณะนี้มีแนวโน้มที่จะยอมรับว่า การเรียนรู้ทั้งทางดิจิทัลและจากสิ่งพิมพ์เหมาะสมและให้ผลการเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น การพัฒนาทักษะและสติปัญญาด้านคำศัพท์และความเข้าใจ กระบวนความคิดที่เน้นประสบความสำเร็จ (The Overachiever) - ผู้ปกครองลักษณะนี้เรียกอีกอย่างว่า Tiger Parents มีลักษณะแสดงความต้องการเข้าไปช่วยผลักดันให้เด็กเรียนรู้และควบคุมเนื้อหาและเส้นทางของการเรียนรู้ ให้ลูกได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ พวกเขาเชื่อว่าอุปกรณ์ดิจิทัลจะช่วยให้เด็กๆ ได้สัมผัสกับวัฒนธรรมและไอเดียต่างๆ ในขณะที่สื่อการเรียนรู้ที่เป็นสิ่งพิมพ์และกิจกรรมทางกายภาพช่วยส่งเสริมการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม กระบวนความคิดแบบปลีกตัว (The Detached) - ผู้ปกครองกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่เงียบและเก็บตัวมากที่สุดเมื่อเทียบกับทุกกลุ่ม แม้พวกเขาใช้เวลาเรียนรู้กับลูกน้อยที่สุด แต่พวกเขากระตือรือร้นที่จะพัฒนาทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและสังคม ซึ่งอาจเป็นเพราะพวกเขามีแนวโน้มที่เป็นคนที่เก็บตัว จึงให้ความสำคัญกับการเรียนรู้เประเภทท่องจำ การติวเสริม และร่วมกิจกรรมทางสังคม นอกจากนี้ ในด้านการสร้างความผูกพัน พวกเขาต้องการควบคุมเนื้อหาและเส้นทางการเรียนรู้ของลูกๆ โดยแม่จะมีบทบาทในการเรียนรู้ของลูกมากกว่าฝ่ายพ่อ กระบวนความคิดของผู้ปกครองไทยอยู่ในกลุ่มสัจนิยมมากที่สุด 31% รองลงมาคือกลุ่มกังวล 22% และพบว่า กลุ่มปลีกตัวและกลุ่มตามขนบเท่ากันที่ 17% ส่วนกลุ่มเน้นประสบความสำเร็จมีเพียง 15% ผลการศึกษา New Asian Learning Experience โดยเอชพีช่วยให้ผู้ปกครองและผู้ที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับอนาคตของเด็กในโลกที่กำลังถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี และสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เอชพีมุ่งสร้างการเรียนรู้ใหม่สำหรับเด็กวัยเรียน ด้วยนวัตกรรมอุปกรณ์และโซลูชั่นที่จะช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ด้วยตนเอง เสริมความคิดสร้างสรรค์ สร้างทักษะควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะข้ามวัฒนธรรมและการเรียนรู้ที่เปิดกว้างขึ้น การส่งเสริมการเรียนรู้ของลูกให้สนุกเป็นเคล็ดลับที่จำเป็นสำหรับผู้ปกครอง ให้การเรียนรู้เป็นเรื่องสนุกในครอบครัว เครื่องพิมพ์ HP DeskJet Ink Advantage จะสร้างรอยยิ้มแห่งความสุขให้ลูกๆ เมื่อได้สร้างผลงานสวยแจ่ม สีสันสดใส สั่งงานไร้สายผ่านแอพ HP Smart แม้ผู้ใช้��านจะเป็นเด็กก็สามารถสั่งพิมพ์สื่อการเรียน การเล่นที่ต้องการด้วยตนเองผ่านโทรศัพท์สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตได้อย่างง่ายดาย เครื่องพิมพ์ HP DeskJet Ink Advantage มาพร้อมขนาดเล็กกะทัดรัด ดีไซน์สวย ราคาประหยัด ครบทุกฟังก์ชั่นแบบออลอินวัน พร้อมบริการถึงที่บ้าน ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง เอชพี อิงค์ ประเทศไทย Read the full article
0 notes
thereporterasiastuff-blog · 6 years ago
Text
สารพันกลยุทธ์ข้อมูลที่ใช้ไม่ได้ผล? ใช้ คลาวด์ หลายเจ้า?
Tumblr media
ปัจจุบัน คลาวด์ กลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของกลยุทธ์ทางด้านสารสนเทศ การใช้ หรือแสวงหาประโยชน์จากคลาวด์อย่างดีที่สุดกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ไม่ว่าบุคลากรจะต้องการ หรือไม่ก็ตาม ในทุกองค์กรที่มีวาระสำคัญเรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Agenda) หรือมีวาระสำคัญเรื่องการแปลงโฉมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation Agenda) คลาวด์จะเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์เสมอ แต่จะเป็นไปในระดับที่มากน้อยต่างกันไป สำหรับองค์กรที่มีวาระสำคัญเรื่องเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยทั่วไปมักจะเพิ่งเริ่มต้นของวงจรการใช้ คลาวด์ และมีความพยายามที่จะยังคงให้การดำเนินงานเป็นไปได้ ด้วยเทคโนโลยี และกระบวนการที่เน้นการใช้คลาวด์ บทบาทของทีมเทคโนโลยีสารสนเทศจะเป็นไปเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และภายใต้ค่าใช้จ่ายต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยจะใช้ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์เท่าที่จะพอให้ดำเนินงานไปได้ และมุ่งเน้นการจัดการในเรื่องการดูแล และบำรุงรักษา ในทางตรงกันข้าม องค์กรธุรกิจที่เน้น เรื่องการแปลงโฉมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation Agenda) จะมองเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเครื่องมือหลักที่สร้างความแตกต่าง ทั้งองค์กรจะมุ่งความสนใจมาที่ทีมเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อที่จะให้ขับเคลื่อนนวัตกรรม เปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินธุรกิจ และเอาชนะคู่แข่ง ถึงแม้ว่าการดำเนินการภายใต้ วาระแห่งการแปลงโฉมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล จะดูเป็นแรงจูงใจสำหรับคนที่ทำงานด้านเทคโลยีในองค์กร แต่ขณะเดียวกันก็เป็นความท้าทายอย่างมากเช่นกัน ทีมงานเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทำงานภายใต้วาระ เรื่องการแปลงโฉมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation Agenda) จะต้องเผชิญกับความคาดหวังที่สูงกว่าพนักงานที่ทำงานตาม วาระของเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Agenda) โดยจะต้องมีความยืดหยุ่นในการตัดสินใจ และต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว ซึ่งนิยมไปดำเนินการในคลาวด์ โดยนำข้อมูลไปประมวลผลที่คลาวด์ตามความจำเป็น และหากโครงการไม่ประสบความสำเร็จ ก็สามารถยกเลิก หรือลดขนาดการใช้งาน แทนที่จะต้องเสียค่าใช้จ่าย ทิศทาง คลาวด์ ในอนาคต จากภาพยนตร์เรื่อง The Incredibles ของพิกซาร์ มีคำกล่าวหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นคือ “ถ้าทุกคนเป็นซูเปอร์ฮีโร่กันหมด ก็จะไม่มีใครเหนือกว่าใครอีกต่อไป” ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เราได้เห็นองค์กรจำนวนมากกระโจนเข้าสู่สภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์กันอย่างกว้างขวาง ซึ่งนับเป็นข้อพิสูจน์ว่าองค์กรเหล่านี้มุ่งเน้นการสร้างสรรค์นวัตกรรม แต่ขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดคำถามที่ว่า เมื่อบริษัทต่างๆ หันมาใช้ไฮบริดคลาวด์กันมากขึ้นเพื่อปรับเปลี่ยนการดำเนินงานสู่ดิจิทัล แล้วบริษัทเหล่านี้จะต้องดำเนินการอะไรเป็นขั้นตอนถัดไปเพื่อที่จะสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง เป็นที่ชัดเจนว่าขั้นตอนถัดไปคือ การขยายสภาพแวดล้อมมัลติคลาวด์ให้เติบโตถึงขีดสุด หลังจากที่บริษัทต่างๆ ประสบความสำเร็จอย่างมากในการใช้ประโยชน์จากไฮบริดคลาวด์ ซึ่งช่วยผลักดันการเติบโตของธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม บริษัทเหล่านี้ก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้ระบบคลาวด์อย่างชาญฉลาด องค์กรต่างๆ ได้ศึกษาเกี่ยวกับจุดแข็งและโฟกัสของผู้ให้บริการคลาวด์แต่ละราย และเปรียบเทียบกับระบบคลาวด์ภายในองค์กร และเริ่มเข้าใจว่าเพราะเหตุใดระบบคลาวด์หนึ่งๆ อาจเหมาะงานอย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่าระบบอื่นๆ ขณะที่ผู้ให้บริการคลาวด์แต่ละรายนำเสนอความสามารถใหม่ๆ และเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ลูกค้าจึงไม่จำเป็นต้องเลือกใช้บริการของบริษัทเดียวอีกต่อไป ตั้งเป้าหมายสู่ระบบมัลติคลาวด์แบบไฮบริด ความสำเร็จในการสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านข้อมูลเป็นผลมาจากการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อปรับเปลี่ยนสู่การเป็นองค์กรที่ดีที่สุด มีประสิทธิภาพสูงสุด และมีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด เมื่อห้าปีที่แล้ว องค์กรที่เป็นผู้นำได้ดำเนินการดังกล่าวโดยอาศัยการผสมผสานระหว่างระบบคลาวด์และสภาพแวดล้อมที่ติดตั้งภายในองค์กร และปัจจุบัน ขณะที่เทคโนโลยีพัฒนาเติบโตอย่างต่อเนื่อง องค์กรเหล่านี้ก็สามารถกระจายเวิร์กโหลดระหว่างระบบคลาวด์หลายๆ ระบบ รวมถึงระบบที่ติดต��้งภายในองค์กร ได้ง่ายดายมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อเข้าใจว่าเพราะเหตุใดบริษัทจึงเลือกใช้ไฮบริดคลาวด์ ก็จะสามารถระบุได้ว่าบริษัทนั้นๆ มุ่งเน้นการอยู่รอดหรือการสร้างสรรค์นวัตกรรม โดยบริษัทที่มุ่งเน้นการสร้างสรรค์นวัตกรรมจะพยายามอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อพัฒนาสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอนาคต ด้วยเหตุนี้บริษัทดังกล่าวจึงมองหาหนทางที่จะเร่งการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพิ่มเติมโดยใช้สภาพแวดล้อมแบบมัลติคลาวด์ หลายบริษัทพัฒนามาถึงจุดนี้แล้ว ตัวอย่างเช่น WuXi NextCODE หนึ่งในองค์กรชั้นนำระดับโลกด้านเทคโนโลยีชีวภาพจีโนมิกส์ (Genomics) ใช้ข้อมูลจีโนมจำนวนมหาศาล เพื่อให้บริการวินิจฉัยด้านจีโนมิกส์แก่โรงพยาบาลและหน่วยงานวิจัยทั่วโลก เป้าหมายขององค์กรนี้คือการค้นหาวิธีการรักษาแบบใหม่สำหรับโรคสำคัญๆ และช่วยให้แพทย์สามารถตรวจพบอาการของโรคได้แต่เนิ่นๆ และป้องกันการเสียชีวิตของผู้ป่วย WuXi ได้ลงทุนในระบบคลาวด์หลายๆ ระบบ ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานให้แก่องค์กร และเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน และด้วยเหตุนี้ WuXi จึงสามารถทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่ให้กับงานค้นคว้าวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน บริษัทของคุณก็ทำได้เช่นกัน การดำเนินงานภายใต้วาระการปรับเปลี่ยนที่สร้างสรรค์ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ แต่ในโลกที่การเป็นซูเปอร์ฮีโร่ไม่ใช่เรื่องพิเศษอีกต่อไป บริษัทต่างๆ จึงต้องพยายามพัฒนาก้าวไปข้างหน้า และกำหนดเป้าหมายที่สูงขึ้นอีกระดับขั้น เพื่อสร้างความแตกต่างเหนือคู่แข่งและประสบความสำเร็จในธุรกิจ คุณจำเป็นที่จะต้องยอมรับความเปลี่ยนแปลง และในบางครั้งอาจต้องดำเนินการล่วงหน้าก่อนที่การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ โดยคุณจำเป็นที่จะต้องลงทุนเพื่ออนาคต และปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความสะดวกในการทำงานและแก้ไขปัญหาทางด้านธุรกิจ คุณจะต้องดำเนินการปรับเปลี่ยนองค์กรอย่างจริงจังและสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อความเป็นผู้นำ และพยายามมองไปข้างหน้าอยู่เสมอ เพราะนี่คือหนทางเดียวที่คุณจะสามารถช่วงชิงโอกาสทางธุรกิจเหนือคู่แข่ง
Tumblr media
        บทความโดย อินโก ฟุชส์ หัวหน้านักเทคโนโลยีด้านคลาวด์และ DevOps ของเน็ตแอพ ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง เน็ตแอพ Read the full article
0 notes